ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
ภัททกาปิลานีเถริยาปทานที่ ๗
ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททกาปิลานีเถรี
[๑๖๗] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาของเศรษฐีมีชื่อว่าวิเทหะมีรัตนะมาก ใน เมืองหงสวดี บางครั้ง เศรษฐีนั้นพร้อมกับชนที่เป็นบริวาร เข้าไป เฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นดังดวงอาทิตย์แห่งนรชน ได้ฟังธรรมของ พระองค์อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศพระสาวกองค์หนึ่งว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่าย กล่าวกำจัด เศรษฐีผู้เป็นสามีแห่งดิฉันได้ฟังแล้ว ได้ถวายทานแด่ พระพุทธเจ้าผู้คงที่ตลอด ๗ วัน แล้วซบเศียรลงแทบพระบาท ปรารถนาตำแหน่งนั้น ก็ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่านรชน เมื่อจะทรงให้บริษัทรื่นเริง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้เพื่อทรงอนุ- เคราะห์เศรษฐีว่าดูกรบุตร ท่านจะได้ตำแหน่งที่ตนปรารถนา จงเป็น ผู้เย็นใจเถิด ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านนี้ จักได้เป็นธรรมทายาท ของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรส อันธรรมนิรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัสสปะ เศรษฐีได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีความเบิกบานใจ มีจิต ประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ด้วย ปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงยัง พระศาสนาให้รุ่งเรืองแล้ว ทรงกำจัดเดียรถีย์ที่ชั่วและทรงแนะนำ ประชาชนที่ควรแนะนำแล้ว พระองค์กับทั้งพระสาวกก็ปรินิพพาน เมื่อพระสุคตเจ้าซึ่งเป็นผู้เลิศในโลกพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว เศรษฐีนั้นเชิญญาติและมิตรมาประชุมแล้ว พร้อมกับญาติและมิตร เหล่านั้นได้สร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะ สูง ๗ โยชน์ งดงาม เหมือนดวงอาทิตย์ และต้นพญารังที่มีดอกบาน เพื่อสักการะบูชา พระศาสดา ดิฉันได้ให้ช่าง ๗ คนเอารัตนะ ๗ อย่างทำตะเกียง ๗ แสนดวงแล้ว เอาน้ำมันหอมใส่เต็มทุกถ้วย ตามประทีปไว้ ณ ที่นั้น ลุกโพลงดังไฟไหม้ป่าอ้อ เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณ อันยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอนุเคราะห์สรรพสัตว์ ดิฉันให้ช่างทำหม้อ ๗ แสนหม้อ เต็มด้วยรัตนะต่างๆ มีพวงทองตั้งไว้ในระหว่างหม้อ ๘ ใบ รุ่งเรืองด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสารทสมัย เพื่อบูชาพระ- ศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ประตูทั้ง ๔ มีเสาระเนียดสำเร็จ ด้วยรัตนะ มีแท่นมากสำเร็จด้วยรัตนะตั้งไว้งดงามน่ายินดี ทั้งมีคู ปลูกพรรณดอกไม้น้ำเป็นระเบียบดี และมีธงรัตนะยกขึ้นไว้ ล้วน แต่งามไพโรจน์ พระเจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะนั้นๆ สร้างไว้มีสีสุก งามดี รุ่งโรจน์ด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ที่มีรัศมีงาม พระสถูปของ ดิฉันมี ๓ ด้าน ด้านหนึ่งดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยหรดาล ด้านหนึ่ง ดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยมโนศิลา ด้านหนึ่งดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยแร่ พลวง ดิฉันให้ช่างสร้างเครื่องบูชาที่น่ายินดีเช่นนี้แล้ว ได้ถวายทาน แก่พระสงฆ์ผู้กล่าวธรรมอันประเสริฐตามกำลัง ตลอดชั่วชีวิต ดิฉัน กับเศรษฐีนั้นทำยัญเหล่านั้นโดยประการทั้งปวงจนตลอดชีวิต แล้ว ได้ไปสู่สุคติภพพร้อมกัน เสวยสมบัติทั้งหลายในเทวดาและมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้น ปานประหนึ่งว่าเงาติดตามไปกับตัว ฉะนั้น ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้เป็นนายกของโลก มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ่มแจ้งในธรรม ทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น พราหมณ์ที่ประชุมชนสมมติว่า เป็นผู้ดี สมบูรณ์ด้วยความดี มั่งมีทรัพย์ มีอยู่ในพระนครพันธุมดี แม้ครั้งนั้น ดิฉันเป็นพราหมณีของพราหมณ์นั้น มีจิตเสมอกัน บางครั้ง พราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระมหามุนี ซึ่งประทับในหมู่ชน ทรงแสดงธรรมส่วนอมตบทอยู่ ได้ฟังธรรมแล้วเบิกบานใจ ได้ถวาย ผ้าห่มผืนหนึ่ง มีผ้านุ่งผืนเดียวกลับไปถึงเรือน แล้วได้บอกดิฉันว่า ดูกรน้องผู้มีบุญมาก เชิญอนุโมทนาเถิดผ้าห่มฉันถวายพระพุทธเจ้า แล้ว ขณะนั้นดิฉันประนมอัญชลีกล่าวอนุโมทนาว่า นายขา ผ้าห่ม ท่านถวายดีแล้วแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ คงที่ พราหมณ์กับดิฉัน เป็นผู้เจริญด้วยสุขสมบัติ ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่พราหมณ์ ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในพระนครพาราณสี ครั้งนั้น ดิฉันได้เป็น พระมเหสีสูงกว่าพวกพระสนม เป็นที่สองของท้าวเธอ ท้าวเธอ โปรดปรานดิฉัน เพราะสิเนหาเนื่องมาแต่ภพก่อนๆ พระเจ้าแผ่นดิน นั้นทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์ ผู้กำลังเที่ยว ไปเพื่อบิณฑบาตทรงพอพระทัย ได้ถวายบิณฑบาตที่ควรแก่ค่ามาก ครั้นแล้วทรงนิมนต์ไว้ ทรงสร้างมณฑปแก้วประดับด้วยทอง มี ความเปล่งปลั่ง อันพวกช่างทองทำไว้ มีส่วน ๑๐๐ ศอก ท้าวเธอ ทรงเลื่อมใส รับสั่งให้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด แล้วได้ ทรงถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเข้ามาในพระราช- นิเวศน์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แม้ครั้งนั้น ดิฉันก็ได้ถวาย ทานนั้นร่วมกันกับพระเจ้ากาสีดิฉันมาเกิดในกาสิกคาม ในพระนคร พาราณสีอีก พระเจ้ากาสีกับพระภาดามาเกิดในสกุลกุฎุมพี มีความ เจริญ เพรียบพร้อมด้วยความสุข ดิฉันเป็นภรรยาของพราหมณ์ คนพี่มีวัตรในสามีเป็นอย่างดี น้องชายของสามีดิฉัน เห็นพระ- ปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เอาอาหารของพี่ชายถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพี่ชายซึ่งเป็นสามีดิฉันมาแล้ว บอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่าน มิได้ยินดีทาน ขณะนั้น ดิฉันก็ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น สามีของดิฉัน ถวายอาหารอันไม่ควรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลานั้น ดิฉันโกรธเททานของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเสียแล้ว ได้ให้บาตร อันเต็มด้วยเปือกตมแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้คงที่นั้น ครั้งนั้น ดิฉัน เห็นสามีมีสีหน้าแสดงว่ามีจิตสงบในการให้ การรับ การไม่เคารพ และการประทุษร้าย จึงสลดใจมาก สามีของดิฉันรับบาตรมาแล้ว เอาน้ำหอมอย่างดีล้างให้สะอาดดิฉันมีจิตเลื่อมใส เอาน้ำตาลกรวด กับเปรียงใส่บาตรจนเต็มแล้ว ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น ดิฉันมีความยินดีเกิดในภพไหนๆ ก็มีรูปสวยเพราะถวายทาน แต่มี กลิ่นตัวเหม็น เพราะทำความไม่ดี หยาบหยามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพระเจดีย์แห่งพระกัสสปธีรเจ้าซึ่งสามีให้สำเร็จแล้ว ดิฉันมี ความยินดีได้ถวายแผ่นอิฐทองคำอย่างดีเอาแผ่นอิฐนั้นชุบจนเปียก ด้วยน้ำหอมที่เกิดแต่เครื่องหอมสี่ชนิด จึงพ้นจากโทษที่มีกลิ่นตัว เหม็น งดงามดีทั่วสรรพางค์ และให้ช่างเอารัตนะ ๗ ประการทำ ตะเกียง ๗ แสนดวง ใส่เปรียงเต็มแล้ว ให้ใส่ไส้พันไส้ตามประทีป ตั้งไว้ ๗ แถว เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตวโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใส แม้ในครั้งนั้น ดิฉันมีส่วนในบุญนั้นโดยพิเศษ สามีของดิฉันไปเกิดในแคว้นกาสี มีนามปรากฏว่าสุมิตตะ ดิฉัน เป็นภรรยานายสุมิตตะนั้น เป็นผู้เจริญด้วยสุขสมบัติ เป็นที่รัก ของสามี ครั้งนั้น สามีของดิฉันได้ถวายผ้าโพกศีรษะเนื้อดีแก่ พระปัจเจกมุนี แม้ดิฉันก็มีส่วนแห่งทานนั้นอนุโมทนาทาน อันอุดมสามีไปเกิดในกำเนิดแห่งชาวโกลิยะในแคว้นกาสี ครั้งนั้น สามีของดิฉัน พร้อมกับบุตรของชาวโกลิยะ ๕๐๐ คน ได้บำรุง พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้า เหล่านั้นให้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาสแล้ว ได้ถวายไตรจีวร ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาแห่งโกลิยบุตรคนนั้นด้วยกุศลกรรมบถที่ บำเพ็ญมา โกลิยบุตรนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดเป็น พระราชาพระนามว่านันทะ มีอิสริยยศมาก แม้ดิฉันเกิดเป็นมเหสี ของท้าวเธอ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยกามสุขทั้งปวง พระเจ้านันทะนั้น เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัตต์ เป็นใหญ่ใน ปฐพี ครั้งนั้น ดิฉันกับพระเจ้าพรหมทัตต์ ได้อาราธนาพระปัจเจก พุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นพระโอรสแห่งพระนางปทุมวดี ให้มา อยู่ในพระราชอุทยานแล้วบำรุงอยู่ และบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า เหล่านั้นผู้นิพพานแล้ว จนตลอดชีวิต เราทั้งสองให้สร้างเจดีย์ หลายองค์ แล้วก็บวชกัน เจริญอัปปมัญญาแล้วได้ไปสู่พรหมโลก จุติจากพรหมโลกแล้ว สามีของดิฉัน เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อปิป- ผลายนะ ที่ประเทศมหาติตถะ มารดาชื่อสุมนเทวี บิดาเป็นพราหมณ์ โกสิโคตร ดิฉันเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์นามว่ากปิละ มารดาชื่อ สุจิมดี ในมัททชนบท เมืองสากลบุรีที่อุดม บิดาของดิฉันหล่อรูป ดิฉันด้วยแท่งทองคำแล้ว ถวายรูปหล่อแก่พระพุทธกัสสปผู้เว้นจาก กามคุณ พราหมณ์ปิปผลายนะนั้นเป็นหนุ่ม ไปตรวจดูการงานใน กาลบางครั้ง เห็นสัตว์ทั้งหลายที่ถูกกาเป็นต้นกัดกินแล้วสลดใจ ครั้งนั้นดิฉันเห็นน้ำมันงาที่มีในเรือน เอาออกผึ่งแดด มีเหล่าหนอน อาศัยกินแล้ว ได้ความสลดใจ ครั้งนั้นปิปผลายนพราหมณ์ ออก บวชแล้ว ดิฉันก็บวชตาม อยู่ในสำนักปริพาชก ๕ ปี เมื่อพระนาง โคตมี ผู้เป็นพระมาตุจฉาบำรุพระพิชิตมารมาทรงผนวชแล้ว ดิฉัน เข้าไปหาท่าน ต่อมา พระพุทธเจ้าโปรดสั่งสอนแล้วไม่นานเท่าไร ก็ได้บรรลุอรหัตผล ได้อุทานว่าน่าชม เรามีพระกัสสปเถระผู้มีสิริ เป็นกัลยาณมิตร พระกัสสปเถระเป็นบุตรทายาทแห่งพระพุทธเจ้า มีจิตตั้งมั่นดีรู้ปุพเพนิวาสญาณ เห็นสวรรค์และอบาย ลุถึงแล้วซึ่ง ความสิ้นชาติ เป็นมุนีอยู่จบอภิญญา เป็นพราหมณ์มีไตรวิชชาด้วย วิชชา ๓ นี้ ดิฉันชื่อภัททกาปิลานีก็เหมือนกันได้ไตรวิชชาละ มัจจุราช ทรงร่างกายเป็นที่สุดนี้ ชนะมารพร้อมทั้งพลมารแล้ว เรา ทั้งสองเห็นโทษในโลกแล้วออกบวชกัน เป็นผู้หมดอาสวะ ทรมาน เสร็จแล้ว มีความเย็น ดับสนิทแล้ว ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว. ทราบว่า ท่านพระภัททกปิลานีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบภัททกาปิลานีเถริยาปทาน.

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๕๗๕๑-๕๘๘๑ หน้าที่ ๒๔๗-๒๕๓. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=5751&Z=5881&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=33&A=5751&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=33&siri=178              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=167              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=33&A=7147              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=33&A=7147              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ http://84000.org/tipitaka/read/?index_33              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/thi-ap27/en/walters

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]