ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อรุณวตีสูตรที่ ๔
[๖๑๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ฯ ในที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ [๖๑๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมี มาแล้ว มีพระราชาพระนามว่า "อรุณวา" ราชธานีของพระเจ้าอรุณวามีนามว่า "อรุณวตี" พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี ทรงเข้าไปอาศัย ราชธานีอรุณวตีประทับอยู่ ฯ ก็พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี ได้มีคู่พระสาวก นามว่าพระอภิภูและพระสัมภวะ เป็นคู่พระสาวกที่เจริญเลิศ ฯ [๖๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธพระนามว่าสิขี ตรัสเรียกภิกษุนามว่าอภิภูมาว่า ดูกรพราหมณ์ มาเถิด เราจักไปพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่งชั่วกาล กว่าจะถึงเวลาฉัน ฯ ภิกษุอภิภูทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขีแล้ว ฯ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี และ ภิกษุอภิภูได้หายไปจากอรุณวตีราชธานี ปรากฏในพรหมโลกนั้น เหมือนอย่างบุรุษ ผู้มีกำลังเหยียดแขนที่งอเข้ามาแล้วออกไป หรืองอแขนที่เหยียดออกไปแล้วเข้ามา ฉะนั้น ฯ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ตรัสกะภิกษุอภิภูว่า ดูกรพราหมณ์ ธรรมีกถาจงแจ่มแจ้งแก่พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลายเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอภิภูรับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขีแล้ว แล้วยังพรหม พรหม บริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ฯ [๖๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าในกาลนั้น พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ยกโทษติเตียนโพนทะนาว่า แน่ะท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลย ก็เมื่อพระศาสดาประทับอยู่เฉพาะหน้า เหตุไฉน พระสาวกจึงแสดงธรรม ฯ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี ตรัส เรียกภิกษุอภิภูมาว่า ดูกรพราหมณ์ พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะ เหล่านั้นติเตียนว่า แน่ะท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลย ก็เมื่อพระ ศาสดาประทับอยู่เฉพาะหน้า เหตุไฉนพระสาวกจึงแสดงธรรม ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลายหลากใจ ยิ่งขึ้นกว่าประมาณ ฯ ภิกษุภิอภูทูลรับพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระ นามว่าสิขีแล้ว มีกายปรากฏแสดงธรรมบ้าง มีกายไม่ปรากฏแสดงธรรมบ้าง มีกาย ปรากฏกึ่งหนึ่งตอนล่าง ไม่ปรากฏกึ่งหนึ่งตอนบนแสดงธรรมบ้าง มีกายปรากฏ กึ่งหนึ่งตอนบน ไม่ปรากฏ กึ่งหนึ่งตอนล่างแสดงธรรมบ้าง ฯ [๖๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในกาลนั้น พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ได้มีจิตพิศวงเกิดแล้วว่า น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคย มีมาเลย ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ความที่สมณะผู้เป็นมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุอภิภูได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธพระนามว่าสิขีว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ย่อมทราบ ข้าพระองค์เป็นผู้กล่าว วาจาเห็นปานนี้ ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราอยู่ที่พรหมโลก สามารถยังหมื่นโลกธาตุให้รู้แจ่มแจ้งด้วยเสียงได้ ฯ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีตรัสว่า ดูกร พราหมณ์ เป็นกาลของเธอที่เธอยืนอยู่ที่พรหมโลก พึงยังหมื่นโลกธาตุให้รู้แจ่ม แจ้งด้วยเสียงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอภิภูทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขีว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว ยืนอยู่ใน พรหมโลก ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า ท่านทั้งหลายจงริเริ่ม จงก้าวหน้า จงประกอบ (ความเพียร) ในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุเหมือนช้างกำจัด เรือนไม้อ้อ ฉะนั้น ผู้ใดจักไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ ผู้นั้นจักละสงสารคือชาติ แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ [๖๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธพระนามว่าสิขี และภิกษุอภิภูยังพรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะ ทั้งหลายให้หลากใจแล้ว ได้หายไปจากพรหมโลกนั้น (มา) ปรากฏในอรุณวตี ราชธานี เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่งอเข้ามาแล้วออกไป หรืองอแขนที่ เหยียดออกไปแล้วเข้ามาฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลาย ได้ยินหรือไม่ ฯ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถา ทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินแล้ว พระเจ้าข้า ฯ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลาย ได้ยินว่าอย่างไร ฯ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ว่า "ท่านทั้งหลายจงริเริ่ม จงก้าวหน้า จงประกอบ (ความเพียร) ในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุเหมือนช้างกำจัด เรือนไม้อ้อ ฉะนั้น ผู้ใดจักไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ ผู้นั้นจักละสงสารคือชาติ แล้วจักกระทำที่สุดทุกข์ได้ พระเจ้าข้า" ฯ เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลกกล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ ทั้งหลายได้ยินแล้วอย่างนี้ ฯ [๖๑๙] พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขีตรัสว่า ดีละ ดีละ ภิกษุทั้งหลาย ดีแท้ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าว คาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินแล้ว ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมีใจ ยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๕๐๐๑-๕๐๘๓ หน้าที่ ๒๑๖ - ๒๑๙. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=5001&Z=5083&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?item=615&book=15              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=15&siri=185              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=613              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_read.php?B=15&A=4436              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรโรมัน :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_read.php?B=15&A=4436              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ http://84000.org/tipitaka/read/?index_15

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]