ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๘ มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๒ ปัจฉิมอนุโลมติกปัฏฐาน
พระอภิธรรมปิฎก
เล่ม ๘
มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๒
ปัจฉิมอนุโลมติกปัฏฐาน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิตักกัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๒] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตกและกฏัตตารูป อาศัยขันธ์เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น [๓] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัย สวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ วิตก และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ วิตก และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น [๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิจารและกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น [๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และกฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ วิจาร และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น [๖] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ อาศัยวิจาร เกิดขึ้น วิจาร อาศัย หทัยวัตถุ เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป และกฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลายเกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ ขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และกฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๘] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัย อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๙] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๑๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๑๑] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัย สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๑๒] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตกและหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมและวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยวิตกและมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิตกและมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๑๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิตกและมหาภูตรูป เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๑๔] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น [๑๖] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และ มหาภูตรูป เกิดขึ้น [๑๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ วิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตก และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๑๘] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และ วิตก อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๒] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น วิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๒๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๒๔] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๒๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๒๖] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๒๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๒๘] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ปัจจัย ๒ จำแนกแล้วโดยวิธีสาธยาย ปัจจัย ๒๔ ที่เหลือ พึงจำแนกโดยวิธีนั้น [๒๙] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น หทัยวัตถุ อาศัย ขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และ วิตก อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๑] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น วิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย และวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๔] อวิตักกอวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย วิจาร เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ อาศัยวิจาร เกิดขึ้น วิจาร อาศัยหทัยวัตถุ ๓ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ อาศัยวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย มหาภูตรูป อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะ วิปปยุตตปัจจัย สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๓๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และกฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๓๖] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัย อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย และวิตกอาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะ วิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๓๗] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๓๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๓๙] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์และวิตก อาศัย หทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะ วิปปยุตตปัจจัย [๔๐] สวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น เพราะ วิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม วิจาร และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตกและมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย และวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น วิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๔๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิตกและมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ และวิจาร เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ วิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๔๒] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และ อวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๔๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และ วิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะ วิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๔๔] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารมัตตธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๔๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และ มหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป อาศัยขันธ์และวิตก เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๔๖] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะอัตถิปัจจัย ฯลฯ เพราะนัตถิปัจจัย ฯลฯ เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๔๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๒๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๒๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๒๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๓๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒๘ ในนิสสยปัจจัย มี " ๓๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๓๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๓๗ ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มี " ๓๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๓๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๒๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๒๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓๗ ในอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี " ๒๑ ฯลฯ ในกุสลัตติกะท่านนับไว้อย่างไร พึงนับอย่างนั้น
อนุโลมปัฏฐาน จบ
-----------------------------------------------------
ปัจจนียปัฏฐาน
[๔๘] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ซึ่งสหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย คือ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๕๐] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๕๑] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัย ที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยวิตก ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น [๕๒] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และกฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น [๕๓] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ สำหรับพวกอสัญญสัตว์ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูป เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุ ปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๕๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๕๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๕๖] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกอวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๕๗] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ และ มหาภูตรูป เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๕๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่ เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และ อวิตักกวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๕๙] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุ- *ปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๖๐] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก ซึ่งเป็นอเหตุกะ และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ใน อเหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๖๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๖๒] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะและวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และวิตก เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ และวิตก เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๖๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่ง เป็นอเหตุกะ และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๖๔] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกอวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ และ วิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๖๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๖๖] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๖๗] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัย ที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น [๖๘] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น กฏัตตารูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ สำหรับพวกอสัญญสัตว์ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๖๙] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น [๗๐] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ฯลฯ กฏัตตารูป ฯลฯ [๗๑] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๗๒] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกอวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ฯลฯ [๗๓] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ฯลฯ มี ๗ นัย [๗๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ ปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๒ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัย ที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ อธิปติปัจจัย คือ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย วิตก เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น [๗๕] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัย ที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ อธิปติปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ อธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม มี ๗ นัย [๗๖] อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัย ฯลฯ เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร ฯลฯ [๗๗] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัย ที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญ- *ปัจจัย เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ เหมือนกับปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย [๗๘] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี ๗ นัย [๗๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ ปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ สวิตักกวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิด ขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และกฏัตตารูป อาศัยวิตก เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๘๐] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยขันธ์ที่ เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๘๑] อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ มี ๗ นัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมและวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ในที่มีปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัยเป็นมูล ที่เป็นสุทธิกอรูปภูมิ กระทำ อย่างไร อรูปภูมิทั้งหลาย พึงกระทำอย่างนั้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย [๘๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ ปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ฯลฯ [๘๓] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ฯลฯ [๘๔] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๘๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ ปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น [๘๖] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น [๘๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร เกิดขึ้น [๘๘] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและวิตก เกิดขึ้น [๘๙] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่วิปากปัจจัย ฯลฯ เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ฯลฯ คือ พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ฯลฯ คือ พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป สำหรับพวกอสัญญสัตว์ รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ฯลฯ เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ฯลฯ คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ สำหรับพวกอสัญญสัตว์ ฯลฯ (ในหมวดแห่งปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย เป็นมูล พึงทำให้เหมือนกับปัจจัยที่ไม่ใช่ ปุเรชาตปัจจัย โดยประกอบอวิตักกวิจารมัตตะเข้ากับวิบาก อีกประการหนึ่ง พึงแสดงวิบาก โดย ประกอบอวิตักกวิจารมัตตะ กับอวิตักกวิจารมัตตะ) เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่มัตตปัจจัย เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย [๙๐] ฯลฯ เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย ฯลฯ คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ วิตก อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และวิตก อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตก อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น [๙๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัย ที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิจาร อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น [๙๒] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น พาหิรรูป อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ สำหรับพวกอสัญญสัตว์ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น [๙๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร เกิดขึ้น [๙๔] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น [๙๕] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่นัตถิปัจจัย เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย [๙๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ " อธิปติปัจจัย มี " ๓๗ " อนันตรปัจจัย มี " ๗ " สมนันตรปัจจัย มี " ๗ " อัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ " อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ " ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓๗ " ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓๗ " อาเสวนปัจจัย มี " ๓๗ " กัมมปัจจัย มี " ๗ " วิปากปัจจัย มี " ๒๐ " อาหารปัจจัย มี " ๑ " อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ ฌานปัจจัย มีวาระ ๑ " มัคคปัจจัย มี " ๓๓ " สัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ " วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ " นัตถิปัจจัย มี " ๗ " วิคตปัจจัย มี " ๗๙ พึงนับเหมือนอย่างการนับปัจจนียปัฏฐาน ในกุสลัตติกะ
ปัจจนียปัฏฐาน จบ
[๙๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ฯลฯ พึงนับเหมือนอย่างการนับอนุโลมปัจจนียปัฏฐาน ในกุสลัตติกะ [๙๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑๔ ฯลฯ พึงนับเหมือนอย่างการนับอนุโลมปัจจนียปัฏฐาน ในกุสลัตติกะ
ปฏิจจวาร จบ
แม้สหชาตวาร ก็พึงแจกเช่นเดียวกับปฏิจจวาร
-----------------------------------------------------
ปัจจยวาร
[๙๙] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัย ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ฯลฯ มี ๗ นัย อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น มี ๕ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร [๑๐๐] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น วิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจาร มัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๐๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย มหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิด ขึ้น วิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรมและวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัย อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๐๒] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น คือ ในปฏิสนธิขณะ อันเป็นไปแล้วในอุทาหรณ์ว่า พึงกระทำให้ได้หัวข้อปัจจัย ๗ [๑๐๓] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น วิจาร อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ มีวาระ ๔ เหมือนอย่างนี้ [๑๐๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยวิตก และมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมและหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏ- *ฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมและมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ และวิจาร อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ฯลฯ ปัจจัยสงเคราะห์ทั้งสอง ที่เหลือพึงแจกปวัตติปฏิสนธิให้พิสดาร
เหตุปัจจัย จบ
ผู้ที่เข้าใจเหตุปัจจัย พึงแจกปัจจยวารให้พิสดาร พึงนับเหมือนอย่างการนับปฏิจจวาร ในอธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓๗ ในปุเรชาตปัจจัย กับอาเสวนปัจจัย มีวาระ ๒๑ นี้เป็นความแปลกกัน ในปัจจัยวารนี้ [๑๐๕] ในปัจจนียปัฏฐาน ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓๓ พึงยก โมหะทั้ง ๗ ขึ้น ในฐานะทั้ง ๗ เฉพาะในบทที่เป็นมูล ในปัจจัยที่ใช่อารัมมณปัจจัย พึงยกจิตตสมุฏฐานรูปทั้ง ๗ ขึ้น วาระทั้ง ๗ มีสวิตักกสวิจารธรรม เป็นมูล พึงแจกกับปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย [๑๐๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ ปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ พึงกระทำ วาระทั้ง ๕ เหมือนอย่างในปฏิจจวาร [๑๐๗] อวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ อธิปติธรรม ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิด ขึ้น ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ ขันธาธิบดี ซึ่งเป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ อธิปติธรรม ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น อธิปติธรรม ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น วิตก อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร อาศัย หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ ปัจจัยสงเคราะห์ที่ ๑ นี้ พึงแจกให้สมบูรณ์ [๑๐๘] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร เกิดขึ้น อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พึงแจกหัวข้อปัจจัยทั้ง ๕ อวิตักกวิจารมัตตธรรม ย่อมมาถึงในที่ใด พึงแจกวิบากในที่นั้น ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจจัยที่มีอธิปติปัจจัย เป็นมูล พึงแจก วาระ ๓๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัยก็ดี ปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัยก็ดี ปัจจัยที่ไม่ใช่ อัญญมัญญปัจจัยก็ดี ปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัยก็ดี มีวาระ ๗ และเฉพาะรูปภูมิเท่านั้น ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีวาระ ๓๗ เช่นเดียวกับปัจจนียปัฏฐานในปฏิจจวาร ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีวาระ ๓๗ แม้ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ก็เช่นเดียวกัน แม้อวิตักกวิจารมัตตธรรม ย่อมมาในที่ใด พึงแจกวิบากในที่นั้น [๑๐๙] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ อาศัยอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ พึงแจกให้บริบูรณ์ สวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยวิจาร เกิดขึ้น เจตนาที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๑๑๐] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น อวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร เกิดขึ้น เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ หทัยวัตถุ เกิดขึ้น สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๑๑] สวิตักกสวิจารธรรม อาศัยสวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น [๑๑๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๓๗ ปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ปัจจัย ที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย ปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย ปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย ปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิ ปัจจัย ปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย พึงแจกให้พิสดาร [๑๑๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ " อธิปติปัจจัย มี " ๓๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญ- *มัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวน- *ปัจจัย มีวาระ ๓๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มีวาระ ๑๑ " วิปากปัจจัย มี " ๓๗ " อาหารปัจจัย มี " ๑ " อินทริยปัจจัย มี " ๑ " ฌานปัจจัย มี " ๑ " มัคคปัจจัย มี " ๓๑ " สัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ " วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มีวาระ ๗ " วิคตปัจจัย มี " ๗
ปัจจยวาร จบ
แม้นิสสยวาร ก็ไม่ต่างกัน
-----------------------------------------------------
สังสัฏฐวาร
[๑๑๔] สวิตักกสวิจารธรรม คลุกเคล้ากับสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ อวิตักกวิจารมัตตธรรม คลุกเคล้ากับสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ คือ วิตก คลุกเคล้ากับขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม คลุกเคล้ากับสวิตักกสวิจาร- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และวิตกคลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ขันธ์ ๒ คลุกเคล้า กับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๑๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม คลุกเคล้ากับวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ คือ วิจาร คลุกเคล้ากับขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ วิจาร คลุกเคล้ากับขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และวิจาร คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกอวิจารธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม คลุกเคล้ากับวิจาร ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับวิจาร อวิตักกวิจารมัตตธรรม คลุกเคล้ากับอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารธรรม คลุกเคล้ากับสวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ และวิตก เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ผู้ที่เข้าใจเหตุปัจจัย พึงแจกปัจจัยทั้งปวงให้พิสดาร [๑๑๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑๑ ในอารัมมณปัจจัย ในอธิปติปัจจัย ในอนันตรปัจจัย ในสมนันตรปัจจัย ในสหชาตปัจจัย ในอัญญมัญญปัจจัย ในนิสสยปัจจัย ในอุปนิสสยปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย ในกัมมปัจจัย ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย ในวิปปยุตตปัจจัย ในอัตถิปัจจัย ในนัตถิปัจจัย ในวิคตปัจจัย ในอวิคตปัจจัย ในปัจจัยทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) มีวาระ อย่างละ ๑๑
อนุโลมปัฏฐาน จบ
ผู้มีปัญญา พึงแจกปัจจนียปัฏฐาน
[๑๑๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๑ " ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๑ " ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๑ " อาเสวนปัจจัย มี " ๑๑ " กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ วิปากปัจจัย มีวาระ ๑๑ " ฌานปัจจัย มี " ๑ " มัคคปัจจัย มี " ๖ " วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑
ปัจจนียปัฏฐาน จบ
วาระแม้ทั้งสอง นอกนี้ ก็พึงแจกให้พิสดาร
แม้สัมปยุตตวาร ก็พึงแจกให้พิสดาร
สังสัฏฐวาร จบ
-----------------------------------------------------
ปัญหาวาร
[๑๑๘] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โดยเหตุปัจจัย ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๑๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๒๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ กฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป โดย เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และวิตก โดยเหตุ- *ปัจจัย ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ วิตก โดยเหตุปัจจัย [๑๒๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิตก และจิตตสมุฏ- *ฐานรูป โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิตก และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โดย เหตุปัจจัย [๑๒๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป โดย เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิจาร และจิตต- *สมุฏฐานรูป โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิจาร และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ กฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย [๑๒๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณากุศลกรรมที่ตนสั่งสมไว้ในก่อน ออกจากฌาน ที่มีวิตก วิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคย เกิดแล้วในกาลก่อน พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น มีราคะ โทมนัส เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๓๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น วิตก เกิดขึ้น พิจารณากุศลกรรมที่ตนได้สั่งสมไว้ในก่อน ออกจาก ฌานที่มีวิตก วิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น วิตก เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ตนละแล้ว พิจารณากิเลสที่ตนข่มไว้ได้แล้ว รู้กิเลส ที่เคยเกิดแล้วในก่อน พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น วิตก เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก เกิดขึ้น [๑๓๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจิต มีวิตก มีวิจาร โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๓๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น พิจารณากุศลกรรม ที่ตนสั่งสมไว้ในก่อน ออกจากฌาน ที่มีวิตก มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ตนละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลส ที่เคยเกิดแล้วในก่อน พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ขันธ์ที่เป็น สวิตักกวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๓๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลออกจากฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ออกจากมรรค ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้นนั้น วิตก เกิดขึ้น พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิตก โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น วิตก เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๓๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลออกจากฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น มีราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ [๑๓๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจิต ไม่มีวิตก มีเพียงวิจาร โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๓๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลออกจากฌาน ไม่มีวิตก มีเพียงวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้นนั้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ขันธ์ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๓๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมและวิจาร โดย อารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพร้อม เพรียงด้วยจิต ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๓๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลาย ออกจากฌาน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารแล้ว ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค ที่มีวิตก มีวิจาร แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลพิจารณาเห็นซึ่งจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น มีราคะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลพิจารณาเห็นซึ่งโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น มีราคะ โทมนัส เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ [๑๓๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากฌาน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้นนั้น วิตกเกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผลที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลพิจารณาเห็นซึ่งจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และ วิจาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ ปรารภจักขุเป็นต้นนั้น วิตก เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิจารธรรม และวิจาร วิตก เกิดขึ้น [๑๔๐] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมและวิจาร โดย อารัมมณปัจจัย [๑๔๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลาย ออกจากฌาน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาระ และวิตก เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน และวิตก ฯลฯ แก่มรรค มีวิตก มีวิจาร และวิตก แก่ผล มีวิตก มีวิจารและวิตก แก่อาวัชชนะ และวิตก โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลพิจารณาเห็นซึ่งจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเพราะ ปรารภจักขุนั้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาระ และวิตก เกิดขึ้น บุคคลพิจารณาเห็นซึ่งโสตะ ฯลฯ โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะปรารภ โสตะเป็นต้นนั้น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๔๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๔๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมและวิจาร วิตก เกิดขึ้น [๑๔๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรมเป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจาร- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๔๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรมและวิตก เกิดขึ้น [๑๔๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๔๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก วิตก เกิดขึ้น [๑๔๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิ- *วาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เกิดขึ้น [๑๔๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๕๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลกรรมที่ตนสั่งสมดีแล้ว ในก่อน กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นออกจากฌาน มีวิตก มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค พิจารณามรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น มีราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้น กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตก เกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมที่ตนสั่งสมไว้ดีแล้วในก่อน กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ออกจากฌาน มีวิตก มีวิจาร ฯลฯ กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำฌานเป็นต้น นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตก เกิดขึ้น บุคคลยินดี เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมกระทำให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นวิตก เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติที่เป็นสวิจาระ เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้นกระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและวิตก เกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมที่ตนสั่งสมไว้ดีแล้วในก่อน กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ออกจากฌาน มีวิตก มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำฌานเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม กระทำให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และวิตก โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๖] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี อย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และวิตก และจิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่บุคคล ออกจากฌาน ไม่มีวิตก มีเพียงวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำ ฌานนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตก เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและวิตก กระ ทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตก เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลออกจากฌาน ไม่มีวิตก มีเพียงวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำฌานเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำขันธ์และวิตกนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น มีราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๕๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๖๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และวิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๖๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลออกจากฌาน ไม่มีวิตก มีเพียงวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะ กระทำฌานเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม กระทำให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำขันธ์ และวิตกนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๖๒] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผลที่เป็นอวิตักก- *อวิจารธรรม และวิจาร โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยอธิปติปัจจัย [๑๖๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากฌาน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น เพราะกระทำฌาน เป็นต้นนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งจักษุ กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำจักษุนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งโสตะ ซึ่งฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร กระทำให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น เพราะกระทำโสตะ เป็นต้นนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๖๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลาย ออกจากฌาน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น เพราะกระทำฌานเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตก เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งจักษุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำโสตะ เป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น วิตก เกิดขึ้น [๑๖๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรคแก่ผล ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๖๖] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติได้แก่ พระอริยะทั้งหลาย ออกจากฌาน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล พิจารณาผล กระทำให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น เพราะกระทำฌาน เป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน และวิตก แก่มรรค ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก แก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอธิปติปัจจัย บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งจักษุ กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร กระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะกระทำจักษุ โสตะ เป็นต้นนั้น ให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น [๑๖๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจาร ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะกระทำขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๑๖๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ วิตก เกิดขึ้น เพราะกระทำขันธ์ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๑๖๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมและวิตก เกิดขึ้น เพราะกระทำขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๑๗๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เกิดขึ้น เพราะกระทำขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๑๗๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ วิตก เกิดขึ้น เพราะกระทำขันธ์ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๑๗๒] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น เพราะกระทำขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๑๗๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัย แก่มรรค ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารมัตตธรรม ผลที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผล- *สมาบัติ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตร ปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกที่เกิดหลังๆ โดย อนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิตก บริกรรมแห่งฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมเป็นปัจจัยแก่ฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจาร มัตตธรรม โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ปัญจวิญญาณ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และ วิจาร บริกรรมแห่งทุติยฌาน เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งตติย- *ฌาน ฯลฯ บริกรรมแห่งจตุตถฌาน ฯลฯ บริกรรมแห่งอากาสานัญจายตนะ ฯลฯ บริกรรม แห่งวิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ บริกรรมแห่งอากิญจัญญายตนะ ฯลฯ บริกรรมแห่งเนวสัญญา- *นาสัญญายตนะ ฯลฯ บริกรรมแห่งทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรมแห่งทิพพโสตธาตุ ฯลฯ บริกรรม แห่งอิทธิวิธญาณ ฯลฯ บริกรรมแห่งเจโตปริยญาณ ฯลฯ บริกรรมแห่งปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ ยถากัมมุปคญาณ อนาคตังสญาณ ฯลฯ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตร- *ปัจจัย [๑๗๖] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โวทาน เป็น ปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่ เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๗] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ และวิตก โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู และวิตก อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน และวิตก โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรคที่ เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ผลที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม และวิตก อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ วิตกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรมที่ เกิดหลังๆ มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ วิตกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจาร ธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิจารที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักก- *อวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักก- *อวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร โดยอนันตรปัจจัย ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ วิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ วิตกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ และ วิตก โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ และวิตก โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดย อนันตรปัจจัย [๑๘๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ วิจารที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิจารที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรค ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ผลที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ แห่งพระอริยะผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่ เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิต ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิต ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตร- *ปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ผลที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของพระอริยะผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่ เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ วิจารที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกอวิจาร- *มัตตธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ แห่งพระอริยะผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๖] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิต ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของพระอริยะผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิต ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิต ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ และวิตก โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของพระอริยะผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตร- *ปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วิจารที่เกิด หลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิต ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่อาวัชชะ และวิตก โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม และวิตก โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โวทาน และวิตก เป็นปัจจัย แก่มรรค ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจาระ และวิตก เป็นปัจจัย แก่ผลที่เป็นสวิตักกสวิจาระ อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นสวิตักกสวิจาระ โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิตก เป็นปัจจัยแก่วิตกที่เกิด หลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ฌาน ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาวัชชนะ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ปัญจวิญญาณ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักก- *อวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัย แก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งทุติยฌาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งตติยฌาน และวิตก บริกรรมแห่งจตุตถฌาน และวิตก บริกรรมแห่งอากาสา นัญจายตนะ และวิตก บริกรรมแห่งวิญญาณัญจายตนะ และวิตก บริกรรมแห่งอากิญจัญญายตนะ และวิตก บริกรรมแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ และวิตก บริกรรมแห่งทิพพจักขุ และวิตก บริกรรมแห่งทิพพโสตธาตุ และวิตก บริกรรมแห่งอิทธิวิธญาณ และวิตก บริกรรมแห่งเจโตปริย- *ญาณ และวิตก บริกรรมแห่งปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ และวิตก ฯลฯ โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัย แก่ผลสมาบัติ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งฌาน ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ฌาน ที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดย อนันตรปัจจัย โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ และวิตก โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่โคตรภู และวิตก อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัย แก่โวทาน และวิตก โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นสวิตักกวิจารธรรมและวิตก โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก ผลที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดย อนันตรปัจจัย [๑๙๘] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสมนันตรปัจจัย อนันตรปัจจัยก็ดี สมนันตรปัจจัยก็ดี เหมือนกัน [๑๙๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๓ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๑ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ [๒๐๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ [๒๐๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป โดยสหชาต- *ปัจจัย ฯลฯ [๒๐๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ [๒๐๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป โดย สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตก โดยสหชาต- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตก โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ วิตก และจิตตสมุฏฐาน รูป โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูป ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย คือ วิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ [๒๐๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูป โดย สหชาตปัจจัย วิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ วิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป โดย สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๑๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และ- *อวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ วิจาร และจิตตสมุฏ- *ฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ [๒๑๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยสหชาตปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตา- *รูป ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป วิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ขันธ์ เป็นปัจจัย แก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ วิจาร เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่วิจาร มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ มหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป และกฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ สำหรับพวกอสัญญสัตว์ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ มหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป โดยสหชาตปัจจัย [๒๑๒] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดย สหชาตปัจจัย [๒๑๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยสหชาตปัจจัย [๒๑๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป โดย สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และกฏัตตารูป ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยสหชาตปัจจัย [๒๑๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร มัตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่เป็นสวิตักกสวิจาร และวิตก โดย สหชาตปัจจัย [๒๑๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย [๒๑๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจาร มัตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่วิตก โดยสหชาตปัจจัย [๒๑๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย [๒๑๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และวิตก ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตก โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย วิตกและมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจารเป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ วิตก และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุเป็นปัจจัย แก่วิจาร โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๓ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๑ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาต ปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาต ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และวิจาร โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจาร โดย สหชาตปัจจัย [๒๒๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาต- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๒๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๒๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๒๗] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๓๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๓๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๓๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย [๒๓๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก และ หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๓๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตก โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๓๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ วิตก และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตก และหทัย- *วัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๓๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๓๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย คือ วิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอัญญมัญญ ปัจจัย ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ [๒๓๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตก เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๓๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจาร โดย อัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจาร โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจาร และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจาร และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัย- *วัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย วิจารเป็นปัจจัยแก่ หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจาร มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๒๔๒] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญ- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๖] สวิตักกวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่วิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และวิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตก โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๔๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ วิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๐] อวิตักกอวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย อัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ และวิจาร และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัย แก่หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่วิจาร โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และ หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และวิจาร โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และ วิจาร โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๕๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัย แก่หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๒๕๗] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ มี ๗ นัย อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย ฯลฯ มี ๕ นัย [๒๕๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย นิสสยปัจจัย วิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยนิสสยปัจจัย [๒๕๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ ฯลฯ [๒๖๐] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๖๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดย นิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร ฯลฯ [๒๖๒] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดย นิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ ฯลฯ [๒๖๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย นิสสยปัจจัย
ปวัตติก็ดี ปฏิสนธิก็ดี พึงแสดง
[๒๖๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิตก ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๖๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๖๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ วิตก โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๖๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ วิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๖๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๖๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย วิตก และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิจาร โดย นิสสยปัจจัย ปฏิสนธิกะทั้งหลาย มี ๔ นัย ฯลฯ [๒๗๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจาร ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจาร โดย นิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๗๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๒๗๒] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยนิสสยปัจจัย วาระทั้ง ๒ พึงให้พิสดาร [๒๗๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌาน ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๗๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ศีลที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยความปรารถนาแล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิตก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๗๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้วยังฌานที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๗๖] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ความ ปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๗๗] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ความ ปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ความปรารถนา และวิตก โดย อุปนิสสยปัจจัย [๒๗๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ วิตกแล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิตก เป็น ปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิตก โดย อุปนิสสยปัจจัย [๒๗๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ วิตกแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ วิตกแล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ความ ปรารถนา และวิตก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา วิจาร สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา วิจาร สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา วิจาร แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา วิจาร สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม แก่ศีล ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ เสนาสนะแล้วยังฌานที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิตก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๖] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร โดย อุปนิสสยปัจจัย [๒๘๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ศีล แก่ความปรารถนา และวิตก โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๒๘๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ แก่ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๘๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิตก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และ วิจาร แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา และวิตก โดย อุปนิสสยปัจจัย [๒๙๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา และวิตก เป็นปัจจัย แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม แก่ศีล ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ศีล ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิตก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ ความปรารถนา และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจาร แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ ความปรารถนา และวิตก เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความปรารถนา ฯลฯ และวิตก เป็นปัจจัย แก่ศรัทธาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ แก่ความปรารถนา และวิตก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๙๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพ- *โสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๙๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตาแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้น นั้น ราคะเกิดขึ้น โทมนัสเกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๐๐] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตาแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุ นั้น วิตกเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความ เป็นอนัตตาแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภหทัยวัตถุนั้น วิตก เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิตก โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๐๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *วิจารธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๐๒] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตาแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุ นั้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตกเกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคล พิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตาแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และวิตก เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และวิตก โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๐๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิด ก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๐๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ที่เกิดภายหลัง และวิตกเป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๐๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ที่เกิดภายหลัง และวิจาร เป็นปัจจัยแก่กาย นี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๐๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ที่เกิดภายหลัง และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๐๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ที่เกิดภายหลัง และวิตกเป็นปัจจัยแก่กาย นี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๐๘] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่ มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดย อาเสวนปัจจัย [๓๐๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิตก ที่เกิด หลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมแห่งฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ฌานที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ บริกรรมแห่งทุติยฌาน เป็นปัจจัยแก่วิจารในทุติยฌาน โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมแห่งตติยฌาน เป็นปัจจัยแก่ตติยฌาน บริกรรมแห่งจตุตถฌาน เป็นปัจจัยแก่ จตุตถฌาน บริกรรมแห่งอากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่อากาสานัญจายตนะ บริกรรมแห่ง วิญญาณัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ บริกรรมแห่งอากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัย แก่อากิญจัญญายตนะ บริกรรมแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานา- *สัญญายตนะ บริกรรมแห่งทิพพจักขุ เป็นปัจจัยแก่ทิพพจักขุ บริกรรมแห่งทิพพโสตธาตุ เป็น ปัจจัยแก่ทิพพโสตธาตุ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ บริกรรมแห่งบุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ เป็นปัจจัยแก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ บริกรรมแห่ง อนาคตังสญาณ ฯลฯ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โวทาน เป็น ปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ บริกรรมแห่งฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ฌานที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โวทาน เป็นปัจจัย แก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ และวิตก โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู และวิตก อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน และวิตก โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรคที่ เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ วิตกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ วิตกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิจารที่เกิด หลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ วิตกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิด หลังๆ และวิตก โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ วิจารที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่วิจารที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๑๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ วิจารที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิด หลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๐] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ วิจารที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิจาร เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิจาร เป็นปัจจัย แก่วิจารที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรมที่เกิดหลังๆ และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูและวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่ มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่วิตกที่ เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมแห่งฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ฌานที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โวทานและวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยอวิตักกอวิจาร- *โดยอาเสวนปัจจัย คือ บริกรรมแห่งทุติยฌาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่วิจารในทุติยฌานโดยอาเสวน- *ปัจจัย บริกรรมแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ และวิตก ฯลฯ บริกรรมแห่งทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรมแห่งอนาคตสัญญาณ และวิตก เป็นปัจจัยแก่อนาคตตังสญาณ โดยอาเสวนปัจจัย โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดย อาเสวนปัจจัย โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรค ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดย อาเสวนปัจจัย [๓๒๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ บริกรรมแห่งฌานที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ฌานที่ เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดก่อนๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรมที่เกิดหลังๆ และวิตก โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม และวิตก เป็นปัจจัยแก่โคตรภู และวิตก อนุโลม และวิตกเป็นปัจจัยแก่ โวทาน และวิตก โคตรภู และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โวทาน และวิตก เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอาเสวนปัจจัย [๓๒๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้ง หลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๓๓๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยกัมม- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก ซึ่ง เป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๓๓๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลายโดยกัมมปัจจัย [๓๓๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจาร- *ธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะเจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๓๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตกและกฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก ซึ่ง เป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๓๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และวิตก โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และวิตก โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิตก โดยกัมมปัจจัย [๓๓๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิ- *จารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และวิตก และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และวิตก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิตก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๓๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้ง หลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๓๓๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจารซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๓๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย และวิจาร และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้ง หลาย และวิจาร และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้ง หลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย [๓๓๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้ง หลาย ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลายโดยกัมมปัจจัย [๓๔๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย วิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย วิปากปัจจัย [๓๔๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยวิปาก- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่วิตก โดย วิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารมูลกะ มีหัวข้อปัจจัยทั้ง ๗ บริบูรณ์ [๓๔๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยวิปาก- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่ง เป็นวิบาก ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตมูลกะ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๕ พึงกำหนดคำว่า วิบาก [๓๔๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ วิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย วิจาร เป็น ปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๓๔๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารมัตตธรรม โดยวิปาก- *ปัจจัย คือ วิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยวิปากปัจจัย [๓๔๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ วิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย [๓๔๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๔๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย [๓๔๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย [๓๔๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิตก เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาหาร- *ปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารมูลกะ พึงแจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๗ โดยเหตุนี้ [๓๕๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอาหาร- *ปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอาหาร- *ปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย [๓๕๘] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๕๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอินทริย- *ปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารมูลกะ พึงแจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๗ โดยเหตุนี้ [๓๖๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอินทริย- *ปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๖๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอินทริย- *ปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๖๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และวิจาร และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๖๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กาย- *วิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย [๓๖๔] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารมูลกะ พึงแจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๗ โดยเหตุนี้ [๓๖๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยฌาน- *ปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตมูลกะ พึงแจกเป็นข้อปัจจัย ๕ โดยเหตุนี้ [๓๖๖] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย วิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย ฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย วิจาร เป็น ปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยฌานปัจจัย [๓๖๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยฌาน- *ปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยฌานปัจจัย [๓๖๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และกฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย [๓๖๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย [๓๗๒] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยมัคคปัจจัย คือ องค์มรรคทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สวิตักกสวิจารมูลกะ พึงแจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๗ โดยเหตุนี้ [๓๗๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยมัคค- *ปัจจัย คือ องค์มรรคทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อวิตักกวิจารมัตตมูลกะ พึงแจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๕ โดยเหตุนี้ [๓๗๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยมัคคปัจจัย คือ องค์มรรคทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยมัคคปัจจัย คือ องค์มรรคทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๗๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยมัคคปัจจัย คือ องค์มรรคทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยมัคคปัจจัย คือ องค์มรรคทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยสัมปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตก โดย สัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย สัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย คือ วิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิจาร โดยสัมปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และ อวิตักกอวิจารธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจาร โดย สัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจาร ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๘] อวิตักกวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๘๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย คือ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๙๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย สัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๙๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๓๙๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๔] อวิตักกวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย วิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย วิจาร เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย วิจาร เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิจาร โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร โดย วิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๕] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๖] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิตก โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๗] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม และวิจาร โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม และวิตก โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๔๐๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักก- *สวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๔๐๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๐๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอัตถิปัจจัย ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๐๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ในสวิตักกสวิจารมูลกะ หัวข้อปัจจัยที่เหลือ เหมือนกับ สหชาตปัจจัย [๔๐๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารมัตตธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๐๕] อวิตักกอวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย คือ วิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๐๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย อวิตักกวิจารมัตตมูลกะ มีหัวข้อปัจจัย ๕ เหมือนกับ สหชาตปัจจัย [๔๐๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ วิจาร เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย วิจาร เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิจาร โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป และกฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอุปาทารูป โดยอัตถิปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ มหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอุปาทารูป โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิจารธรรม และวิจาร โดยอัตถิ- *ปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกอวิจารธรรม และวิจาร เป็นปัจจัย แก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูป- *ชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๔๐๘] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะเกิดขึ้น โทมนัสเกิดขึ้น รูป ฯลฯ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๔๐๙] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น วิตก เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลพิจารณา เห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น วิตกเกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิตก โดย อัตถิปัจจัย [๔๑๐] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และกฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตต- *ธรรม และวิจาร โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ ปรารภโสตะเป็นต้นนั้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๒] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๓] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิตก โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ วิตก โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และกวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตก โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และ วิตก โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๑๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ วิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจาร- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ วิตก และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่วิจาร โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตก และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่วิจาร โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม วิตก และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม วิตก และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๔๑๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และวิจาร เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิจาร ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอวิตักกวิจารมัตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ วิจาร โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๒๐] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิ- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๒๑] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๔๒๒] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม และวิตก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และวิตก เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๒ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๒๓] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๒๔] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสวิตักกสวิจารธรรม วิตก และรูป ชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๔๒๕] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
นัตถิปัจจัย วิคตปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย
อวิคตปัจจัย เหมือนกับ อัตถิปัจจัย
[๔๒๖] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๒๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๒๕ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๒๕ ในสหชาตปัจจัย มี " ๓๐ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒๘ ในนิสสยปัจจัย มี " ๓๐ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒๕ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๑ ในวิปากปัจจัย มี " ๒๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๑ ในอินทริยปัจจัย มี " ๑๑ ในฌานปัจจัย มี " ๒๑ ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๑๖ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๓๐ ในนัตถิปัจจัย มี " ๒๕ ในวิคตปัจจัย มี " ๒๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓๐ ปัจจัยสงเคราะห์ เหมือนกับ กุสลัตติกะ นั่นเทียว การนับปัญหาวาร ผู้มีปัญญา พึงกระทำอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๔๒๗] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย กัมมปัจจัย [๔๒๘] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย กัมมปัจจัย [๔๒๙] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๐] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๑] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๒] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๓] สวิตักกสวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๔] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๕] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๓๖] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๗] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๔๓๘] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๔๓๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๔๐] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย [๔๔๑] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปุเรชาตปัจจัย [๔๔๒] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาต- *ปัจจัย [๔๔๓] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๔๔] อวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๔๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๔๔๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๔๔๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักกวิจาร- *มัตตธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๔๔๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๔๔๙] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๕๐] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๕๑] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย [๔๕๒] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๕๓] อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๔๕๔] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๔๕๕] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๕๖] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *อวิจารธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉา- *ชาตปัจจัย [๔๕๗] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๔๕๘] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิตักก- *วิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๕๙] สวิตักกสวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักก- *สวิจารธรรม และอวิตักกวิจารมัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๔๖๐] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็นปัจจัยแก่สวิตักกสวิจารธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๔๖๑] สวิตักกสวิจารธรรม อวิตักกวิจารมัตตธรรม และอวิตักกอวิจารธรรม เป็น ปัจจัยแก่อวิตักกอวิจารธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต อาหาร อินทริย
ปัจจนียมาติกา
[๔๖๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๒๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๒๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๒๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีวาระ ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๒๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๒๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๒๗ ผู้มีปัญญา เมื่อจะนับปัจจนียะ พึงนับตามบทเหล่านี้
ปัจจนียะ จบ
[๔๖๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับเหตุปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ
๑๑ ทั้งหมด
ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑
การนับอนุโลมปัจจนียะ พึงนับโดยเหตุนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๔๖๔] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓๐ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๘ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓๐ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๕ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย ฯลฯ มี " ๓๐ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓๐
ปัจจนียานุโลม พึงแจก โดยเหตุนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
วิตักกัตติกะ ที่ ๖ จบ
-----------------------------------------------------
ปีติตติกะ
ปฏิจจวาร
[๔๖๕] ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ อาศัย ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ สุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัย ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคต- *ธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ [๔๖๖] สุขสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัย ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุข- *สหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่ เป็นสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ [๔๖๗] อุเบกขาสหคตธรรม อาศัยอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๖๘] ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ สุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ ที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒
เหตุปัจจัย จบ.
[๔๖๙] ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ไม่มี เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย เพราะ อัญญ- *มัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย ในปุเรชาต- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ไม่มี เพราะ อาเสวนปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย วิบาก ไม่มี เพราะ กัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย ฯลฯ เพราะ อินทริย- *ปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย
มาติกา จบ.
[๔๗๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑๐ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑๐ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑๐ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๐ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๐ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๐ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๐ ในปุเรชาตปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๐ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๐ ในวิปากปัจจัย มี " ๑๐ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๐ ในอินทริยปัจจัย มี " ๑๐ ในฌานปัจจัย มี " ๑๐ ในมัคคปัจจัย มี " ๑๐ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๐ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๐ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๐ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑๐ ในวิคตปัจจัย มี " ๑๐ ในอวิคตปัจจัย มีวาระ ๑๐ ทั้งหมด
การนับอนุโลม พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ.
[๔๗๑] ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ สุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ [๔๗๒] สุขสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสุข- *สหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ [๔๗๓] อุเบกขาสหคตธรรม อาศัยอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๑ อาศัย ขันธ์ ๒ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ โมหะ ที่สหคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๔๗๔] ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ สุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ [๔๗๕] ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ พึงใส่ให้เต็ม ที่ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย พึงกำหนดว่าในอรูป และในปฏิสนธิขณะด้วย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม สุขสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสุขสหคตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม
หัวข้อปัจจัย ๑๐ พึงให้พิสดารโดยเหตุนี้
ปีติสหคตธรรม อาศัยปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ฯลฯ พึงใส่ให้เต็ม ปฏิสนธิ ไม่มี [๔๗๖] สุขสหคตธรรม อาศัยสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ที่เป็นสุขสหคตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ [๔๗๗] อุเบกขาสหคตธรรม อาศัยอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย เหมือนกับไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย โมหะ ไม่มี ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม ต่อรูปปัญหาเท่านั้น [๔๗๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๐
ปัจจนียะ พึงกระทำให้บริบูรณ์
ปัจจนียะ จบ.
[๔๗๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐
อนุโลมปัจจนียะ พึงนับโดยพิสดาร
อนุโลมปัจจนียะ จบ.
[๔๘๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๐ ทั้งหมด ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๐ ทั้งหมด
ปัจจนียานุโลม จบ.
ปฏิจจวาร จบ.
สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี
สัมปยุตตวารก็ดี เหมือนกับ ปฏิจจวาร
-----------------------------------------------------
ปัญหาวาร
[๔๘๑] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุ- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๔๘๒] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สุขสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๘๓] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๘๔] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ
ในสุขมูละ มี ๓ นัย
[๔๘๕] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๘๖] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๘๗] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลออกจากฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณากุศล- *กรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นปีติสหคตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่ม แล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๘๘] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลออกจากฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณากุศล- *กรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นปีติสหคตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่ม แล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๘๙] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม พิจารณากุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม บุคคลออกจากฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณา กุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นปีติสหคตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่ม แล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๙๐] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลออกจากฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณา กุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นปีติสหคตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่ม แล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และ สุขสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๙๑] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๙๒] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม บุคคลออกจากฌานที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ มรรค ฯลฯ ออกจากผลแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่ม แล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย อากิญ- *จัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขา สหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๙๓] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แล้วพิจารณากุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลออกจากฌานที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณา กุศลกรรมนั้นด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม พิจารณากิเลส ที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ด้วยที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๙๔] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เกิดขึ้น [๔๙๕] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และ สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย ฯลฯ [๔๙๖] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมด้วย จิตที่เป็นปีติสหคตธรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ด้วยจิตที่เป็น ปีติสหคตธรรมแล้วพิจารณา บุคคลออกจากฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว กระทำฌาน เป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรมแล้วพิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ด้วยจิตที่ เป็นปีติสหคตธรรมแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ราคะที่เป็นปีติสหคตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๔๙๗] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทานด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๔๙๘] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทานด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ แล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ [๔๙๙] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทานด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๐] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทานด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๑] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๒] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ฯลฯ [๕๐๓] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๔] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๕] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ฯลฯ อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ฯลฯ [๕๐๖] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ฯลฯ [๕๐๗] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๘] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๕๐๙] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ฯลฯ [๕๑๐] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และ สุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๕๑๑] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปีติสหคตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โดยอนันตรปัจจัย พึงแสดงว่าเป็นปัจจัยสำหรับบททั้งปวง ด้วยเหตุนี้ อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่ มรรค มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผล เป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ที่ เป็นปีติสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๕๑๒] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สุขสหคตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภูที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โวทานที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นสุขสหคตธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๕๑๓] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตรปัจจัย วิบากมโนวิญญาณธาตุที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กิริยามโนวิญญาณธาตุ โดย อนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย กุศลอกุศลที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม กิริยา เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๕๑๔] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภูที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๕๑๕] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สุขสหคตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภูที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย ฯลฯ อนุโลมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นสุขสหคตธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๕๑๖] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปีติสหคตธรรมที่เกิดหลังๆ ฯลฯ อนุโลมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นปีติสหคตธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๕๑๗] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตรปัจจัย กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากมโนธาตุ โดยอนันตรปัจจัย วิบากมโนวิญญาณธาตุที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กิริยามโนวิญญาณธาตุ โดย อนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย กุศลอกุศลที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม กิริยา เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๕๑๘] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมที่เกิดหลังๆ ฯลฯ อนุโลมที่เป็นสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุข- *สหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๕๑๙] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ปัญจวิญญาณ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อุเบกขาสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรมที่เกิด หลังๆ ฯลฯ อนุโลมที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นอุเบกขา- *สหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๕๒๐] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม วิบากมโนธาตุที่เป็นอุเบกขาสหคต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากมโนวิญญาณธาตุที่เป็นปีติสหคตธรรม ภวังค์ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นปีติสหคตธรรม กุศลอกุศลที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ วุฏฐานะที่เป็นปีติสหคตธรรม กิริยา เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ เนวสัญญา- *นาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นปีติสหคตธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๕๒๑] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย พึงกำหนดถือเอาข้อความตามบาลีข้างต้นนั้นแหละเป็นอรรถาธิบายในที่นี้ด้วย [๕๒๒] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็น อุเบกขาสหคตธรรม ภวังค์ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ วิบากมโนวิญญาณธาตุที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็น อุเบกขาสหคตธรรม กุศล อกุศลที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ วุฏฐานะที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม กิริยา เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๕๒๓] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และ สุขสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ที่เกิดหลังๆ ฯลฯ อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๕๒๔] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยสมนันตรปัจจัย
เหมือนกับ อนันตรปัจจัย
[๕๒๕] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย
เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ในสหชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑๐
[๕๒๖] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย
พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๑๐
[๕๒๗] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรมแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นปีติสหคตธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ สุตะ ฯลฯ จาคะ ฯลฯ ปัญญา แล้วให้ ทาน สมาทานศีล ก่อมานะ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความ ปรารถนาแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นปีติสหคตธรรมให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลย่อมถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้ กล่าวเท็จ กล่าวส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ตัดช่องย่องเบา ลอบขึ้นไปลักทรัพย์ ปล้นบ้านหลังหนึ่ง ปล้นตามทาง ผิดภรรยาผู้อื่น ฆ่าคน ในหมู่บ้าน ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ที่เป็นปีติสหคตธรรม แก่ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๒๘] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม แล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ด้วยจิตที่เป็น สุขสหคตธรรม บุคคลย่อมถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้ ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นสุข- *สหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสุข- *สหคตธรรม แก่ความปรารถนา แก่กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๒๙] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็น อุเบกขาสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอุเบกขา- *สหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๐] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ความปรารถนา ฯลฯ แล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม และสุขสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๑] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณ ที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรม แก่ความปรารถนา แก่กายวิญญาณที่เป็น สุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๒] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณ ที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๓] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณ ที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๔] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณ ที่เป็นสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และ สุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดย อุปนิสสยปัจจัย [๕๓๕] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๖] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๗] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นสุข- *สหคตธรรม แก่ความปรารถนา แก่กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๘] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม และสุขสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๓๙] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา แล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปีติ- *สหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๔๐] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา แล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นสุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัย แก่ศรัทธาที่เป็นสุขสหคตธรรม แก่ความปรารถนา แก่กายวิญญาณที่เป็นสุขสหคตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย [๕๔๑] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็น อุเบกขาสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๔๒] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมแล้วให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ถือทิฏฐิ ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบสถกรรม ฌานที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม บุคคลย่อมถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้ กล่าวเท็จ กล่าวส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ตัดช่อง ย่องเบา ลอบขึ้นไปลักทรัพย์ ปล้นบ้านหลังหนึ่ง ปล้นตามทาง ผิดภรรยาผู้อื่น ฆ่าคนในหมู่บ้าน ฆ่าคนในนิคม ด้วยจิตที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธาที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๔๓] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปีติสหคตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภูที่เป็นปีติสหคตธรรม อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๕๔๔] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสุขสหคตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภูที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย อนุโลมที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่โวทานที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย โคตรภูที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสุขสหคตธรรม โวทานที่เป็น ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย [๕๔๕] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย ฯลฯ โวทานที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคต- *ธรรม โดยอาเสวนปัจจัย [๕๔๖] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย ฯลฯ
พึงดูปีตินัย แล้วกระทำไปตามนั้น
[๕๔๗] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย โวทานที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มรรคที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย [๕๔๘] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย ฯลฯ [๕๔๙] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปีติสหคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๕๕๐] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสุขสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสุขสหคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๕๕๑] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๕๕๒] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๕๕๓] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม ฯลฯ
พึงดูการนับทั้ง ๔ แล้วกระทำไปตามนั้น
[๕๕๔] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอุเบกขาสหคตธรรม ฯลฯ ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม ฯลฯ
พึงกระทำทั้ง ๔ นัย
ผู้มีปัญญาพึงแจก ปีติสหคตธรรม
[๕๕๕] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปาก- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ หัวข้อปัจจัยทั้ง ๑๐ พึงให้พิสดาร เหมือนกับ เหตุปัจจัยในปฏิจจวาร [๕๕๖] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย
หัวข้อปัจจัยทั้ง ๑๐ พึงให้พิสดาร
เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย
นัตถิปัจจัยก็ดี วิคตปัจจัยก็ดี เหมือนกับ อนันตรปัจจัย
เป็นปัจจัยโดย อวิคตปัจจัย
[๕๕๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๖ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑๖ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๐ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๐ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๐ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๐ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๐ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๖ ในวิปากปัจจัย มี " ๑๐ ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตปัจจัย ในอัตถิปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑๖ ในวิคตปัจจัย มี " ๑๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๐
ผู้มีปัญญาพึงนับคล้อยตาม กุสลัตติกอนุโลม
อนุโลม จบ.
[๕๕๘] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๕๙] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๐] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๖๑] ปีติสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๒] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๓] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๔] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๕] สุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๖] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย กัมมปัจจัย [๕๖๗] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๘] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๖๙] อุเบกขาสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๗๐] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๗๑] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขสหคตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๗๒] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๕๗๓] ปีติสหคตธรรม และสุขสหคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปีติสหคตธรรม และ สุขสหคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอารัมมณปัจจัย [๕๗๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีวาระ ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๑๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๑๖
ผู้มีปัญญาพึงนับปัจจนียะ
ปัจจนียะ จบ.
[๕๗๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐
ผู้มีปัญญาพึงนับอนุโลมปัจจนียะ
อนุโลมปัจจนียะ จบ.
[๕๗๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๖ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๐ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๖ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐
ผู้มีปัญญาพึงนับปัจจนียานุโลม
ปัจจนียานุโลม จบ
ปีติตติกะ ที่ ๗ จบ
-----------------------------------------------------
ทัสสนัตติกะ ปฏิจจวาร
[๕๗๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปตาตัพพธรรม ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัย ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ [๕๗๘] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัย ภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ [๕๗๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๒ อาศัย มหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๕๘๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๕๘๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๕๘๒] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ [๕๘๓] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ [๕๘๔] เนวทัสสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ [๕๘๕] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย มี ๓ นัย ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติ- *ปัจจัย มี ๓ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๕๘๖] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย [๕๘๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย มี ๓ นัย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เนวทัสสเนน ฯลฯ คือ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ๑ ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุ- *สมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๕๘๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย มี ๑ นัย ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๑ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูต- *รูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ พาหิรรูป ฯลฯ อาหาร- *สมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ [๕๘๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ นิสสยปัจจัย เหมือนกับเหตุปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย เพราะปุเรชาตปัจจัย มี ๓ นัย ปฏิสนธิไม่มี เพราะอาเสวนปัจจัย วิปากปฏิสนธิไม่มี เพราะกัมมปัจจัย อัชฌัตติกรูป และส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ทั้งหลายมีบริบูรณ์ [๕๙๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบาก ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๕๙๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อาหารปัจจัย อัชฌัตติกมหาภูตรูป และอาหารสมุฏฐานรูปมีบริบูรณ์ เพราะอินทริยปัจจัย เหมือนกับกัมมปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เหมือนกับเหตุปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เหมือนกับวิปปยุตตปัจจัย ในกุสลัตติกะ เพราะอัตถิปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย ฯลฯ เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๕๙๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มีวาระ ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
บทเหล่านี้ผู้มีปัญญาพึงนับอนุโลม
อนุโลม จบ
[๕๙๓] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๕๙๔] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๕๙๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็น อุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐาน- *รูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ กฏัตตารูปที่เป็น อุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๕๙๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม [๕๙๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม [๕๙๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหาร- *สมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๕๙๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๖๐๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๐๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย
พึงทำให้บริบูรณ์ เหมือนกับเหตุปัจจัย
ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะนิสสยปัจจัย ฯลฯ [๖๐๒] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป อาหาร- *สมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๐๓] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม [๖๐๔] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐาน- *รูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๖๐๕] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะวิปากปัจจัย เหมือนกับ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ ปฏิสนธิไม่มี [๖๐๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๖๐๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๐๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหคตด้วยปัญจวิญญาณ ขันธ์ ๒ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๖๐๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๖๑๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่เพราะสัมปยุตตปัจจัย เหมือนกับ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย [๖๑๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๖๑๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย เหมือนกับ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย [๖๑๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
รู้แล้ว พึงนับ
ปัจจนียะ จบ
[๖๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
ผู้มีปัญญา พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๖๑๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
ผู้มีปัญญา พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
-----------------------------------------------------
สหชาตวาร
[๖๑๖] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดร่วมกับทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ เกิดร่วมกับขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดร่วมกับ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๖๑๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย มี ๓ นัย ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๖๑๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัย วัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๑๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสส- *เนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๒๐] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัย ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๖๒๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๖๒๒] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม [๖๒๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๖๒๔] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ [๖๒๕] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ [๖๒๖] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม ปฏิสนธิไม่มี เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เหมือนกับเพราะ อารัมมณปัจจัย [๖๒๗] ฯลฯ เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา ตัพพธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหา- *ภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัย หทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย
หัวข้อปัจจัยที่เหลือ เหมือนกับเหตุปัจจัย
[๖๒๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี เพราะ อาเสวนปัจจัย ปฏิสนธิ และวิบากไม่มี เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริย- *ปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตต- *ปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๖๒๙] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มีวาระ ๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๗ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๑๗ ในฌานปัจจัย มี " ๑๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๖๓๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๖๓๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๖๓๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ [๖๓๓] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ หทัยวัตถุ [๖๓๔] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ หทัยวัตถุ [๖๓๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม [๖๓๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม [๖๓๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ ธรรม หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๖๓๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูต- *รูปทั้งหลาย [๖๓๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมและมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๖๔๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย [๖๔๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม [๖๔๒] ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมและมหาภูตรูป ทั้งหลาย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมและมหาภูตรูป ทั้งหลาย ทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย ฯลฯ [๖๔๓] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพธรรม ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๖๔๔] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสส- *เนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหา ตัพพธรรม และหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนา- *ยปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม และหทัยวัตถุ [๖๔๕] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะวิปากปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม ปฏิสนธิไม่มี ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐาน ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐาน ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหา ตัพพธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๖๔๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
ปัจจนียะ จบ
[๖๔๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๖๔๘] ในอารัมมณปัจจัยกับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร จบ
นิสสยวาร พึงกระทำเหมือนกับปัจจยวาร
-----------------------------------------------------
สังสัฏฐวาร
[๖๔๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ขันธ์ ๒ คลุกเคล้า กับขันธ์ ๒ [๖๕๐] ภาวนายปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม [๖๕๑] เนวทัสสเนนนภาวนาปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม [๖๕๒] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย ทุกๆ บท พึงแจกให้พิสดารอย่างละ ๓ ละ ๓ [๖๕๓] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มีวาระ ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
อนุโลม จบ
[๖๕๔] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๖๕๕] ภาวนายปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๖๕๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนา- *ยปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๖๕๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย เนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ นัย [๖๕๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๖๕๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๖๖๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
ปัจจนียานุโลม จบ
สังสัฏฐวาร จบ
-----------------------------------------------------
สัมปยุตตวาร
[๖๖๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม ประกอบกับทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๖๖๒] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยเหตุ ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๓] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๔] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๕] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยเหตุ ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๖] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม ฯลฯ คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๗] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรมเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๖๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เพราะปรารภราคะนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้นทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งทิฏฐิ เพราะปรารภทิฏฐินั้นราคะที่เป็นทัสส- *เนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภวิจิกิจฉา วิจิกิจฉาเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรมเกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมโทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพธรรมเกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น [๖๗๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม รู้ซึ่ง กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยความเป็นของไม่ เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยเจโต ปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณแก่บุพเพนิวา สานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๖๗๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เพราะ ปรารภราคะนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น อุทธัจจะเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นภาว- *นายปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น เพราะปรารภอุทธัจจะ อุทธัจจะเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น อุทธัจจะเกิดขึ้น [๖๗๒] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เพราะ ปรารภราคะนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น เพราะปรารภอุทธัจจะ ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม โทมนัสที่เป็นทัสสเนน ปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น [๖๗๓] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณาเห็นกิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม โดยความเป็นของไม่ เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมโดยเจโตปริย- *ญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณแก่บุพเพนิวาสา นุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๖๗๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณา กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ออกจากฌาน พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อวัชชนะ โดยอารัมมณ ปัจจัย บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์โดยความเป็น อนัตตา โสตะ ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ หทัยวัตถุ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ ฯลฯ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยเจโตปริญญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อกิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย โผฏฐัพพาย- *ตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๖๗๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉาเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศล กรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว ย่อมยินดีซึ่งฌานนั้น เพราะปรารภฌานนั้น ราคะที่เป็นทัสส เนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ เมื่อฌานเสื่อมแล้ว โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความ เดือดร้อน บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งจักขุ โสตะ ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ หทัยวัตถุ บุคคล ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เพราะ ปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ [๖๗๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดยิ่งซึ่ง กุศลธรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น ราคะเกิดขึ้น อุทธัจจะเกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นภาวานย- *ปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพ เกิดขึ้น อุทธัจจะเกิดขึ้นโทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น [๖๗๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อธิปปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งเพราะกระทำราคะนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น บุคคลกระทำทิฏฐิให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำทิฏฐินั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๖๗๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๖๗๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนว- *ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายโดยอธิปติปัจจัย [๖๘๐] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งเพราะกระทำราคะนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๖๘๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพ- *ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำราคะนั้นให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น [๖๘๒] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๖๘๓] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๖๘๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณากระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๖๘๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถ กรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิด ขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น กระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ หทัยวัตถุ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรมให้ หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำหทัยวัตถุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น [๖๘๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถ- *กรรมแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมเกิดขึ้น [๖๘๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้ง หลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๖๘๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตร ปัจจัย [๖๘๙] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๖๙๐] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตร ปัจจัย [๖๙๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนา ยปหาตัพพธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่เนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่ มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผล สมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๖๙๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม ฯลฯ คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยอนันตร ปัจจัย [๖๙๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอนันตร ปัจจัย [๖๙๔] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย สมนันตรปัจจัย
เหมือนกับ อนันตรปัจจัย
[๖๙๕] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย สหชาตปัจจัย มี ๓ นัย [๖๙๖] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๖๙๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนา ยปหาตัพพธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยสหชาตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๖๙๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๖๙๙] ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๗๐๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ [๗๐๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ [๗๐๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนา ยปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๗๐๓] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย นิสสยปัจจัย มี ๓ นัย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขายตนะ เป็น ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยกายวิญญาณ หทัยวัตถุ ฯลฯ [๗๐๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยนิสสย ปัจจัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม โดยนิสสย ปัจจัย [๗๐๕] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๗๐๖] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๗๐๗] ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย นิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๗๐๘] ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๗๐๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรมแล้ว ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม แก่โทสะ แก่โมหะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นทัสสเนนปหา ตัพพธรรมแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๗๑๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๒] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม แล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม แก่โทสะ แก่โมหะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ฉันทราคะในภัณฑะของตน เป็นปัจจัยแก่ฉันทราคะในภัณฑะของผู้อื่น โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย ฉันทราคะในสิ่งของที่หวงแหนของตน เป็นปัจจัยแก่ฉันทราคะในสิ่งของที่หวงแหนของ ผู้อื่น โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๓] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม แล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ แล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผล สมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ฯลฯ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม แก่โทสะ แก่โมหะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ก่อมานะ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา โสตะ ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนาปหา- *ตัพพธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๗๑๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งจักขุ เพราะ ปรารภจักขุนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภหทัยวัตถุนั้น ราคะที่เป็น ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพธรรม เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๗๑๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งจักขุ เพราะ ปรารภจักขุนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็น ภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ กาย รูป ฯลฯ โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นภาวนาย- *ปหาตัพพธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๗๒๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๗๒๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๗๒๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๗๒๓] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๗๒๔] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๗๒๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัย แก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๗๒๖] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย [๗๒๗] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก- *ขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๗๒๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๗๒๙] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย [๗๓๐] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย [๗๓๑] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๗๓๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๗๓๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๗๓๔] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อาหารปัจจัย คือ ฯลฯ กวฬิงการาหาร มีหัวข้อปัจจัย ๗ ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ และรูปชีวิตินทรีย์ มีหัวข้อปัจจัย ๗ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตต- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๗๓๕] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต
แม้บทนี้ก็เหมือนกับทัสสเนนะ
[๗๓๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๗๓๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนน- *ปหาตัพพธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๗๓๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนาย- *ปหาตัพพ โดยวิปปยุตตปัจจัย [๗๓๙] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๗๔๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๗๔๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย
พึงกระทำเหมือนกับทัสสเนนะ
[๗๔๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ สำหรับอสัญญสัตว์ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา โสตะ ฯลฯ กาย รูป ฯลฯ โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุโดยความเป็น ของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ รูปชีวิติน- *ทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย [๗๔๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งจักขุ เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดีซึ่งหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๗๔๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งจักขุ เพราะ ปรารภจักขุนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น โทมนัส ที่เป็นภาวนาย- *ปหาตัพพธรรม ฯลฯ โสตะ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๗๔๕] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ [๗๔๖] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรม และกวฬิง- *การาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพธรรมและรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๗๔๗] ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ
พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒
[๗๔๘] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย นัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อวิคตปัจจัย [๗๔๙] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๘ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๘ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๗ ในฌานปัจจัย มี " ๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๗๕๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๕๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๗๕๒] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๗๕๓] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๕๔] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๕๕] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๗๕๖] ภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๗๕๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาว- *นายปหาตัพพธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย [๗๕๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาต- *ปัจจัย [๗๕๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๗๖๐] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๗๖๑] ทัสสเนนปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ [๗๖๒] ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม เป็น ปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๗๖๓] ภาวนายปหาตัพพธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ [๗๖๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มีวาระ ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๘ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๘ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๘
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๗๖๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๗๖๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๘ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ทัสสนัตติกะ ที่ ๘ จบ
-----------------------------------------------------
ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๗๖๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิด ขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุก- *ธรรม อาศัยขันธ์ ๒ [๗๖๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ขันธ์ ๒ [๗๖๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลาย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๗๗๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปตัพพเหตุกธรรม อาศัย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ ฯลฯ [๗๗๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๗๗๒] ทัสสเนนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ขันธ์ ๒ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๒ [๗๗๓] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย พึงจำแนกเหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม [๗๗๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ [๗๗๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๗๗๖] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๗๗๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ [๗๗๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ [๗๗๙] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิด ขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับเหตุปัจจัย ฯลฯ อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับเหตุปัจจัย
ในอธิปติปัจจัย โมหะไม่มี
[๗๘๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๗๘๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๗๘๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม มหาภูตรูปทั้งหลาย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย [๗๘๓] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิด ขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ ๒ ขันธ์ ๓ และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๗๘๔] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิด ขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ ขันธ์ ๓ และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๗๘๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูต- *รูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย ฯลฯ พึงกระทำเหมือนกับเหตุปัจจัย [๗๘๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตต- *ปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๗๘๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๑๗ ในฌานปัจจัย มี " ๑๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๗๘๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๗๘๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๗๙๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๗๙๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม [๗๙๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ฯลฯ [๗๙๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนนภาวนายปหา- ตัพพเหตุกธรรม หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย ฯลฯ [๗๙๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ [๗๙๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๗๙๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับ สหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญ- *มัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย [๗๙๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เหมือนกับทัสสเนน มี ๓ นัย [๗๙๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๗๙๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ [๘๐๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย
แม้เหล่านี้ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒
[๘๐๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม [๘๐๒] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม [๘๐๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐาน- *รูป ฯลฯ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๐๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ [๘๐๕] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๘๐๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี [๘๐๗] เนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย [๘๐๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๘๐๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย [๘๑๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วน พวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๑๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ อาศัยขันธ์ ๒ [๘๑๒] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย
[๘๑๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๘๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๘๑๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
-----------------------------------------------------
ปัจจยวาร
[๘๑๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ มี ๑ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๘๑๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ [๘๑๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และมหาภูตรูปทั้งหลาย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ [๘๑๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๘๒๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย ในปฏิจจวาร ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๘๒๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ [๘๒๒] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และโมหะ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ [๘๒๓] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ หทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และ ฯลฯ [๘๒๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย มี ๑ นัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๘๒๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรมและมหาภูตรูป ทั้งหลาย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูต- *รูปทั้งหลาย [๘๒๖] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ มี ๓ นัย เหมือนกับทัสสเนนะ เพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย [๘๒๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนปหาตัพพเหตุกธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๓ และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับทัสสเนน [๘๒๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูต- *รูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ อาศัย กายาตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ [๘๒๙] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหา- *ภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ [๘๓๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย มี ๓ นัย [๘๓๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัยเพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทริย- *ปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ [๘๓๒] ฯลฯ เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา โมหะ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ทั้งหลาย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๓ และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐาน- *รูป ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๘๓๓] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับทัสสเนน [๘๓๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ฯลฯ อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ จิตตสมุฏฐานรูป โมหะ เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ ขันธ์ ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูต- *รูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เพราะ วิปปยุตตปัจจัย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา หทัยวัตถุ เพราะ วิปปยุตตปัจจัย ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เพราะ วิปปยุตตปัจจัย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ หทัยวัตถุ เพราะ วิปปยุตตปัจจัย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป โมหะ เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ภาวนาย อาศัยหทัยวัตถุ ฯลฯ เหมือนกับทัสสเนน [๘๓๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรมและมหาภูตรูป ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ เพราะวิปปยุตตปัจจัย โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ทั้งหลาย เพราะวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ หทัยวัตถุ และโมหะ ขันธ์ ๒ และ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป ขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ เพราะวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ และ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะวิปปยุตตปัจจัย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับทัสสเนน ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๘๓๖] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๑๗ ในฌานปัจจัย มี " ๑๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๑๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๘๓๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๘๓๘] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๓๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พึงกระทำให้เต็ม จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ซึ่ง เป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ [๘๔๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ หทัยวัตถุ [๘๔๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ หทัยวัตถุ [๘๔๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม [๘๔๓] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม [๘๔๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหาร- *สมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๘๔๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ [๘๔๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๘๔๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญ- *มัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย เหมือนกับปัจจนียะ ในปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๑๓ ไม่มี แตกต่างกัน ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย [๘๔๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม [๘๔๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม [๘๕๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตเจตนา อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตเจตนา อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๕๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นทัสสเนน- *ปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ [๘๕๒] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๘๕๓] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม อาศัยทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย พึงกระทำให้เต็ม ปฏิสนธิ ไม่มี ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย เหมือนกับที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย ในปัจจนียะ แห่งปฏิจจวาร ไม่มีแตกต่างกัน มีหัวข้อ ปัจจัย ๑๑ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๘๕๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๘๕๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมมันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๘๕๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร จบ
นิสสยวาร เหมือนกับปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๘๕๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ [๘๕๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ [๘๕๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๖๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๘๖๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๘๖๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ขันธ์ ๒ ฯลฯ คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๘๖๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๖๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะคลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ และโมหะ [๘๖๕] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๘๖๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ คลุกเคล้ากับภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๑ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย [๘๖๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสย- *ปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัย เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทริยปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมป- *ยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๘๖๘] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๑ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๑ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๑ ในอินทริยปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในฌานปัจจัย มี " ๑๑ ในมัคคปัจจัย มี " ๑๑ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๑ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๘๖๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา [๘๗๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๘๗๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับเนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๘๗๒] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย เหมือน กับสหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย มี ๗ นัย ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ไม่ใช่ เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๘๗๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๘๗๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๘๗๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๘๗๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ฯลฯ [๘๗๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๘๗๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๑ นัย [๘๗๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๘๘๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๘๘๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๘๘๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๘๘๓] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เพราะปรารภราคะนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งทิฏฐิ เพราะปรารภทิฏฐินั้น ราคะที่เป็นทัสส- *เนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภวิจิกิจฉา วิจิกิจฉา เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น [๘๘๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ที่ ข่มแล้ว ฯลฯ ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ และโมหะ โดยอารัมมณปัจจัย [๘๘๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น [๘๘๖] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เพราะปรารภราคะนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น โทมนัส ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภอุทธัจจะ อุทธัจจะ เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โทมนัสที่เป็นภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น [๘๘๗] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เพราะปรารภราคะนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภอุทธัจจะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา เกิดขึ้น [๘๘๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้วที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม กิเลส ที่ข่มแล้ว ฯลฯ ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคตญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ และโมหะ โดยอารัมมณปัจจัย [๘๘๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น [๘๙๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น [๘๙๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พึงให้พิสดารเหมือนกับ ทัสสนัตติกะ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ และโมหะ โดยอารัมมณปัจจัย [๘๙๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ เหมือนกับ ทัสสนัตติกะ [๘๙๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ เหมือนกับ ทัสสนัตติกะ [๘๙๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภจักขุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนาย- *ปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น [๘๙๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนน- *นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น [๘๙๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น [๘๙๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และโมหะ เกิดขึ้น [๘๙๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น [๘๙๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น [๙๐๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น [๙๐๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และโมหะ เกิดขึ้น [๙๐๒] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น [๙๐๓] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ฯลฯ คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น [๙๐๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย เหมือนกับทัสสนัตติกะ มีหัวข้อปัจจัย [๙๐๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๙๐๖] ทัสสเนนปาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่เกิด หลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๐๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๐๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๙๐๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดย อนันตรปัจจัย [๙๑๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน ฯลฯ เนวสัญญานา- *สัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉาที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสส- *เนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่เกิดหลังๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉาที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะเป็นปัจจัยแก่ วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย [๙๑๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย มี ๓ นัย มีบาลี [๙๒๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในปฏิจจวาร เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในปฏิจจวาร เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย ฯลฯ เหมือนกับนิสสยวาร ในปัจจยวาร ที่ต่างกัน ไม่มี [๙๒๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่างคือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรมแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยโทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความ ปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม แก่ความปรารถนา โดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๒๒] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพ- *เหตุกธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๒๓] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๒๔] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ โทสะ โมหะ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๒๕] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรมแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่ เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม แก่โทสะ โมหะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดย อุปนิสสยปัจจัย ฉันทราคะในภัณฑะของตน เป็นปัจจัยแก่ฉันทราคะในภัณฑะของผู้อื่น โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย ฉันทราคะในของที่ตนหวงแหน เป็นปัจจัยแก่ฉันทราคะในของที่คนอื่นหวงแหน โดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๒๖] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๒๗] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๒๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๒๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ศรัทธา ฯลฯ โมหะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ผลสมาบัติ และโมหะ โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๙๓๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ฯลฯ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ฯลฯ ก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยโมหะ ฯลฯ ก่อมานะ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย เสนาสนะ ฯลฯ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๓๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ และโมหะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๓๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๗] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๓๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ผลสมาบัติ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๔๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๔๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๙๔๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โสตะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ ฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ ฯลฯ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๙๔๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คืออารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัย วัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๙๔๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง หทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น อุทธัจจะ เกิดขึ้น โทมนัสที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๙๔๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๙๔๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๙๔๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๙๔๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๙๔๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๙๕๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๙๕๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๙๕๒] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๙๕๓] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่เกิด หลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๙๕๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอาเสวนปัจจัย [๙๕๕] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม พวกนี้ ๓ นัย เนวทัสสเนนนภาวนาย ฯลฯ ในอาเสวนมูลกะ วุฏฐานก็ดี อาวัชชนะก็ดี พึงทิ้งเสีย หัวข้อปัจจัย ๑๗ พึงใส่ให้เต็ม เหมือนกับอนันตรปัจจัย [๙๕๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๕๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๕๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๕๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๖๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๖๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๖๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๖๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ทั้งปวัตติและปฏิสนธิ วิบากขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ [๙๖๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย [๙๖๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย [๙๖๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย เหมือนกับ ทัสสเนน [๙๖๗] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ [๙๖๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับอาหารปัจจัย โมหะต้องนับเข้าด้วย ภาวนาย ฯลฯ มี ๓ นัย [๙๖๙] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ ฯลฯ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย พวกนี้พึงกระทำให้เป็น สเหตุกธรรม เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย เหมือนกับสัมปยุตตวาร ๑- ในปฏิจจวาร @๑. น่าจะเป็นสัมปยุตตปัจจัย [๙๗๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต เหมือนกับทัสสนัตติกะ [๙๗๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต เหมือนกับทัสสนัตติกะ [๙๗๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนน- *นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต เหมือนกับทัสสนัตติกะ ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน [๙๗๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม [๙๗๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นภาวนาย- ปหาตัพพเหตุกธรรม [๙๗๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา และโมหะ โดยวิปปยุตตปัจจัย [๙๗๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ โดยวิปปยุตตปัจจัย [๙๗๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะเป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๙๗๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและโมหะ เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๙๗๙] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ [๙๘๐] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เป็นปัจจัยแก่โมหะ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๙๘๑] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๙๘๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนน- *ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ ปุเรชาต สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนน- *นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัย แก่กายนี้ รูปชีวิตนทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย [๙๘๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนน- *ปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย [๙๘๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งจักขุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย [๙๘๕] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่เพราะปรารภจักขุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ โมหะ เกิดขึ้น เพราะปรารภหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย [๙๘๖] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่เพราะปรารภจักขุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น เพราะปรารภหทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย [๙๘๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๙๘๘] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่โมหะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะ เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และ รูปชีวิตนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๙๘๙] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ โมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และ โมหะ ฯลฯ [๙๙๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนาย ฯลฯ พึงแจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๓ โดยนัยแห่งทัสสเนน พึง กำหนดเอาอุทธัจจะ เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๙๙๑] เหตุในปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๗ ในฌานปัจจัย มี " ๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๑๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๙๙๒] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๙๓] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๙๙๔] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาต ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๙๕] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๙๖] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๙๗] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุป- *นิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย [๙๙๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๙๙๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๐๐๐] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนน- *นภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๑๐๐๑] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๐๐๒] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๐๐๓] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๐๐๔] เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาต- *ปัจจัย [๑๐๐๕] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย ในข้อนี้ สหชาตปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย เจือปนกันมีอยู่ พึงกระทำตามในบาลี เพื่อ ที่จะนับ พึงใคร่ครวญแล้วจึงนับ [๑๐๐๖] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย แม้ในข้อนี้ เพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย ก็มีอยู่ แต่ในบาลีไม่มี เมื่อจะนับ พึงใคร่ครวญแล้วจึงนับ [๑๐๐๗] ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดย อุปนิสสยปัจจัย ในข้อนี้ สหชาตปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัยเจือปนด้วยปัจจัยใดมีอยู่ ปัจจัย นั้นก็ไม่พึงกระทำตามในบาลี [๑๐๐๘] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๐๐๙] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย แม้ในข้อนี้ สหชาตปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัยเจือปนด้วยปัจจัยใดมีอยู่ [๑๐๑๐] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม ฯลฯ มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย แม้ในข้อนี้ อารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ก็มี [๑๐๑๑] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหา- *ตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๐๑๒] ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม และเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพ- *เหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภาวนายปหาตัพพเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย แม้ในข้อนี้ก็มี สหชาตปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย หัวข้อปัจจัยนั้นใดที่ไม่ได้เขียนไว้ หัวข้อ ปัจจัยเหล่านั้นเมื่อนับในบาลี ย่อมไม่เสมอกันโดยพยัญชนะ หัวข้อปัจจัยที่ไม่ได้เขียนไว้ในบาลี เหล่านั้น จำนวนปรากฏแล้ว ถ้าเกิดสงสัย พึงพิจารณาดูในอัตถิปัจจัย ในอนุโลม [๑๐๑๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มีวาระ ๒๑
ทั้งหมด พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๐๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๐๑๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๗ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกัตติกะ ที่ ๙ จบ
-----------------------------------------------------
อาจยคามิตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๐๑๖] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยกาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ [๑๐๑๗] อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ [๑๐๑๘] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๑๙] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอปจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๒๐] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๐๒๑] อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๐๒๒] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ [๑๐๒๓] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ อปจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๑ นัย ปฏิสนธิ ไม่มี คือ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอปจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๒๔] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะอนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหมด เพราะ อัญญมัญญปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปก็ดี กฏัตตารูปก็ดี อุปาทารูปก็ดี ไม่มี เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๐๒๕] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มีวาระ ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๐๒๖] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๐๒๗] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูป ๑ [๑๐๒๘] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ- *อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม [๑๐๒๙] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๐๓๐] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๓๑] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจย- *คามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอปจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๓๒] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูต- *รูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๐๓๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามิ- *นาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรมและมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๓๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะ อุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย
มีหัวข้อปัจจัย ๗ เหมือนกับ กุสลัตติกะ
ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย [๑๐๓๕] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย มี ๓ นัย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอาเสวนปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหมด [๑๐๓๖] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามิ- *นาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอปจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๓๗] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๐๓๘] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปาก- *ปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม ปฏิสนธิ ไม่มี ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ นัย ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๐๓๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๐๔๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๐๔๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๑๐๔๒] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยอปจยคามิธรรม มี ๓ นัย [๑๐๔๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ อาศัย มหาภูตรูป ๑ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยมหาภูต- *รูปทั้งหลาย [๑๐๔๔] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๑๐๔๕] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ฯลฯ อาศัยอปจยคามิธรรม มี ๑ นัย [๑๐๔๖] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัย- *หทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๐๔๗] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๐๔๘] อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอปจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๐๔๙] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย อปจยคามิธรรม มี ๓ นัย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามิ- *นาปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ แม้ในข้อนี้ ปัจจัยสงเคราะห์ก็เหมือนกับเหตุปัจจัย [๑๐๕๐] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะอนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย มี ๓ นัย อปจยคามิธรรม มี ๓ นัย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย ฯลฯ
พึงกระทำปัจจัยสงเคราะห์ทั้งหลาย
[๑๐๕๑] อปจยคามิธรรม ฯลฯ เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๐๕๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๗ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มี " ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มีวาระ ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๐๕๓] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคา- *มินาปจยคามิธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ [๑๐๕๔] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและหทัยวัตถุ [๑๐๕๕] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย ฯลฯ เหมือนกับ ปฏิจจวาร [๑๐๕๖] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย มี ๓ นัย อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูต- *รูปทั้งหลาย [๑๐๕๗] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๕๘] อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม และ หทัยวัตถุ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๗ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม [๑๐๕๙] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี ๓ นัย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ อาศัยจักขายตนะ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูต- *รูปทั้งหลาย [๑๐๖๐] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ๒ และ หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอาจยคามิธรรมและมหาภูตรูปทั้งหลาย เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอปจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๖๑] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามิ- *นาปจยคามิธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ เจตนาที่ เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๐๖๒] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรมและหทัยวัตถุ [๑๐๖๓] อปจยคามิธรรม อาศัยอปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรมและหทัยวัตถุ [๑๐๖๔] อาจยคามิธรรม อาศัยอาจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย พึงกระทำให้เต็ม ในปฏิสนธิขณะ ไม่มี [๑๐๖๕] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม อาศัยเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๐๖๖] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๐๖๗] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วน พวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายายตนะ ฯลฯ [๑๐๖๘] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ เนวาจยคามินาปจยคามิ ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ อาศัยกายายตนะ เนวาจคามิ ฯลฯ ซึ่งเป็น อเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร มี ๓ นัย ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๐๖๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจะนียะ จบ
[๑๐๗๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๐๗๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๔ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๔ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๔ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร จบบริบูรณ์
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๑๐๗๒] อาจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ [๑๐๗๓] อปจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับอปจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๐๗๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๐๗๕] อาจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณ- *ปัจจัย เพราะ อธิปติปัจจัย เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๐๗๖] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย ในอธิปติปัจจัย ในอนันตรปัจจัย ในสมนันตรปัจจัย ในสหชาตปัจจัย ในอัญญมัญญปัจจัย ในนิสสยปัจจัย ในอุปนิสสยปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย ในกัมมปัจจัย มีวาระ ๓ ทั้งหมด ในวิปากปัจจัย มี " ในอาหารปัจจัย มี " ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย ในวิปปยุตตปัจจัย ในอัตถิปัจจัย ในนัตถิปัจจัย ในวิคตปัจจัย ในอวิคตปัจจัย มีวาระ ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๐๗๗] อาจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๐๗๘] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๐๗๙] อาจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับอาจยคามิธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๐๘๐] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม คลุกเคล้ากับเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๑๐๘๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๐๘๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๐๘๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ทั้งหมด ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สังสัฏฐวาร จบ
สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๑๐๘๔] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย [๑๐๘๕] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย [๑๐๘๖] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๐๘๗] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๑๐๘๘] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๐๘๙] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว พิจารณา ฌาน พระเสกขบุคคลทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลส ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน พระเสกขบุคคล หรือ ปุถุชน พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอาจยคามิธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนกุศล เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณัญจายตนกุศล โดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนกุศล เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนกุศล ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๐] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระอรหันต์พิจารณากิเลสที่ละแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาล- *ก่อน บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอาจยคามิธรรม โดยเจโตปริยญาณ พระเสกขบุคคล หรือ ปุถุชน พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เมื่ออกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบากเกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เพราะ ปรารภขันธ์นั้น ราคะเกิดขึ้น โทมนัสเกิดขึ้น เมื่อกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบากเกิดขึ้น อากาสานัญจายตนกุศล เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนวิบาก และกิริยา โดย อารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนกุศล เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนวิบาก และกิริยา โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๑] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระเสกขบุคคลทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอปจยคามิธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๒] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระอรหันต์ออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอปจยคามิธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอรหันต์พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอรหันต์พิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย ความเป็นอนัตตา โสตะ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนกิริยา เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนกิริยา โดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนกิริยา เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยา รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพาตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระเสกขบุคคลทั้งหลายพิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน โดยอารัมมณปัจจัย พระเสกขบุคคล หรือ ปุถุชน พิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัสเกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๕] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอารัมมณปัจจัย [๑๐๙๖] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา บุคคลกระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้วพิจารณา บุคคลออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๐๙๗] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๐๙๘] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๐๙๙] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๑๐๐] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่พระเสกขบุคคลทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๑๐๑] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยอธิปติ ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่พระอรหันต์ออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย ฯลฯ [๑๑๐๒] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๑๐๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอรหันต์กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ผล โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๑๐๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระเสกขบุคคลทั้งหลายกระทำผลให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน โดยอธิปติปัจจัย บุคคลกระทำจักขุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรมให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ [๑๑๐๕] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอธิปติ ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอธิปติ- *ปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย [๑๑๐๖] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อาจยคามิธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอนันตรปัจจัย [๑๑๐๗] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม ฯลฯ คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอนันตรปัจจัย [๑๑๐๘] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมของพระเสกขบุคคล เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออก จากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๑๐๙] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล โดยอนันตรปัจจัย [๑๑๑๐] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เกิดหลังๆ ภวังค์ เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ กิริยา เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ อนุโลมของ พระอรหันต์ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยาของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๑๑๑] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม ฯลฯ คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๑๑๒] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัย ในสหชาตปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัยในปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย เหมือนกับอัญญมัญญปัจจัยในปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในนิสสยปัจจัย เหมือนกับนิสสยปัจจัยในปัจจยวาร แม้ทั้ง ๔ ปัจจัย ปัจจัย สงเคราะห์ที่ต่างกันไม่มี มีหัวข้อปัจจัย ๑๓ [๑๑๑๓] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอาจยคามิธรรมแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ก่อนมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอาจยคามิธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นอาจยคามิธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธาที่เป็นอาจยคามิธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ปฐมฌาน โดยอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ บริกรรม แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย ปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน ฯลฯ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญา- *ยตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๑๔] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อันัตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บริกรรมแห่งปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรค บริกรรมแห่งจตุตถมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๑๕] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นอาจยคามิธรรม แล้วกระทำตนให้เดือดร้อน ให้เร่าร้อน ย่อมได้ทุกข์ มีการแสวงหาเป็นมูล บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอาจยคามิธรรม ปัญญา ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา แล้ว กระทำตนให้เดือนร้อน ให้เร่าร้อน ย่อมได้รับทุกข์ มีการแสวงหาเป็นมูล ศรัทธาที่เป็นอาจยคามิธรรม ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัย แค่สุขกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย กุศล อกุศลกรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๑๖] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๑๗] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระเสกขบุคคลทั้งหลาย เข้าไปอาศัยมรรคแล้ว ยังสมาบัติที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว บุคคลพิจารณาเห็นสังขาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความ เป็นอนัตตา มรรคของพระเสกขบุคคล เป็นปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทา แก่ธัมมปฏิสัมภิทา แก่นิรุตติ- *ปฏิสัมภิทา แก่ปฏภาณปฏิสัมภิทา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๑๘] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระอรหันต์เข้าไปอาศศัยมรรคแล้ว ยังกิริยาสมาบัติ ที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ฐานาฐานโกสัลละ โดย อุปนิสสยปัจจัย มรรค เป็นปัจจัยแก่ผลสมบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๑๙] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยสุขทางกาย แล้วกระทำตนให้ เดือดร้อน ให้เร่าร้อน ย่อมได้ทุกข์ มีการแสวงหาเป็นมูล บุคคลเข้าไปอาศัยทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ แล้วกระทำ ตนให้เดือดร้อน ให้เร่าร้อน สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัย แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย พระอรหันต์เข้าไปอาศัยสุขทางกายแล้ว ยังกิริยาสมาบัติที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ฯลฯ พิจารณาเห็นแจ้ง เข้าไปอาศัยทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ พิจารณาเห็นแจ้ง [๑๑๒๐] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยสุขทางกาย ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอาจยคามิธรรม แก่ปัญญา แก่ ราคะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๒๑] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสย ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยสุขทางกายแล้วยังมรรคให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ ยังมรรคให้เกิดขึ้น สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๑๑๒๒] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ พระอรหันต์พิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๑๒๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่พระเสกขบุคคล หรือปุถุชนพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะเกิดขึ้น โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๑๒๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อปจยคามิธรรม โดยปุเรชาติปัจจัย [๑๑๒๕] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๑๒๖] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรมที่เกิดขึ้นภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๑๒๗] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กาย นี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๑๒๘] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อาจยคามิธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๑๑๒๙] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๑๑๓๐] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจายคามินาปจยคามิธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๑๑๓๑] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๒] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจคามินาปจยคามิธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลายโดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๓] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม ฯลฯ คือ เจตนาที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๔] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๕] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๖] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๗] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๓๘] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๑๑๓๙] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย [๑๑๔๐] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๑๔๑] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันทธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่ เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๑๔๒] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน [๑๑๔๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๑๔๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอปจยคามิ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๑๔๕] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ [๑๑๔๖] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่ เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๑๑๔๗] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจย- *คามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ อปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย พึงกระทำโดยนัยแห่งอาจยคามิธรรม [๑๑๔๘] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริยะ ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่พระอรหันต์พิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลน ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขาจตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ รูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย [๑๑๔๙] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ พระเสกขบุคคล หรือปุถุชนพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยวทิพพจักขุ ฯลฯ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๑๕๐] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอัตถิ ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แห่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อปจยคามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๑๕๑] อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจย- *คามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอาจยคามิธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๑๕๒] อาจยคามิธรรม และเนวาจยคมินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริยะ ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรมและกวฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาจยคามิธรรม และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๑๕๓] อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ อปจยคามิธรรม โดยอัตถิปัจจัย พึงกระทำเป็นหัวข้อปัจจัย ๒ ตามนัยที่ได้แสดงมาแล้ว เป็นปัจจัยโดย นัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อวิคตปัจจัย [๑๑๕๔] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๗ ในฌานปัจจัย มี " ๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๖ ในวิคตปัจจัย มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๓
อนุโลม จบ
[๑๑๕๕] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอารัมมณปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๑๕๖] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๕๗] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๑๑๕๘] อาจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๑๑๕๙] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๑๖๐] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๑๖๑] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปัจฉาชาตปัจจัย [๑๑๖๒] อปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินา- *ปจยคามิธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๑๑๖๓] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวาจยคามินาปจยคามิ- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๑๑๖๔] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจยคามิธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๑๖๕] เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อปจยคามิธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๑๖๖] อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่อาจย- *คามิธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๑๖๗] อาจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริยะ [๑๑๖๘] อปจยคามิธรรม และเนวจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ อปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๑๖๙] อปจยคามิธรรม และเนวาจยคามินาปจยคามิธรรม เป็นปัจจัยแก่ เนวาจยคามินาปจยคามิธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริยะ [๑๑๗๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มีวาระ ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๑๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๑๗๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๑๗๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
อาจยคามิตติกะ ที่ ๑๐ จบ
เสกขัตติกะ
ปฏิจจาร
[๑๑๗๓] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๑๗๔] อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรมขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๑๗๕] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ขันธ์ ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๗๖] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๗๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกข- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๗๘] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เพราะ อารัมมณ- *ปัจจัย เพราะ อธิปติปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย พึงกระทำ มหาภูตรูปทั้งหมด เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๑๗๙] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ มี ๓ นัย พึงใส่ให้เต็ม [๑๑๘๐] อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ เพราะวิปากปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๑๑๘๑] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะ วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ซึ่ง เป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหา- *ภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๑๘๒] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบากและมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๘๓] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกข- *ธรรม ฯลฯ เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๘๔] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ เพราะอาหารปัจจัย เพราะ อินทริย- *ปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตต- *ปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๑๘๕] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๑๘๖] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ซึ่ง เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๑๘๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม [๑๑๘๘] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม [๑๑๘๙] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ในปฏิสนธิ- *ขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๑๙๐] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๙๑] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกข- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๙๒] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม ปฏิสนธิก็ดี มหาภูตรูปทั้งหลายก็ดี พึงกระทำทั้งหมด ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย มี ๗ นัย เหมือนกับ กุสลัตติกะ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ [๑๑๙๓] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิปาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ พึงใส่ให้เต็ม ฯลฯ เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ปัจจัยสงเคราะห์ พึงใส่ให้ เต็ม แม้ทั้ง ๒ อย่าง ก็พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ [๑๑๙๔] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกข- *ธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๑๙๕] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม [๑๑๙๖] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะวิปากปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม ปฏิสนธิไม่มี [๑๑๙๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑๙๘] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอาหารปัจจัย ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะ มัคคปัจจัย เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย [๑๑๙๙] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ฯลฯ อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรม ฯลฯ เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสขธรรม ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหาร สมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๒๐๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๒๐๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๒๐๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๑๒๐๓] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร [๑๒๐๔] เนวเสกขนาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะ เหตุปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลาย อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลาย [๑๒๐๕] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานา- *เสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ฯลฯ อาศัยอเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม มี ๓ นัย เหมือนกับเสกข [๑๒๐๖] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ อาศัยอเสกขธรรม มี ๑ นัย ฯลฯ อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม มี ๑ นัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัย หทัยวัตถุ เสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๒๐๗] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๒๐๘] อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๒๐๙] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกกธรรม [๑๒๑๐] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานา- *เสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม ฯลฯ [๑๒๑๑] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรมและเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๒๑๒] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปาก- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ฯลฯ เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๒๑๓] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๔ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๒๑๔] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ อาศัยจักขายตนะ ฯลฯ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ หทัยวัตถุ เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย [๑๒๑๕] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม คือ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขายตนะ ฯลฯ อธิปติธรรมที่เป็นเสกขานา- *เสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๒๑๖] อาศัยเสกธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรมและหทัยวัตถุ อเสกขธรรม อาศัยอเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรมและหทัยวัตถุ [๑๒๑๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตร- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสย- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย มี ๗ นัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ฯลฯ [๑๒๑๘] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานา- *เสกขธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ เจตนาที่เป็นเนวเสก- *ขานาเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม อาศัยหทัยวัตถุ เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรมและหทัยวัตถุ [๑๒๑๙] เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ใน เสกขมูลกะ มี ๓ นัย เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปาก- *ปัจจัย ในเนวเสกขานาเสกขมูลกะ มี ๓ นัย เสกขธรรม อาศัยเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปากปัจจัย ในปัจจัยสงเคราะห์ แห่งเสกขธรรมทั้งหลาย มี ๑ นัย [๑๒๒๐] เนวเสกขานาเสกขธรรม อาศัยเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอาหารปัจจัย ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะ มัคคปัจจัย ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะนัตถิ- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๒๒๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๒๒๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๒๒๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร จบ
นิสสยวาร เหมือนกับปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๑๒๒๔] เสกขธรรม คลุกเคล้ากับเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเสกขธรรม คลุกเคล้ากับอเสกขธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ เนวเสกขานาเสกขธรรม คลุกเคล้ากับเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๒๒๕] เสกขธรรม คลุกเคล้ากับเสกขธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๑๒๒๖] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย ในสมนันตรปัจจัย ในสหชาตปัจจัย ในอัญญมัญญปัจจัย ในนิสสยปัจจัย ในอุปนิสสยปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๒๒๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม คลุกเคล้ากับเนวเสกขานาเสกขธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้า กับขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๒๒๘] เสกขธรรม คลุกเคล้ากับเสกขธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม อเสกขธรรม คลุกเคล้ากับอเสกขธรรม ฯลฯ คือ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม เนวเสกขานาเสกขธรรม คลุกเคล้ากับเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม มี ๓ นัย [๑๒๒๙] เสกขธรรม คลุกเคล้ากับเสกขธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๑๒๓๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๒๓๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๒๓๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สังสัฏฐวาร จบ
สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๑๒๓๓] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายโดยเหตุปัจจัย [๑๒๓๔] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเสกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๒๓๕] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุทั้งหลาย [๑๒๓๖] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๒๓๗] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผลที่เป็นเสกขธรรม รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นเสกขธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๒๓๘] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอรหันต์พิจารณาผลที่เป็นอเสกขธรรม รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอเสกขธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ แก่อนาคตสังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๒๓๙] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้วพิจารณากุศลกรรมนั้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายพิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลาย ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน พิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง โทมนัส ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนา อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย [๑๒๔๐] เนวเสกขานาเสกธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผลที่เป็นเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย [๑๒๔๑] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย [๑๒๔๒] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๓] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคกระทำมรรคให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำผลที่เป็นเสกขธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรม ที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๔] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๕] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๖] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอรหันต์กระทำผลที่เป็นอเสกขธรรมให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๗] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๘] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา กระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา ออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลายกระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน โดยอธิปติปัจจัย บุคคลกระทำจักขุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรมให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำโสตะเป็นต้นนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัย และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๔๙] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล ที่เป็น เสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๕๐] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอเสกขธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๒๕๑] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เสกขธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรค เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นเสกขธรรม ผลที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็น เสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๒] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ มรรค เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๓] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ผลที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๔] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อเสกขธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ผลที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นอเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๕] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ผลที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๖] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ที่เกิดหลังๆ อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็น ปัจจัยแก่โวทาน อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๑๒๕๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ ผลสมาบัติที่เป็นเสกขธรรม เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ ผลสมาบัติที่เป็นเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๘] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นอเสกขธรรม เนวสัญญานาสัญญายตนะของ บุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นอเสกขธรรมโดยอนันตรปัจจัย [๑๒๕๙] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยสหชาตปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๘ [๑๒๖๐] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยสหชาตปัจจัย เหมือนกับ สหชาตปัจจัยในปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย เหมือนกับอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิจจวารมีหัวข้อปัจจัย ๓ ในนิสสยปัจจัย เหมือนกับนิสสยปัจจัยในกุสลัตติกะ มีหัวข้อปัจจัย ๑๓ [๑๒๖๑] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรคโดยนิสสย ปัจจัย ทุติยมรรค เป็นปัจจัยแก่ตติยมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัยตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย มรรคเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๒] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ มรรคเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นอเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๓] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายเข้าไปอาศัยมรรคแล้ว ยัง สมาบัติที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว พิจารณาเห็นสังขาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ มรรค เป็นปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทา แก่ธัมมปฏิสัมภิทา แก่นิรุตติปฏิสัมภิทา แก่ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แก่ฐานาฐานโกสัลละ ของพระอริยะทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ผลสมาบัติ ที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๔] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม ที่เกิด ก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดหลังๆ ฯลฯ ผลที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ผล ที่เป็นอเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๕] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ผลสมาบัติที่เป็นอเสกขธรรมเป็นปัจจัยแก่สุข ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๖] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นเนวเสกขานาเสกข- *ธรรมแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะทิฏฐิ ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ โมหะ สุขทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ปฐมฌาน โดยอุปนิสสยปัจจัยบริกรรมแห่งเนว- *สัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน โดยอุปนิสสยปัจจัย อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอุปนิสสย ปัจจัย [๑๒๖๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บริกรรมแห่งปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งจตุตถมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๘] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่เป็นอเสกขธรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖๙] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะเกิดขึ้น โทมนัส ฯลฯ โสตะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็น ทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณกายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวาเสกขานาเสกขธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๒๗๐] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เสกขธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๒๗๑] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อเสกขธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๒๗๒] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๒๗๓] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน ฯลฯ [๑๒๗๔] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *ปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน [๑๒๗๕] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๑๒๗๖] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๑๒๗๗] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๒๗๘] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย [๑๒๗๙] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๒๘๐] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๒๘๑] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๒๘๒] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๒๘๓] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๒๘๔] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๒๘๕] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรมซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
ในเสกขมูลกะ มีหัวข้อปัจจัย ๓
[๑๒๘๖] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ
ในอเสกขมูลกะ มีหัวข้อปัจจัย ๓
[๑๒๘๗] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๑๒๘๘] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย [๑๒๘๙] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๒๙๐] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต เหมือนกับเสกขธรรม [๑๒๙๑] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่กาย นี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๒๙๒] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๒๙๓] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเสกข- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๒๙๔] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ [๑๒๙๕] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๑๒๙๖] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *อัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๒๙๗] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับเสกขธรรม [๑๒๙๘] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย- *อัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเนวเสกขานาเสกธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญ- *สัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัส ฯลฯ โสตะ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรมโดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๒๙๙] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๓๐๐] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อเสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๓๐๑] เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเสกขธรรม และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๐๒] เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานา- *เสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นเสกขธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม และกวฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเสกขธรรม และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๓๐๓] อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอัตถิปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ เหมือนกับเสกขธรรม [๑๓๐๔] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๘ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๘ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๘ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๘ ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๘ ในวิคตปัจจัย มี " ๘ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๓๐๕] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๓๐๖] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๓๐๗] เสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดย สหชาตปัจจัย [๑๓๐๘] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๓๐๙] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๓๑๐] อเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๑๓๑๑] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานาเสกขธรรม โดย โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย [๑๓๑๒] เนวเสกขานาเสกธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย [๑๓๑๓] เนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย [๑๓๑๔] เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกธรรม เป็นปัจจัยแก่เสกขธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๓๑๕] เสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานา- *เสกขธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๑๓๑๖] อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่อเสกขธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๓๑๗] อเสกขธรรม และเนวเสกขานาเสกขธรรม เป็นปัจจัยแก่เนวเสกขานา- *เสกขธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๑๓๑๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มีวาระ ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มีวาระ ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๘ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๘ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๘
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๓๑๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๓๒๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
เสกขัตติกะ ที่ ๑๑ จบ
ปริตตัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๓๒๑] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูต- *รูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูป ๒ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตรูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๒๒] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ๒ ขันธ์ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๒๓] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๒๔] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะเหตุ ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๒๕] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุ ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะ เหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๒๖] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๓๒๗] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๓๒๘] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๓ ฯลฯ [๑๓๒๙] มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๓๐] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๓๑] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๓๒] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยอัปปมาณกรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๓๓] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม ฯลฯ เพราะ อธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๓๔] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๓๕] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย พึงกระทำมหาภูตรูปแม้ทั้งหมด เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๓ เพราะ อาเสวนปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๓ เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๑๓ เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะ มัคค- *ปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิ- *ปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๓๓๖] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๕ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๓ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๓ ในวิปากปัจจัย มีวาระ ๑๓ ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๑๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๕ ในวิคตปัจจัย มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๓
อนุโลม จบ
[๑๓๓๗] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐาน ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูป ๑ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๓๓๘] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม หทัยวัตถุ อาศัย ขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๓๓๙] ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตา- *รูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม [๑๓๔๐] ปริตตธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๓๔๑] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๔๒] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๔๓] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๔๔] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๓๔๕] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๓๔๖] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๔๗] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย [๑๓๔๘] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหมดให้พิสดาร ในปริตตมูลกะ มีหัวข้อปัจจัย ๓ [๑๓๔๙] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๕๐] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๓๕๑] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๕๒] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๕๓] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหา- *ภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๓๕๔] มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๕๕] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ [๑๓๕๖] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ปริตตธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก [๑๓๕๗] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๕๘] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ใน ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรมและหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๕๙] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปริตตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๓๖๐] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม [๑๓๖๑] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๓๖๒] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูปอาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ [๑๓๖๓] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๖๔] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ปริตตธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๖๕] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๖๖] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะวิปากปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๖๗] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ พึงให้ พิสดาร ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญ- *สัตว์ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ [๑๓๖๘] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย ฯลฯ คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐาน ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ [๑๓๖๙] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๓๗๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีวาระ ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๓๗๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๓๗๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๑๓๗๓] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรมขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ อุปาทา- *รูป อาศัยมหาภูตรูป ๑ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อัปปมาณธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหา- *ภูตรูปทั้งหลาย ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหารูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ อาศัยหทัยวัตถุ [๑๓๗๔] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ [๑๓๗๕] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ในอัปปมาณธรรม มีหัวข้อปัจจัย ๓ [๑๓๗๖] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย อัปปมาณธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม และหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๗๗] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปฏิสนธิขณะ พึงกระทำหัวข้อปัจจัยแม้ทั้ง ๓ [๑๓๗๘] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ อาศัย กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ หัวข้อปัจจัย ๖ ที่เหลือเหมือนกับเหตุปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๗ เพราะอธิปติปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี หัวข้อปัจจัย ๑๓ พึงใส่ให้เต็ม เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๑๓๗๙] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มีวาระ ๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๗ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มี " ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๓๘๐] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ [๑๓๘๑] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๕ [๑๓๘๒] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรมขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อัปปมาณธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๓๘๓] มหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ในปฏิสน- *ธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๓๘๔] อัปปมาณธรรม อาศัยอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๓๘๕] อัปปมาณธรรม อาศัยปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม และ หทัยวัตถุ [๑๓๘๖] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบากและมหาภูตรูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ มหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม อาศัยปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม [๑๓๘๗] ปริตตธรรม อาศัยปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๑๒ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม พึงแสดง ว่า วิบาก จิตตสมุฏฐานรูป ไม่พึงแสดงว่า วิบาก ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย แม้ปฏิสนธิและวิบากก็ไม่มี ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย ไม่ใช่ เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๓๘๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๓๘๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๓๙๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร จบ
นิสสยวาร เหมือนกับปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๑๓๙๑] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ [๑๓๙๒] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ [๑๓๙๓] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๓๙๔] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี เพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญ- *มัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี เพราะอาเสวนปัจจัย วิบากก็ดี ปฏิสนธิก็ดี ไม่มี เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทริยปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๑๓๙๕] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๓๙๖] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุก เคล้ากับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๓๙๗] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ [๑๓๙๘] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๓๙๙] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๔๐๐] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๐๑] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๐๒] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๔๐๓] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาต- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๐๔] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๐๕] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย คือ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก [๑๔๐๖] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปริตตธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม [๑๔๐๗] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม [๑๔๐๘] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๔๐๙] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม [๑๔๑๐] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปาก- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม [๑๔๑๑] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม [๑๔๑๒] ปริตตธรรม คลุกเคล้ากับปริตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ [๑๔๑๓] มหัคคตธรรม คลุกเคล้ากับมหัคคตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ [๑๔๑๔] อัปปมาณธรรม คลุกเคล้ากับอัปปมาณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ [๑๔๑๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๔๑๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๔๑๗] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สัมปยุตตวาร เหมือนกับ สังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๑๔๑๘] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๑๙] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยเหตุปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำ ปวัตติ ปฏิสนธิ [๑๔๒๐] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๑๔๒๑] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน พระอริยะทั้งหลายพิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน พิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณา กิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ จักขุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๔๒๒] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปริตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๔๒๓] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็น ปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นมหัคคตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๔๒๔] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาปฐมฌาน พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาทิพพจักขุ ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ พิจารณาอิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตังสญาณ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๔๒๕] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล โดยอารัมมณปัจจัย [๑๔๒๖] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๔๒๗] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอัปปมาณธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสา- *นุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๔๒๘] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา บุคคลกระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว พิจารณา พระเสขบุคคลทั้งหลายกระทำโคตรภูให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำโวทาน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๒๙] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๓๐] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำปฐมฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ ทิพพจักขุ ฯลฯ กระทำอนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๓๑] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๓๒] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๓๓] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตะรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำ นิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๓๔] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๔๓๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เกิด หลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๓๖] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นมหัคคตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นมหัคคตธรรม แก่อนาค- *ตังสญาณ โดยอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งปฐมฌาน ฯลฯ บริกรรมแห่งเนวสัญญานาสัญญาย- *ตนะ ฯลฯ บริกรรมแห่งทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรมแห่งอนาคตังสญาณ เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณ โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๓๗] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผล สมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๓๘] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มหัคคตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๓๙] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นปริตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย ภวังค์ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตธรรม โดยอนันตร ปัจจัย [๑๔๔๐] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๔๑] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ฯลฯ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๔๒] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๔๓] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นมหัคคตธรรม โดยอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย [๑๔๔๔] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๔๔๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม โดย สหชาตปัจจัย [๑๔๔๖] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ [๑๔๔๗] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย [๑๔๔๘] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๔๙] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย [๑๔๕๐] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย สหชาตปัจจัย [๑๔๕๑] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย [๑๔๕๒] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย [๑๔๕๓] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย [๑๔๕๔] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดย สหชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย [๑๔๕๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลาย โดยอัญญมัญญปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๔๕๖] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม โดย อัญญมัญญปัจจัย [๑๔๕๗] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๕๘] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๑๔๕๙] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๑๔๖๐] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๔๖๑] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดย อัญญมัญญปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย [๑๔๖๒] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๖๓] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นมหัคคตธรรม โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๖๔] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๖๕] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ [๑๔๖๖] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย นิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๖๗] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๖๘] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๖๙] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย นิสสยปัจจัย [๑๔๗๐] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๗๑] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๗๒] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยนิสสย- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๔๗๓] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย [๑๔๗๔] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยนิสสย- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๔๗๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปริตตธรรมแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทาง กาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปริตตธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุข ทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย กุศลอกุศลกรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก โดยอุปนิสสยปัจจัย ปาณาติบาตเป็นปัจจัยแก่ ปาณาติบาต โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงกระทำจักรนัย
มาตุฆาตกรรม เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงกระทำจักรนัย เหมือนกับ กุสลัตติกะ
[๑๔๗๖] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นปริตตธรรมแล้ว ยังฌานที่เป็นมหัคคตธรรม ให้เกิดขึ้น อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ยังฌานที่เป็นมหัคคตธรรม ให้เกิดขึ้น อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรม แก่ ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งปฐมฌาน ฯลฯ บริกรรมแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งทิพพจักขุ เป็นปัจจัย แก่อนาคตตังสญาณ ฯลฯ [๑๔๗๗] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปริตตธรรมแล้ว ยัง ฌานที่เป็นอัปปมาณธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังผลสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทาง กาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ยังฌานที่เป็นอัปปมาณธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังผลสมาบัติให้ เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นปริตตธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม แก่ปัญญา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรค บริกรรมแห่งจตุตถมรรค เป็นปัจจัย แก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๔๗๘] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปสนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรมแล้วยัง ฌานที่เป็นมหัคคตธรรมให้เกิดขึ้น อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปศัยศีลที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปัญญาแล้ว ยังฌานที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรม แก่ ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย ปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานา- *สัญญายตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๔๗๙] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรมแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปัญญาแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังวิปัสสนา ให้เกิดขึ้น ฯลฯ ศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปริตตธรรม แก่ ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๔๘๐] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรมแล้ว ยังฌานที่เป็นอัปปมาณธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังผลสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปัญญาแล้ว ยังฌานที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังผลสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม แก่ ปัญญา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๔๘๑] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรมแล้ว ยังฌานที่เป็นอัปปมาณธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ ยังผลสมบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปัญญาแล้ว ยังฌานที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังผลสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม แก่ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค [๑๔๘๒] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปัญญาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปริตตธรรม แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ผลสมาบัติ เป็นปัจจัยแก่สุข ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย พระอริยะทั้งหลายเข้าไปอาศัยมรรคแล้ว พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นของไม่ เที่ยง ฯลฯ มรรค เป็นปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทา แก่ธัมมปฏิสัมภิทา แก่นิรุตติปฏิสัมภิทา แก่ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แก่ฐานาฐานโกสัลละของพระอริยะทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๔๘๓] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม ฌานที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปัญญา ฌานที่เป็นมหัคคตธรรม ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณธรรม ฯลฯ ปัญญาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นมหัคคตธรรม แก่ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย พระอริยะทั้งหลายเข้าไปอาศัยมรรคแล้ว ยังสมาบัติที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เข้าสมาบัติ ที่เกิดขึ้นแล้ว [๑๔๘๔] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๔๘๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพ- *โสตธาตุ ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นมหัคคต- *ธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๔๘๖] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย คือ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๔๘๗] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๔๘๘] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๔๘๙] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๔๙๐] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เกิด หลังๆ อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๑๔๙๑] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ บริกรรมแห่งปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ปฐมฌาน โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมแห่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นเอง โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมแห่งทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรมแห่งอนาคตังสญาณ เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณ โดย อาเสวนปัจจัย [๑๔๙๒] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๑๔๙๓] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เกิด หลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๑๔๙๔] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นปริตต- *ธรรมซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๔๙๕] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นมหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๔๙๖] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๔๙๗] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น มหัคคตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๔๙๘] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นอัปปมาณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๔๙๙] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๕๐๐] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม โดย กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๕๐๑] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๑๕๐๒] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยวิปากปัจจัย มีหัวข้อ ปัจจัย ๓ พึงกระทำ ปวัตติ ปฏิสนธิ [๑๕๐๓] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำ ปวัตติ อย่างเดียว [๑๕๐๔] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดย อินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปริตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๕๐๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มหัคคตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๕๐๖] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปมาณ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๕๐๗] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๕๐๘] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๕๐๙] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุเป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่ เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย กายายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๐] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มหัคคตธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๑] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณ- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๒] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ [๑๕๑๓] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๔] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๕๑๕] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ [๑๕๑๖] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๗] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๘] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม และกวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณธรรม และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๑๙] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๒๐] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นมหัคคตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม และกวฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตธรรม และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๕๒๑] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตธรรม และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย [๑๕๒๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๔ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๕๒๓] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๑๕๒๔] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๕๒๕] ปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๕๒๖] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๕๒๗] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๑๕๒๘] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๒๙] มหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๑๕๓๐] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๕๓๑] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย [๑๕๓๒] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๕๓๓] อัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม โดย สหชาตปัจจัย [๑๕๓๔] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๑๕๓๕] ปริตตธรรม และอัปปมาณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๕๓๖] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๑๕๓๗] ปริตตธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๕๓๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มีวาระ ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๑๐ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๑๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๑๐
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๕๓๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๕๔๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๑ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓๑
ปัจจนียานุโลม จบ
ปริตตัตติกะที่ ๑๒ จบ
-----------------------------------------------------
ปริตตารัมมณัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๕๔๑] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๔๒] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ มหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ [๑๕๔๓] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๔๔] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๑๕๔๕] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๕๔๖] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๕๔๗] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๕๔๘] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๔๙] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๕๕๐] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๕๕๑] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๕๒] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๕๕๓] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ในมหัคคตารัมมณ ปฏิสนธิ ไม่มี [๑๕๕๔] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย เหมือนกับ ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย [๑๕๕๕] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม [๑๕๕๖] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม [๑๕๕๗] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม [๑๕๕๘] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ วิปากปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน อเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๕๙] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ มัคคปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๖๐] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะมัคคปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๖๑] ปริตตารัมมณธรรม อาศัยปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ [๑๕๖๒] มหัคคตารัมมณธรรม อาศัยมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ [๑๕๖๓] อัปปมาณารัมมณธรรม อาศัยอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่ เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๕๖๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๕๖๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๕๖๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี เหมือน กับ ปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๑๕๖๗] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๕๖๘] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๕๖๙] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมธรรม โดยเหตุ ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๕๗๐] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้วพิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม พิจารณากิเลสที่ข่ม แล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม และปริตตธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภ- *ขันธ์นั้น ราคะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปริตตารัมมณธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม และปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๑๕๗๑] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุ พิจารณาทิพพโสตธาตุ พิจารณาอิทธิวิธญาณ ที่เป็นปริตตา รัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตังสญาณ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม และมหัคคตธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นมหัคคตา- *รัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นปริตตารัมมณธรรมและมหัคคตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๕๗๒] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ฯลฯ พิจารณาวิญญาณัญจายตนะ พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณา มหัคคตารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตังสญาณ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และมหัคคตธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และมหัคคต ธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และมหัคคตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๑๕๗๓] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาปฐมฌานปัจจเวกขณะ พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนปัจจเวก- *ขณะ พิจารณาทิพพจักขุปัจจเวกขณะ พิจารณาทิพพโสตธาตุปัจจเวกขณะ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตัง สญาณปัจจเวกขณะ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม พิจารณากิเลสที่ ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และปริตตธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็น ปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และปริตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณแก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย [๑๕๗๔] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมและปริตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสา- *นุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๕๗๕] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณาโคตรภูมิ พิจารณาโวทาน พิจารณามรรคปัจจเวกขณะ พิจารณาผลปัจจเวกขณะ พิจารณานิพพานปัจจเวกขณะ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม และปริตตธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม และปริตต- *ธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม และปริตตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๑๕๗๖] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณาเจโตปริยญาณที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๑๕๗๗] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อนให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม และปริตตธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๗๘] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำทิพพจักขุให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว พิจารณา ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เจโตปริย- *ญาณ ปุพเพนิสวาสานุสสติญาณ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตังสญาณ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม และมหัคคตธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็น มหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๕๗๙] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอธิปติ ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำวิญญาณัญจายตนะให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ อิทธิวิธญาณที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ กระทำอนาคตังสญาณให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และมหัคคตธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็น มหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๕๘๐] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำปฐมฌานปัจจเวกขณะให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา กระทำอนาคตังสญาณปัจจเวกขณะให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม และปริตตธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็น ปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๕๘๑] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย [๑๕๘๒] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระเสขบุคคลทั้งหลายกระทำโคตรภูให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำโวทานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำมรรคปัจจเวกขณะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา ผลปัจจเวกขณะ ฯลฯ กระทำนิพพานปัจจเวกขณะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๕๘๓] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระเสขบุคคลทั้งหลายกระทำเจโตปริยญาณ ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ กระทำอนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๕๘๔] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๘๕] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๘๖] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ อนุโลมที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ โวทาน อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๘๗] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๘๘] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๘๙] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ อนุโลมที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ โวทาน อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๙๐] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็น ปัจจัยแก่ผล โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๙๑] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ มรรคปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ผลปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม นิพพานปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ เป็นปริตตารัมมณธรรม เจโตปริยญาณที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็น ปริตตารัมมณธรรม ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม อนาคตังสญาณ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็น ปริตตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๕๙๒] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ มรรคปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ผลปัจจเวก- *ขณะ เป็นปัจจัยแก่ ฯลฯ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม นิพพานปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ ฯลฯ ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ผลเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๑๕๙๓] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยสมนันตร- *ปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัย [๑๕๙๔] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดย นิสสยปัจจัย ๓ นัย พึงกระทำ เหมือนกับปฏิจจวาร เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม แล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ยังฌานที่เป็นปริตตารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย แล้วให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ยังฌานที่เป็นปริตตารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๙๕] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกายแล้ว ยังฌานที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ ศรัทธาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกายเป็นปัจจัยแก่ ศรัทธาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๙๖] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม แล้ว ยังฌานที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ยังฌานที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ สุขทางกาย เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็น อัปปมาณารัมมณธรรม แก่ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๙๗] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นมหัคคตารัมมณ- *ธรรมแล้ว ยังฌานที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ฌานที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ถือทิฏฐิ ศรัทธาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๙๘] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม แล้วให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ฌานที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ ศรัทธาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็น ปริตตารัมมณธรรม แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๙๙] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฌานที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฌานที่เป็น อัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็น อัปปมาณารัมมณธรรม แก่ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๐๐] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นอัปปมาณารัมมณ- *ธรรม ฌานที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ฌานที่เป็นอัปปมาณา- *รัมมณธรรม ฯลฯ มรรค ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณา- *รัมมณธรรม แก่ปัญญา แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๐๑] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ที่เป็นอัปปมาณารัมมณ- *ธรรมแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานที่เป็นปริตตารัมมณธรรมให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ปริตตา- *รัมมณธรรม แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๐๒] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฌานที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา ฌานที่มหัคคตา- *รัมมณธรรม ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ฯลฯ ปัญญา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นมหัคคตา- *รัมมณธรรม แก่ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๐๓] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปริตตารัมมณธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๑๖๐๔] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ อนุโลมที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๑๖๐๕] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๑๖๐๖] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ อนุโลมที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๑๖๐๗] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๑๖๐๘] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ นานาขณิกะ ที่เป็น สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นปริตตารัมมณธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๖๐๙] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ นานาขณิกะ ที่เป็น สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๖๑๐] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นมหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๖๑๑] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ นานาขณิกะ ที่เป็น สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๖๑๒] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปริตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๑๖๑๓] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยวิปากปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๑๖๑๔] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในอธิปติปัจจัย มีวาระ ๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในกัมมปัจจัย มี " ๕ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย ในอัตถิปัจจัย มีวาระ ๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๖๑๕] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย กัมมปัจจัย [๑๖๑๖] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๑๗] ปริตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๑๖๑๘] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๑๙] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๑๖๒๐] มหัคคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๖๒๑] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปมาณารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๒๒] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปริตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย [๑๖๒๓] อัปปมาณารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มหัคคตารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๖๒๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๖๒๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๖๒๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปริตตารัมมณัตติกะที่ ๑๓ จบ
หีนัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๖๒๗] หีนธรรม อาศัยหีนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นหีนธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ มัชฌิมธรรม อาศัยหีนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นหีนธรรม หีนธรรม และมัชฌิมธรรม อาศัยหีนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นหีนธรรมขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๒๘] มัชฌิมธรรม อาศัยมัชฌิมธรรม ฯลฯ คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัชฌิมธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๒๙] ปณีตธรรม อาศัยปณีตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๑๖๓๐] มัชฌิมธรรม อาศัยมัชฌิมธรรม และปณีตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นปณีตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๓๑] มัชฌิมธรรม อาศัยหีนธรรม และมัชฌิมธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นหีนธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย หีนัตติกะ พึงให้พิสดารเหมือนกับนสังกิลิฏฐัตติกะ พึงใส่ให้เต็ม
หีนัตติกะ ที่ ๑๔ จบ
มิจฉัตตัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๖๓๒] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๓๓] สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๑๖๓๔] อนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัย- *มหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป ๒ [๑๖๓๕] อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๓๖] อนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๓๗] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๓๘] สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๓๙] อนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ ปัจจัยทั้งหมด พึงให้พิสดารด้วยเหตุนี้ ฯลฯ [๑๖๔๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มีวาระ ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๖๔๑] อนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๖๔๒] อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ [๑๖๔๓] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม [๑๖๔๔] สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม [๑๖๔๕] อนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๖๔๖] อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ปัจจัยทั้งหมด พึงให้พิสดาร [๑๖๔๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๖๔๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๖๔๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยาวาร จบ
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๑๖๕๐] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๑๖๕๑] อนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาศัย มหาภูตรูป ๑ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๕๒] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และหทัยวัตถุขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๕๓] สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ เหมือนกับมิจฉัตต พึงนับอย่างนี้ [๑๖๕๔] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย ฯลฯ พึงแจกเหมือนกับปัจจยวารในกุสลัตติกะ เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๖๕๕] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑๗ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย มีวาระ ๗ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในอาหารปัจจัย มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๑๗ ในฌานปัจจัย มี " ๑๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๑๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๗ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๖๕๖] อนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูต- *รูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ [๑๖๕๗] อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนมิจฉัตตนิยตธรรม เหมือนกับ กุสลัตติกะ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๕ [๑๖๕๘] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมเป็นมิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม [๑๖๕๙] สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนนิยตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม [๑๖๖๐] อธิปติธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ อาศัยจักขายตนะ ฯลฯ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยอนิจยตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๖๖๑] มิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และหทัยวัตถุ [๑๖๖๒] สัมมัตตนิยตธรรม อาศัยสัมมัตนิยตธรรม และอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม และหทัยวัตถุ [๑๖๖๓] อนิยตธรรม อาศัยมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๖๖๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ในอนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใข่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไมม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตถิปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๖๖๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมฌปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๖๖๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๑๖๖๗] มิจฉัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๖๘] สัมมัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากัยสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๖๙] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ [๑๖๗๐] มิจฉัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับมิจฉัตธรรม ฯลฯ เพราะ อารัมมฌปัจจัย ฯลฯ เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๖๗๑] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมฌปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๖๗๒] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๖๗๓] มิจฉัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับมิจฉัตตนิยตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยต- *ธรรม [๑๖๗๔] สัมมัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ อธิปติปัจจัย คืออธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตต- *นิยตธรรม [๑๖๗๕] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๖๗๖] สัมมัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๗๗] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๖๗๘] มิจฉัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ ปัจฉาชาตปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม [๑๖๗๙] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๖๘๐] มิจฉัตตนิยธรรม คลุกเคล้ากับมิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย [๑๖๘๑] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ อนิยตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ [๑๖๘๒] สัมมัตตนิยตธรรม คลุกเคล้ากับสัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๘๓] อนิยตธรรม คลุกเคล้ากับอนิยตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๖๘๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๖๘๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๖๘๖] ในอารัมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐราร
ปัญหาวาร
[๑๖๘๗] มิจฉัตตนิยตยธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย [๑๖๘๘] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๑๖๘๙] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๖๙๐] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๑๖๙๑] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๖๙๒] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรมรู้ซึ่งกิเลส ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๖๙๓] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๖๙๔] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายพิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นอนิยตธรรม กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอนิยธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัย แก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย [๑๖๙๕] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม แก่ปิตุฆาตกรรม แก่อรหันตฆาตกรรม แก่รุหิรุปปาทกรรม โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรมเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ลูบคลำ หทัยวัตถุใด หทัยวัตถุ นั้น เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย [๑๖๙๖] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอารัมมณปัจจัย [๑๖๙๗] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๖๙๘] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอธิหติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๖๙๙] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๗๐๐] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๗๐๑] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคกระทำมรรคให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๗๐๒] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย [๑๗๐๓] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำ กุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อนให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลายกระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณากระทำนิพพาน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม ให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอนิยตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๗๐๔] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอธิปติ ปัจจัย [๑๗๐๕] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอนันตรปัฉจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๐๖] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๐๗] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิยตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ผลเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัย แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๐๘] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โทมนัสที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่โทมนัสที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม โดย อนันตรปัจจัย มิจฉาทิฏฐิที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัย แก่มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๐๙] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัตจจัยแก่มรรค โดยอนันตรปัจจัย [๑๗๑๐] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เหมือน กับอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๙ เป็นปัจจัยโดย อัญญมัญญปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร มีหัวข้อปัจจัย ๓ เป็นปัจจัยโดย นิสสยปัจจัย เหมือนกับ กุสบัตติกะ มีหัวข้อปัจจัย ๑๓ [๑๗๑๑] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสย ได้แก่ มาตุฆาตกรรม เป็นปัจจัยแก่ปิตุฆาตกรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มาตุฆาตกรรม ฯลฯ ปิตุฆาตกรรม ฯลฯ อรหันตฆาตกรรม ฯลฯ รุหิรุปปาท- *กรรม ฯลฯ สังฆเภทกรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงกระทำจักรนัย
มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม ฯลฯ แก่สังฆเภทกรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๗๑๒] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสย ปกตูปนิสสย ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสย ได้แก่ บุคคลปลงชีวิตมารดาแล้วเพื่อป้องกันกรรมนั้น ให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ปลงชีวิตบิดา ฯลฯ ปลงชีวิตพระอรหันต์ ฯลฯ บุคคลมีจิตคิดประทุษร้าย ยังโลหิตของพระตถาคตให้ห้อ ฯลฯ ทำลายสงฆ์เพื่อป้องกัน กรรมนั้น ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม [๑๗๑๓] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค โดย อุปนิสสยปัจจัย ตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๗๑๔] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูเปนิสสยะ อนั่นตรูปนิสสยะ ปกรูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายเข้าไปอาศัยมรรคแล้วยังสมาบัติที่ ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เจ้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว พิจารณาเห็นสังขาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น อนัตตา มรรค เป็นปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทาของพระอริยะทั้งหลาย ฯลฯ แก่ฐานาฐานโกสัลละ โดยอุปนิสสยปัจจัย มรรค เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๗๑๕] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูเปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอนิยตธรรมแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ สุตะ จาคะ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าคนในนิคม ศรัทธาที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ ปัญญาฯลฯ ราคะ ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ที่เป็นอนิยตธรรม แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมแห่งปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ปฐมฌานนั้นเทียว บริกรรมแห่งเนวสัญญานา- *สัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นเทียว ปฐมฌาน เป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน อกิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ปาฌาติบาต เป็นปัจจัยแก่ปาณา- *ติบาต โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงกระทำจักรนัย
[๑๗๑๖] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นอนิยตธรรมแล้วปลง ชีวิตมารดา ฯลฯ ทำลายสงงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ปลงชีวิตมารดา ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะที่เป็นอนิยตธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่มาตะฆาตกรรมแก่ปิตุฆาตกรรม แก่อรหันตฆาตกรรม แก่รุหิรุปปาทกรรม แก่มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม โยอุปนิสสยปัจจัย [๑๗๑๗] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูเปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกรูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บริกรรมแห่งปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรค บริกรรมแห่งจตุตถมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๗๑๘] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตุถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณษเห็นหทัยวัตถุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่ เป็นอนิยตธรรม เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็่น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จจักขุวยิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปนิยตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๗๑๙] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม แก่ ปิตุฆาตกรรม แก่อรหันตฆาตกรรม แก่รุหิรุปปาทกรรม ฯลฯ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตต- *นิยตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๗๒๐] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัมมัตตนิยตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๗๒๑] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๗๒๒] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๗๒๓] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดย ปัจฉาชาตปัจจัย [๑๗๒๔] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิยตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๑๗๒๕] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ โทมนัสที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่โทมนัสที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย มิจฉาทิฏฐิที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่เป็นนิยตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย [๑๗๒๖] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๑๗๒๗] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย [๑๗๒๘] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๗๒๙] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๗๓๐] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย [๑๗๓๑] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๗๓๒] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๗๓๓] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๗๓๔] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ [๑๗๓๕] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย [๑๗๓๖] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรมเป็นปัจจัยแก่กายจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งงหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรมปัจจัยแก่กายนี้ที่ เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๗๓๗] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งงหลายที่เป็นสัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่กาย นี้ที่เกิดก่อน โดยวยิปปยุตตปัจจัย [๑๗๓๘] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน รูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณกายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแกกายนี้ที่ เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๗๓๙] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มิจฉัตตนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๗๔๐] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัมมัตตนิยตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๗๔๑] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัย ขันธ์ ๒ [๑๗๔๒] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งงหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย [๑๗๔๓] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรมและอนิยตธรรม โดยอัตถิปัตจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๔๔] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ [๑๗๔๕] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน เพราะ ปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปนิยตธรรม โดยอัตถุปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิติทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๗๔๖] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม ฯลฯ แก่รุหิรุปปาทกรรม โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยต- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๗๔๗] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัมมัตตนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๑๗๔๘] มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ และ ฯลฯ [๑๗๔๙] มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และมหาภูอรูปทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และกวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมิจฉัตตนิยตธรรม และรูปชีวิตินทรย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๗๕๐] สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ เหมือนกับมิจฉัตตนิยต [๑๗๕๑] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๘ ในอนันตรปัจจัย มี " ๕ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๗ ในฌานปัจจัย มี " ๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๕ ในวิคตปัจจัย มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๗๕๒] มิจฉัตตนิยจตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๗๕๓] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๑๗๕๔] มิจฉัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๑๗๕๕] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๗๕๖] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย [๑๗๕๗] สัมมัตตนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๑๗๕๘] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๑๗๕๙] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๗๖๐] อนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๗๖๑] มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่มิจฉัตตนิยตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๗๖๒] มิจฉัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๑๗๖๓] สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมัตตนิยตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต [๑๗๖๔] สัมมัตตนิยตธรรม และอนิยตธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิยตธรรม ฯลฯ มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๑๗๖๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มีวาระ ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๑๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๗๖๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๗๖๗] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปป่ยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
มิจฉัตตติกะที่ ๑๕ จบ
มัคครัมณัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๗๖๘] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ ขันธ์ ๑ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๖๙] มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคเหตุกรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคเหตุก- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๗๐] มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และอมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคา- *ธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๗๑] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และ มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคา- *ธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติ- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๗๒] มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคา- *ธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคา- *ธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคา- *เหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๗๓] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย เพราะ อธิปติปัจจัย เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๑๗๗๔] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๑ ในอารัมมณปัจจัย ในอธิปติปัจจัย ในอนันตรปัจจัย ในสมนันตรปัจจัย ในสหชาตปัจจัย ในอัญญมัญญปัจจัย ในนิสสยปัจจัย ในอุปนิสสยปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย ในกัมมปัจจัย ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย ในวิปปยุตตปัจจัย ในอัตถิปัจจัย ในนัตถิปัจจัย ในวิคตปัจจัย ในอวิคตปัจจัย มีวาระ ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๗๗๕] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๗๖] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่- *เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคา- *รัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๗๗] มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรมเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่- *เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มัคคเหตุกธรรม [๑๗๗๘] มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่- *เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่- *เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มัคคาธิปติธรรม [๑๗๗๙] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และ มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่- *เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และ มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคา- *ธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๘๐] มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และ มัคคาธิปติธรรม มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และ มัคคาธิปติธรรม มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม [๑๗๘๑] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *ปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัยทั้ง ๒ พึงใส่ให้หมด [๑๗๘๒] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่- *เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๘๓] มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่- *เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๘๔] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และ มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่- *เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และ มัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติ- *ธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๘๕] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่- *เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มัคคารัมมณธรรม [๑๗๘๖] มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคเหตุกธรรมอาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะ- *กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคค- *เหตุกธรรม [๑๗๘๗] มัคคาธิปติธรรม อาศัยมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นมัคคาธิปติธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม มีหัวข้อ ปัจจัย ๕ [๑๗๘๘] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย ในปัจจัยสงเคราะห์แรก มีหัวข้อปัจจัย ๓ [๑๗๘๙] มัคคเหตุกธรรม อาศัยมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย ในปัจจัยสงเคราะห์ ตอนที่ ๒ มีหัวข้อปัจจัย ๓ [๑๗๙๐] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปาก- *ปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม [๑๗๙๑] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะมัคค- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗๙๒] มัคคารัมมณธรรม อาศัยมัคคารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *วิปปยุตตปัจจัย พึงใส่ให้เต็ม พึงกำหนดว่า อรูป [๑๗๙๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๑๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๗๙๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๗๙๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี เหมือน กับปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๑๗๙๖] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย ฯลฯ [๑๗๙๗] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มัคคาธิปติธรรม โดยเหตุปัจจัย [๑๗๙๘] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยเหตุปัจจัย ฯลฯ ผู้มีปัญญาพึงกระทำหัวข้อ ๑๗ ด้วยเหตุนี้ [๑๗๙๙] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นมัคคเหตุกธรรม ดดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่เจดตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ ดดยอารัมมณปัจจัย [๑๘๐๐] มัคคเหตุกะรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๐๑] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๐๒] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๐๓] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค รู้จิตของบุคคผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นมัคคาธิปติธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๘๐๔] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๐๕] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิสวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาววัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๘๐๖] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๐๗] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๐๘] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๐๙] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นมัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๐] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคารัมมณธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๑] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๒] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณธิปติ ได้แก่พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรค ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๑๓] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๔] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็น อารมณ์หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๑๕] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตต่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรมและมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๖] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ พิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๗] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ พิจารณา ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๘] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๑๙] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรมเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๐] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๑] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิหติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคารัมมณธรรมและ มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๒] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และ มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๓] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคา- *ธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดย อธิปติปัจจัย [๑๘๒๔] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคกระทำ มรรคให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๒๕] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และ มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๖] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรมและมัคคาธิปตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๗] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ พิจารณา [๑๘๒๘] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และ มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๒๙] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๐] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๑] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรมและมัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรมและมัคคาธิปติธรรม โดย อนันตรปัจจัย [๑๘๓๒] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น มัคคาธิปติธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๓] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๔] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดหลัง โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๕] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๖] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๗] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๘๓๘] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัย โดย นิสสยปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๑๗ ในปัจจัยทั้ง ๓ [๑๘๓๙] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสนสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดยอุปนิสสยะปัจจัย [๑๘๔๐] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๑] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติ- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๒] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค โดย อุปนิสสยปัจจัย ตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๓] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยกแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียวคือ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำ มรรคให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๔๔] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ตติยมรรค เป็น ปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๕] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำ มรรคให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๔๖] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๗] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสส ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ตติยมรรค เป็น ปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๘] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๔๙] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๐] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๑] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๒] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๓] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๔] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะ เป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๕] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำ มรรคให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๕๖] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๗] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ตติมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๕๘] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำ มรรคให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา [๑๘๕๙] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ตติยมรรค เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๖๐] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นมัคคารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๑๘๖๑] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอาเสวนปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ ไม่พึงกระทำอาวัชชนะ [๑๘๖๒] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย นานาขณิก ไม่มี มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัตตารัมมณธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัย โดย สัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย ปัจจัย ๗ เหล่านี้ แจกเป็นหัวข้อปัจจัย ๑๗ เหมือนกับเหตุปัจจัย เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑๗ [๑๘๖๓] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๒๑ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑๗ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๑๗ ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในอัตถิปัจจัย มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๘๖๔] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๖๕] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๖๖] มัคคารัมมณธรรม เป็นปัตจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๖๗] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๖๘] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๖๙] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัฉจัย [๑๘๗๐] มัคคเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๑] มัคคเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๒] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๓] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๔] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาเหตุกธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๕] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๖] มัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๗] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๘] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๗๙] มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๘๐] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๘๑] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๘๒] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๘๓] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคารัมมณธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๘๔] มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่มัคคเหตุกธรรม และมัคคาธิปติธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๘๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัยซึ่งผู้มีปัญญาถือเอา ปกตารัมมณะก็ดี อุปนิสสยารัมมณะ ก็ดี ย่อมขาดไปทั้งสองอย่าง ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มีวาระ ๒๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๘๘๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๘๘๗] ในอารัมมณปัจจัย กับในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในอินทริยปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑๗ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
มัคคารัมมณัตติกะ ที่ ๑๖ จบ
อุปปันนัตติกะ
ปัญหาวาร
[๑๘๘๘] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๘๘๙] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุที่เป็นอุปปันนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ โสตะที่เป็นอุปปันนธรรม ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๑๘๙๐] อนุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ รูปที่เป็นอนุปปันนธรรม ฯลฯ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลพิจารณา เห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนุปปันนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความ เป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ อนาคตตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๘๙๑] อุปปาทิธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุที่เป็นอุปปาทิธรรม ฯลฯ กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ หทัยวัตถุ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาทิธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาทิธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ ฯลฯ แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๘๙๒] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำจักขุที่เป็นอุปปันนธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุนั้น ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น โสตะที่เป็นอุปปันนธรรม ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำโสตะเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ฯลฯ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏรูปฐานทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๘๙๓] อนุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ รูปที่เป็นอนุปันนธรรม ฯลฯ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนุปันนธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำรูปเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น [๑๘๙๔] อุปปาทิธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จักขุที่เป็นอุปปาทิธรรม ฯลฯ กาย รูป ฯลฯ โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาทิธรรมให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๘๙๕] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยสหชาต- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยสหชาต- *ปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยสหชาตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยสหชาตปัจจัย มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย โดยสหชาต ปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ มหาภูตรูป- *ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย โดยสหชาตปัจจัย [๑๘๙๖] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัญญมัญญปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยอัญญ- *มัญญปัจจัย มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ [๑๘๙๗] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยนิสสยปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๑ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์- *ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ มหาภูตรูปทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม โดยนิสสยปัจจัย [๑๘๙๘] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยฤดูที่เป็นอุปปันนธรรม แล้วยัง ฌานให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยโภชนะที่เป็นอุปปันนธรรม ฯลฯ เสนาสนะ แล้วยังฌานให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ ฤดูที่เป็นอุปปันนธรรม ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็น อุปปันนธรรม แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย [๑๘๙๙] อนุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปรารถนาวรรณสมบัติที่เป็นอนุปันนธรรม ย่อมให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม บุคคลปรารถนาสัททสมบัติที่เป็นอนุปปันนธรรม ฯลฯ คันธสมบัติ รสสมบัติ โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนุปปันนธรรม ย่อมให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ วรรณสมบัติที่เป็นอนุปปันนธรรม ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอุปปันนธรรม แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๙๐๐] อุปปาทิธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปรารถนาจักขุสมบัติที่เป็นอุปปาทิธรรม ย่อมให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ บุคคลปรารถนาโสตสมบัติที่เป็นอุปปาทิธรรม ฯลฯ กายสมบัติ วรรณสมบัติ คันธ- *สมบัติ ฯลฯ รสสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาทิธรรม ย่อม ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ จักขุสมบัติที่เป็นอุปปาทิธรรม ฯลฯ กายสมบัติ วรรณสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาทิธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอุปปันนธรรม แก่ปัญญา แก่ สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่ผลสมบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๙๐๑] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๙๐๒] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๙๐๓] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๙๐๔] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๑๙๐๕] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย [๑๙๐๖] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย [๑๙๐๗] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๙๐๘] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ มหาภูตรูป ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๙๐๙] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอวิคตปัจจัย [๑๙๑๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในปัจฉาชาตปัจจัย ในกัมมปัจจัย ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย ในวิปปยุตตปัจจัย ในอัตถิปัจจัย ในอวิคตปัจจัย มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๙๑๑] อุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๑๙๑๒] อนุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๙๑๓] อุปปาทิธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๙๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๙๑๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๙๑๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อุปันนัตติกะ ที่ ๑๗ จบ
อตีตัตติกะ
ปัญหาวาร
[๑๙๑๗] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๙๑๘] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วพิจารณา พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ออกจากฌาน พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว พิจารณาเห็นจักขุที่เป็นอตีตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น โสตะที่เป็นอตีตธรรม ฯลฯ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภโสตะเป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญ- *ญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพ- *นิวาสานุสสติ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๑๙] อนาคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุที่เป็นอนาคตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๒๐] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ฯลฯ กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๒๑] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปันนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ กระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา ออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา จักขุที่เป็นอตีตธรรม ฯลฯ กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตธรรมให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๙๒๒] อนาคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปันนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จักขุที่เป็นอนาคตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๙๒๓] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปันนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จักขุที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๙๒๔] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปัจจุปปันนธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็น ปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผล เป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัย แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๒๕] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เหมือน กับอนันตรปัจจัย [๑๙๒๖] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดย นิสสยปัจจัย ฯลฯ [๑๙๒๗] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอตีตธรรม แล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอตีตธรรม ฯลฯ สัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกายแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นอตีตธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา ทุกข์ทางกาย ฯลฯ สุขทางกาย เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปัจจุปปันนธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๙๒๘] อนาคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปรารถนาจักขุสมบัติที่เป็นอนาคตธรรม โสตสมบัติ ฯลฯ ฆานสมบัติ ชิวหาสมบัติ กายสมบัติ วรรณสมบัติ สัททสมบัติ คันธ- *สมบัติ รสสมบัติ ฯลฯ ปรารถนาโผฏฐัพพสมบัติ ปรารถนาขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตธรรมแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ จักขุสมบัติ ฯลฯ วรรณสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนาคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปัจจุปปันนธรรม แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๙๒๙] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยฤดูที่เป็นปัจจุปปันนธรรมแล้ว ยังฌานให้เกิดขึ้น วิปัสสนา ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยโภชนะที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ยังฌานให้เกิด ขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฤดูที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ที่เป็นปัจจุปปันนธรรม แก่ปัญญา แก่สุขทางกาย ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๙๓๐] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย [๑๙๓๑] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๙๓๒] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปัจจุปปันนธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๑๙๓๓] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก ขันธ์ที่เป็นปัจจุปปันนธรรม และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๙๓๔] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๙๓๕] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๑๙๓๖] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๙๓๗] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอัตถิปัจจัย เหมือนกับอัตถิปัจจัย ในอุปปันนัตติกะ [๑๙๓๘] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดย วิคตปัจจัย [๑๙๓๙] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอวิคตปัจจัย [๑๙๔๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย ในอัญญมัญญปัจจัย ในนิสสยปัจจัย มีวาระ ๑ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย ในปัจฉาชาตปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย มีวาระ ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๒ ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย มีวาระ ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๙๔๑] อตีตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๑๙๔๒] อนาคตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๙๔๓] ปัจจุปปันนธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริย ปัจจัย [๑๙๔๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๙๔๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๙๔๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
ในบทเหล่านี้ มีวาระอย่างละ ๑ เท่านั้น
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อตีตัตติกะ ที่ ๑๘ จบ
อตีตารัมมณัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๑๙๔๗] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ [๑๙๔๘] อนาคตารัมมณธรรม อาศัยอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๔๙] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม อาศัยปัจจุปปันนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะ- *เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๕๐] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย ในอธิปติปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี เพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัย ก็ดี ในอาเสวนปัจจัย ก็ดี ปฏิสนธิ ไม่มี เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ฯลฯ หัวข้อปัจจัย ๓ พึงใส่ให้ เต็ม พึงกระทำ ปวัตติ ปฏิสนธิ เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทริยปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๑๙๕๑] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๙๕๒] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๙๕๓] อนาคตารัมมณธรรม อาศัยอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๑๙๕๔] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม อาศัยปัจจุปปันนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่- *ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม [๑๙๕๕] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติ- *ปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในอนุโลม [๑๙๕๖] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๙๕๗] อนาคตารัมมณธรรม อาศัยอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๕๘] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม อาศัยปัจจุปปันนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่- *ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๕๙] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *ปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย เหมือนกับ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม [๑๙๖๐] อนาคตารัมมณธรรม อาศัยอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม [๑๙๖๑] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม อาศัยปัจจุปปันนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณ- *ธรรม [๑๙๖๒] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปาก- *ปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี [๑๙๖๓] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม อาศัยปัจจุปปันนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่- *ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๖๔] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะมัคค- *ปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะเหมือนกับที่ไม่ใช่เหตุ ปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ โมหะ ไม่มี [๑๙๖๕] อตีตารัมมณธรรม อาศัยอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๖๖] อนาคตารัมมณธรรม อาศัยอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ วิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๙๖๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๙๖๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๙๖๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวารก็ดี ปัจจนียวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี
สัมปยุตตวารก็ดี เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๑๙๗๐] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย [๑๙๗๑] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย [๑๙๗๒] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๑๙๗๓] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอตีตธรรม พิจารณาเนวสัญญานาสัญญยตนะ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุส- *สติญาณ ฯลฯ พิจารณายถากัมมุปคญาณ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นอตีตารัมมณธรรมกิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภ ขันธ์นั้น ราคะ ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๗๔] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอนาคตธรรม พิจารณาเนวสัญญานาสัญญา- *ยตนะ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนาคต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๗๕] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปัจจุปันนธรรม ซึ่งเป็นอตีตารัมมณ- *ธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปันนธรรม ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริย- *ญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๗๖] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมปัจจัย [๑๙๗๗] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม พิจารณากิเลส ที่ข่มแล้ว กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๗๘] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ซึ่งเป็นอนาคตา- *รัมมณธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโต- *ปริยญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๗๙] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนรัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ซึ่งเป็นปัจจุป- *ปันนารัมมณธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนธรรม ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ เจโตปริยญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๘๐] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอตีตธรรม พิจารณาทิพพโสตธาตุ พิจารณาอิทธิ- *วิธญาณที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม กิเลสที่ข่ม แล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๘๑] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอนาคตธรรม พิจารณาทิพพโสตธาตุ พิจารณาอิทธิ วิธญาณที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เจโตปริยญาณ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เพราะ ปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๙๘๒] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอดีตธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำเนวสัญญานาสัญญายตนะให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรมให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ กระทำยถากัมมุปคญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อดีต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอตีตารัมมณ- *ธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๙๘๓] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอนาคต ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ กระทำอิทธิวิธญาณ ที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอตีตารัมมณธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่ง เป็นอตีตารัมมณธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๙๘๔] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็น อนาคตารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ กระทำ อนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๙๘๕] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอนาคตา- *รัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ กระทำอนาคตังสญาณ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นอนาคตารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้น ให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๙๘๖] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๑๙๘๗] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำทิพพจักขุที่เป็นอตีตธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำทิพพโสตธาตุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา กระทำอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำเจโตปริยญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอดีต ซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอตีตารัมมณ- *ธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๙๘๘] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำทิพพจักขุที่เป็นอนาคตธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำทิพพโสตธาตุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตซึ่งเป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็น อนาคตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๙๘๙] อตีตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นอตีตารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๙๐] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ภวังค์ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๙๑] อตีตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิตที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณ- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๙๒] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๙๓] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอตีตารัมมณ- *ธรรม เจโตปริยญาณ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม อนาคตังสญาณ เป็นปัจจัย แก่วุฏฐานะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏ- *ฐานะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๙๔] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิสนธิจิตที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณ- *ธรรม ภวังค์ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๙๙๕] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ปฏิสนธิจิตที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นอตีตารัมมณ- *ธรรม ภวังค์ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอตีตารัมมณธรรม โดยอนันตร ปัจจัย [๑๙๙๖] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เหมือนอนันตรปัจจัย [๑๙๙๗] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัญญมัญญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดย นิสสยปัจจัย แม้ทั้ง ๓ ปัจจัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร [๑๙๙๘] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยสมนัตรปัจจัย เหมือน อนันตรปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ทุกขา- *นุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม แก่ทุกขานุ- *ปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๙๙๙] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๐] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ทุกขานุ- *ปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม แก่ ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๑] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๒] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม แก่ ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๓] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่ อนิจจานุปัสสนา ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๔] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดย อุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๕] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม แก่ ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๖] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๐๗] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๒๐๐๘] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๒๐๐๙] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๒๐๑๐] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๑] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๒] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอตีตารัมมณธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๓] อนาคตรัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๔] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๕] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๖] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๗] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอตีตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๘] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาคตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๐๑๙] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยวิปากปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัตถิปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย นัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อวิคตปัจจัย [๒๐๒๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๗ ในอนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย มี " ๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มีวาระ ๓ ในนิสสยปัจจัย มีวาระ ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย มีวาระ ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๗ ในวิคตปัจจัย มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๐๒๑] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๒] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๓] อตีตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๔] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๕] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๖] อนาคตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๗] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปัจจุปปันนารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย โดยเป็นปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๘] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อตีตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๒๙] ปัจจุปปันนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนาคตารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๐๓๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๐๓๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๐๓๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อตีตารัมมณัตติกะ ที่ ๑๙ จบ
-----------------------------------------------------
อัชฌัตตัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๒๐๓๓] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุมหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๓๔] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัย มหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๓๕] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัย- *วัตถุ [๒๐๓๖] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ [๒๐๓๗] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๓๘] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๓๙] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม ฯลฯ เพราะอนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุมหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปอาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลายอาศัยมหาภูตรูป ๑ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหา- *ภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๔๐] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุอาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐาน- *รูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูป ๑ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๔๑] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัย ก็ดี ในอาเสวนปัจจัย ก็ดี ปฏิสนธิ ไม่มี เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริย- *ปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตต- *ปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๒๐๔๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒
อนุโลม จบ
[๒๐๔๓] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๒๐๔๔] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรมซึ่งเป็นอเหกุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูป ๑ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๒๐๔๕] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรมหทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูป ๑ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลายอาศัยมหาภูตรูป ๑ [๒๐๔๖] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม หทัยวัตถุ อาศัย ขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๔๗] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ เหมือนกับ สหชาตปัจจัย ในอนุโลมไม่มีแตกต่างกัน ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๔๘] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ในปฏิสนธิขณะ พึงใส่ให้เต็ม มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๔๙] อาศัยอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะ อาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม อาหารสมุฏ- *ฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ [๒๐๕๐] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นพหิทธาธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ [๒๐๕๑] อาศัยอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๕๒] อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๕๓] อาศัยอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๕๔] อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญ- *สัตว์ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒๐๕๕] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๕๖] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ปัญจวิญญาณ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๕๗] อาศัยอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย เหมือนกับที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย โมหะ ไม่มี ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย ฯลฯ [๒๐๕๘] อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๒๐๕๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๐๖๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๐๖๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๒๐๖๒] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ พึงใส่ให้เต็ม มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๒๐๖๓] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๒๐๖๔] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็น อัชฌัตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๒๐๖๕] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ เหมือนกับปฏิจจวาร คือ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม อาศัย หทัยวัตถุ [๒๐๖๖] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย เพิ่ม หทัยวัตถุ เหมือนกับปฏิจจวาร เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะ สมนันตรปัจจัย เพราะ สหชาตปัจจัย ในสหชาตวาร พึงใส่ให้เต็ม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ภายหลัง มหาภูตรูปและขันธ์ทั้งหลาย พึงกระทำ ปัญจายตนะ และหทัยวัตถุ เพราะ อัญญมัญญปัจจัย เพราะ นิสสยปัจจัย ฯลฯ เพราะ อวิคตปัจจัย [๒๐๖๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอารัมมณปัจจัย ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒
อนุโลม จบ
[๒๐๖๘] อัชฌัตตธรรม อาศัยอัชฌัตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และหทัยวัตถุ [๒๐๖๙] พหิทธาธรรม อาศัยพหิทธาธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย พึง กระทำทั้งปวัตติ ปฏิสนธิ และมหาภูตรูปทั้งหลาย คือ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมม- *ปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย เหมือนกับ วิปปยุตตปัจจัย ในปฏิจจวารปัจจนียะ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๒๐๗๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๒
ปัจจนียะ จบ
[๒๐๗๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๐๗๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
ปัจจนียานุโลม จบ
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงให้พิสดาร
ปัญหาวาร
[๒๐๗๓] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๗๔] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๗๕] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณา กุศลกรรมนั้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ กาย รูป ฯลฯ โผฏฐัพพะ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณา เห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย อากิญ- *จัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๐๗๖] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลอื่น พิจารณาเห็นจักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภ หทัยวัตถุเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ รูปายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โผฏ- *ฐัพพายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย [๒๐๗๗] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลอื่น ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ พิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ผล ฯลฯ พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคย เกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ บุคคลอื่น พิจารณาเห็นจักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นพหิทธาธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นพหิทธาธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญ- *ญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๐๗๘] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย จักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาต บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นพหิทธาธรรม โดยเจโตปริยญาณ รูปายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม โผฏ- *ฐัพพายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย [๒๐๗๙] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา กระทำกุศลกรรม ทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อนให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา จักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อัชฌัตตธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๒๐๘๐] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลอื่น จักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๒๐๘๑] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลอื่นให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อนให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย จักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็น พหิทธาธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้หนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๒๐๘๒] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายกระทำนิพพานให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย จักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็น พหิทธาธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๒๐๘๓] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อัชฌัตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่ มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ฯลฯ อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๒๐๘๔] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ที่เกิดก่อนๆ เท่านี้ที่ต่างกัน นอกจากนั้นมี อธิบายตามบาลีข้างต้นนั้นเอง [๒๐๘๕] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยสมนันตรปัจจัย เหมือน กับ อนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัย โดย นิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอัชฌัตตธรรมแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ มรรค อภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอัชฌัตตธรรม แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความ ปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๘๖] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอื่นเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นอัชฌัตตธรรม แล้วให้ทาน ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลอื่นเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นพหิทธาธรรม แก่ มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๘๗] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอื่นเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นพหิทธาธรรม แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๘๘] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็นพหิทธาธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นอัชฌัตตธรรม แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๘๙] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย [๒๐๙๐] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลอื่น จักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โผฏฐัพ- *พายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๐๙๑] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลอื่น จักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ ที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โผฏฐัพ- *พายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๐๙๒] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย [๒๐๙๓] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่รูปายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม และจักขายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ จักขุวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย โผฏฐัพพายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม และ กายายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม รูปายตนะที่เป็น พหิทธาธรรม และหทัยวัตถุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม และ หทัยวัตถุที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๐๙๔] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่รูปายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และจักขายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่ จักขุวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย โผฏฐัพพายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และ กายายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ แก่โผฏฐัพพายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และหทัยวัตถุ ที่เป็น พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย รูปายตนะที่เป็น อัชฌัตตธรรม และหทัยวัตถุที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๐๙๕] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๒๐๙๖] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๒๐๙๗] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อัชฌัตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๒๐๙๘] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ เหมือนกับ อัชฌัตต นั่นเอง [๒๐๙๙] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๒๑๐๐] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น พหิทธาธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๒๑๐๑] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยวิปากปัจจัย พึงใส่ให้ เต็ม เหมือนกับ ปฏิจจวาร [๒๑๐๒] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหารที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยอาหารปัจจัย [๒๑๐๓] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ กวฬิงการาหารที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นพหิทธาธรรม โดย อาหารปัจจัย [๒๑๐๔] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอาหารปัจจัย พึงกระทำ ปวัตติ ปฏิสนธิ กวฬิงการาหารที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอาหารปัจจัย [๒๑๐๕] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ กวฬิงการาหารที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดย อาหารปัจจัย [๒๑๐๖] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดย อาหารปัจจัย คือ กวฬิงการาหารที่เป็นอัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรมเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็น อัชฌัตตธรรม โดยอาหารปัจจัย [๒๑๐๗] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดย อาหารปัจจัย คือ กวฬิงการาหารที่เป็นอัชฌัตตธรรม และกวฬิงการาหารที่เป็นพหิทธาธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอาหารปัจจัย [๒๑๐๘] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอินทริยปัจจัย อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ก็ดี รูปชีวิตินทรีย์ ก็ดี พึงให้พิสดาร เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต บทมาติกาทั้งหลาย ผู้มีปัญญา พึงให้พิสดาร [๒๑๐๙] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ [๒๑๑๐] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่ มหาภูตรูป ๓ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เหมือนกับ ปุเรชาตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม และกวฬิงการาหารที่เป็น อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย [๒๑๑๑] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาต อาหาร ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ บุคคลอื่นพิจารณาเห็นจักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น พหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร ที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็น พหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๒๑๑๒] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย พหิทธาธรรมไม่มีอะไรแตกต่างกัน บทมาติกาทั้งหลาย พึงให้พิสดาร [๒๑๑๓] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาต อาหาร ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น อัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารที่เป็นพหิทธาธรรมเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นอัชฌัตต- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๒๑๑๔] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาต อาหาร ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม และจักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นอัชฌัตตธรรม โผฏฐัพพายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม และกายายตนะ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น อัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย รูปายตนะ ที่เป็นพหิทธาธรรม และหทัยวัตถุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็น พหิทธาธรรม และหทัยวัตถุที่เป็นอัชฌัตตธรรมเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น อาหาร ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นอัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายที่เป็นอัชฌัตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๒๑๑๕] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาต อาหาร ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และจักขายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย โผฏฐัพพายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และกายายตนะที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย รูปายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และหทัยวัตถุที่เป็นพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย โผฏฐัพพายตนะที่เป็นอัชฌัตตธรรม และหทัยวัตถุที่เป็น พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น อาหาร ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นอัชฌัตตธรรม และกวฬิงการาหารที่เป็น พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นพหิทธาธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๒๑๑๖] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดย วิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อวิคตปัจจัย [๒๑๑๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๒ ในสหชาตปัจจัย ในอัญญมัญญปัจจัย ในนิสสยปัจจัย มีวาระ ๒ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจฉาชาตปัจจัย ในอาเสวนปัจจัย ในกัมมปัจจัย ในวิปากปัจจัย มีวาระ ๒ ในอาหารปัจจัย มี " ๖ ในอินทริยปัจจัย มี " ๒ ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย ในสัมปยุตตปัจจัย ในวิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๒ ในอัตถิปัจจัย มี " ๖ ในนัตถิปัจจัย มี " ๒ ในวิคตปัจจัย มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย มี " ๖
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๑๑๘] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๒๑๑๙] อัชฌัตตธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย [๒๑๒๐] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย [๒๑๒๑] พหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย [๒๑๒๒] อัชฌัตตธรรม และพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาต อาหาร [๒๑๒๓] อัชฌัตตธรรมและพหิทธาธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธาธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาต อาหาร [๒๑๒๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๖ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวงพึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๑๒๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๑๒๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๔ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
พึงกระทำการนับบทที่เป็นอนุโลม
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๖
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อัชฌัตตัตติกะ ที่ ๒๐ จบ
-----------------------------------------------------
อัชฌัตตารัมมณัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๒๑๒๗] อัชฌัตตารัมมณธรรม อาศัยอัชฌัตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๒๑๒๘] พหิทธารัมมณธรรม อาศัยพหิทธารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๒๑๒๙] อัชฌัตตารัมมณธรรม อาศัยอัชฌัตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๒๑๓๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๑๓๑] อัชฌัตตารัมมณธรรม อาศัยอัชฌัตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๒๑๓๒] พหิทธารัมมณธรรม อาศัยพหิทธารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๒๑๓๓] อัชฌัตตารัมมณธรรม อาศัยอัชฌัตตารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในอนุโลมไม่มีแตกต่างกัน ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๑๓๔] พหิทธารัมมณธรรม อาศัยพหิทธารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม [๒๑๓๕] พหิทธารัมมณธรรม อาศัยพหิทธารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม [๒๑๓๖] อาศัยอัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ซึ่งสหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ [๒๑๓๗] อาศัยพหิทธารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ซึ่งสหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย เหมือนกับที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย โมหะไม่มี ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ [๒๑๓๘] อาศัยพหิทธารัมมณธรรม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ฯลฯ [๒๑๓๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๑๔๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๑๔๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี
สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๒๑๔๒] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย [๒๑๔๓] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๑๔๔] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม พิจารณาเนวสัญญานา- *สัญญายตนะ พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม และอัชฌัตตธรรม ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณา อนาคตังสญาณ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม พิจารณากิเลสที่ ข่มแล้ว กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็น อัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ปุพเพ- *นิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๑๔๕] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลอื่น วิญญาณัญจายตนะที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะ บุคคลอื่นพิจารณาทิพพจักขุ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตา- *รัมมณธรรม ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปค- *ญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตังสญาณ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณ- *ธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริย- *ญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๑๔๖] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลอื่นพิจารณาทิพพจักขุที่เป็นพหิทธาธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรม ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ พิจารณาอนาคตังสญาณ บุคคลอื่นพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นพหิทธาธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณ- *ธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธาธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๒๑๔๗] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌาน พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณากิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรม ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปค- *ญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็น อัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิญญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย [๒๑๔๘] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่บุคคลกระทำวิญญาณัญจายตนะ ที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กระทำเนวสัญญานา- *สัญญายตนะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำทิพพจักขุที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม และ อัชฌัตตธรรมให้หนักแน่น ฯลฯ ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ กระทำอนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นอัชฌัตตารัมมณธรรมให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๒๑๔๙] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๒๑๕๐] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถ กรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค มรรค ฯลฯ กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำทิพพจักขุที่เป็นอัชฌัตตธรรมซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมุปคญาณ ฯลฯ บุคคลกระทำอนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตธรรม ซึ่งเป็นพหิทธารัมมณธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็น อัชฌัตตารัมมณธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๒๑๕๑] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย [๒๑๕๒] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัย แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๒๑๕๓] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผล เป็นปัจจัย แก่ผล อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๒๑๕๔] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณ- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอัชฌัตตาธัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๒๑๕๕] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยสมนันตร- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดย นิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม แก่ ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๑๕๖] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม แก่ ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๑๕๗] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๑๕๘] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม แก่ทุกขานุปัสสนา แก่อนัตตานุปัสสนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๑๕๙] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๒๑๖๐] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ อนุโลมที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย [๒๑๖๑] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ อนุโลมที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๒๑๖๒] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๑๖๓] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๑๖๔] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๑๖๕] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นพหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัชฌัตตารัมมณธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย [๒๑๖๖] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยวิปาก- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ฌาน- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อัตถิ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย นัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดย วิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อวิคตปัจจัย [๒๑๖๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๒ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒ ในนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๒ ในอัตถิปัจจัย มี " ๒ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มีวาระ ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๑๖๘] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย กัมมปัจจัย [๒๑๖๙] อัชฌัตตารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๑๗๐] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่พหิทธารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๑๗๑] พหิทธารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อัชฌัตตารัมมณธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย [๒๑๗๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๔ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๑๗๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๑๗๔] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๔ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ฯลฯ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อัชฌัตตารัมมณัตติกะ ที่ ๒๑ จบ
-----------------------------------------------------
สนิทัสสนสัปปฏิฆัตติกะ
ปฏิจจวาร
[๒๑๗๕] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาศัย โผฏฐัพพายตนะ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิสทัสสนสัปปฏิฆธรรม รูปายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม รูปายตนะ อาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ และอาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรมจักขายตนะ รสายตนะ อาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัย โผฏฐัพพายตนะ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม รูปายตนะ จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม รูปายตนะ จักขายตนะ รสายตนะ อาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ [๒๑๗๖] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยอาโปธาตุ รูปายตนะ อาศัยอาโปธาตุ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยอาโปธาตุ จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏ- *ฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ รูปายตนะ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัย อาโปธาตุ จักขายตนะ รสายตนะ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ รูปายตนะ จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ รูปายตนะ จักขายตนะ รสายตนะ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ [๒๑๗๗] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย และอาโปธาตุ รูปายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และ อาโปธาตุ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ รูปายตนะ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ จักขายตนะ รสายตนะ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ รูปายตนะ จักขายตนะ รสายตนะ อาศัย โผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆ- *ธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ รูปายตนะ จักขายตนะ รสายตนะ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ [๒๑๗๘] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ [๒๑๗๙] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม พึงจำแนกหัวข้อปัจจัย ๗ ด้วยเหตุนี้ ในอนิทัสสนสัปปฏิฆมูลกะ บทปลายไม่มี [๒๑๘๐] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัย อาโปธาตุ พึงจำแนกหัวข้อปัจจัย ๗ ในอนิทัสสนอัปปฏิฆมูลกะ ด้วยเหตุนี้ บทปลายไม่มี [๒๑๘๑] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ
พึงจำแนกหัวข้อปัจจัยแม้ ๗ ด้วยเหตุนี้
[๒๑๘๒] อนิทัสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย [๒๑๘๓] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพาย- *ตนะ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ พึงจำแนกหัวข้อปัจจัย ๗ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม ด้วยเหตุนี้ [๒๑๘๔] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป อุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโป- *ธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัย อาโปธาตุ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๗ ในอนิทัสสนอัปปฏิฆมูลกะ ด้วยเหตุนี้ [๒๑๘๕] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และ อาโปธาตุ รูปายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ
พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ ด้วยเหตุนี้
[๒๑๘๖] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ อาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ และอาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูป ๒ [๒๑๘๗] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญ ปัจจัย คือ มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ [๒๑๘๘] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ [๒๑๘๙] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ นิสสยเป็นปัจจัย เพราะ อุปนิสสยปัจจัย เพราะ ปุเรชาตปัจจัย เพราะ อาเสวนปัจจัย เพราะ กัมมปัจจัย เพราะ วิปากปัจจัย เพราะ อาหารปัจจัย เพราะ อินทริยปัจจัย เพราะ ฌานปัจจัย เพราะ มัคคปัจจัย เพราะ สัมปยุตตปัจจัย เพราะ วิปปยุตตปัจจัย เพราะ อัตถิปัจจัย เพราะ นัตถิปัจจัย เพราะ วิคตปัจจัย เพราะ อวิคตปัจจัย [๒๑๙๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๒๑ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๒๑ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๒๑ ในวิปากปัจจัย ในอาหารปัจจัย มี " ๒๑ ในอินทริยปัจจัย มี " ๒๑ ในฌานปัจจัย ในมัคคปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๒๑ ในอัตถิปัจจัย มี " ๒๑ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๑๙๑] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูปที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ ในอนิทัสสนสัปปฏิฆมูลกะ พึงแจกหัวข้อปัจจัยแม้ ๗ ด้วยเหตุนี้ [๒๑๙๒] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่ เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัย อาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยอาโปธาตุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆมูลกะ ด้วยเหตุนี้ [๒๑๙๓] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในอหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และ อาโปธาตุ รูปายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ ผู้มีปัญญาพึงยังหัวข้อปัจจัย ๗ ให้พิสดารด้วยเหตุนี้ [๒๑๙๔] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพาย- *ตนะ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐาน ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ พึงยังหัวข้อปัจจัย ๗ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆมูลกะให้พิสดารด้วยเหตุนี้ [๒๑๙๕] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ อินทรีย์รูป กวฬิงการาหาร อาศัย อาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยอาโปธาตุ พึงยังหัวข้อปัจจัยแม้ ๗ ในอนิทัสสนอัปปฏิฆมูลกะให้พิสดารด้วยเหตุนี้ [๒๑๙๖] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และ อาโปธาตุ รูปายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรมและอาโปธาตุ ในปัจจัยสงเคราะห์ พึงแจกหัวข้อปัจจัยทั้ง ๗ ด้วยเหตุนี้ [๒๑๙๗] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับ สหชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพาย- *ตนะ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย
พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๒๑ ด้วยเหตุนี้
ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาต- *ปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ อุปาทา รูปที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม พึงแจกกัมมปัจจัยแล้ว กระทำหัวข้อปัจจัย ๒๑ ด้วยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัยนั่นเอง ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ปฏิสนธิก็ดี กฏัตตารูปก็ดี ไม่มี พึงกระทำในปัญจโวการภพ เท่านั้น ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ
พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๒๑ ด้วยเหตุนี้
ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย รูปชีวิตินทรีย์ อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย ฯลฯ
พึงแจกหัวข้อปัจจัยทั้งปวง
ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
พึงแจกหัวข้อปัจจัยทั้ง ๗
[๒๑๙๘] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ขันธ์ ๒ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ
พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ ด้วยเหตุนี้
[๒๑๙๙] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวก อสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูต รูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ
พึงแจกหัวข้อปัจจัยทั้ง ๗ อย่างนี้
ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย เหมือนกับ ที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย พึงกระทำให้เต็ม โมหะ ไม่มี ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย
พึงใส่ให้เต็ม
ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๒๒๐๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒๑ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๒๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๒๐๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัยมีวาระ ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒๑ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๒๐๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี เหมือนกับปฏิจจวาร สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำในอรูปภูมิเท่านั้น
ปัญหาวาร
[๒๒๐๓] อนิทัสสอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย [๒๒๐๔] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ในอนิทัสสนอัปปฏิฆมูลกะ พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ ด้วยเหตุนี้ [๒๒๐๕] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลพิจารณาเห็นรูป โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภรูปนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตัง- *สญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๒๐๖] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ กาย เสียง กลิ่น รส ฯลฯ โผฏฐัพพะ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ สัททายตนะ เป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติ- *ญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๒๐๗] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น พิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว กิเลสทั้งหลายที่เคย เกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ กวฬิงการาหาร ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยเจโต- *ปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย อากิญ- *จัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๒๐๘] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำรูปให้นั้นเป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำรูปให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๒๒๐๙] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จักขุ ฯลฯ กาย เสียง กลิ่น ฯลฯ บุคคลกระทำโผฏฐัพพะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๒๒๑๐] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล ฯลฯ กระทำผลให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ กวฬิงการาหาร ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อม- *ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำหทัยวัตถุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๒๒๑๑] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย ในอนิทัสสนอัปปฏิฆมูลกะ พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ อธิปติ โดยรูปสังคหะ ๓ อย่าง [๒๒๑๒] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่ มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผล เป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผล สมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๒๒๑๓] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย สมนันตรปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย [๒๒๑๔] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย สหชาตปัจจัย พึงกระทำให้ดี เหมือนกับ ปฏิจจวาร ในอัญญมัญญปัจจัย เหมือนกับอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิจจวาร ในนิสสยปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร [๒๒๑๕] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปรารถนาวรรณสมบัติ ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ วรรณสมบัติ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุข ทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๒๑๖] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปรารถนาจักขุสมบัติ ฯลฯ กายสมบัติ ฯลฯ สัททสมบัติ ฯลฯ ปรารถนาโผฏฐัพพะแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฤดู ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยเสนาสนะแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ มรรค อภิญญา ฯลฯ ฆ่าสัตว์ ทำลายสงฆ์ จักขุสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ ฤดู ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๒๑๗] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ สมาบัติ ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฯลฯ โภชนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ ศรัทธา ปัญญา ราคะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฯลฯ โภชนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา ฯลฯ แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๒๑๘] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ ด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๑๙] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ กาย ฯลฯ เสียง ฯลฯ โผฏฐัพพะ ฯลฯ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ สัททายตนะ เป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๒๐] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็น อารัมมณปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ อาโปธาตุ กวฬิงการาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็น วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๒๑] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะและหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๒๒] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ และหทัยวัตถุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๒๓] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะและจักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๒๔] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๒๒๒๕] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็น สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ อย่างนี้ รูปสังคหะ ๓ อย่าง [๒๒๒๖] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๒๒๒๗] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย [๒๒๒๘] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็น สหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย ที่เป็น นานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ อย่างนี้ ให้เป็น สหชาต นานาขณิก โดยเหตุนี้ รูปสังคหะ ๓ อย่าง [๒๒๒๙] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ หทัยวัตถุ โดยวิปากปัจจัย [๒๒๓๐] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย วิปากปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยวิปากปัจจัย หัวข้อปัจจัย ๗ พึงให้พิสดารอย่างนี้ ทั้งปวัตติ และปฏิสนธิ [๒๒๓๑] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อาหารทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอาหารปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมนี้ โดยอาหารปัจจัย [๒๒๓๒] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อาหารทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอาหารปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรมนี้ โดยอาหารปัจจัย พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ ทั้งปวัตติ และปฏิสนธิ อย่างนี้ พึงกระทำกวฬิงการาหาร ในหัวข้อปัจจัยทั้ง ๗ [๒๒๓๓] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย [๒๒๓๔] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อินทริยปัจจัย [๒๒๓๕] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตา- *รูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อินทริยปัจจัย ทั้งปวัตติ และปฏิสนธิ พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๗ อย่างนี้ พึงกระทำรูปชีวิตินทรีย์ใน ที่สุดๆ [๒๒๓๖] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ และจักขุวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุ- *วิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย ฯลฯ กายินทรีย์และกายวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย [๒๒๓๗] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย ฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดย มัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๒๓๘] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย [๒๒๓๙] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๒๒๔๐] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆ- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย พึงให้หัวข้อปัจจัยทั้ง ๕ ที่เหลือพิสดารอย่างนี้ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต [๒๒๔๑] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ รูป โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย [๒๒๔๒] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๒ โดย อัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๑ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขายตนะ แก่ รสายตนะ โดยอัตถิปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ที่เป็น อุตุสมุฏฐานรูป เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูต- *รูป ๑ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอุตุสมุฏฐานรูป เป็นปัจจัยแก่อุปาทารูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ [๒๒๔๓] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย เหมือนกับ นิสสยปัจจัยในปฏิจจวาร [๒๒๔๔] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป โดยอัตถิปัจจัย พึงให้พิสดาร ตลอดถึงพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ กาย ฯลฯ เสียง ฯลฯ โผฏฐัพพะ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย หัวข้อปัจจัย ๔ ที่เหลือพึงให้พิสดาร เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในปฏิจจวาร ไม่มี แตกต่างกัน [๒๒๔๕] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ อาโปธาตุ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป ทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ เป็นปัจจัยแก่อินทรีย์ และกวฬิงการาหาร โดยอัตถิปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย อาโปธาตุ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็น อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ ฯลฯ กวฬิงการาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็น ปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กาย ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย พึงแจกหัวข้อปัจจัย ๖ ที่เหลืออย่างนี้ พึงกระทำ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทริย [๒๒๔๖] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย [๒๒๔๗] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พึงกระทำ ตลอดถึงพวกอสัญญสัตว์ [๒๒๔๘] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม ฯลฯ [๒๒๔๙] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็น สหชาต ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม พึงกระทำ ตลอดถึงพวก อสัญญสัตว์ ที่เป็น ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ และหทัยวัตถุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย พึงแจกหัวข้อปัจจัยที่เหลือ [๒๒๕๐] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะ และจักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย [๒๒๕๑] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ได้แก่ รูปายตนะ และจักขายตนะ และจักขุ- *วิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย นัตถิปัจจัย และ วิคตปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย อวิคตปัจจัย เหมือนกับ อัตถิปัจจัย [๒๒๕๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มีวาระ ๒๑ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๒๑ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๗ ในวิปากปัจจัย มี " ๗ ในอาหารปัจจัย มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๗ ในมัคคปัจจัย มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๘ ในอัตถิปัจจัย มี " ๒๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒๕ [๒๒๕๓] ในอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ [๒๒๕๔] ในสหชาตปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย กับ เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย และ อวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในสหชาตปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย กับเหตุ ปัจจัย มีวาระ ๗ ในสหชาตปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย กับเหตุ- *ปัจจัย มีวาระ ๗ ในสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย อัตถิปัจจัย และ อวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในสหชาตปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคต- *ปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๑
พึงนับคณวารทั้งหมดอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๒๕๕] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรมโดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย [๒๒๕๖] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดย สหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๕๗] อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็น ปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมม- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมม- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมม- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริย- *ปัจจัย [๒๒๕๘] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต [๒๒๕๙] อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสน- *อัปปฏิฆธรรม ฯลฯ มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย อนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๒๒๖๐] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต [๒๒๖๑] สนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสนสัปปฏิฆธรรม และอนิทัสสน- *สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนอัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย [๒๒๖๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มีวาระ ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๑๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๒๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๒๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๒๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๒๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๒๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๒๒๖๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย มีวาระ ๒๒ มีอธิบายเหมือนข้อความตามบาลีตอนต้น ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๙ [๒๒๖๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัยและปัจจัยที่ไม่ ใช่อารัมมณปัจจัย มีวาระ ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๒๖๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ [๒๒๖๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย สหชาตปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย อวิคตปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ แม้ในที่นี้ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย [๒๒๖๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย อวิคตปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๒๖๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๑ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๘ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
สนิทัสสนสัปปฏิฆัตติกะ ที่ ๒๒ จบ
อนุโลมติกปัฏฐาน ภาคปลาย จบ
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๑ บรรทัดที่ ๑-๑๕๘๙๓ หน้าที่ ๑-๖๗๔. https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=41&A=1&Z=15893&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5], [6], [7], [8], [9], [10], [11], [12], [13], [14], [15], [16], [17], [18], [19], [max20]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=41&siri=1              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=41&i=1              ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [1-2268] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=41&item=1&items=2268              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=12713              The Pali Tipitaka in Roman :- [1-2268] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=41&item=1&items=2268              The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=12713              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑ https://84000.org/tipitaka/read/?index_41              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/patthana1.7/en/narada

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :