ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับภาษาไทย   บาลีอักษรไทย   บาลีอักษรโรมัน 
อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
             [๔๑๘] 	ความทะเลาะ ความวิวาท ความร่ำไร ความเศร้าโศก กับ
                          ทั้งความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่นผู้อื่น และทั้งคำ
                          ส่อเสียด เกิดจากอะไร ธรรมเครื่องเศร้าหมองเหล่านั้นเกิด
                          จากอะไร ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอกเนื้อความที่ข้าพระองค์
                          ถามนั้นเถิด ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ความทะเลาะ ความวิวาท ความร่ำไร ความเศร้าโศก กับ
                          ทั้งความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่นผู้อื่น และทั้งคำ
                          ส่อเสียด เกิดจากของที่รัก ความทะเลาะ ความวิวาท
                          ประกอบเข้าแล้วด้วยความตระหนี่ ก็เมื่อความวิวาทเกิดแล้ว
                          คำส่อเสียดย่อมเกิด ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามต่อไปว่า
                          ความรักในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมี
                          กษัตริย์เป็นต้น มีความโลภ เที่ยวไปในโลก ความโลภของ
                          ชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น มีอะไรเป็นเหตุ ความหวังและ
                          ความสำเร็จของนรชนซึ่งมีในสัมปรายภพมีอะไรเป็นเหตุ ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ความรักในโลกมีความพอใจเป็นเหตุ แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมี
                          กษัตริย์เป็นต้น มีความโลภเที่ยวไปในโลก ความโลภของ
                          ชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น มีความพอใจเป็นเหตุ ความ
                          หวังและความสำเร็จของนรชน ซึ่งมีในสัมปรายภพ มีความ
                          พอใจนี้เป็นเหตุ ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
                          ความพอใจในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ แม้การวินิจฉัย คือ
                          ตัณหาและทิฐิก็ดี ความโกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา และ
                          ความสงสัยก็ดี ที่พระสมณะตรัสแล้ว เกิดจากอะไร ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวสุขเวทนาและทุกขเวทนาใดว่า เป็น
                          ความยินดีและความไม่ยินดีในโลก ความพอใจย่อมเกิด
                          เพราะอาศัยสุขเวทนาและทุกขเวทนานั้น สัตว์ในโลก เห็น
                          ความเสื่อมไปและความเกิดขึ้นในรูปทั้งหลายแล้ว ย่อม
                          กระทำการวินิจฉัย ความโกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา และ
                          ความสงสัยธรรมแม้เหล่านี้ เมื่อความยินดีและความไม่ยินดี
                          ทั้งสองอย่างนั่นแหละมีอยู่ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ บุคคลผู้มีความ
                          สงสัยพึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ ท่านผู้เป็นสมณะรู้แล้ว จึง
                          กล่าวธรรมทั้งหลาย ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
                          ความยินดีและความไม่ยินดี มีอะไรเป็นเหตุ เมื่อธรรมอะไร
                          ไม่มี ธรรมเหล่านี้จึงไม่มี ขอพระองค์จงตรัสบอกอรรถ คือ
                          ทั้งความเสื่อมไปและทั้งความเกิดขึ้น (แห่งความยินดีและ
                          ความไม่ยินดี) นี้ว่า มีสิ่งใดเป็นเหตุแก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ความยินดี ความไม่ยินดี มีผัสสะเป็นเหตุ เมื่อผัสสะไม่มี
                          ธรรมเหล่านี้จึงไม่มี เราขอบอกอรรถ คือ ทั้งความเสื่อมไป
                          และทั้งความเกิดขึ้นนี้ ว่ามีผัสสะนี้เป็นเหตุแก่ท่าน ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
                          ผัสสะในโลกเล่า มีอะไรเป็นเหตุ อนึ่ง ความหวงแหนเกิด
                          จากอะไร เมื่อธรรมอะไรไม่มี ความถือว่าสิ่งนี้เป็นของเราจึง
                          ไม่มี เมื่อธรรมอะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ผัสสะอาศัยนามและรูปจึงเกิดขึ้น ความหวงแหนมีความ
                          ปรารถนาเป็นเหตุ เมื่อความปรารถนาไม่มี ความถือว่าสิ่งนี้
                          เป็นของเราจึงไม่มี เมื่อรูปไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
                          เมื่อบุคคลปฏิบัติอย่างไร รูปจึงไม่มี อนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี
                          อย่างไรจึงไม่มี ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอาการที่รูปและสุข
                          ทุกข์นี้ไม่มีแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์มีใจดำริว่า เราควรรู้
                          ความข้อนั้น ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          บุคคลเป็นผู้ไม่มีสัญญาด้วยสัญญาเป็นปรกติ เป็นผู้ไม่มี
                          สัญญาด้วยสัญญาอันผิดปรกติ เป็นผู้ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เป็น
                          ผู้มีสัญญาว่าไม่มีก็มิใช่ เมื่อบุคคลปฏิบัติแล้วอย่างนี้ รูปจึง
                          ไม่มี เพราะว่าธรรมเป็นส่วนแห่งความเนิ่นช้า มีสัญญา
                          เป็นเหตุ ฯ
             พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
                          ข้าพระองค์ได้ถามความข้อใดกะพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรง
                          แสดงความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอถามความ
                          ข้ออื่นกะพระองค์ ขอเชิญพระองค์ตรัสบอกความข้อนั้นเถิด
                          ก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตพวกหนึ่งในโลกนี้ ย่อมกล่าว
                          ความบริสุทธิ์ของสัตว์ว่าเป็นยอดด้วยเหตุเพียงเท่านี้ หรือว่า
                          ย่อมกล่าวความบริสุทธิ์อย่างอื่นอันยิ่งไปกว่ารูปสมาบัตินี้ ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า)
                          เป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็นความ
                          บริสุทธิ์ของสัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์ผู้มี
                          วาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดใน
                          อนุปาทิเสสนิพพาน ย่อมโต้เถียงสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่า
                          เที่ยงเหล่านั้นแหละ ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคลเจ้าทิฐิเหล่า
                          นั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ ท่านผู้เป็นมุนีนั้น
                          เป็นนักปราชญ์ พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรม
                          โดยลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็นต้น หลุดพ้น
                          แล้ว ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิด
                          บ่อยๆ ฯ
จบกลหวิวาทสูตรที่ ๑๑
จูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๑๐๓๓๔-๑๐๔๑๙ หน้าที่ ๔๔๗-๔๕๑. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=10334&Z=10419&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=25&item=418&items=1&mode=bracket              อ่านโดยใช้เนื้อความเป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=25&item=418&items=1              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=25&item=418&items=1&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรโรมัน :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_item.php?book=25&item=418&items=1&mode=bracket              ศึกษาอรรถกถานี้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=418              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ https://84000.org/tipitaka/read/?index_25 https://84000.org/tipitaka/english/?index_25

อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]