ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับภาษาไทย   บาลีอักษรไทย   บาลีอักษรโรมัน 
แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๒๔
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธวรรคที่ ๑
พุทธาปทานที่ ๑
ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
[๑] พระอานนท์เวเทหมุนี มีอินทรีย์สำรวมแล้วได้ทูลถามพระตถาคตผู้ประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวันว่า ได้ทราบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้ามีจริงหรือ เพราะเหตุไรจึงได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์? ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะว่า ชนเหล่าใด สร้างสมกุศลสมภารในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ยังไม่ได้โมกขธรรมใน ศาสนาของพระชินเจ้า ชนเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์โดยมุข คือ การ ตรัสรู้นั้นแล แม้มีอัธยาศัย มีกำลังมาก มีปัญญาแก่กล้า ย่อมได้บรรลุ ความเป็นพระสัพพัญญูด้วยเหตุแห่งปัญญา แม้เราเป็นธรรมราชาผู้สมบูรณ์ ด้วยบารมี ๓๐ ทัศ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ นับไม่ถ้วน นมัสการพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพร้อมด้วยสงฆ์ด้วย นิ้วทั้ง ๑๐ แล้วกราบไหว้สัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด ทั้งหลายด้วยเศียรเกล้า รัตนะทั้งที่มีในอากาศและอยู่ที่พื้นดิน ในพุทธ- เขต มีประมาณเท่าใด เราจักนำรัตนะทั้งหมดนั้นมาด้วยใจ ณ พื้นที่เป็น รูปิยะนั้น เราได้นิรมิตปราสาทหลายชั้น อันสำเร็จด้วยรัตนะ สูง ตระหง่านจรดฟ้า มีเสาอันวิจิตร ได้สัดส่วน จัดไว้ดี ควรค่ามาก มี คันทวยทำด้วยทองคำ ประดับด้วยนกกระเรียนและฉัตร พื้นชั้นแรกเป็น แก้วไพฑูรย์ งามปราศจากมลทิน ไม่มีฝ้า เกลื่อนกลาดด้วยดอกบัวหลวง มีพื้นทองคำอย่างดี พื้นบางชั้นมีสีดังแก้วประพาฬ เป็นกิ่งน่ารื่นเริง บาง ชั้นแดงงาม บางชั้นเปล่งรัศมี ดังสีแมลงค่อมทอง บางชั้นสว่างทั่วทิศ ในปราสาทนั้น มีศาลาสี่หน้ามุข มีประตูหน้าต่างจัดไว้เรียบร้อย มีชุกชี และหลุมตาข่ายสี่แห่ง มีพวงมาลัยหอมน่ารื่นรมย์ใจห้อยอยู่ ยอด ปราสาทนั้นประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว ดำล้วน ประกอบด้วยยอดเรือนชั้นเยี่ยม มีสระประทุมชูดอกบานสะพรั่ง งามด้วยฝูงเนื้อและนก บางชั้นดาดาษด้วยดาวนักษัตร ประดับด้วยรูป ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ปกคลุมด้วยพวงดอกไม้ทอง ดาดาษด้วยตาข่าย ทองน่ารื่นรมย์ ห้อยย้อยด้วยกระดิ่งทอง เปล่งเสียงด้วยกำลังลม ปรา- สาทนั้นวิจิตรด้วยธงสีต่างๆ คือ ธงสีชมพู สีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีทอง ปักไว้เป็นระเบียบ แผ่นกระดานต่างๆ มากหลายร้อย ทำ ด้วยเงิน ทำด้วยแก้วมณี ทับทิม ทำด้วยแก้วมรกต วิจิตรด้วยที่นอน ต่างๆ ลาดด้วยผ้าเมืองกาสีละเอียดอ่อน เราปูลาดเครื่องลาดต่างๆ ด้วยผ้ากัมพล ผ้าทุกุลพัสตร์ ผ้าเมืองจีน ผ้าเมืองแขก และผ้าห่มเหลือง ทุกแห่ง ด้วยใจ ที่พื้นนั้นๆ ประดับด้วยยอดแก้ว คนหลายร้อยยืน ถือประทีปแก้วมณีอันส่งแสงเรืองอยู่ เสาระเนียด เสาซุ้มประตู ทำด้วย ทองชมพูนุท ไม้แก่นและเงินบ้าง มีที่ต่อหลายแห่ง จัดไว้เรียบดี วิจิตร ด้วยบานประตูและกลอน ย่อมยังปราสาทให้งาม สองข้างปราสาทนั้น มีกระถางน้ำเต็มเปี่ยมหลายกระถาง ปลูกบัวหลวงและอุบลไว้เต็ม เรา นิรมิตพระพุทธเจ้าในอดีต ผู้เป็นนายกของโลกทุกพระองค์ พร้อมด้วย พระสงฆ์สาวก ด้วยวรรณและรูปตามปกติ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พร้อมด้วยพระสาวกเข้าไปทางประตูนั้น หมู่พระอริยเจ้านั่งบนตั่งอันทำ ด้วยทองคำล้วนๆ พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก มีอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี เป็นอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ทุกพระองค์ได้ขึ้นปราสาทของเรา พระสยัมภู ปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อย ผู้ไม่พ่ายแพ้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ขึ้น ปราสาทของเราทั้งหมด ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งเป็นของทิพย์และของมนุษย์ มีมาก เรานำเอาผ้าทุกอย่างจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น มาทำไตรจีวรถวายให้ ท่านเหล่านั้นครอง ของเคี้ยว ของฉัน ของลิ้ม น้ำและข้าวมีสมบูรณ์ เราใส่อาหารเต็มบาตรงามทำด้วยมณีแล้วถวายพระอริยเจ้าทั้งผองครองผ้า ทิพย์ ครองจีวรเนื้อเกลี้ยงอิ่มหนำสำราญด้วยน้ำตาลกรวด น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยรสหวานฉ่ำและด้วยข้าวปายาส หมู่อริยเจ้าเหล่านี้เข้าห้องแก้ว สำเร็จสีหไสยาบนที่นอนอันควรค่ามาก ดังไกรสรีนอนในถ้ำที่อยู่ รู้สึกตัว ลุกขึ้นนั่งคู้บัลลังก์บนที่นอน เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความยินดีในฌานอัน เป็นโคจรของพุทธเจ้าทุกพระองค์ บางพวกแสดงธรรม บางพวกเข้าฌาน ด้วยฤทธิ์ บางพวกเข้าอัปปนาฌาน และบางพวกอบรมอภิญญาวสี บาง พวกแผลงฤทธิ์ คนเดียวเป็นได้หลายร้อยหลายพัน แม้พระพุทธเจ้าก็ถาม ปัญหาอันเป็นอารมณ์ คือ วิสัยของพระสัพพัญญูกะพระพุทธเจ้า ท่าน เหล่านั้น ย่อมตรัสรู้เหตุอันละเอียดลึกซึ้งด้วยพระปัญญา พระสาวกทูล ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสาวก ท่านเหล่านั้นถามกัน และกัน และพยากรณ์กันและกัน พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกต่างเป็นศิษย์ ท่านเหล่านั้นรื่นรมย์อยู่ด้วยความยินดีอย่างนี้ อภิรมย์อยู่ในปราสาทของเรา ฉัตรและฉัตรซ้อน มีรัศมีดังไม้ไผ่แก้วตั้งไว้ ทุกๆ องค์ทรงไว้ซึ่งฉัตรอันห้อยย้อยด้วยตาข่ายทอง ขจิตด้วยตาข่ายเงิน วงรอบด้วยตาข่ายมุกดา บนเศียรมีเพดานผ้า แวววาวด้วยดาวทอง งดงาม ดาดาษด้วยพวงมาลัยทุกๆ องค์ ทรงไว้รอบๆ ฉัตรดาดาษด้วยพวงมาลัย งามด้วยพวงดอกไม้หอม เกลื่อนด้วยพวงผ้า ประดับด้วยพวงแก้ว เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้ งดงามยิ่งนัก รมด้วยของหอมน่าพอใจ ทำด้วย ของหอมยาวห้านิ้ว มุงด้วยเครื่องมุงทอง ในสี่ทิศแห่งปราสาท มีสระ อันดาดาษด้วยปทุมและอุบล หอมตลบด้วยเกสรดอกปทุม ปรากฏ ดังสีทองคำ โดยรอบปราสาท มีต้นไม้ทุกชนิด ดอกบานสะพรั่ง และ ดอกไม้หล่นลงเอง เรี่ยรายอยู่ยังปราสาท ใกล้ๆ ปราสาทนั้นมีฝูงนกยูง รำแพนหาง ฝูงหงส์ทิพย์ส่งเสียง ฝูงนกการวิกขับขาน หมู่นกร้องอยู่ โดยรอบปราสาท เสียงกลองเภรีทุกอย่างจงเป็นไป เสียงพิณทุกชนิดจง ดีด เสียงสังคีตทุกอย่างจงขับขาน โดยรอบปราสาท ขอบัลลังก์ทองใหญ่ สมบูรณ์ด้วยรัศมี ไม่มีช่องประดับด้วยแก้ว จงตั้งอยู่ ในกำหนดพุทธเขต และในหมื่นจักรวาล ขอต้นไม้ประจำทวีปจงรุ่งเรือง เป็นไม้สว่างไสว เช่นเดียวกัน สืบต่อกันไปตั้งหมื่นต้น หญิงเต้นรำ หญิงขับร้อง จงเต้นรำ ขับร้อง หมู่นางอัปสรผู้มีอวัยวะต่างๆ กัน จงปรากฏ (ฟ้อน) อยู่โดย รอบปราสาท เราให้ชักธงทุกชนิดมีห้าสีงามวิจิตรขึ้นอยู่บนยอดไม้ ยอด ภูเขา และบนยอดสิเนรุ หมู่ชน ฝูงนาค คนธรรพ์ และเทวดาทุกท่าน นั้น จงมาประนมหัตถ์นมัสการเรา แวดล้อมปราสาทอยู่ กุศลกรรมอย่าง ใดอย่างหนึ่ง เป็นกิริยาที่เราพึงทำด้วยกาย วาจา และใจ กุศลกรรมนั้นเรา ทำแล้วไปในไตรทศ สัตว์เหล่าใดมีสัญญา และสัตว์เหล่าใดไม่มีสัญญา มีอยู่ ขอสัตว์ทั้งหมดนั้นจงเป็นผู้มีส่วนแห่งผลบุญ ที่เราทำแล้ว สัตว์ เหล่าใดทราบบุญที่เราทำแล้ว เราให้ผลบุญแก่สัตว์เหล่านั้น บรรดาสัตว์ เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดไม่รู้ ขอทวยเทพจงไปบอกแก่สัตว์เหล่านั้น ปวง สัตว์ในโลกผู้อาศัยอาหารเป็นอยู่ทุกจำพวก ขอจงได้อาหารอันพึงใจ ด้วย ใจของเรา เรามีใจเลื่อมใสในทานที่เราให้แล้วด้วยใจอันผ่องใส เราบูชา พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้ว บูชาแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะกุศลกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น และเพราะความปรารถนาแห่งใจ เราละ กายมนุษย์แล้ว ได้ไปยังดาวดึงส์พิภพ เราย่อมรู้ทั่วความเป็นเทวดาและ มนุษย์ในสองภพ ย่อมไม่รู้จักคติอื่น นี้เป็นผลแห่งความปรารถนาด้วยใจ เราเป็นใหญ่กว่าเทวดา เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ ไม่มีใครเสมอเราด้วยปัญญา โภชนะต่างๆ อย่างประเสริฐ และรัตนะ มากมาย ผ้าต่างชนิด ย่อมจากฟ้ามาหาเราพลัน เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า อาหารทิพย์ย่อมมาหาเรา เอง เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและ ในป่า รัตนะทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ของหอมทุกชนิดย่อมมาหาเราเอง เราชี้มือไปในที่ใด คือที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ยวดยานทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ดอกไม้ทุกชนิดย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปใน ที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า เครื่องประดับ ย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ปวงนางกัญญาย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่ แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด ย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ใน น้ำและในป่า ของเคี้ยวทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราได้ให้ทานอันประเสริฐ นั้นในคนไม่มีทรัพย์ คนเดินทางไกล ยาจก และคนเดินทางเปลี่ยว เพื่อต้องการบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ เรายังภูเขาหินให้บันลืออยู่ ยังเขาอันแน่นหนาให้กระหึ่มอยู่ ยังมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลกให้ร่าเริง อยู่ จะเป็นพระพุทธเจ้าในโลก ทิศ ๑๐ มีอยู่ในโลก ที่สุดไม่มีแก่บุคคล ผู้ไปอยู่ ก็ในทิศาภาคนั้น พุทธเขตนับไม่ได้ รัศมีของเราปรากฏเปล่ง ออกเป็นคู่ๆ ข่าย (หมู่,คู่) รัศมีมีอยู่ในระหว่างนี้ เราเป็นผู้มีแสง สว่างมาก ปวงชนในโลกธาตุประมาณเท่านี้จงเห็นเรา จงมีใจยินดีทั้ง หมดเทียว จงประพฤติตามเราทั้งหมด เราตีกลองอมฤต มีเสียงบันลือ ไพเราะสละสลวย ปวงชนในระหว่างนี้ จงได้ยินเสียงอันไพเราะของเรา เมื่อฝนคือธรรมเทศนาตกลง ปวงชนจงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ บรรดาชน เหล่านั้น สัตว์ผู้เกิดสุดท้ายภายหลัง จงเป็นพระโสดาบัน เราให้ทานที่ ควรให้แล้ว บำเพ็ญศีลโดยไม่เหลือ ถึงที่สุดเนกขัมมบารมีแล้ว พึงได้ บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เราเรียนถามบัณฑิตแล้ว ทำความเพียรอย่าง สูงสุด ถึงที่สุดขันติบารมีแล้ว พึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เรา กระทำอธิษฐานจิตมั่นคงแล้ว บำเพ็ญสัจจบารมีถึงที่สุด เมตตาบารมีแล้ว พึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เราเป็นผู้มีใจเสมอในอารมณ์ทั้งปวง คือ ในลาภ ความเสื่อมลาภ สุข ทุกข์ สรรเสริญ และนินทา พึง ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ท่านทั้งหลายเห็นความเกียจคร้านโดยเป็น ภัย และเห็นความเพียรโดยความเกษมแล้ว จงปรารภความเพียร นี้เป็น อนุศาสนีของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นความวิวาทโดยเป็นภัย และ เห็นความไม่วิวาทโดยเกษมแล้ว จงสมัครสมานกัน กล่าววาจาอ่อนหวาน แก่กัน นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นความประมาท โดยเป็นภัย และเห็นความไม่ประมาทโดยเกษมแล้ว จงอบรมอัฏฐังคิกมรรค นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย มาประชุมกันอยู่มาก ทุกประการ ท่านทั้งหลายจงกราบไหว้นมัสการพระ- สัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ พระพุทธเจ้า (และ) ธรรมของพระพุทธเจ้า ใครๆ ไม่อาจคิดได้ เมื่อบุคคลเลื่อมใสใน พระพุทธเจ้าและพระธรรม อันใครๆ ไม่อาจคิดได้ ย่อมมีผลอันใครๆ คิดไม่ได้. ทราบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคจะทรงให้ท่านพระอานนท์รู้พระพุทธจิตของพระองค์ จึง ได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อพุทธาปนิยะ ด้วยประการฉะนี้.
พุทธาปทานจบบริบูรณ์.
-----------------------------------------------------
ปัจเจกพุทธาปทานที่ ๒
ว่าด้วยการให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
[๒] ลำดับนี้ ขอฟังปัจเจกพุทธาปทาน พระอานนท์เวเทหมุนี ผู้มีอินทรีย์อัน สำรวมแล้ว ได้ทูลถามพระตถาคต ผู้ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันว่า ทราบด้วยเกล้าฯ ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีจริงหรือ เพราะเหตุไรท่าน เหล่านั้นจึงได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นนักปราชญ์? ในกาลครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคสัพพัญญูผู้ประเสริฐ แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสตอบท่าน พระอานนท์ผู้เจริญ ด้วยพระสุรเสียงไพเราะว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า สร้างบุญในพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังไม่ได้โมกขธรรมในศาสนาของพระชิน เจ้า ด้วยมุข คือ ความสังเวชนั้นแล ท่านเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์ มีปัญญาแก่กล้า ถึงจะเว้นพระพุทธเจ้าก็ย่อมบรรลุปัจเจกโพธิญาณได้ แม้ด้วยอารมณ์นิดหน่อย ในโลกทั้งปวง เว้นเราแล้ว ไม่มีใครเสมอ พระปัจเจกพุทธเจ้าเลย เราจักบอกคุณเพียงสังเขปนี้ ของท่านเหล่านั้น ท่านทั้งหลาย จงฟังคุณของพระมหามุนีให้ดี ท่านทั้งปวงปรารถนานิพพาน อันเป็นโอสถวิเศษ จงมีจิตผ่องใส ฟังถ้อยคำดี อันอ่อนหวานไพเราะ ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสรู้เอง คำพยากรณ์โดยสืบๆ กันมาเหล่าใด ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มาประชุมกัน โทษ เหตุ ปราศจากราคะ และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย บรรลุโพธิญาณด้วย ประการใด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีสัญญาในวัตถุอันมีราคะว่า ปราศจากราคะ มีจิตปราศจากกำหนัดในโลกอันกำหนัด ละธรรมเครื่อง เนิ่นช้า การแพ้และความดิ้นรน แล้ว จึงบรรลุปัจเจกโพธิญาณ ณ สถานที่ เกิดนั้นเอง ท่านวางอาญาในสรรพสัตว์ ไม่เบียดเบียนแม้ผู้หนึ่งในสัตว์ เหล่านั้น มีจิตประกอบด้วยเมตตา หวังประโยชน์เกื้อกูล เที่ยวไปผู้เดียว เปรียบเหมือนนอแรด ฉะนั้น ท่านวางอาญาในปวงสัตว์ ไม่เบียดเบียน แม้ผู้หนึ่งในสัตว์เหล่านั้น ไม่ปรารถนาบุตร ที่ไหนจะปรารถนาสหาย เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ความเสน่หาย่อมมีแก่บุคคล ผู้เกิดความเกี่ยวข้อง ทุกข์ที่อาศัยความเสน่หานี้มีมากมาย ท่านเล็งเห็น โทษอันเกิดแต่ความเสน่หา จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ผู้มีจิตพัวพัน ช่วยอนุเคราะห์มิตรสหาย ย่อมทำตนให้เสื่อมประโยชน์ ท่านมองเห็นภัยนี้ ในความสนิทสนม จึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ความเสน่หาในบุตรและภรรยา เปรียบเหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยว กันอยู่ ท่านไม่ข้องในบุตรและภริยา ดังหน่อไม้ไผ่ เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านเป็นวิญญูชนหวังความเสรี จึงเที่ยวไป ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น เหมือนเนื้อที่ไม่ถูกผูกมัด เที่ยวหาเหยื่อ ในป่าตามความปรารถนา ฉะนั้น ต้องมีการปรึกษากันในท่ามกลางสหาย ทั้งในที่อยู่ ที่บำรุง ที่ไป ที่เที่ยว ท่านเล็งเห็นความไม่โลภ ความเสรี จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น การเล่น (เป็น) ความยินดี มีอยู่ในท่ามกลางสหาย ส่วนความรักในบุตรเป็นกิเลสใหญ่ ท่านเกลียด ความวิปโยคเพราะของที่รัก จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านเป็นผู้แผ่เมตตาไปในสี่ทิศ และไม่โกรธเคือง ยินดีด้วยปัจจัยตามมี ตามได้ เป็นผู้อดทนต่อมวลอันตรายได้ ไม่หวาดเสียว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น แม้บรรพชิตบางพวก และพวกคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน สงเคราะห์ได้ยาก ท่านเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยในบุตรคนอื่น จึงเที่ยว ไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านปลงเครื่องปรากฏ (ละเพศ) คฤหัสถ์ กล้าหาญ ตัดกามอันเป็นเครื่องผูกของคฤหัสถ์ เปรียบเหมือน ไม้ทองหลางมีใบขาดหมด เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ถ้า จะพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน อยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ พึงครอบงำอันตรายทั้งสิ้นเสียแล้ว พึงดีใจ มีสติเที่ยว ไปกับสหายนั้น ถ้าจะไม่ได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน อยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนพระราชาทรง ละแว่นแคว้นที่ทรงชนะแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว ดังช้างมาตังคะ ละโขลง อยู่ในป่า ความจริง เราย่อมสรรเสริญสหายสมบัติ พึงซ่องเสพสหายที่ ประเสริฐกว่า หรือที่เสมอกัน (เท่านั้น) เมื่อไม่ได้สหายเหล่านี้ ก็พึง คบหากับกรรมอันไม่มีโทษ เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่าน เห็นกำไลมือทองคำอันผุดผ่องที่นายช่างทองทำสำเร็จสวยงาม กระทบกัน อยู่ที่แขนทั้งสอง จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น การเปล่ง วาจา หรือวาจาเครื่องข้องของเรานั้น พึงมีกับเพื่อนอย่างนี้ ท่านเล็งเห็น ภัยนี้ต่อไป จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ก็กามทั้งหลายอัน วิจิตร หวาน อร่อย เป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิตด้วยสภาพต่างๆ ท่านเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ความจัญไร หัวฝี อุบาทว์ โรค กิเลสดุจลูกศร และภัยนี้ ท่านเห็น ภัยนี้ในกามคุณทั้งหลาย จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่าน ครอบงำอันตรายแม้ทั้งหมดนี้ คือ หนาว ร้อน ความหิว ความกระหาย ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน แล้วเที่ยวไปผู้เดียว เช่น กับนอแรด ฉะนั้น ท่านเที่ยวไปผู้เดียว เช่นนอแรด เปรียบเหมือน ช้างละโขลงไว้แล้ว มีขันธ์เกิดพร้อมแล้ว มีสีกายดังดอกปทุมใหญ่โต อยู่ในป่านานเท่าที่ต้องการ ฉะนั้น ท่านใคร่ครวญถ้อยคำของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ว่า บุคคลพึงถูกต้องวิมุติอันเกิดเองนี้ มิใช่ ฐานะของผู้ทำความคลุกคลีด้วยหมู่ จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านเป็นไปล่วงทิฏฐิอันเป็นข้าศึก ถึงความแน่นอน มีมรรคอัน ได้แล้ว เป็นผู้มีญาณเกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลอื่นไม่ต้องแนะนำ เที่ยวไป ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านไม่มีความโลภ ไม่โกง ไม่กระหาย ไม่ลบหลู่คุณท่าน มีโมโหดุจน้ำฝาดอันกำกัดแล้ว เป็นผู้ไม่มีตัณหาในโลก ทั้งปวง เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น กุลบุตรพึงเว้นสหาย ผู้ลามก ผู้มักชี้อนัตถะ ตั้งมั่นอยู่ในฐานะผิดธรรมดา ไม่พึงเสพสหาย ผู้ขวนขวาย ผู้ประมาทด้วยตน พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น กุลบุตรพึงคบมิตรผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีคุณยิ่ง มีปฏิภาณ ท่านรู้ ประโยชน์ทั้งหลาย บรรเทาความสงสัยแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับ นอแรด ฉะนั้น ท่านไม่พอใจในการเล่น ความยินดี และกามสุขในโลก ไม่เพ็งเล็งอยู่ คลายยินดีจากฐานะที่ตกแต่ง มีปกติกล่าวคำสัตย์ เที่ยวไป ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านละบุตร ภริยา บิดา มารดา ทรัพย์ ข้าวเปลือก เผ่าพันธ์ และกามทั้งหลายตามที่ตั้งลง เที่ยวไปผู้เดียว เช่น กับนอแรด ฉะนั้น ในความเกี่ยวข้องนี้มีความสุขนิดหน่อย มีความ พอใจน้อย มีทุกข์มากยิ่ง บุรุษผู้มีความรู้ทราบว่า ความเกี่ยวข้องนี้ ดุจลูก ธนู พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น กุลบุตรพึงทำลายสังโยชน์ ทั้งหลาย เปรียบเหมือนปลาทำลายข่าย แล้วไม่กลับมา ดังไฟไหม้เชื้อ ลามไปแล้วไม่กลับมา พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึง ทอดจักษุลง ไม่คะนองเท้า มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว รักษามนัส อัน ราคะไม่ชุ่มแล้ว อันไฟกิเลสไม่เผาลน พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงละเครื่องเพศคฤหัสถ์แล้ว ถึงความตัดถอน เหมือนไม้ทอง กวาวที่มีใบขาดแล้ว นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ไม่พึงทำความกำหนัดในรส ไม่โลเล ไม่ต้อง เลี้ยงผู้อื่น เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก มีจิตไม่ข้องเกี่ยวในสกุล เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงละนิวรณ์เครื่องกั้นจิต ๕ ประการ พึงบรรเทาอุปกิเลสเสียทั้งสิ้น ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิ ตัดโทษ อันเกิดแต่สิเนหาแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงทำสุข ทุกข์ โทมนัสและโสมนัสก่อนๆ ไว้เบื้องหลัง ได้อุเบกขา สมถะ ความหมดจดแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงปรารภ ความเพียรเพื่อบรรลุนิพพาน มีจิตไม่หดหู่ ไม่ประพฤติเกียจคร้าน มี ความเพียรมั่น (ก้าวออก) เข้าถึงด้วยกำลัง เรี่ยวแรง เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ไม่พึงละการหลีกเร้นและฌาน มีปกติประพฤติ ธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นนิตย์ พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย เที่ยว ไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่ ประมาท เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีการสดับ มีสติ มีธรรมอันพิจารณา แล้ว เป็นผู้เที่ยง มีความเพียร เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ไม่พึงสะดุ้งในเพราะเสียง ดังสีหะ ไม่ขัดข้อง อยู่ในตัณหาและทิฏฐิ เหมือนลมไม่ติดตาข่าย ไม่ติดอยู่ในโลก ดุจดอกปทุม ไม่ติดน้ำ พึง เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงเสพเสนาสนะอันสงัด เหมือนราชสีห์มีเขี้ยวเป็นกำลัง เป็นราชาของเนื้อ มีปกติประพฤติข่มขี่ ครอบงำ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงเจริญเมตตา วิมุติ กรุณาวิมุติ มุทิตาวิมุติ และอุเบกขาวิมุติทุกเวลา ไม่พิโรธด้วย สัตว์โลกทั้งปวง เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงละราคะ โทสะและโมหะ พึงทำลายสังโยชน์ทั้งหลายเสีย ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้น ชีวิต พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ชนทั้งหลายมีเหตุ เป็นประโยชน์ จึงคบหาสมาคมกัน มิตรทั้งหลายไม่มีเหตุ หาได้ยากใน วันนี้ มนุษย์ทั้งหลายมีปัญญามองประโยชน์ตน ไม่สะอาด พึงเที่ยวไป ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงมีศีลบริสุทธิ์ มีปัญญาหมดจดดี มีจิตตั้งมั่น ประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา มีปกติเห็นธรรม วิเศษ พึงรู้แจ้งธรรมอันสัมปยุตด้วยองค์มรรคและโพชฌงค์ (พึงรู้แจ้ง องค์มรรคและโพชฌงค์) นักปราชญ์เหล่าใดเจริญสุญญตวิโมกข์ อนิมิตต- วิโมกข์ และอัปปณิหิตวิโมกข์ ไม่บรรลุความเป็นพระสาวกในศาสนา พระชินเจ้า นักปราชญ์เหล่านั้นย่อมเป็นพระสยัมภูปัจเจกพุทธเจ้า มีธรรม ใหญ่ มีธรรมกายมาก มีจิตเป็นอิสระ ข้ามห้วงทุกข์ ทั้งมวลได้ มีจิต โสมนัส มีปกติเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง เปรียบดังราชสีห์ เช่นกับนอแรด พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ มีอินทรีย์ระงับ มีใจสงบ มีจิตมั่นคง มีปกติ ประพฤติด้วยความกรุณาในสัตว์เหล่าอื่น เกื้อกูลแก่สัตว์ รุ่งเรืองในโลกนี้ และโลกหน้า เช่นกับประทีป ปฏิบัติเป็นประโยชน์แก่สัตว์ พระปัจเจก พุทธเจ้าเหล่านี้ ละกิเลสเครื่องกั้นทั้งปวงหมดแล้ว เป็นจอมแห่งชน เป็นประทีปส่องโลกให้สว่าง เช่นกับรัศมีแห่งทองชมพูนุท เป็นทักขิไณย- บุคคลชั้นดีของโลก โดยไม่ต้องสงสัย บริบูรณ์อยู่เนืองนิตย์ คำสุภาษิต ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นไปในโลกทั้งเทวโลก ชน เหล่าใดผู้เป็นพาลได้ฟังแล้ว ไม่ทำเหมือนดังนั้น ชนเหล่านั้นต้องเที่ยว ไปในสังขารทุกข์บ่อยๆ คำสุภาษิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็น คำไพเราะ ดังน้ำผึ้งรวงอันหลั่งออกอยู่ ชนเหล่าใดได้ฟังแล้ว ประกอบ การปฏิบัติตามนั้น ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มีปัญญา เห็นสัจจะ คาถาอัน โอฬารอันพระปัจเจกพุทธชินเจ้าออกบวชกล่าวแล้ว คาถาเหล่านั้น พระตถาคตผู้สีหวงศ์ศากยราชผู้สูงสุดกว่านรชน ทรงประกาศแล้ว เพื่อให้ รู้แจ้งธรรม คาถาเหล่านี้ พระปัจเจกเจ้าเหล่านั้นรจนาไว้อย่างวิเศษ เพื่อ ความอนุเคราะห์โลก อันพระสยัมภูผู้สีหะทรงประกาศแล้ว เพื่อยังความ สังเวช การไม่คลุกคลีและปัญญาให้เจริญ ฉะนี้แล.
จบ ปัจเจกพุทธาปทาน
จบ อปาทานที่ ๒
-----------------------------------------------------
สารีปุตตเถราปทานที่ ๓ (๑)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระสารีบุตร
ลำดับนี้เชิญฟังเถราปทาน [๓] ในที่ไม่ไกลแต่หิมวันตประเทศ มีภูเขาชื่อลัมพกะเราสร้างอาศรมไว้อย่างดี สร้างบรรณศาลาไว้ใกล้ภูเขานั้น อาศรมของเราไม่ไกลจากฝั่งแม่น้ำอันไม่ลึก มีท่าน้ำราบเรียบเป็นที่รื่นรมย์ใจ เกลื่อนกล่นด้วยหาดทรายขาวสะอาด ที่ ใกล้อาศรมของเรานั้น มีแม่น้ำไม่มีก้อนกรวด ตลิ่งไม่ชัน น้ำจืดสนิท ไม่มีกลิ่นเหม็น ไหลไป ทำให้อาศรมของเรางาม ฝูงจระเข้ มังกร ปลา ฉลามและเต่า ว่ายน้ำเล่นอยู่ในแม่น้ำไหลไป ณ ที่ใกล้อาศรมของเรา ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ฝูงปลาสลาด ปลากระบอก ปลาสวาย ปลา เค้า ปลาตะเพียน ปลานกกระจอก ว่ายโลดกระโดดอยู่ ย่อมทำอาศรม ของเราให้งาม ที่สองฝั่งแม่น้ำ มีหมู่ไม้ดอก หมู่ไม้ผล ห้อยย้อมอยู่ ทั้งสองฝั่ง ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ไม้มะม่วง ไม้รัง หมากเม่า แคฝอย ไม้ยางทราย ส่งกลิ่นหอมอบอวลอยู่เป็นนิจ บานอยู่ใกล้อาศรม ของเรา ไม้จำปา ไม้อ้อยช้าง ไม้กระทุ่ม กถินพิมาน บุนนาค และ ลำเจียกมีกลิ่นหอมฟุ้งไปเป็นนิจ บานสะพรั่งอยู่ใกล้อาศรมของเรา ไม้ ลำดวน ต้นอโศก ดอกกุหลาบ บานสะพรั่ง อยู่ใกล้อาศรมของเรา ไม้บรู และมะกล่ำหลวง ดอกบานสะพรั่งอยู่ใกล้อาศรมของเรา การะเกด พยอมขาว พิกุล และมะลิซ้อน มีดอกหอมอบอวล ทำอาศรมของเรา ให้งาม ไม้เจตภังคี ไม้กรรณิการ์ ไม้ประดู่ และไม้อัญชัน มีมาก มีดอกหอมฟุ้งทำให้อาศรมของเรางาม มะนาว มะงั่ว และแคฝอย ดอก- บานสะพรั่งหอมตลบอบอวล ทำอาศรมของเราให้งาม ไม้ราชพฤกษ์อัญชัน เขียว ไม้กระทุ่มและพิกุลมีมาก ดอกหอมฟุ้งไป ทำอาศรมของเราให้งาม ถั่วดำ ถั่วเหลือง กล้วยและมะกรูด งอกงามด้วยน้ำหอม ออกผลสะพรั่ง ดอกปทุมอย่างอื่นบานเบ่ง ดอกบัวชนิดอื่นก็เกิดขึ้น บัวหลวงชนิดหนึ่ง ดอกร่วงพรู บานอยู่ในบึงกาลนั้น กอปทุมมีดอกตูม เหง้าบัวเลื้อยไป เสมอ กระจับเกลื่อนด้วยใบ งามอยู่ในบึงในกาลนั้น ไม้ตาเสือ จงกลณี ไม้อุตตรา และชบา กลิ่นหอมตลบไป ดอกบานอยู่ในบึงในกาลนั้น ฝูงปลาสลาด ปลากระบอก ปลาสวาย ปลาเค้า ปลาตะเพียน ปลาสังกุลา และปลารำพัน มีอยู่ในบึงในกาลนั้น ฝูงจระเข้ ปลาฉลาด ปลาฉนาก ผีเสื้อน้ำ และงูเหลือมใหญ่ที่สุด อยู่ในบึงนั้นในกาลนั้น ฝูงนกคับแค นกเป็ดน้ำ นกจากพราก (ห่าน) นกกาน้ำ นกคุเหว่า และสาลิกา อาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้สระนั้น ฝูงนกกวัก ไก่ป่า ฝูงนกกะลิงป่า นก ต้อยตีวิด นกแขกเต้า ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิต อยู่ใกล้สระนั้น ฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูง นกแขกเต้า ไก่งวง นกค้อนหอย และนกออก ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิต อยู่ใกล้สระนั้น ฝูงนกแสก โปฏฐสีสา นกเขา เหนี่ยว มีมาก และฝูงนกกาน้ำ ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้สระนั้น ฝูง เนื้อฟาน กวาง หมู หมาป่า หมาจิ้งจอกมีอยู่มาก ละมั่ง และเนื้อทราย ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้สระนั้น ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หมาในกับเสือดาว โขลงช้าง แยกเป็นสามพวก อาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้ สระนั้น เหล่ากินร วานรและแม้คนทำการงานในป่า หมาไล่เนื้อ และ นายพราน ก็อาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้สระนั้น ต้นมะพลับ มะหาด มะซาง หมากเม่า เผล็ดผลทุกฤดูกาล อยู่ ณ ที่ใกล้อาศรมของเรา ต้นคำ ต้นสน กระทุ่ม สะพรั่งด้วยผล รสหวาน เผล็ดผลทุกฤดู อยู่ ณ ที่ใกล้อาศรม ของเรา ต้นสมอ มะขามป้อม ต้นหว้า สมอพิเภก กระเบา ไม้รกฟ้า และมะตูม เผล็ดผลเป็นนิตย์ เชือกเขา มันอ้อน ต้นนมแมว มันนก กะเบง และคัดมอน มีอยู่มากมายใกล้อาศรมของเรา ณ ที่ใกล้อาศรม ของเรานั้น มีสระที่ขุดไว้อย่างดี มีน้ำในเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบ เป็นที่รื่นรมย์ใจ ดาดาษด้วยบัวหลวง อุบลและบัวขาว เกลื่อนกลาดด้วย บัวขม บัวเผื่อน กลิ่นหอมตลบไป ในกาลนั้น เราเป็นดาบส ชื่อสุรุจิ เป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยวัตร มีปกติเพ่งฌาน ยินดีในฌานทุกเมื่อ บรรลุ ถึงอภิญญา ๕ และพละ ๕ อยู่ในอาศรมที่สร้างเรียบร้อย น่ารื่นรมย์ ใน ป่าอันบริบูรณ์ด้วยไม้ใบ ไม้ดอก และไม้ผลทุกสิ่งอย่างนี้ ศิษย์ ๒๔,๐๐๐ นี้แล เป็นพราหมณ์ทั้งหมด ผู้มีชาติ มียศ บำรุงเรา มวลศิษย์ของเรานี้ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ในตำราทำนายลักษณะ และในคัมภีร์ อิติหาสะ พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏภะ รู้จบไตรเพท บรรดา ศิษย์ของเราเป็นผู้ฉลาดในลางดีร้าย ในนิมิตดีร้าย และในลักษณะ ทั้งหลาย ศึกษาดี ในพื้นแผ่นดินและในอากาศ ศิษย์เหล่านี้มีความ ปรารถนาน้อย มีปัญญา กินหนเดียว ไม่โลภ สันโดษด้วยลาภและ ความเสื่อมลาภ บำรุงเราทุกเมื่อ เป็นผู้เพ่งฌาน ยินดีในฌาน เป็น นักปราชญ์ มีจิตสงบ ตั้งมั่น ปรารถนาความไม่มีกังวล บำรุงเราอยู่ ทุกเมื่อ เป็นผู้ถึงที่สุดอภิญญา ยินดีในอารมณ์อันเป็นโคจรของบิดา เที่ยวไปในอากาศ เป็นนักปราชญ์ บำรุงเราอยู่ทุกเมื่อ ศิษย์ของเราเหล่านั้น สำรวมในทวารทั้ง ๖ ไม่หวั่นไหว รักษาอินทรีย์ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ เป็นนักปราชญ์ หาผู้อื่นเสมอได้ยาก ศิษย์ของเราเหล่านั้นยับยั้งอยู่ด้วย การนั่งคู้บัลลังก์ การยืนและการเดินตลอดราตรี หาผู้อื่นเสมอได้ยาก มวลศิษย์ของเราไม่กำหนัด ในธรรมเป็นที่ตั้งความกำหนัด ไม่ขัดเคืองใน ธรรมเป็นที่ตั้งความขัดเคือง ไม่หลงในธรรมเป็นที่ตั้งความหลง หาผู้อื่น เสมอได้ยาก ศิษย์เหล่านั้นแผลงฤทธิ์ได้ต่างๆ ประพฤติอยู่เป็นนิตยกาล บันดาลให้แผ่นดินไหวก็ได้ ยากที่ใครๆ จะแข่งได้ ศิษย์เหล่านั้นเข้า ปฐมฌานเป็นต้น พวกหนึ่งไปยังอมรโคยานทวีป พวกหนึ่งไปยังปุพพวิเทห ทวีป พวกหนึ่งไปยังอุตตรกุรุทวีป ไปนำเอาผลหว้ามา ศิษย์ของเรา หา ผู้อื่นเสมอได้ยาก ศิษย์เหล่านั้นส่งหาบไปข้างหน้า ตนไปข้างหลัง ท้องฟ้า เป็นฐานะอันดาบส ๒๔,๐๐๐ ปกปิดแล้ว ศิษย์บางพวกปิ้งให้สุกด้วยไฟกิน บางพวกกินดิบๆ นั่นเอง บางพวกเอาฟันแทะเปลือกออกแล้วกิน บาง พวกซ้อมด้วยครกแล้วกิน บางพวกตำด้วยครกหินกิน บางพวกกินผลไม้ที่ หล่นเอง บางพวกชอบสะอาด ลงอาบน้ำทั้งเวลาเย็นและเช้า บางพวก เอาน้ำรดอาบ ศิษย์ของเราหาผู้อื่นเสมอได้ยาก ศิษย์ของเราปล่อยเล็บมือ เล็บเท้าและขนรักแร้งอกยาว ขี้ฟันเลอะเทอะ มีธุลีบนศีรษะ หอมด้วย กลิ่นศีล หาผู้อื่นเสมอได้ยาก ดาบสทั้งหลายมีตบะแรงกล้า ประชุมกัน ในเวลาเช้าแล้ว ไปประกาศลาภน้อยลาภมากในอากาศในกาลนั้น เมื่อ ดาบสนี้หลีกไป เสียงอันดังย่อมเป็นไป เทวดาทั้งหลายย่อมยินดีด้วยเสียง หนังสัตว์ ฤษีเหล่านั้นกล้าแข็งด้วยกำลังของตน เหาะไปในอากาศ ไปสู่ ทิศน้อยทิศใหญ่ตามปรารถนา ปวงฤาษีนี้แล ทำแผ่นดินให้หวั่นไหว เที่ยวไปในอากาศ มีเดชแผ่ไป ยากที่จะข่มขี่ได้ ดังสาครยากที่ใครๆ จะ ให้ขุ่นได้ ฤาษีศิษย์ของเราบางพวกประกอบการยืนและเดิน บางพวกไม่ นอน บางพวกกินผลไม้ที่หล่นเอง หาผู้อื่นเสมอได้ยาก ท่านเหล่านี้ มี ปกติอยู่ด้วยเมตตาแสวงหาประโยชน์ เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ไม่ยกย่องตน ทั้งหมด ไม่ติเตียนใครๆ ทั้งนั้น เป็นผู้ไม่สะดุ้ง ดังพระยาราชสีห์ มี กำลังเหมือนพระยาคชสาร ยากที่จะข่มได้ ดุจเสือโคร่ง ย่อมมาในสำนัก ของเรา พวกวิชาธร เทวดา นาค คนธรรพ์ ผีเสื้อน้ำ กุมภัณฑ์ อสูร และครุฑ ย่อมอาศัยเลี้ยงชีวิตอยู่ใกล้สระนั้น ศิษย์ของเราเหล่านั้น ทรง ชฎา เลี้ยงชีวิตด้วยผลไม้และเหง้ามัน นุ่งห่มหนังสัตว์ เที่ยวไปในอากาศ ได้ทุกตน อยู่ใกล้สระนั้น ในกาลนั้น ศิษย์เหล่านี้เป็นผู้สมควร มีความ เคารพกันและกัน เสียงไอจามของศิษย์ทั้ง ๒๔,๐๐๐ ย่อมไม่มี ท่านเหล่านี้ ซ้อนเท้าบนเท้า เงียบเสียง สังวรดี เข้ามาไหว้ เราด้วยเศียรเกล้า ทั้งหมดนั้น เราผู้เพ่งฌาน ยินดีในฌาน ห้อมล้อมด้วยศิษย์เหล่านั้น ผู้สงบระงับ มีตบะ อยู่ในอาศรมนั้น อาศรมของเรามีกลิ่นหอมด้วยกลิ่น ศีลของเหล่าฤาษีและด้วยกลิ่นสองอย่าง คือ กลิ่นดอกไม้และกลิ่นผลไม้ เราไม่รู้สึกตลอดคืนตลอดวัน ความไม่ยินดีไม่มีแก่เรา เราสั่งสอนบรรดา ศิษย์ของตน ย่อมได้ความร่าเริงอย่างยิ่ง เมื่อดอกไม้ทั้งหลายบาน และ เมื่อผลไม้ทั้งหลายสุก กลิ่นหอมตลบอบอวล ทำอาศรมของเราให้งาม เราออกจากสมาธิแล้ว มีความเพียร มีปัญญาถือเอาภาระคือหาบ เข้าป่า ในกาลนั้น เราศึกษาชำนาญในลางดีลางร้าย ฝันดีฝันร้าย และตำราทำนาย ลักษณะ ทรงลักษณมนต์อันกำลังเป็นไป พระผู้มีพระภาคพระนามว่า อโนมทัสสี เป็นผู้ประเสริฐในโลก เป็นนระผู้องอาจ ทรงใคร่วิเวก เป็น สัมพุทธเจ้า เข้าไปยังป่าหิมวันต์ พระองค์ผู้เลิศ เป็นมุนีประกอบด้วย กรุณา เป็นอุดมบุรุษ เสด็จเข้าป่าหิมวันต์แล้ว ทรงนั่งคู้บัลลังก์ เราได้ เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีรัศมีสว่างจ้า น่ารื่นรมย์ใจ ดังดอกบัว เขียว ทรงรุ่งเรืองควรบูชา ดังกองไฟ เราได้เห็นพระนายกของโลก ทรงรุ่งโรจน์ดุจดวงไฟ เหมือนสายฟ้าในอากาศ เช่นกับพระยารังมีดอก- บานสะพรั่ง เพราะอาศัยการได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐ เป็นมหาวีระ ทรงทำที่สุดทุกข์ เป็นมุนีนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ครั้นเราได้เห็น พระผู้มีพระภาคผู้เป็นเทวดาล่วงเทวดาแล้ว ได้ตรวจดูลักษณะว่าเป็น พระพุทธเจ้าหรือมิใช่ ผิฉะนั้นเราจะดูพระผู้มีพระภาคผู้มีจักษุ เราได้เห็น จักรมีกำพันหนึ่งที่พื้นฝ่าพระบาท ครั้นได้เห็นพระลักษณะของพระองค์แล้ว จึงถึงความตกลงในพระตถาคตในกาลนั้น เราจับไม้กวาดกวาดที่นั้นแล้ว ได้นำเอาดอกไม้ ๘ ดอกมาบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ครั้นบูชาพระ- พุทธเจ้าผู้ข้ามโอฆะไม่มีอาสวะนั้นแล้ว ทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการพระนายกของโลก พระสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีอาสวะ ทรงอยู่ด้วย พระญาณใด เราจักประกาศพระญาณนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำเรากล่าว พระสยัมภูผู้มีความเจริญมากที่สุด ทรงถอนสัตว์โลกนี้แล้ว สัตว์เหล่านั้น อาศัยการได้เห็นพระองค์ ย่อมข้ามกระแสน้ำคือความสงสัยได้ พระองค์ เป็นพระศาสดา เป็นยอด เป็นธงไชย เป็นหลัก เป็นร่มเงา เป็นที่พึ่ง เป็นประทีปส่องทาง เป็นพระพุทธเจ้าของสัตว์ทั้งหลาย น้ำในสมุทรอาจ ประมาณได้ด้วยมาตราดวง แต่ใครๆ ไม่อาจประมาณพระสัพพัญญุตญาณ ของพระองค์ได้เลย เอาดินมาชั่งดูแล้วอาจประมาณแผ่นดินได้ แต่ใครๆ ไม่อาจประมาณพระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ได้เลย อาจวัดอากาศได้ ด้วยเชือก หรือด้วยนิ้วมือ แต่ใครๆ ไม่อาจประมาณพระสัพพัญญุตญาณ ของพระองค์ได้เลย พึงประมาณลำน้ำในมหาสมุทรและแผ่นดินทั้งหมดได้ แต่จะถือเอาพระพุทธญาณมาประมาณนั้นไม่ควร ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ จิตของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ย่อมเป็นไป สัตว์เหล่านี้เข้าไปภายใน ข่าย คือ พระญาณของพระองค์ พระองค์ทรงบรรลุโพธิญาณอันอุดม สิ้นเชิงด้วยพระญาณใด พระสัพพัญญูก็ทรงย่ำยีอัญเดียรถีย์ด้วยพระญาณ นั้น ท่านสุรุจิ ดาบสกล่าวชมเชยด้วยคาถาเหล่านี้แล้ว ปูลาดหนังเสือ บนแผ่นดินแล้วนั่งอยู่ ท่านกล่าวไว้ในบัดนี้ว่า ขุนเขาสูงสุดหยั่งลงใน ห้วงมหรรณพ ๘๔๐๐๐ โยชน์ ขุนเขาสิเนรุทั้งด้านยาวและด้านกว้าง สูงสุด เพียงนั้น ทำให้ละเอียดได้ด้วยประเภทการนับว่าแสนโกฏิ เมื่อตั้งเครื่อง หมายไว้ พึงถึงความสิ้นไป แต่ใครๆ ไม่อาจประมาณพระสัพพัญญุตญาณ ของพระองค์ได้เลย ผู้ใดพึงเอาข่ายตาเล็กๆ ล้อมน้ำไว้ สัตว์น้ำบางเหล่า พึงเข้าไปภายในข่ายของผู้นั้น ข้าแต่พระมหาวีระ เดียรถีย์ผู้มีกิเลสหนา บางพวกก็ฉันนั้น แล่นไปถือเอาทิฏฐิผิด หลงอยู่ด้วยการลูบคลำ เดียรถีย์ เหล่านี้เข้าไปภายในข่าย ด้วยพระญาณอันบริสุทธิ์อันแสดงว่าไม่มีอะไร ห้ามได้ของพระองค์ ไม่ล่วงพระญาณของพระองค์ไปได้ ก็สมัยนั้น พระผู้ มีพระภาค พระนามว่าอโนมทัสสี ผู้มียศใหญ่ ทรงชำนะกิเลส เสด็จออก จากสมาธิแล้วทรงตรวจดูทิศ พระอัครสาวกนามว่า นิสภะ ของพระมุนี พระนามว่าอโนมทัสสี ทราบพระดำริของพระพุทธเจ้าแล้ว อันพระขีณาสพ หนึ่งแสน ผู้มีจิตสงบระงับ มั่นคง บริสุทธิ์สะอาด ได้อภิญญา ๖ คงที่ แวดล้อมแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้นายกของโลก ท่านเหล่านั้นอยู่ บนอากาศ ได้ทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคแล้วลงมาประนมอัญชลี นมัส- การอยู่ในสำนักพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาค พระนามอโนมทัสสี เชฏฐ- บุรุษของโลก เป็นนระอาจหาญ ทรงชำนะกิเลส ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ ทรงยิ้มแย้ม ภิกษุนามว่าวรุณ อุปัฏฐากของพระศาสดาพระนามว่า อโนมทัสสี ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ทูลถามพระผู้มีพระภาคผู้นายก ของโลกว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรเป็นเหตุให้พระศาสดาทรงยิ้มแย้ม หนอ อันพระพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงยิ้มแย้ม เพราะไม่มีเหตุ พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่าอโนมทัสสีเชษฐบุรุษของโลก เป็นนระองอาจ ประทับนั่ง ในท่ามกลางภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ผู้ใดบูชาเราด้วยดอกไม้ และ เชยชมญาณของเรา เราจักประกาศผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว เทวดาทั้งปวง พร้อมทั้งมนุษย์ ทราบพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสงค์จะฟังพระสัทธรรม จึงพากันมาเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า หมู่ทวยเทพ ผู้มีฤทธิ์มากในหมื่นโลกธาตุ ประสงค์จะฟังพระสัทธรรม จึงพากันมาเฝ้า พระสัมพุทธเจ้า จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ดนตรีหกหมื่น กลองที่ประดับสวยงาม จักบำรุงผู้นี้เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระ- พุทธเจ้า หญิงล้วนแต่สาวๆ หกหมื่น ประดับประดาสวยงาม มีผ้าและ เครื่องอาภรณ์อันวิจิตร สวมแก้วมณี และกุณฑล มีหน้าแฉล้ม ยิ้มแย้ม ตะโพกผายไหล่ผึ่ง เอวเล็กเอวกลม จักห้อมล้อมผู้นี้เป็นนิจ นี้เป็นผล แห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอดแสนกัลป์ จัก ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชในแผ่นดินพันครั้ง จักเป็นจอมเทวดาเสวย ราชสมบัติในเทวโลกพันครั้ง จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับ ไม่ถ้วน ครั้นถึงภพที่สุด ถึงความเป็นมนุษย์ จักคลอดจากครรภ์แห่งนาง พราหมณีชื่อสารี นระนี้จักปรากฏตามชื่อและโคตรของมารดา โดยชื่อว่า สารีบุตร จักมีปัญญาคมกล้า จักเป็นผู้ไม่มีกังวล ละทิ้งทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิแล้วออกบวช จักเที่ยวแสวงหาสันติบททั่วแผ่นดินนี้ สกุล โอกกากะสมภพ ในกัลป์อันประมาณมิได้ แต่กัลป์นี้ พระศาสดาทรง พระนามว่าโคดมโดยพระโคตร จักมีในโลก ผู้นี้จักเป็นโอรสทายาทใน ธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น อันธรรมนิรมิตแล้ว จักได้เป็นพระอัคร สาวกมีนามว่าสารีบุตร แม่น้ำคงคาชื่อภาคีรสีนี้ ไหลมาแต่ประเทศหิมวันต์ ย่อมไหลไปถึงมหาสมุทรยังห้วงน้ำใหญ่ให้เต็ม ฉันใด พระสารีบุตรนี้ก็ ฉันนั้น เป็นผู้อาจหาญ แกล้วกล้าในประเภทสาม ถึงที่สุดแห่งปัญญา บารมี จักยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่มหนำสำราญ ตั้งแต่ภูเขาหิมวันต์จนถึงมหา สมุทรสาคร ในระหว่างนี้ โดยจะนับทรายนั้นนับไม่ถ้วน การนับทราย แม้นั้น ก็อาจนับได้โดยไม่เหลือ ฉันใด ที่สุดแห่งปัญญาของพระสารี- บุตรจักไม่มี ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อตั้งคะแนนไว้ ทรายในแม่น้ำคงคาพึง สิ้นไป ฉันใด แต่ที่สุดแห่งปัญญาของพระสารีบุตรจักไม่เป็นฉันนั้นเลย คลื่นในมหาสมุทรโดยจะนับก็นับไม่ถ้วน ฉันใด ที่สุดแห่งปัญญาของ พระสารีบุตรจักไม่มี ฉันนั้นเหมือนกัน พระสารีบุตร ยังพระสัมพุทธเจ้า ผู้ศากยโคดมสูงสุดให้โปรดปรานแล้ว จักได้เป็นพระอัครสาวกถึงที่สุด แห่งปัญญา จักยังธรรมจักรที่พระผู้มีพระภาคศากยบุตรให้เป็นไปแล้ว ให้ เป็นไปตามโดยชอบ จักยังเมล็ดฝน คือ ธรรมให้ตกลง พระโคดมผู้ ศากยสูงสุดทรงทราบข้อนั้นทั้งมวลแล้ว จักประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งอัครสาวก โอ กุศลกรรมเราได้ทำแล้ว เราได้ ทำการบูชาพระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสีด้วยดอกไม้แล้ว ได้ถึงที่สุด ในที่ทุกแห่ง กรรมที่เราทำแล้วประมาณไม่ได้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ผลแก่เรา ณ ที่นี้ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว เปรียบเหมือนกำลังลูกศรอัน พ้นแล้วด้วยดี เรานี้แสวงหาบทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ดับสนิท ไม่หวั่นไหว ค้นหาลัทธิทั้งปวงอยู่ ท่องเที่ยวไปแล้วในภพ คนเป็นไข้พึงแสวงหาโอสถ ต้องสั่งสมทรัพย์ไว้ทุกอย่างเพื่อพ้นจากความป่วยไข้ ฉันใด เราก็ฉันนั้น แสวงหาบทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ดับสนิท ไม่หวั่นไหว ได้บวชเป็นฤาษี ห้าร้อยครั้งไม่คั่นเลย เราทรงชฎาเลี้ยงชีวิตด้วยหาบคอน นุ่งห่มหนังเสือ ถึงที่สุดอภิญญาแล้ว ได้ไปสู่พรหมโลก ความบริสุทธิ์ในลัทธิภายนอก ไม่มี เว้นศาสนาของพระชินเจ้า สัตว์ผู้มีปัญญาทั้งปวง ย่อมบริสุทธิ์ ได้ในศาสนาของพระชินเจ้า ฉะนั้น เราจึงไม่นำเรานี้ผู้ใคร่ประโยชน์ไปใน ลัทธิภายนอก เราแสวงหาบท อันปัจจัยไม่ปรุงอยู่ เที่ยวไปสู่ลัทธิอันผิด บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ พึงตัดต้นกล้วยแล้วผ่าออก ก็ไม่พึงได้แก่นไม้ใน ต้นกล้วยนั้น เพราะมันว่างจากแก่น ฉันใด คนในโลก ผู้เป็นเดียรถีย์ เป็นอันมาก มีทิฏฐิต่างกัน ก็ฉันนั้น คนเหล่านั้นเป็นผู้ว่างเปล่าจาก อสังขตบท เหมือนต้นกล้วยว่างเปล่าจากแก่น ฉะนั้น ครั้นเมื่อภพถึงที่ สุดแล้ว เราได้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์ เราละทิ้งโภคสมบัติเป็นอันมาก แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต.
จบ ปฐมภาณวาร ฯ
ข้าพระองค์อยู่ในสำนักพราหมณ์นามว่าสัญชัย ซึ่งเป็นผู้เล่าเรียน ทรง จำมนต์ รู้จบไตรเพท ข้าแต่พระมหาวีระ พราหมณ์ชื่ออัสสชิสาวกของ พระองค์ หาผู้เสมอได้ยาก มีเดชรุ่งเรือง เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกาลนั้น ข้าพระองค์ได้เห็นท่านผู้มีปัญญา เป็นมุนี มีจิตตั้งมั่นในความเป็นมุนี มีจิตสงบระงับ เป็นมหานาคแย้มบานดังดอกประทุม ครั้นข้าพระองค์เห็น ท่านผู้มีอินทรีย์ฝึกดีแล้ว มีใจบริสุทธิ์ องอาจประเสริฐ มีความเพียร จึงเกิดความคิดว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระอรหันต์ ท่านผู้นี้มีอิริยาบถน่า เลื่อมใส มีรูปงาม สำรวมดี จักเป็นผู้ฝึกแล้วในอุบายเครื่องฝึกอันสูงสุด จักเป็นผู้เห็นอมตบท ผิฉะนั้น เราเราพึงถามท่านผู้มีใจยินดีถึงประโยชน์ อันสูงสุด หากเราถามแล้ว ท่านจักตอบ เราจักสอบถามท่านอีก ข้าพระองค์ได้ตามไปข้างหลังของท่านซึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาต รอคอย โอกาสอยู่ เพื่อจะสอบถามอมตบท ข้าพระองค์เข้าไปหาท่านซึ่งพักอยู่ใน ระหว่างถนน แล้วได้ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เนียรทุกข์ มีความเพียร ท่าน มีโคตรอย่างไร ท่านเป็นศิษย์ของใคร ท่านอันข้าพระองค์ถามแล้ว ไม่ ครั่นคร้ามดังพระยาไกรสร พยากรณ์ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วใน โลก ฉันเป็นศิษย์ของพระองค์จ๊ะ ท่านผู้มีความเพียรใหญ่ผู้เกิดตามมียศ มาก ศาสนธรรมแห่งพระพุทธเจ้าของท่านเช่นไร ขอได้โปรดบอกแก่ ข้าพเจ้าเถิดท่าน ข้าพระองค์ถามแล้ว ท่านกล่าวบทอันลึกซึ้งละเอียด ทุกอย่าง เป็นเครื่องฆ่าลูกศร คือ ตัณหา เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ ทั้งมวล ว่าธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุแห่ง ธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะเจ้ามีปกติ ตรัสอย่างนี้จ๊ะ เมื่อท่านอัสสชิแก้ปัญหาแล้ว ข้าพระองค์นั้นได้บรรลุผล ที่หนึ่ง เป็นผู้ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เพราะได้ฟังคำสอนของ พระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ได้ฟังคำของท่านมุนีได้เห็นธรรมอันสูงสุด จึง หยั่งลงสู่พระสัทธรรม ได้กล่าวคาถานี้ว่า ธรรมนี้แล เหมือนบทอันมี สภาพเห็นประจักษ์ ไม่มีความโศก ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นล่วงเลยไปแล้ว หลายหมื่นกัลป์ ข้าพระองค์แสวงหาธรรมอยู่ ได้เที่ยวไปในลัทธิผิด ประโยชน์นั้นข้าพระองค์บรรลุแล้ว ไม่ใช่กาลที่เราจะประมาท ข้าพระองค์ อันท่านพระอัสสชิให้ยินดีแล้ว บรรลุบทอันไม่หวั่นไหวแสวงหาสหายอยู่ จึงได้ไปยังอาศรม สหายเห็นข้าพระองค์แต่ไกลทีเดียว อันข้าพระองค์ให้ ศึกษาดีแล้ว ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเป็นผู้มีหน้าและ ตาอันผ่องใส ย่อมจะเห็นความเป็นมุนีแน่ ท่านได้บรรลุอมตบทอันดับ สนิทไม่เคลื่อนแลหรือ ท่านมีรูปงามราวกะว่ามีความไม่หวั่นไหวอันได้ทำ แล้ว มาแล้ว ฝึกแล้วในอุบายอันฝึกแล้ว เป็นผู้สงบระงับแล้วหรือ พราหมณ์ เราได้บรรลุอมตบท อันเป็นเครื่องบรรเทาลูกศร คือ ความโศก แล้ว แม้ท่านก็จงบรรลุอมตบทนั้น เราไปสำนักพระพุทธเจ้ากันเถิด สหายผู้อันข้าพระองค์ให้ศึกษาดีแล้ว รับคำแล้ว ได้จูงมือพากันเข้ามา ยังสำนักของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ศากโยรส แม้ข้าพระองค์ทั้งสอง จักบวชในสำนักของพระองค์ จักขออาศัยคำสอนของพระองค์ เป็นผู้ไม่มี อาสวะอยู่ ท่านโกลิตะเป็นผู้ประเสริฐด้วยฤทธิ์ ข้าพระองค์ถึงที่สุดแห่ง ปัญญา เราทั้งสองจะร่วมกันทำพระศาสนาให้งาม เรามีความดำริยังไม่ถึง ที่สุด จึงเที่ยวไปในลัทธิผิด เพราะได้อาศัยทัสสนะของท่าน ความดำริ ของเราจึงเต็ม ต้นไม้ตั้งอยู่บนแผ่นดิน มีดอกบานตามฤดูกาล ส่งกลิ่น หอมตลบอบอวล ยังสัตว์ทั้งปวงให้ยินดี ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรศากโยรส ผู้มียศใหญ่ ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น ดำรงอยู่ในศาสนธรรมของพระองค์แล้ว ย่อมเบ่งบานในสมัย ข้าพระองค์แสวงหาดอกไม้ คือ วิมุติ เป็นที่พ้น ภพสงสาร ย่อมยังสัตว์ทั้งปวงให้ยินดี ด้วยการให้ได้ดอกไม้ คือ วิมุติ ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ เว้นพระมหามุนีแล้วตลอดพุทธเขต ไม่มีใครเสมอ ด้วยปัญญาแห่งข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นบุตรของพระองค์ ศิษย์และบริษัทของ พระองค์ พระองค์แนะนำดีแล้ว ให้ศึกษาดีแล้ว ฝึกแล้วในอุบายเครื่อง ฝึกจิตอันสูงสุด ย่อมแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ท่านเหล่านั้นเพ่งญาณ ยินดีในญาณ เป็นนักปราชญ์ มีจิตสงบ ตั้งมั่นเป็นมุนี ถึงพร้อมด้วย ความเป็นมุนี ย่อมแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ท่านเหล่านั้นมีความ ปรารถนาน้อย มีปัญญาเป็นนักปราชญ์ มีอาหารน้อย ไม่โลเล ยินดีทั้ง ลาภและความเสื่อมลาภ ย่อมแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ท่านเหล่านั้น ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ยินดีธุดงค์ เพ่งฌาน มีจีวรเศร้าหมอง ยินดียิ่งใน วิเวก เป็นนักปราชญ์ ย่อมแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ท่านเหล่านั้น เป็นผู้ปฏิบัติตั้งอยู่ในผล เป็นพระเสขะ พรั่งพร้อมด้วยผล หวังผล ประโยชน์อันอุดม ย่อมแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ทั้งท่านที่เป็นโสดาบัน ทั้งที่เป็นพระสกทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ปราศจากมลทิน ย่อม แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ สาวกของพระองค์เป็นอันมาก ฉลาดในสติ- ปัฏฐาน ยินดีในโพชฌงคภาวนา ทุกท่าน ย่อมแวดล้อมพระองค์ทุกเมื่อ ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในสมาธิภาวนา หมั่นประกอบ ในสัมมัปปธาน ย่อมแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ท่านเหล่านั้นมีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์ ถึงที่สุดแห่งปัญญา ย่อมแวดล้อมพระองค์ อยู่ทุกเมื่อ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า บรรดาศิษย์ของพระองค์เช่นนี้แลหนอ ศึกษาดีแล้ว หาผู้เสมอได้ยาก มีเดชรุ่งเรืองแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ พระองค์อันศิษย์เหล่านั้นผู้สำรวมแล้ว มีตบะแวดล้อมแล้วไม่ครั่นคร้าม ดังราชสีห์ ย่อมงดงามดุจพระจันทร์ ต้นไม้ตั้งอยู่บนแผ่นดินแล้วย่อม งาม ถึงความไพบูลย์ และย่อมเผล็ดผล ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้ศาก- บุตร ผู้มียศใหญ่ พระองค์เป็นเช่นกับแผ่นดิน ศิษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ตั้งอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว ย่อมได้อมฤตผล แม่น้ำสินธู แม่น้ำ สรัสสดี แม่น้ำจันทภาคา แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสรภู และ แม่น้ำมหี เมื่อแม่น้ำเหล่านั้นไหลมา สาครย่อมรับไว้หมด แม่น้ำเหล่านี้ ย่อมละชื่อเดิม ย่อมปรากฏเป็นสาครนั้นเอง ฉันใด วรรณ ๔ เหล่านี้ก็ ฉันนั้น บวชแล้วในสำนักของพระองค์ ย่อมละชื่อเดิมทั้งมวล ปรากฏว่า เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนดวงจันทร์อันปราศจากมลทิน โคจรอยู่ในอากาศ ย่อมรุ่งโรจน์ล่วงมวลหมู่ดาวในโลกด้วยรัศมี ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระองค์ก็ฉันนั้น อันศิษย์ทั้งหลายแวดล้อมแล้ว ย่อมรุ่งเรือง ก้าวล่วงเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธเขตทุกเมื่อ คลื่นตั้งขึ้น ในน้ำอันลึก ย่อมไม่ล่วงเลยฝั่งไปได้ คลื่นเหล่านั้นกระทบทั่วฝั่ง ย่อม เป็นระลอกเล็กน้อย เรี่ยรายหายไป ฉันใด ชนในโลกเป็นอันมากผู้เป็น เดียรถีย์ก็ฉันนั้น มีทิฏฐิต่างๆ กัน ต้องการจะข้ามธรรมของพระองค์ แต่ก็ไม่ล่วงเลยพระองค์ผู้เป็นมุนีไปได้ ข้าแต่พระองค์มีพระจักษุ ก็ถ้าชน เหล่านั้นมาถึงพระองค์ด้วยความประสงค์จะคัดค้าน เข้ามายังสำนักของ พระองค์แล้ว ย่อมกลายเป็นจุรณไป เปรียบเหมือนดอกโกมุท บัวขม และบัวเผื่อนเป็นอันมาก เกิดในน้ำ ย่อมเอิบอาบ (ฉาบ) อยู่ด้วยน้ำ และเปือกตม ฉันใด สัตว์เป็นอันมากก็ฉันนั้น เกิดแล้วในโลก ย่อม งอกงาม ไม่อิ่มด้วยราคะและโทสะ เหมือนดอกกุมุทในเปือกตม ฉะนั้น ดอกบัวหลวงเกิดในน้ำ ย่อมไพโรจน์ในท่ามกลางน้ำ มันมีเกษรบริสุทธิ์ ไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระองค์ก็ฉันนั้น เป็น มหามุนีเกิดแล้วในโลก ไม่ติดอยู่ด้วยโลก ดังดอกปทุมไม่ติดด้วยน้ำ ฉะนั้น เปรียบเหมือนดอกไม้อันเกิดในน้ำเป็นอันมาก ย่อมบานในเดือน กัตติกมาส ไม่พ้นเดือนนั้นไป สมัยนั้นเป็นสมัยดอกไม้น้ำบาน ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร พระองค์ก็ฉันนั้น เป็นผู้บานแล้วด้วยวิมุติ ของพระองค์ สัตว์ทั้งหลายไม่ล่วงเลยศาสนาของพระองค์ ดังดอกบัวเกิด ในน้ำย่อมบานไม่พ้นเดือนกัตติกมาส ฉะนั้น เปรียบเหมือนพระยาไม้รัง ดอกบานสะพรั่ง กลิ่นหอมตลบไป อันไม้รังอื่นแวดล้อมแล้วย่อมงามยิ่ง ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระองค์ก็ฉันนั้น บานแล้วด้วยพระพุทธ- ญาณ อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ย่อมงามเหมือนพระยาไม้รัง ฉะนั้น เปรียบเหมือนภูเขาหินหิมวา เป็นโอสถของปวงสัตว์ เป็นที่อยู่ของพวก นาค อสูร และเทวดาทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระองค์ ก็ฉันนั้น เป็นโอสถของมวลสัตว์ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า บุคคลผู้บรรลุ เตวิชชา บรรลุอภิญญา ๖ ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์ ผู้ที่พระองค์ทรงพระกรุณา พร่ำสอนแล้ว ย่อมยินดีด้วยความยินดีในธรรม ย่อมอยู่ในศาสนาของ พระองค์ เปรียบเหมือนราชสีห์ผู้พระยาเนื้อ ออกจากถ้ำที่อยู่แล้วเหลียว ดูทิศทั้ง ๔ แล้วบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เมื่อราชสีห์คำราม เนื้อทั้งปวง ย่อมสะดุ้ง แท้จริง ราชสีห์ผู้มีชาตินี้ ย่อมยังสัตว์เลี้ยงให้สะดุ้งทุกเมื่อ ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า เมื่อพระองค์ทรงบันลืออยู่ พสุธานี้ย่อม หวั่นไหว สัตว์ผู้ควรจะตรัสรู้ย่อมตื่น หมู่มารย่อมสะดุ้งฉันนั้น ข้าแต่ พระมหามุนี เมื่อพระองค์ทรงบันลืออยู่ ปวงเดียรถีย์ย่อมสะดุ้ง ดังฝูงกา เหยี่ยวและเนื้อ วิ่งกระเจิงเพราะราชสีห์ ฉะนั้น ผู้เป็นเจ้าคณะทั้งปวง ชนทั้งหลายเรียกว่าเป็นพระศาสดาในโลก ท่านเหล่านั้น ย่อมแสดง ธรรมอันสืบๆ กันมาแก่บริษัท ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ส่วนพระองค์ไม่ ทรงแสดงธรรมแก่มวลสัตว์อย่างนั้น ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายและพระโพธิปัก- ขิยธรรมด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงทราบอัธยาศัย กิเลส อินทรีย์ พละ และมิใช่พละ ทรงทราบภัพบุคคลและอภัพบุคคลแล้ว จึงทรงบันลือ เหมือนมหาเมฆ บริษัทพึงนั่งอยู่เต็มตลอดที่สุดจักรวาล มีทิฏฐิต่างๆ กัน คิดต่างๆ กัน เพื่อจะทรงตัดความสงสัยของบริษัทเหล่านั้น พระองค์ผู้ เป็นมุนี ทรงทราบจิตของบริษัททั้งปวง ทรงฉลาดในข้ออุปมาตรัสแก้ ปัญหาข้อเดียวเท่านั้น ก็ทรงตัดความสงสัยของสัตว์ทั้งหลายได้ แผ่นดิน พึงเต็มด้วยต้นไม้ หญ้า (และมนุษย์) ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหมดนั้น ประนมมืออัญชลีสรรเสริญพระองค์ผู้นายกโลก หรือว่าเขาเหล่านั้น สรรเสริญอยู่ตลอดกัลป์ พึงสรรเสริญด้วยคุณต่างๆ ก็ไม่สรรเสริญคุณให้ สิ้นสุดประมาณได้ พระตถาคตเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ ด้วยว่า พระมหาชินเจ้า อันใครๆ สรรเสริญและด้วยกำลังของตนเหมือนอย่างนั้น ชนทั้งหลายสรรเสริญจนที่สุดกัลป์ ก็พึงสรรเสริญอย่างนี้ๆ ถ้าแหละว่า ใครๆ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ผู้ศึกษาดีแล้ว พึงสรรเสริญให้สุดประมาณ ผู้นั้นก็พึงได้ความลำบากเท่านั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร มียศมาก ข้าพระองค์ตั้งอยู่ในศาสนาของพระองค์ ถึงที่สุดแห่งปัญญาแล้ว เป็นผู้หา อาสวะมิได้อยู่ ข้าพระองค์จะย่ำยีพวกเดียรถีย์ ยังศาสนาของพระชินเจ้า ให้เป็นไป วันนี้เป็นวันธรรมเสนาบดี ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค ศากยบุตร กรรมที่ข้าพระองค์ทำแล้วหาประมาณมิได้ แสดงผลแก่ข้า พระองค์ ณ ที่นี้ ข้าพระองค์เผากิเลสได้แล้ว ดังกำลังลูกศรพ้นดีแล้ว มนุษย์คนใดคนหนึ่งเทิน (ทูน) ของหนักไว้บนศีรษะเสมอ ต้องลำบาก ด้วยภาระฉันใด อันภาระเราต้องแบกอยู่ ฉันนั้น เราถูกไฟ ๓ กองเผาอยู่ เป็นทุกข์ด้วยการแบกภาระในภพ ท่องเที่ยวไปในภพทั้งหลาย เหมือน ถอนขุนเขาสิเนรุ ฉะนั้น ก็ (บัดนี้) เราปลงภาระลงแล้ว กำจัดภพทั้ง หลายได้แล้ว กิจที่ควรทำทุกอย่างในศาสนาของพระผู้มีพระภาคศากยบุตร เราทำเสร็จแล้ว ในกำหนดพุทธเขต เว้นพระผู้มีพระภาคศากยบุตร เรา เป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ไม่มีใครเหมือนเรา (ด้วยปัญญา) เราเป็นผู้ฉลาด ในสมาธิ ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์ วันนี้เราปรารถนาจะนิรมิตคนสักพันคนก็ได้ พระมหามุนีทรงเป็นผู้ชำนาญในอนุปุพพวิหารธรรม ตรัสคำสั่งสอนแก่เรา นิโรธเป็นที่นอนของเรา เรามีทิพยจักษุอันหมดจด เราเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ หมั่นประกอบในสัมมัปปธาน ยินดีในการเจริญโพชฌงค์ อันกิจทุกอย่างที่ พระสาวกพึงทำ เราทำเสร็จแล้วแล เว้นพระโลกนาถแล้ว ไม่มีใคร เสมอด้วยเรา เป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ ได้ฌานและวิโมกข์เร็วพลัน ยินดี ในการเจริญโพชฌงค์ ถึงที่สุดแห่งสาวกคุณ เราทั้งหลายมีความเคารพ ในอุดมบุรุษ ด้วยการถูกต้องสาวกคุณ ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ จิตของ เราสงเคราะห์เพื่อนพรหมจรรย์ด้วยศรัทธาทุกเมื่อ เรามีมานะและความ เขลา (กระด้าง) วางเสียแล้ว ดุจงูถูกถอนเขี้ยวแล้ว ดังโคอุสภราชถูก ตัดเขาเสียแล้ว เข้าไปหาหมู่คณะด้วยคารวะหนัก ถ้าปัญญาของเราพึงมี รูป ก็พึงเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย นี้เป็นผลแห่งการชมเชยพระ ญาณของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี เราย่อมยังธรรมจักรอัน พระผู้มีพระภาคศากยบุตรผู้คงที่ ให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามโดยชอบ นี้เป็นผลแห่งการชมเชยพระญาณ บุคคลผู้มีความปรารถนาลามก ผู้เกียจ คร้าน ผู้ละความเพียร ผู้มีสุตะน้อย และผู้ไม่มีอาจาระ อย่าได้สมาคม กับเราในที่ไหนๆ สักครั้งเลย ส่วนบุคคลผู้มีสุตะมาก ผู้มีเมธา ผู้ตั้ง มั่นอยู่ด้วยดีในศีลทั้งหลาย และผู้ประกอบด้วยสมถะทางใจ ขอจงตั้งอยู่ บนกระหม่อมของเรา เหตุนั้น เราจึงขอกล่าวกะท่านทั้งหลาย ขอความ เจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันในสมาคมนี้ ท่านทั้งหลายจงมี ความปรารถนาน้อย สันโดษ ให้ทานทุกเมื่อ เราเป็นผู้ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เพราะเห็นท่านอัสสชิก่อน ท่านพระสาวกนามว่าอัสสชิ นั้น เป็นอาจารย์ของเรา เป็นนักปราชญ์ เราเป็นสาวกของท่าน วันนี้ เป็นวันธรรมเสนาบดี ถึงที่สุดในที่ทุกแห่ง เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ท่าน พระสาวกนามว่าอัสสชิ เป็นอาจารย์ของเรา ย่อมอยู่ในทิศใด เราย่อม ทำท่านไว้เหนือศีรษะในทิศนั้น (นอนผันศีรษะไปทางทิศนั้น) พระโคดม ศากยบุตรพุทธเจ้า ทรงระลึกถึงกรรมของเราแล้วประทับนั่งใน (ท่าม กลาง) ภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งอันเลิศ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราก็ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระสารีบุตรเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สารีปุตตเถราปทาน
-----------------------------------------------------
มหาโมคคัลลานเถราปทานที่ ๔ (๒)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระมหาโมคคัลลาน์
[๔] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี เป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก เป็น นระผู้องอาจ อันเทวดาและภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับอยู่ ณ ประเทศ หิมวันต์ เวลานั้น เราเป็นนาคราช มีนามชื่อว่าวรุณแปลงรูปอันน่าใคร่ ได้ต่างๆ อาศัยอยู่ในทะเลใหญ่ เราละหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารทั้งสิ้น มา ตั้งวงดนตรีในกาลนั้น หมู่นางนาคแวดล้อมพระสัมพุทธเจ้าประโคมอยู่ เมื่อดนตรีของมนุษย์และนาคประโคมอยู่ ดนตรีของเทวดาก็ประโคม พระพุทธเจ้าทรงสดับเสียงดนตรีทั้งสองฝ่ายแล้ว ทรงตื่นบรรทม เรา นิมนต์พระสัมพุทธเจ้า ทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปยังภพของเรา เราปูลาด อาสนะแล้วกราบทูลเวลาเสวยพระกระยาหาร พระผู้มีพระภาคผู้นายกของ โลก อันพระขีณาสพพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงยังทิศทุกทิศให้สว่างไสว เสด็จมายังภพของเรา เวลานั้น เรายังพระมหาวีรเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเทวดา เป็นนระผู้องอาจ ซึ่งเสด็จเข้ามา (พร้อม) กับภิกษุสงฆ์ให้อิ่มหนำด้วย ข้าวและน้ำ พระมหาวีรเจ้าผู้เป็นสยัมภูอัครบุคคลทรงอนุโมทนาแล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดได้บูชา สงฆ์และได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้นายกของโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใส ผู้นั้น จักไปสู่เทวโลก จักเสวยเทวรัชสมบัติสิ้น ๓๓ ครั้ง จักเสวยราชสมบัติ ในแผ่นดิน ครอบครองพสุธา ๑๐๘ ครั้ง และจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๕ ครั้ง โภคสมบัติอันนับไม่ถ้วน จักบังเกิดแก่ผู้นั้นในขณะนั้น ใน กัลป์นับไม่ถ้วน แต่กัลป์นี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่ง สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นั้นเคลื่อนจาก นรกแล้ว จักถึงความเป็นมนุษย์ จักเป็นบุตรพราหมณ์ มีนามว่าโกลิตะ ภายหลังอันกุศลมูลตักเตือนแล้วเขาจักออกบวช จักได้เป็นพระสาวกองค์ ที่สองของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม จักปรารภความเพียรมอบกาย ถวายชีวิต ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มี อาสวะจักปรินิพพาน จักอาศัยมิตรผู้ลามกตกอยู่ในอำนาจกามราคะ มี ใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว ฆ่ามารดาและแม้บิดาได้ เราไม่ได้เข้าถึงนรก หรือความเป็นมนุษย์ อันพรั่งพร้อมด้วยกรรมลามก ยังต้องศีรษะแตกตาย นี้เป็นกรรมครั้งหลังสุดของเรา ภพที่สุดย่อมเป็นไป กรรมเช่นนี้จักมีแก่เรา ในเวลาใกล้จะตายแม้ในที่นี้ เราหมั่นประกอบในวิเวก ยินดีในสมาธิ ภาวนา กำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ แม้แผ่นดินอันลึก ซึ้ง หนาอันอะไรขจัดได้ยาก เราผู้ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์พึงให้ไหวได้ด้วยนิ้ว แม่มือซ้าย เราไม่เห็นอัสมีมานะ มานะของเราไม่มี (เราไม่มีมานะ) เรากระทำความยำเกรงอย่างหนักแม้ที่สุดในสามเณร ในกัลป์อันประมาณ มิได้แต่กัลป์นี้ เราสั่งสมกรรมใดไว้ เราบรรลุถึงภูมิแห่งกรรมนั้น เป็นผู้ บรรลุถึงธรรมเครื่องสิ้นอาสวะแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนา เราทำ เสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล.
จบมหาโมคคัลลานเถราปทาน
-----------------------------------------------------
มหากัสสปเถราปทานที่ ๕ (๓)
ว่าด้วยผลแห่งการสร้างพุทธเจดีย์
[๕] ในกาลเมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระเชฏฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ ผู้เป็นนาถะของโลก นิพพานแล้ว ชนทั้งหลายทำการบูชาพระศาสดา หมู่ชน มีจิตร่าเริง เบิกบาน บันเทิง เมื่อเขาเหล่านั้นเกิดความสังเวช ปีติย่อมเกิด แก่เรา เราประชุมญาติและมิตรแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า พระมหาวีรเจ้า ปรินิพพานแล้ว เชิญเรามาทำการบูชากันเถิด พวกเขารับคำว่าสาธุแล้ว ทำความร่าเริงให้เกิดแก่เราอย่างยิ่งว่า พวกเราจักทำทานก่อสร้างบุญ ใน พระพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก เราได้สร้างเจดีย์อันมีค่าทำอย่างเรียบร้อย สูงร้อยศอก สร้างปราสาทร้อยห้าสิบศอก สูงจรดท้องฟ้า ครั้นสร้างเจดีย์ อันมีค่างดงามด้วยระเบียบอันดีไว้ที่นั้นแล้ว ได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใส บูชาเจดีย์อันอุดม ปราสาทย่อมรุ่งเรือง ดังกองไฟโพลงอยู่ในอากาศ เช่น พระยารังกำลังดอกบาน ย่อมสว่างจ้าทั่วสี่ทิศเหมือนสายฟ้าในอากาศ เรา ยังจิตให้เลื่อมใสในห้องพระบรมธาตุนั้น ก่อสร้างกุศลเป็นอันมาก ระลึก ถึงกรรมเก่าแล้ว ได้เข้าถึงไตรทศ เราอยู่บนยานทิพย์อันเทียมด้วยม้าสินธพ พันตัว วิมานของเราสูงตระหง่าน สูงสุดเจ็ดชั้น กูฏาคาร (ปราสาท) พันหนึ่ง สำเร็จด้วยทองคำล้วน ย่อมรุ่งเรือง ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ด้วยเดชของตน ในกาลนั้น ศาลาหน้ามุขแม้เหล่าอื่นอันสำเร็จด้วยแก้วมณี มีอยู่ แม้ศาลาหน้ามุขเหล่านั้นก็โชติช่วงด้วยรัศมีทั่วสี่ทิศโดยรอบกูฏาคาร อันบังเกิดขึ้นด้วยบุญกรรม อันบุญกรรมนิรมิตไว้เรียบร้อย สำเร็จด้วย แก้วมณีโชติช่วงทั่วทิศน้อยทิศใหญ่โดยรอบ โอภาสแห่งกูฏาคารอันโชติช่วง อยู่เหล่านั้น เป็นสิ่งไพบูลย์ เราย่อมครอบงำเทวดาทั้งปวงได้ นี้เป็นผล แห่งบุญกรรม เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครอบครองแผ่นดิน มีสมุทร- สาครสี่เป็นขอบเขต ในหกหมื่นกัลป์ ในภัทรกัลป์นี้ เราได้เป็นเหมือน อย่างนั้น ๓๓ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีกำลังมาก ยินดีในกรรมของตน สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ ในครั้งนั้น ปราสาท ของเราสว่างไสวดังสายฟ้า ด้านยาว ๒๔ โยชน์ ด้านกว้าง ๑๒ โยชน์ พระนครชื่อรัมมกะ มีกำแพงและค่ายมั่นคงด้านยาว ๕๐๐ โยชน์ ด้านกว้าง ๒๕๐ โยชน์ คับคั่งด้วยหมู่ชน เหมือนเทพนครของชาวไตรทศ เข็ม ๒๕ เล่ม เขาใส่ไว้ในกล่องเข็ม ย่อมกระทบกันและกัน เบียดเสียดกันเป็นนิจ ฉันใด แม้นครของเราก็ฉันนั้น เกลื่อนด้วยช้างม้าและรถ คับคั่งด้วยหมู่มนุษย์ น่ารื่นรมย์ เป็นนครอุดม เรากินและดื่มอยู่ในนครนั้น แล้วไปเกิดเป็น เทวดาอีกในภพที่สุด กุศลสมบัติได้มีแล้วแก่เรา เราสมภพในสกุลพราหมณ์ สั่งสมรัตนะมาก ละเงินประมาณ ๘๐ โกฏิ เสียแล้วออกบวช คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระมหากัสสปเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล.
จบมหากัสสปเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อนุรุทธเถราปทานที่ ๖ (๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายประทีป
[๖] เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสุเมธเชฏฐบุรุษของโลก เป็นนระผู้ องอาจ ผู้นายกของโลก เสด็จหลีกออกเร้นอยู่ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระสุเมธ สัมพุทธเจ้า ผู้นายกของโลก แล้วได้ประคองอัญชลีทูลอ้อนวอนพระพุทธ- เจ้าผู้ประเสริฐสุดว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้เชฏฐบุรุษของโลก เป็นนระ ผู้องอาจ ขอจงทรงอนุเคราะห์เถิด ข้าพระองค์ขอถวายประทีปแก่ พระองค์ผู้เข้าฌานอยู่ที่ควงไม้ พระสยัมภูผู้ประเสริฐธีรเจ้านั้น ทรงรับคำ แล้ว เราจึงห้อยไว้ที่ต้นไม้ประกอบยนต์ในกาลนั้น ได้ถวายไส้ตะเกียง น้ำมันพันหนึ่ง แก่พระพุทธเจ้าผู้เผ่าพันธุ์ของโลก ประทีปโพลงอยู่ตลอด ๗ วันแล้วดับไปเอง ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น และด้วยการตั้งเจตนาไว้ เรา ละกายมนุษย์แล้ว ได้เข้าถึงวิมาน เมื่อเราเข้าถึงความเป็นเทวดา วิมาน อันบุญกุศลนิรมิตไว้เรียบร้อย ย่อมรุ่งโรจน์โดยรอบ นี้เป็นผลแห่งการถวาย ประทีป เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๘ ครั้ง เวลานั้น เรามองเห็นได้ ตลอดโยชน์หนึ่งโดยรอบ ทั้งกลางวันกลางคืน เราย่อมไพโรจน์ทั่วโยชน์ หนึ่งโดยรอบ ในกาลนั้นย่อมครอบงำเทวดาทั้งปวงได้ นี้เป็นผลแห่งการ ถวายประทีป เราได้เป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัลป ใครๆ ย่อมดูหมิ่นเราไม่ได้ นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป เราได้บรรลุทิพย- จักษุ ย่อมมองเห็นได้ด้วยญาณตลอดพันโลก ในศาสนาของพระพุทธเจ้า นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสุเมธ เสด็จอุบัติในสามหมื่นกัลปแต่กัลปนี้ เรามีจิตผ่องใส ได้ถวายประทีปแก่ พระองค์ คุณวิเศษคือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอนุรุทธเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอนุรุทธเถราปทาน
-----------------------------------------------------
ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๗ (๕)
ว่าด้วยผลแห่งการแสดงธรรม
[๗] เราเป็นพราหมณ์ผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พวกศิษย์ห้อมล้อม แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้อุดมบุคคล พระมหามุนี พระนามว่า ปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก ทรงรับเครื่องบูชาแล้ว ทรงประกาศกรรมของเรา โดยย่อ เราได้ฟังธรรมนั้นแล้ว ได้บังคมพระศาสดาประคองอัญชลี มุ่งหน้า เฉพาะทิศทักษิณกลับไป ครั้นได้ฟังโดยย่อแล้ว แสดงได้โดยพิสดาร ศิษย์ทุกท่านดีใจ ฟังคำเราผู้กล่าวอยู่ บรรเทาทิฏฐิของตนแล้ว ยังจิตให้ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนเราแม้ฟังโดยย่อ ก็แสดงได้โดย พิสดาร ฉะนั้น เราเป็นผู้ฉลาดในนัยแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในความ หมดจดแห่งกถาวัตถุ ยังปวงชนให้รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ใน กัลปที่ ๕๐๐ แต่ภัทรกัลปนี้ มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ผู้ปรากฏด้วยดี ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ใน ๔ ทวีป คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธ- ศาสนาทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระปุณณมันตานีปุตตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน
-----------------------------------------------------
อุปาลีเถราปทานที่ ๘ (๖)
ว่าด้วยผลแห่งการสร้างสังฆาราม
[๘] ในพระนครหงสวดี มีพราหมณ์ชื่อว่าสุชาต สั่งสมทรัพย์ไว้ประมาณ ๘๐ โกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ ผู้จบไตรเพท ถึงที่สุดในตำราทำนายลักษณะคัมภีร์อิติหาสะ และในคัมภีร์พราหมณ์ ใน กาลนั้น ปริพาชกผู้มุ่นผมรวมกัน สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ พระอาทิตย์ และดาบสผู้สืบข่าว เที่ยวไปในพื้นแผ่นดิน แม้พวกเขาก็ ห้อมล้อมข้าพระองค์ ด้วยคิดว่า เป็นพราหมณ์มีชื่อเสียง ชนเป็นอันมาก บูชาข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่บูชาใครๆ เพราะข้าพระองค์ไม่เห็นใคร ที่ควรบูชา เวลานั้น ข้าพระองค์มีมานะจัด คำว่าพุทโธ ยังไม่มี ตลอดเวลา ที่พระชินเจ้ายังไม่อุบัติโดยกาลล่วงวันและคืนไป พระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระผู้เป็นนายกทรงบรรเทาความมืดทั้งปวงแล้ว เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในศาสนาของพระองค์ มีหมู่ชนแพร่หลายมากมาย แน่นหนา เวลานั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปสู่พระนครหงสวดี พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุ ทรงแสดง ธรรมเพื่อประโยชน์แก่พระพุทธธิดา ในกาลนั้น บริษัทโดยรอบประมาณ โยชน์หนึ่ง ในกาลนั้น ดาบสชื่อสุนันทะอันหมู่มนุษย์สมมติแล้ว (ว่าเลิศ) ได้เอาดอกไม้ทำร่มบังแดดให้ทั่วพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจจะ ๔ ภายใต้มณฑปดอกไม้อันประเสริฐ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ประมาณแสน โกฏิ พระพุทธเจ้าทรงยังเมล็ดฝน คือ ธรรมให้ตกตลอด ๗ คืน ๗ วัน เมื่อถึงวันที่ ๘ พระชินเจ้าทรงพยากรณ์สุนันทะดาบสว่า ท่านผู้นี้เมื่อท่อง เที่ยวอยู่ในเทวโลกหรือในมนุษย์ จักเป็นคนประเสริฐกว่าเขาทั้งหมด ท่องเที่ยวไปในภพ ในแสนกัลป พระศาสดามีพระนามว่าโคดม มีสมภพ ในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้เป็นบุตรของนาง มันตานีชื่อปุณณะ จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรส ผู้รับมรดกในธรรมทั้งหลาย อันธรรมนิรมิตแล้ว เวลานั้น พระสัมพุทธเจ้า ทรงยังชนทั้งปวงให้ร่าเริง ทรงแสดงพระกำลังของพระองค์ พยากรณ์สุนันท- ดาบสด้วยประการอย่างนี้ ชนทั้งหลายประนมอัญชลีนมัสการสุนันทดาบส ในการนั้น ครั้นสุนันทดาบสทำสักการะในพระพุทธเจ้าแล้ว จึงชำระคติ ของตน เพราะข้าพระองค์ได้ฟังดำรัสของพระมุนี จึงได้มีความดำริ ณ ที่ นั้นว่า เราจักก่อสร้างบุญสมภาร ขณะที่กำลังเห็นพระโคดมอยู่ ครั้นข้า พระองค์คิดอย่างนี้แล้ว จึงคิดถึงบุญกิริยาว่า เราจะพึงก่อสร้างอย่างไร จะ ประพฤติกรรมอะไร ในบุญเขตอันยอดเยี่ยม ก็ภิกษุนี้ชำนาญบาลีทั้งปวง ในศาสนา พระศาสดาทรงตั้งไว้เป็นเลิศฝ่ายวินัย เราพึงปรารถนาฐานะ นั้นเถิด โภคสมบัติของข้าพระองค์ประมาณมิได้ เปรียบดังสาครอันอะไร ให้กระเพื่อมไม่ได้ ข้าพระองค์ได้สร้างอารามถวายแก่พระพุทธเจ้า ด้วย โภคสมบัตินั้น ได้ซื้ออารามนามว่าโสภณ ณ เบื้องหน้าพระนคร ด้วยทรัพย์ แสนหนึ่ง ถวายให้เป็นสังฆาราม ข้าพระองค์ได้สร้างเรือนยอด ปราสาท มณฑป เรือนโล้น และถ้ำอย่างสวยงาม ไว้ในที่จงกรม ใกล้สังฆาราม ได้สร้างเรือนไฟ โรงไฟ หม้อน้ำ และห้องอาบน้ำแล้ว ได้ถวายแก่ ภิกษุสงฆ์ ได้ถวายเก้าอี้นอน ตั่ง ภาชนะเครื่องใช้สอย คนเฝ้าอาราม และเภสัชนั้นทุกๆ อย่าง ได้ตั้งอารักขาไว้แล้ว ให้สร้างกำแพงอย่างมั่นคง ด้วยหวังว่า ใครๆ อย่าเบียดเบียนสังฆารามของท่านผู้มีจิตระงับ ผู้คงที่เลย ได้ให้สร้างกุฏีที่อยู่ ๑๐๐ หลังไว้ในสังฆาราม ครั้นให้สร้างสำเร็จไพบูลย์ แล้ว น้อมถวายกะพระสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์สร้างอาราม สำเร็จแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงรับเถิด ข้าแต่พระธีรเจ้า ข้าพระองค์ มอบถวายพระองค์ ขอได้โปรดทรงรับเถิดพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าพระนาม ว่าปทุมุตระผู้ทรงรู้แจ้งโลก เป็นนายกของโลก ทรงควรรับเครื่องบูชา ทรง ทราบความดำริของข้าพระองค์แล้ว ได้ทรงรับสังฆาราม ข้าพระองค์ทราบว่า พระสัพพัญญูผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงรับแล้ว ให้ตระเตรียมโภชนะ เสร็จแล้ว จึงกราบทูลเวลาเสวย เมื่อข้าพระองค์กราบทูลเวลาเสวยแล้ว พระปทุมุตระผู้นายกของโลก เสด็จมาสู่อารามของข้าพระองค์ พร้อมด้วย พระขีณาสพพันหนึ่ง ข้าพระองค์ทราบเวลาว่าพระองค์ประทับนั่งแล้ว ได้ เลี้ยงดูให้อิ่มหนำด้วยข้าวน้ำ ครั้นได้ทราบเวลาเสวยเสร็จแล้ว ได้กราบทูล ดังนี้ว่า ข้าพระองค์ซื้ออารามชื่อ โสภณ ด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง ได้สร้างจน เสร็จด้วยทรัพย์เท่านั้นเหมือนกัน ขอได้โปรดทรงรับเถิดพระมุนี ด้วยการ ถวายอารามนี้ และด้วยการตั้งเจตนาไว้ เมื่อข้าพระองค์เกิดอยู่ในภพ ย่อม ได้สิ่งที่ปรารถนา พระสัมพุทธเจ้าทรงรับสังฆารามที่ข้าพระองค์สร้างเสร็จ แล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ผู้ใดได้ถวาย สังฆารามที่สร้างสำเร็จแล้วแด่พระพุทธเจ้า เราจะพยากรณ์ผู้นั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลราบ จะแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม ดนตรีหกหมื่น และเภรีอันประดับประดาสวยงาม จะแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิจ นี้เป็นผล แห่งการถวายสังฆาราม นางนารีแปดหมื่นหกพัน อันตกแต่งงดงาม มีผ้า และอาภรณ์อันวิจิตร สวมสอดแก้วมณีและกุณฑล มีหน้าแฉล้ม ยิ้มแย้ม ตะโพกผึ่งผาย เอวเล็กเอวบาง จะแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่ง การถวายสังฆาราม ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ตลอดสามหมื่นกัลป จักเป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลกพันครั้ง จักได้ของทุกอย่างที่ ท้าวเทวราชจะพึงได้ จักเป็นผู้มีโภคสมบัติไม่รู้จักพร่อง เสวยเทวราชสมบัติ อยู่ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ในแว่นแคว้นพันครั้ง จักเป็นพระราชาอัน ไพบูลย์ในแผ่นดินโดยจะคณานับไม่ถ้วน ในแสนกัลป พระศาสดาพระนาม ว่า โคดมโดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จ อุบัติในโลก ผู้นี้จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสผู้รับ มรดกในธรรม อันธรรมนิรมิต มีนามชื่อว่า อุบาลี จักถึงที่สุดในพระวินัย ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะ ดำรงพระศาสนาของพระชินเจ้า ไม่มีอาสวะอยู่ พระโคดมศากยบุตรผู้ประเสริฐ ได้ทรงทราบข้อนี้ทั้งสิ้นแล้วประทับนั่งใน ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ จักทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะสถาน ข้าพระองค์อาศัยบุญกุศล อันประมาณมิได้ ย่อมปรารถนา (ว่าพึงเป็นภิกษุผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ทรง พระวินัย) ในศาสนาของพระองค์ ประโยชน์ คือ ความสิ้นสังโยชน์ ทั้งปวงนั้น ข้าพระองค์บรรลุแล้วเปรียบเหมือนคนอันพระราชอาญาคุกคาม ถูกเสียบด้วยหลาว ไม่ได้ความสุขที่หลาวปรารถนาจะพ้นไปอย่างเดียว ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น อันอาญา คือ ภพคุกคามแล้ว ถูกเสียบด้วยหลาว คือ กรรม ถูกเวทนา คือ ความกระหายบีบคั้น ไม่ได้ ความสุขในภพ ถูกไฟ ๓ กองแผดเผาอยู่ ย่อมแสวงหาอุบายเครื่องพ้น ดังคนแสวงหาอุบายเพื่อฆ่ายาพิษ พึงแสวงหายา เมื่อแสวงหาอยู่ พึงพบ ยาเครื่องฆ่ายาพิษ ดื่มยานั้นแล้วพึงมีสุข เพราะพ้นจากพิษฉันใด ข้าแต่ พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์ก็เหมือนคนอันยาพิษบีบคั้น ฉันนั้น ถูกอวิชชา บีบคั้นแล้ว ก็พึงแสวงหายา คือ สัทธรรม เมื่อแสวงหายา คือธรรมอยู่ ได้พบศาสนาของพระองค์ผู้ศากยบุตร อันเป็นของจริงอย่างเลิศสุดยอด โอสถ เป็นเครื่องบรรเทาลูกศรทั้งปวง ข้าพระองค์ดื่มยา คือ ธรรมแล้ว ถอนยาพิษ คือ สังสารทุกข์ได้หมดแล้ว ข้าพระองค์ได้พบนิพพานอัน ไม่แก่ไม่ตาย เป็นธรรมชาติเย็นสนิท เปรียบเหมือนคนถูกผีคุกคาม ได้รับ ทุกข์เพราะผีสิง พึงแสวงหาหมอผีเพื่อจะพ้นจากผี เมื่อแสวงหาไป ก็พึง พบหมอฉลาดในวิชาไล่ผี หมอนั้นพึงขับผีให้แก่คนนั้น และพึงให้พินาศ (ขับไล่ไป) พร้อมทั้งราก ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น ได้ รับทุกข์เพราะความมืดเข้าจับ จึงต้องแสวงหาแสงสว่าง คือ ญาณเพื่อจะ พ้นจากความมืด ที่นั้นจึงได้พบพระศากยมุนี ผู้ชำระความมืด คือ กิเลส ให้หมดจด (สว่าง) ได้ พระองค์ทรงบรรเทาความมืดให้ข้าพระองค์แล้ว ดังหมอผีขับไล่ผีไปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ตัดกระแสสงสารได้แล้ว ห้าม กระแสตัณหาได้แล้ว ถอนภพได้สิ้นเชิงเหมือนหมอผีขับไล่ผีพร้อมทั้งถอน ราก ฉะนั้น เปรียบเหมือนพระยาครุฑ โฉบลงเพื่อจับนาคอันเป็นเหยื่อ ของตน ย่อมยังน้ำในสระใหญ่ให้กระเพื่อมตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ ครั้น มันจับนาคได้แล้ว ห้อยหัวนาคไว้เบื้องต่ำทำให้ลำบาก ครุฑนั้นพาเอานาค ไปได้ตามความปรารถนา ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์แสวง หาอสังขตธรรม เหมือนครุฑมีกำลังบินแสวงหานาค ฉะนั้น ข้าพระองค์ ได้คายโทษทั้งหลายแล้ว ข้าพระองค์เห็นธรรมอันประเสริฐ เป็นสันติบท ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ข้าพระองค์ถือเอาธรรมนี้อยู่ เหมือนครุฑจับนาคบินไป ฉะนั้น เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดา โดยล่วงไปพันปี จึงเผล็ด ผลๆ หนึ่ง เทวดาทั้งหลายได้ใช้สอยผลอาสวดีนั้น ซึ่งมีผลคราวหนึ่ง นานเพียงนั้น เถาวัลย์อาสวดีนั้นมีผลอุดม เป็นที่รักของเทวดาทั้งหลาย อย่างนี้ ข้าพระองค์อาศัยแสนปี จึงได้เที่ยวมาใกล้พระองค์ผู้เป็นมุนี ได้ นมัสการทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า เหมือนเทวดาเชยชมผลอาสวดี ฉะนั้น การ ได้มาใกล้ไม่เป็นหมัน และการนมัสการไม่เป็นโมฆะ แม้ข้าพระองค์จะมา แต่ที่ไกล ขณะก็ไม่ล่วงเลยข้าพระองค์ไป ข้าพระองค์ค้นคว้าหาปฏิสนธิ ในภพก็ไม่พบ ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่มีอุปธิ พ้นวิเศษแล้ว สงบระงับ เที่ยวไป เปรียบเหมือนดอกปทุม ย่อมบานเพราะรัศมีพระอาทิตย์ถูกต้อง ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น บานแล้วเพราะรัศมี พระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนนกยางตัวผู้ ย่อมไม่มีในกำเนิดนกยางทุกเมื่อ เมื่อเมฆร้องกระหึ่ม นกยางมันย่อมมีครรภ์ทุกเมื่อ พวกมันย่อมทรงครรภ์ อยู่แม้นาน ตลอดเวลาที่สายฝนยังไม่ตก พวกมันย่อมพ้นจากการทรงครรภ์ เมื่อเวลาที่สายฝนตก ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรง พระนามว่าปทุมุตระ ทรงประกาศกึกก้องด้วยเมฆ คือ ธรรม ได้ถือเอา ครรภ์ คือ ธรรม ด้วยเสียงแห่งเมฆ คือ ธรรม ข้าพระองค์อาศัยแสนกัลป ทรงครรภ์ คือ บุญอยู่ ยังไม่พ้นจากภาระ คือ สงสาร ตลอดเวลาที่สายฝน คือ ธรรมยังไม่ตก ข้าแต่พระศากยมุนี เมื่อเวลาที่พระองค์ทรงประกาศ กึกก้องด้วยสายฝน คือ ธรรม ในพระนครกบิลพัศดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ข้า- พระองค์จึงได้พ้นจากภาระ คือ สงสาร ข้าพระองค์สะสาง (ชำระ) ธรรม คือสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ และผล ๔ ทั้งหมด แม้นั้น (สะอาด) ได้แล้ว.
จบทุติยภาณวาร.
ข้าพระองค์ปรารถนาศาสนาของพระองค์ ตั้งต้นแต่กัลปอันประมาณมิได้ ประโยชน์นั้น ข้าพระองค์ถึงแล้ว สันติบทอันยอดเยี่ยมข้าพระองค์บรรลุ แล้ว ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศ เหมือนภิกษุผู้ชำนาญพระบาลีถึงที่สุดใน พระวินัย ฉะนั้น ไม่มีใครเสมอด้วยข้าพระองค์ ข้าพระองค์ย่อมทรง พระศาสนาไว้ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยในวินัยขันธกะ คัมภีร์บริวาร ในอักขระหรือพยัญชนะ ในวินัยปิฎกนี้เลย ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในการข่ม ในการแก้ไขในฐานะและมิใช่ฐานะในการชักเข้าหมู่และในการให้ออกจาก อาบัติ ถึงที่สุดในวินัยกรรมทั้งปวง ข้าพระองค์ตั้งบทไว้ในวินัยขันธกะ และในอุภโตวิภังค์แล้ว พึงชักเข้าหมู่ (ประชุม) จากกิจ ข้าพระองค์ เป็นผู้ฉลาดในนิรุติ และเฉียบแหลมในประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ข้าพระองค์จะไม่รู้นั้นไม่มี ข้าพระองค์เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เดียวในพุทธ ศาสนา วันนี้ ข้าพระองค์บรรเทาความเคลือบแคลงได้ทั้งสิ้น ตัดความ สงสัยได้ทั้งหมด ในคราวตัดสินวินัย ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค ศากยบุตร ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในฐานะทั้งปวง คือ บัญญัติ อนุบัญญัติ อักขระ พยัญชนะ นิทาน และปริโยสาน เปรียบเหมือนพระราชาผู้ทรง พระกำลัง ทรงกำจัดเสนาของพระราชาอื่นแล้ว ทำให้เดือดร้อนชนะ สงครามแล้ว สร้างนครไว้ ณ ที่นั้นรับสั่งให้สร้างกำแพง คู เสาระเนียด ซุ้มประตู และป้อมต่างๆ ไว้ในนครเป็นอันมาก พึงรับสั่งให้สร้างถนน วงเวียน ร้านตลาดอันจัดไว้เรียบร้อย และสภาไว้ในนครนั้น เพื่อวินิจฉัย คดีและมิใช่คดี เพื่อจะป้องกันพวกศัตรู เพื่อจะรู้จักโทษและมิใช่โทษ และเพื่อจะรักษาพลกาย พระองค์จึงโปรดตั้งเสนาบดีไว้ เพื่อประสงค์จะ ทรงรักษาสิ่งของ พระองค์จึงโปรดตั้งขุนคลังไว้ในหน้าที่รักษาสิ่งของ โดย ทรงหวังว่า สิ่งของของเราอย่าฉิบหายเสียเลย เขาเป็นผู้สามัคคีกับพระราชา ปรารถนาความเจริญแก่ผู้ใด ย่อมให้อธิกรณ์แก่ผู้นั้น เพื่อปฏิบัติต่อมิตร (โดยไม่มีวิวาท) พระองค์โปรดตั้งคนผู้ฉลาดในลางดีลางร้ายในนิมิต และ ตำราทำนายลักษณะ ผู้เล่าเรียนทรงจำมนต์ ไว้ในตำแหน่งปุโรหิต พระราชานั้นทรงสมบูรณ์ด้วยองค์เหล่านี้ มหาชนย่อมเรียกว่า กษัตริย์ เสนาบดีเป็นต้นเหล่านี้ย่อมรักษาพระราชาทุกเมื่อ ดังนกจักพรากรักษานก ผู้เป็นญาติของตนที่ได้ทุกข์ ฉันใด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระองค์ก็ฉันนั้น มหาชนย่อมกล่าวว่า พระธรรมราชาของโลกพร้อมทั้งเทวโลก เช่นพระราชา ทรงกำจัดศัตรูได้แล้ว มหาชนเรียกว่า กษัตริย์ ฉะนั้น พระองค์ทรง ปราบพวกเดียรถีย์ ทรงกำจัดมารพร้อมทั้งเสนาและความมืดมนอนธการ แล้ว ได้ทรงสร้างนครธรรมไว้ ข้าแต่พระธีรเจ้า ในนครธรรมนั้น มีศีล เป็นกำแพง พระญาณของพระองค์เป็นซุ้มประตู ศรัทธาของพระองค์เป็น เสาระเนียด และสังวรของพระองค์เป็นนายประตู ข้าแต่พระมุนี สติ ปัฏฐานของพระองค์เป็นป้อม ปัญญาของพระองค์เป็นทางสี่แพร่ง อิทธิบาท เป็นทางสามแพร่ง ธรรมวิถีพระองค์ทรงสร้างไว้สวยงาม พระวินัย พระ- สูตร พระอภิธรรม และพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรม สภาในนครธรรมของพระองค์ วิหารธรรม คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตต- วิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ อเนญชสมาบัติ และนิโรธนี้เป็นธรรมกุฎีใน นครธรรมของพระองค์ ธรรมเสนาบดีของพระองค์ มีนามชื่อว่าพระสารี- บุตร ทรงตั้งไว้ว่า เป็นผู้เลิศด้วยปัญญาและว่าฉลาดในปฏิภาณ ข้าแต่ พระมุนี ปุโรหิตของพระองค์มีนามชื่อว่าพระโกลิตะ ผู้ฉลาดในจุติและ อุปบัติ ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์, ข้าแต่พระมุนี พระมหากัสสปเถระผู้ดำรง วงศ์โบราณ มีเดชรุ่งเรือง หาผู้เสมอได้ยาก เลิศในธุดงคคุณ เป็นผู้พิพากษา ของพระองค์ ข้าแต่พระมุนี พระเถระขุนคลังธรรมของพระองค์ มีนามชื่อ ว่าพระอานนท์ เป็นพหูสูต ทรงธรรม และชำนาญในพระบาลีทั้งหมดใน ศาสนา พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันมากแก่ข้าพระองค์ ทรงตั้ง พระเถระทั้งหมดนี้แล้ว ทรงประทานการวินิจฉัยในพระวินัย อันภิกษุผู้รู้ แจ้งแสดงแล้ว แก่ข้าพระองค์ ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าบางรูป ถาม ปัญหาในวินัย ในปัญหานั้นข้าพระองค์ไม่ต้องคิด ย่อมแก้เนื้อความนั้นได้ ทันที ตลอดในพระพุทธเขต เว้นพระมหามุนีเสีย ไม่มีใครเสมอกับข้า พระองค์ในวินัย ที่ไหนจะมียิ่งกว่า พระโคดมประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์ แล้ว ทรงประกาศอย่างนี้ว่า ไม่มีใครจะเสมอกับพระอุบาลี ในวินัยและ ในขันธกะ เรากล่าวสัตถุศาสน์มีองค์ ๙ ตลอดถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว ทั้งหมด ไว้ในวินัยแก่บุคคลผู้เห็นมูลพระวินัย พระโคดมศากยบุตรผู้ ประเสริฐ ทรงระลึกถึงกรรมของเรา ประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์ ทรงตั้ง เราไว้ในเอตทัคคะสถาน เราได้ปรารถนาตำแหน่งนี้ไว้ ตั้งต้นแต่แสนกัลป ประโยชน์นั้นเราได้ถึงแล้ว เราถึงที่สุดในพระวินัย เมื่อก่อนเราเป็นช่าง กัลบกผู้ยังความยินดีให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย เราละชาตินั้นแล้ว เกิด เป็นบุตรของพระมเหสีในกัลปที่สองแต่ภัทรกัปนี้ พระมหากษัตริย์เจ้า- แผ่นดินพระนามว่าอัญชสะ มีพระเดชานุภาพสูงสุด มีบริวารประมาณมิได้ มีทรัพย์มากมาย เราเป็นกษัตริย์พระนามว่าจันทนะ เป็นโอรสของพระราชา พระองค์นั้น เป็นคนกระด้างเพราะความเมาด้วยชาติ และเพราะความเมา ด้วยยศและโภคะ ช้างแสนหนึ่ง อันประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง เป็นช้างตกมันโดยฐานะสาม เกิดในตระกูลมาตังคะ ห้อมล้อมเราอยู่ทุก เมื่อ เราห้อมล้อมด้วยพลของตน ประสงค์จะประพาสอุทยาน จึงขึ้นช้าง ชื่อศิริแล้ว ออกจากนครในกาลนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าเทวละ สมบูรณ์ด้วยจรณะ คุ้มครองทวาร และสำรวมเป็นอันดี เดินมาข้างหน้า เรา เวลานั้นเราได้ไสช้างศิรินาคไปให้จับพระปัจเจกพุทธเจ้า ลำดับนั้น ช้างทำเหมือนเกิดความโกรธ แต่ไม่ยกเท้าขึ้น เราเห็นช้างร้องไห้ ได้ทำ ความโกรธในพระปัจเจกพุทธเจ้า เราเบียดเบียนพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ได้ไปสู่อุทยาน ณ ที่นั้นเรา ไม่ได้ความสุขเสียเลย เหมือนไฟโพลงอยู่บน ศีรษะ และย่อมเดือดร้อนด้วยความเร้าร้อนดังปลาติดเบ็ด แผ่นดินมีสมุทร สาครเป็นที่สุด ปรากฏเหมือนไฟติดทั่วแก่เรา เราเข้าไปเฝ้าพระชนกแล้ว ได้กราบทูลดังนี้ว่า หม่อมฉันได้ไสช้างอันซับมัน ดังอสรพิษโกรธ ดัง กองไฟไหม้ลามมา ผู้ฝึกแล้ว ไปให้จับพระปัจเจกพุทธเจ้า หม่อมฉัน รุกรานพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพระชินเจ้า มีเดชรุ่งเรืองพึงกลัว (พระ ชนกตรัสว่า) พวกเราชาวบุรีทั้งหมดจักพินาศ เราจะขอขมาพระมุนีนั้น ถ้าเราจะไม่ขมาท่านผู้มีตนอันฝึกแล้ว มีจิตตั้งมั่น ภายในวันที่ ๗ แว่น- แคว้นของเราจักพินาศ สุเมขลราชา โกสิยราชา สิคควราชา และสัตตก- ราชา ได้รุกรานฤาษีทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นพร้อมทั้งเสนาตกยาก (ถึง ความพินาศ) ฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ โกรธเคือง เมื่อใด เมื่อนั้น ท่านย่อมยังมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลก สาครและภูเขา ให้พินาศ เราจึงสั่งให้ประชุมบุรุษทั้งหลายในประเทศ ประมาณสามพัน โยชน์ เพื่อต้องการจะแสดงโทษ จึงได้เข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า เรา ทั้งหมดมีผ้าเปียก มีศีรษะเปียก ประนมอัญชลี พากันหมอบลงแทบเท้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วได้เรียนท่านดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหาวีระ ขอ เจ้าประคุณได้โปรดอดโทษเถิด มหาชนอ้อนวอนเจ้าประคุณ ขอเจ้า ประคุณได้โปรดบรรเทาความเร่าร้อน และขออย่าให้แว่นแคว้นพินาศ เสียเลย มนุษย์พร้อมทั้งเทวดา อสูร และผีเสื้อทั้งหมด พึงต่อยศีรษะ ของกระผมด้วยค้อนเหล็กทุกเมื่อ (พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า) ไฟไม่ตั้ง อยู่ในน้ำ พืชไม่งอกบนหินล้วน กิมิชาติไม่ดำรงอยู่ในยาพิษฉันใด ความ โกรธย่อมไม่เกิดในพระพุทธะฉันนั้น อนึ่ง พื้นดินไม่หวั่นไหว สมุทร สาครประมาณไม่ได้ และอากาศไม่มีที่สุด ฉันใด พระพุทธะใครๆ ให้ กำเริบไม่ได้ ฉันนั้น พระมหาวีรเจ้าทั้งหลายมีตนฝึกแล้ว อดทน และ มีตบะ เจ้าประคุณทั้งหลายผู้อดทน ประกอบด้วยความอดทน จะไม่มีการ ไป พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวดังนี้แล้ว ได้บรรเทาความเร่าร้อนให้หมดไป เวลานั้น เราได้เหาะขึ้นสู่อากาศข้างหน้าของมหาชน กล่าวว่า ข้าแต่ พระวีรเจ้า เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์ได้เข้าถึงความเลวทราม ล่วงชาติ นั้นแล้ว จึงได้เข้าสู่บุรีอันไม่มีภัย ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า แม้ในกาลนั้น พระองค์ก็ได้บรรเทาความเร่าร้อนอันตั้งอยู่ด้วยดี ให้แก่ข้าพระองค์ผู้เดือด ร้อนอยู่ และข้าพระองค์ก็ได้ขมาพระสยัมภูแล้ว ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า แม้วันนี้ พระองค์ได้ดับไฟ ๓ กองให้ข้าพระองค์ผู้ถูกไฟ ๓ กองเผาอยู่ และข้าพระองค์ได้ถึงความเย็นแล้ว ท่านเหล่าใดมีการเงี่ยโสตลงฟัง ขอ ท่านเหล่านั้นจงฟังเรากล่าว เราจักบอกเนื้อความแก่ท่านตามบทที่เราเห็น แล้ว เราดูหมิ่นพระสยัมภู (พระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้มีจิตสงบระงับ มีใจมั่นคงนั้นแล้ว เพราะกรรมนั้น วันนี้ จึงได้เกิดในกำเนิดต่ำทราม ขณะอย่าพลาด (ล่วงเลย) ท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้ที่ล่วงขณะย่อม เศร้าโศก ท่านทั้งหลายพึงพยายามในประโยชน์ของตน ท่านทั้งหลายจง จงเก็บขณะไว้ ยาสำรอกของบุคคลบางพวก เป็นยาถ่ายของบุคคลบางพวก, ยาพิษแข็งกล้าร้ายของคนบางพวก เป็นยาถ่ายของคนบางพวก, ยาพิษ กล้าร้ายแรงของคนบางพวก เป็นยารักษาโรคของคนบางพวก, (พระผู้มี พระภาคทรงทราบแล้วโดยลำดับ) ได้ตรัสบอกอาการเปลื้องสงสารแก่ผู้ ปฏิบัติการถอนออกจากสงสารแก่ผู้ตั้งอยู่ในผล ตรัสบอกโอสถแก่ผู้ได้ผล ตรัสบอกบุญเขตแก่ผู้แสวงหา ตรัสบอกยาพิษอันกล้าแข็งแก่บุคคลผู้เป็น ปฏิปักข์ต่อพระศาสนา อบายสี่ย่อมเผานระนั้น เหมือนอสรพิษมีพิษร้าย ฉะนั้น ยาพิษอันกล้าแข็งที่บุคคลดื่มแล้วย่อมยังชีวิตให้พินาศครั้งเดียว คนผิดในพระศาสนาแล้ว ย่อมถูกไฟเผาในโกฏิกัป พระพุทธะนั้นย่อม ข้ามโลกพร้อมทั้งเทวโลกได้เพราะขันติ อวิหิงสา และเพราะมีจิตเมตตา ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ใครๆ ให้พิโรธไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้า ทั้งหลายเช่นกับแผ่นดินไม่ข้องอยู่ในลาภและความเสื่อมลาภ ในความ สรรเสริญและดูหมิ่น ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ใครๆ ให้พิโรธไม่ได้ พระมุนีมีจิตเสมอในสรรพสัตว์ คือ ในพระเทวทัต นายขมังธนู องคุลิมาลโจร พระราหุล และในช้างธนบาล พระพุทธเจ้าเหล่านี้ย่อม ไม่มีความโกรธ ไม่มีความกำหนัด พระพุทธเจ้ามีจิตเสมอในชนทั้งปวง คือในผู้ฆ่าและโอรส ใครๆ เห็นผ้ากาสาวะอันเขาทิ้งไว้ที่หนทางเปื้อน ของไม่สะอาด อันเป็นธงชัยของฤาษี พึงยกกรอัญชลีเหนือเศียรเกล้า ไหว้พระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ย่อมบริสุทธิ์ด้วย ธงชัยนั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านี้ควรนมัสการ เราย่อมทรง พระวินัยอันงามเช่นกับพระศาสดาไว้ด้วยหทัย เราจักนมัสการพระวินัยใน กาลทุกเมื่อ พระวินัยเป็นที่อาศัยของเรา พระวินัยเป็นที่ยืนเดินของเรา เราจะสำเร็จการอยู่ในพระวินัย พระวินัยเป็นโคจรของเรา ข้าแต่พระมหา วีรเจ้า เพราะฉะนั้น พระอุบาลีผู้ถึงที่สุดในพระวินัย และฉลาดในสมถะ ถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา ข้าพระองค์นั้น จะไปจากบ้านนี้สู่ บ้านโน้น จากบุรีนี้สู่บุรีโน้น เที่ยวนมัสการพระสัมพุทธเจ้าและพระ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงดีแล้ว ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว อาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี ข้าพระองค์ได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดดีแล้วหนอ วิชชา ๓ ข้าพระองค์บรรลุแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ ได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุปาลีเถราปทาน
-----------------------------------------------------
อัญญาโกณฑัญญเถราปทานที่ ๙ (๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายปฐมภัตแก่พระพุทธเจ้า
[๙] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลก เป็น นายกอย่างวิเศษ บรรลุพุทธภูมิแล้ว เป็นครั้งแรก เทวดาประมาณ เท่าไร มาประชุมกันที่ควงไม้โพธิทั้งหมด แวดล้อมพระสัมพุทธเจ้า ประนมกรอัญชลีไหว้อยู่ เทวดาทั้งปวงมีใจยินดี เที่ยวประกาศไปใน อากาศว่า พระพุทธเจ้านี้ทรงบรรเทาความมืดมนอนธกาลแล้ว ทรงบรรลุ แล้ว เสียงบันลือลั่นของเทวดาผู้ประกอบด้วยความร่าเริงเหล่านั้นได้เป็น ไปว่า เราจักเผากิเลสทั้งหลาย ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้ (ได้ฟัง) เสียงอันเทวดาทั้งหลายเปล่งแล้วด้วยวาจา ร่าเริงแล้ว มีจิตยินดี ได้ถวายภิกษาก่อน พระศาสดาผู้สูงสุดในโลก ทรงทราบความดำริของเรา แล้วประทับนั่ง ณ ท่ามกลางหมู่เทวดา ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า เรา ออกบวชได้ ๗ วันแล้ว จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ภัตอันเป็นปฐมของเรา นี้เป็นเครื่องยังชีวิตให้เป็นไปของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เทพบุตรได้จาก ดุสิตมา ณ ที่นี้ ได้ถวายภิกษาแก่เรา เราจักพยากรณ์เทพบุตรนั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักเสวยเทวราชสมบัติอยู่ประมาณ ๓ หมื่น กัลป์ จักครอบครองไตรทิพย์ ครอบงำเทวดาทั้งหมด เคลื่อนจากเทวโลก แล้ว จักถึงความเป็นมนุษย์ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เสวยราชสมบัติใน มนุษย์โลกนับพันครั้ง ในแสนกัลป พระศาสดาพระนามว่าโคดม โดย พระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นเคลื่อนจากไตรทศแล้ว จักถึงความเป็นมนุษย์ จักออกบวชเป็น บรรพชิตอยู่ ๖ ปี แต่นั้นในปีที่ ๗ พระพุทธเจ้าจักตรัสจตุราริยสัจ ภิกษุ มีนามชื่อว่าโกณฑัญญะ จักทำให้แจ้งเป็นปฐม เมื่อเราออกบวช ได้บวช ตามพระโพธิสัตว์ ความเพียรเราทำดีแล้ว เราบวชเป็นบรรพชิตเพื่อต้อง การจะเผากิเลส พระสัพพัญญูพุทธเจ้าเสด็จมา ตีกลองอมฤตในโลก พร้อมทั้งเทวโลกในป่าใหญ่กับเราด้วยนี้ บัดนี้ เราบรรลุอมตบทอันสงบ ระงับ อันยอดเยี่ยมนั้นแล้ว เรากำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะ อยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน
-----------------------------------------------------
ปิณโฑภารทวาชเถราปทานที่ ๑๐ (๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกปทุม
[๑๐] พระสยัมภูชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เป็นบุคคลผู้เลิศประทับอยู่บนยอด ภูเขาจิตกูฏข้างหน้าภูเขาหิมวันต์ เราเป็นพระยาเนื้อผู้ไม่มีความกลัว สามารถจะไปได้ในทิศทั้ง ๔ อยู่ ณ ที่นั้น สัตว์เป็นอันมากได้ฟังเสียง ของเราแล้วย่อมครั้นคร้าม เราคาบดอกปทุมที่บาน เข้าไปหาพระนราสภ ได้บูชาพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จออกจากสมาธิ เวลานั้น เรานมัสการพระพุทธ- เจ้าผู้ประเสริฐสูงสุดกว่านระในสี่ทิศ ยังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว ได้บันลือสีหนาท พระปทุมุตรพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงรับเครื่องบูชา ของเรา แล้วประทับนั่งบนอาสนะของพระองค์ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ทวยเทพทั้งปวงได้ทราบพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว มาประชุมกันกล่าว กันว่า พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐจักเสด็จมาแล้ว เราทั้งหลายจักฟังธรรมนั้น พระมหามุนีทรงเห็นกาลยาวผู้เป็นนายกของโลก ทรงประกาศเสียงของเรา ข้างหน้าของทวยเทพและมนุษย์ผู้ประกอบด้วยความร่าเริงเหล่านั้นว่า ผู้ใด ได้ถวายปทุมนี้ และได้บันลือสีหนาท เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลาย จงฟังเรากล่าว ในกัลปที่ ๘ แต่ภัทรกัลปนี้ ผู้นั้นจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ จักเสวยความ เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ๖๔ ชาติ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงกำลัง มี พระนามชื่อว่าปทุม ในแสนกัลป พระศาสดาพระนามว่าโคดมโดย พระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก เมื่อพระศาสดาพระองค์นั้นทรงประกาศพระศาสนาแล้ว พระยาสีหะนี้จัก เป็นบุตรของพราหมณ์ จักออกจากสกุลพราหมณ์แล้วบวชในพระศาสนา ของพระศาสดาพระองค์นั้น เขามีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน ณ เสนา- สนะอันสงัด ปราศจากชนเกลื่อนกล่นด้วยเนื้อร้าย คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระปิณโฑภารทวาชเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปิณโฑภารทวาชเถราปทาน
-----------------------------------------------------
ขทิรวนิยเรวตเถราปทานที่ ๑๑ (๙)
ว่าด้วยผลแห่งการจัดเรือนำข้ามฟาก
[๑๑] แม่น้ำคงคาชื่อภาคีรสี เกิดแต่ประเทศหิมวันต์ เราเป็นนายเรืออยู่ที่ท่าอัน ขรุขระ ข้ามส่งคนจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ผู้นายกของโลก สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ กับพระขีณาสพหนึ่งแสน จัก ข้ามกระแสแม่น้ำคงคา เรานำเรือมารวมไว้เป็นอันมากแล้วนำประทุนเรือ ที่นายช่างตกแต่งเป็นอันดีไว้ต้อนรับพระนราสภ ก็สัมพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วเสด็จขึ้นเรือ พระศาสดาประทับยืน ณ ท่ามกลางน้ำ (เมื่อเรือถึง กลางน้ำพระศาสดาประทับยืน) ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดข้ามส่ง พระสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้นั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น วิมานอันบุญกรรมทำไว้อย่างสวยงามมีสัณฐานดัง เรือ จักเกิดแก่ท่าน หลังคาดอกไม้จักกั้นอยู่บนอากาศทุกเมื่อ ในกัลปที่ ๕๔ ผู้นี้จักได้เป็นกษัตริย์พระนามว่าตารณะ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงครอบครองแผ่นดิน มีสมุทรสาครเป็นที่ลุด ในกัลปที่ ๕๗ จักได้เป็น กษัตริย์พระนามว่าจัมพกะ ทรงพระกำลังมาก จักรุ่งเรือง ดังพระอาทิตย์ อุทัย ฉะนั้น ในแสนกัลป พระศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่ง สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้เคลื่อนจาก ไตรทศแล้ว จักถึงความเป็นมนุษย์ จักเป็นบุตรแห่งพราหมณ์ มีนาม ชื่อว่าเรวตะ อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักออกจากเรือนบวชในศาสนา ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม ภายหลังเขาบวชแล้ว จักประกอบ ความเพียร เจริญวิปัสสนากำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะ นิพพาน เรามีความเพียรอันนำไปซึ่งธุระ อันนำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษม จากโยคะ เราทรงกายอันมีในที่สุด ในศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระขทิรวนิยเรวตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อานันทเถราปทานที่ ๑๒ (๑๐)
ว่าด้วยผลแห่งการกางฉัตรถวายพระพุทธเจ้า
[๑๒] พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตระ เสด็จออกจากประตูพระอารามแล้ว ทรง ยังเมล็ดฝนอมฤตให้ตกอยู่ ยังมหาชนให้เย็นสบาย พระขีณาสพผู้เป็น นักปราชญ์เหล่านั้นประมาณตั้งแสน ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก แวดล้อม พระสัมพุทธเจ้า ดุจพระฉายาตามพระองค์ ฉะนั้น เวลานั้น เราอยู่บน คอช้าง ทรงไว้ซึ่งฉัตรขาวอันประเสริฐสุด ปีติย่อมเกิดแก่เราเพราะได้ เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้มีรูปงาม เราลงจากคอช้างแล้วเข้าไปเฝ้าพระนราสภ ได้กั้นฉัตรแก้วของเราถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระมหาฤาษี พระนามว่าปทุมุตระ ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงหยุดกถานั้นไว้ แล้วตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดได้กั้นฉัตรอันประดับด้วยเครื่องอลังการ ทอง เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว สัตว์ผู้นี้ไปจาก มนุษยโลกแล้ว จักครอบครองดุสิต จักเสวยราชสมบัติ มีนางอัปสร ทั้งหลายแวดล้อม จักเสวยเทวราชสมบัติ ๓๔ ครั้ง จักเป็นอธิบดีแห่งชน ครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ครั้ง จัก เสวยราชสมบัติในประเทศราชอันไพบูลย์ในแผ่นดิน ในแสนกัลป พระ- ศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้จักเป็นโอรสแห่งพระญาติของพระพุทธเจ้าผู้เป็น ธงชัย แห่งสกุลศากยะ จักเป็นพุทธอุปัฏฐาก มีนามชื่อว่าอานนท์ จักมีความเพียร ประกอบด้วยปัญญา ฉลาดในพาหุสัจจะ มีความ ประพฤติอ่อนน้อม ไม่กระด้าง ชำนาญในบาลีทั้งปวง พระอานนท์นั้นมี ตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร สงบระงับ ไม่มีอุปธิ จักกำหนดรู้อาสวะ ทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน มีช้างกุญชรอยู่ในป่า อายุ ๖๐ ปี ตกมันสามครั้ง เกิดในตระกูลช้างมาตังคะ มีงางอนงาม ควรเป็นราช- พาหนะฉันใด แม้บัณฑิตทั้งหลายก็ฉันนั้น ประมาณได้หลายแสน มี ฤทธิ์มาก ทั้งหมดนั้น ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นผู้ไม่มีกิเลส เราจักนมัสการทั้งในยามต้น ในยามกลาง และในยามสุด เรามีจิต ผ่องใส ปลื้มใจ บำรุงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เรามีความเพียร ประกอบด้วยปัญญา มีสติสัมปชัญญะ บรรลุโสดาปัตติผล ฉลาดใน เสขภูมิ ในแสนกัลปแต่ละกัลปนี้ เราก่อสร้างกรรมใด เราบรรลุถึง ภูมิแห่งกรรมนั้นแล้ว ศรัทธาตั้งมั่นมีผลมาก การมาในสำนักพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดของเรา เป็นการมาดีหนอ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอานันทเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อานันทเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. พุทธาปทาน ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน ๓. สารีปุตตเถราปทาน ๔. มหาโมคคัลลานเถราปทาน ๕. มหากัสสปเถราปทาน ๖. อนุรุทธเถราปทาน ๗. ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน ๘. อุปาลีเถราปทาน ๙. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน ๑๐. ปิณโฑภารทวาชเถราปทาน ๑๑. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน ๑๒. อานันทเถราปทาน
ท่านรวบรวมคาถาทั้งหมดได้ ๖๕๐ คาถา.
จบ อปทานพุทธวรรคที่ ๑
-----------------------------------------------------
สีหาสนิวรรคที่ ๒
สีหาสนทายกเถราปทานที่ ๑ (๑๑)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายราชอาสน์ทองคำ
[๑๓] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้สูงสุดกว่าสัตว์นิพพานแล้ว เมื่อ พระศาสดา (แผ่) กว้างขวาง เมื่อพระศาสนามีท่านผู้รู้ (พระขีณาสพ) มาก เรามีจิตผ่องใส ใจผ่องแผ้ว ได้ทำราชอาสน์ทองคำ ครั้นทำ ราชอาสน์ทองคำแล้ว ได้ทำตั่งสำหรับรองเท้า ได้สร้างเรือนสำหรับเก็บ ราชอาสน์ทองคำนั้นในฤดูฝนด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราได้บังเกิดในภพ ดุสิตวิมานโดยยาว ๒๔ โยชน์ โดยกว้าง ๑๔ โยชน์ อันบุญกรรมสร้าง อย่างงดงามมีอยู่ในภพสุดิตนั้นเพื่อเรา นางเทพกัญญา ๗ หมื่นแวดล้อม เราอยู่ทุกเมื่อ และบัลลังก์ทองที่สร้างอย่างวิจิตร มีอยู่ในวิมานของเรา ยานช้าง ยานม้า ยานทิพย์ ตั้งไว้คอยรับเรา ปราสาทและวอย่อมบังเกิด ตามความปรารถนา บัลลังก์แก้ว และบัลลังก์ไม้แก่นอย่างอื่นเป็นอันมาก ย่อมเกิดแก่เราทุกอย่าง นี้เป็นผลแห่ง (การถวาย) ราชอาสน์ทองคำ เราสวมรองเท้าทำด้วยทองคำ ทำด้วยเงิน ทำด้วยแก้วผลึก ทำด้วยแก้ว ไพฑูรย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งรองเท้า ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยผลกรรมนั้น เราไม่รู้ทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งบุญกรรม ในกัลปที่ ๗๓ แต่กัลปนี้ มีคน ๓ คน ชื่ออินท์ ในกัลปที่ ๗๒ แต่กัลปนี้ มีคน ๓ คน ชื่อสุมนะ ในกัลปที่ ๗๐ มีคน ๓ คน ชื่อวรุณ สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระสีหาสนทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สีหาสนทายกเถราปทาน
-----------------------------------------------------
เอกถัมภิกเถราปทานที่ ๒ (๑๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเสาต้นเดียว
[๑๔] ได้มีการประชุมมหาอุบาสกของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ และ อุบาสกเหล่านั้นถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเชื่อพระตถาคต อุบาสกทั้งหมด มาประชุมปรึกษากันจะสร้างศาลาถวายแด่พระศาสดา ยังไม่ได้เสาอีกต้น หนึ่ง จึงพากันเที่ยวหาอยู่ในป่าใหญ่ เราพบอุบาสกเหล่านั้นในป่าแล้ว จึงเข้าไปหาคณะอุบาสกในเวลานั้น เราประนมอัญชลีสอบถามคณะอุบาสก อุบาสกผู้มีศีลเหล่านั้นอันเราถามแล้วตอบให้ทราบว่า เราต้องการจะสร้าง ศาลา ยังหาเสาไม่ได้อีกต้นหนึ่ง ขอท่านจงให้เสากะเราต้นหนึ่งเถิด ฉันจักถวายแด่พระศาสดา ฉันจักนำเสามาให้ท่านทั้งหลายไม่ต้องขวนขวาย หา อุบาสกเหล่านั้นเลื่อมใสมีใจยินดีให้เสาแก่เรา แล้วกลับจากป่านั้นมา สู่เรือนของตนๆ เมื่อคณะอุบาสกไปแล้วไม่นาน เราได้ถวายเสาในกาล นั้น เรายินดี มีจิตร่าเริง ยกเสาขึ้นก่อนเขา ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราได้เกิดในวิมาน ภพของเราตั้งอยู่โดดเดี่ยว ๗ ชั้น สูงตระหง่าน เมื่อ กลองดังกระหึ่มอยู่ เราบำเรออยู่ทุกเมื่อ ใน ๕๕ กัลป เราได้เป็นพระราชา พระนามว่ายโสธร แม้ในกาลนั้น ภพของเราก็สูงสุด ๗ ชั้น ประกอบ ด้วยเรือนยอดอันประเสริฐ มีเสาต้นหนึ่งเป็นที่รื่นรมย์แห่งใน ใน ๒๑ กัลป เราเป็นกษัตริย์พระนามว่าอุเทน แม้ในกาลนั้น ภพของเราก็มี ๗ ชั้น ประดับอย่างสวยงาม เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดา หรือความเป็นมนุษย์ เราย่อมเสวยผลนั้นๆ ทั้งหมด นี้เป็นผลแห่ง (การถวาย) เสาต้นเดียว ในกัลปที่ ๙๔ แก่กัลปนี้ ในกาลนั้นเราได้ให้เสา ใด ด้วยบุญกรรมนั้น เราไม่รู้สึกทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง (การถวาย) เสา ต้นเดียว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้วฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระเอกถัมภิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกถัมภิกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
นันทเถราปทานที่ ๓ (๑๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้า
[๑๕] เราได้ถวายผ้าทอด้วยเปลือกไม้ แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่า ปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลกผู้มั่นคง ตรัสรู้เอง แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง พระพุทธ- เจ้าผู้เป็นนายกพระนามว่า ปทุมุตระ ทรงพยากรณ์เรานั้นว่า ด้วยการถวาย ผ้านี้ ท่านจักเป็นผู้มีผิวพรรณดังทองคำ ได้เสวยสมบัติทั้งสองแล้ว อันกุศลมูลตักเตือน จักได้เป็นพระอนุชาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า โคดม ท่านอันราคะย้อมแล้ว มีปกติสุข ประกอบด้วยความกำหนัดใน กาม เป็นผู้อันพระพุทธเจ้าตักเตือนแล้ว แต่นั้นจักบวช ครั้นบวชใน พระศาสนาของพระโคดมนั้นแล้ว อันกุศลมูลตักเตือน จักกำหนดรู้ อาสวะทั้งปวง ไม่มีอาสวะนิพพาน ในแสนกัลป มีคน ๔ คน ชื่อเจละ ใน ๖ หมื่นกัลป มีคน ๔ คน ชื่ออุปเจละ ใน ๕ หมื่นกัลป มีคน ๔ คนชื่อ เจละเหมือนกัน สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระนันทเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นันทเถราปทาน
-----------------------------------------------------
จุลลปันถกเถราปทานที่ ๔ (๑๔)
ว่าด้วยพระจุลลปันถกปัญญาเขลา
[๑๖] เวลานั้น พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรับเครื่องบูชาแล้ว พระองค์ เสด็จหลีกออกจากหมู่ ประทับอยู่ ณ ภูเขาหิมวันต์ แม้เวลานั้นเราก็อยู่ ในอาศรมใกล้ภูเขาหิมวันต์ เราได้เข้าไปเฝ้าพระมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกของ โลก ซึ่งเสด็จมาไม่นาน เราถือเอาฉัตรอันประดับด้วยดอกไม้ เข้าไปเฝ้า พระนราสภ เราได้ทำอันตรายแก่พระผู้มีพระภาคซึ่งกำลังเสด็จเข้าสมาธิ เราประคองฉัตรดอกไม้ด้วยมือทั้งสองถวายแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มี พระภาคมหามุนีพระนามว่าปทุมุตระทรงรับแล้ว เทวดาทั้งปวงมีใจชื่นบาน เข้ามาสู่ภูเขาหิมวันต์ ยังสาธุการให้เป็นไปว่า พระผู้มีพระภาคผู้มีจักษุ ทรงอนุโมทนา ครั้นเทวดาเหล่านี้กล่าวเช่นนี้แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ- ภาคผู้สูงสุดว่านระ เมื่อเรากั้นฉัตรดอกบัวอันอุดมอยู่ในอากาศ (พระผู้มี พระภาคตรัสว่า) ดาบสได้ประคองฉัตรใบบัว ๗ ใบให้แก่เรา เราจัก- พยากรณ์ดาบสนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ดาบสนี้จักเสวยเทวรัช สมบัติอยู่ตลอด ๒๕ กัลป์ และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ครั้ง จะท่อง เที่ยวสู่กำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ จักทรงไว้ซึ่งดอกปทุมอันตั้งอยู่ในอากาศ ในแสนกัลป พระศาสดาพระ นามว่าโคดม โดยพระโคตร ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จัก เสด็จอุบัติในโลก เมื่อพระศาสดาทรงประกาศพระศาสนา ดาบสผู้จักได้ ความเป็นมนุษย์ เราจักเป็นผู้อุดมในกายอันบังเกิดแล้วด้วยใจ จักมีพี่ น้องชายสองคนมีชื่อว่าปันถก แม้ทั้งสองคนเสวยประโยชน์อันสูงสุดแล้ว จักยังพระศาสนาให้รุ่งเรือง เรานั้นมีอายุ ๑๘ ปี ออกบวชเป็นบรรพชิต เรายังไม่ได้คุณวิเศษในศาสนาของพระศากยบุตร เรามีปัญญาเขลา เพราะ เราอบรมอยู่ในบุรี พระพี่ชายจึงขับไล่เราว่า จงไปสู่เรือนเดี๋ยวนี้ เราถูก พระพี่ชายขับไล่แล้วน้อยใจ ได้ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม ไม่หวังใน ความเป็นสมณะ ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จมา ณ ที่นั้น ทรงลูบศีรษะ เรา ทรงจับเราที่แขน พาเข้าไปในสังฆาราม พระศาสดาได้ทรงอนุเคราะห์ ประทานผ้าเช็ดพระบาทให้แก่เราว่า จงอธิษฐานผ้าอันสะอาดอย่างนี้วางไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง เราจับผ้านั้นด้วยมือทั้งสองแล้วจึงระลึกถึงดอกบัวได้ จิตของเราปล่อยไปในดอกบัวนั้น เราจึงได้บรรลุอรหัต เราถึงที่สุดใน ฌานทั้งปวง ในกายอันบังเกิดแล้วแต่ใจ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมปภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระจุลลปันถกได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จุลลปันถกเถราปทาน
-----------------------------------------------------
ปิลินทวัจฉเถราปทานที่ ๕ (๑๕)
ว่าด้วยผลแห่งการไล้ทาของหอม
[๑๗] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าสุเมธ เป็นบุคคลผู้เลิศ นิพพานแล้ว เรามี จิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ทำการบูชาพระสถูปในสมาคมนั้น มีพระ ขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มากเท่าใด เรานิมนต์พระขีณาสพเหล่านั้น มาประชุมกันในสมาคมนั้นแล้ว ได้ทำสังฆภัตถวาย เวลานั้น มีภิกษุ อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสุเมธ ท่านมีนามชื่อว่าสุเมธ ได้ อนุโมทนาในเวลานั้น ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราได้เข้าถึงวิมาน นาง อัปสรแปดหมื่นหกพันได้มีแก่เรา นางอัปสรเหล่านั้น ย่อมอนุวัตตาม ความประสงค์ทุกอย่างของเราเสมอ เราย่อมครอบงำเทวดาเหล่าอื่น นี้ เป็นผลแห่งบุญกรรมในกัลปที่ ๒๕ เราเป็นกษัตริย์ พระนามว่าวรุณ ใน กาลนั้นเราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเสวยโภชนะอันขาวผ่อง ชนเหล่านั้น ไม่ต้องหว่านพืช และไม่ต้องนำไถไปไถ มนุษย์ทั้งหลายย่อมบริโภคข้าว สาลีอันเกิดเองสุกเองในที่ไม่ได้ไถ เราเสวยราชสมบัติในภพนั้นแล้ว ได้ ถึงความเป็นเทวดาอีก ถึงเวลานั้น โภคสมบัติเช่นนี้ก็บังเกิดแก่เรา สัตว์ทั้งปวงซึ่งเป็นมิตร หรือมิใช่มิตร ย่อมไม่เบียดเบียนเรา เราเป็น ที่รักของสัตว์ทุกจำพวก นี้เป็นผลแห่งกรรม ในกัลปที่ ๓ หมื่น เราได้ให้ ทานใดในกาลนั้น ด้วยการให้ทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งการไล้ทาด้วยของหอม ในภัทกัปนี้ เราผู้เดียวได้เป็นอธิบดีของคน ได้เป็นราชฤาษีผู้มีอานุภาพมาก ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีพลมาก เรา นั้นตั้งอยู่ในศีล ๕ ได้ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ถึงสุคติ ได้เป็นที่รักของ เทวดาทั้งหลาย คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๕ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระปิลินทวัจฉเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปิลินทวัจฉเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ราหุลเถราปทานที่ ๖ (๑๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเครื่องลาด
[๑๘] เราได้ถวายเครื่องลาดในปราสาท ๗ ชั้น แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่า ปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ พระมหามุนีผู้เป็นจอมแห่งชนเป็น นระผู้ประเสริฐ อันพระขีณาสพพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เสด็จเข้าพระ คันธกุฎี พระศาสดาผู้ประเสริฐกว่าเทวดา เป็นนระผู้องอาจ ทรงยัง พระคันธกุฎีให้รุ่งเรือง ประทับยืนในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ที่นอนนี้ผู้ใดให้โชติช่วงแล้ว ดังกระจกเงาอันขัดดีแล้ว เราจัก พยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ปราสาททองอันงดงาม หรือ ปราสาทแก้วไพฑูรย์เป็นที่รักแห่งใจจักบังเกิดแก่ผู้นั้น ผู้นั้นจักเป็นจอม เทวดา เสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๖๔ ครั้ง ในกัลปที่ ๒๑ จักได้เป็นกษัตริย์ พระนามว่าวิมล จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงครอบครองแผ่นดินมีสมุทร- สาคร ๔ เป็นขอบเขต พระนครชื่อเรณุวดีสร้างด้วยแผ่นอิฐ โดยยาว ๓๐๐ โยชน์ สี่เหลี่ยมจตุรัส ปราสาทชื่อสุทัสนะ อันวิสสุกรรมเทพบุตร นิรมิตให้ ประกอบด้วยเรือนยอดอันประเสริฐ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ วิทยาธรมีเสียงสิบอย่างต่างๆ กัน มาเกลื่อนกล่นอยู่ เหมือน จักเป็นนครชื่อสุทัสนะของเหล่าเทวดา รัศมีแห่งนครนั้น เปล่งปลั่งดัง เมื่อพระอาทิตย์อุทัย นครนั้นจักรุ่งเรืองจ้าโดยรอบ ๘ โยชน์อยู่เป็นนิจ ในแสนกัลป พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งมีสมภพ ในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นอันกุศลมูลตัก- เตือนแล้ว จักเคลื่อนจากภพดุสิต จักได้เป็นพระราชโอรสของพระผู้มี พระภาคพระนามว่าโคดม ถ้าจะพึงอยู่ครองเรือนผู้นั้นพึงได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ แต่ข้อที่เขาจะคงที่ถึงความยินดีในเรือนนั้น ไม่เป็นฐานะที่จะ มีได้ เขาจักออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้มีวัตรอันงาม จักได้เป็นพระ อรหันต์มีนามชื่อว่าราหุล พระมหามุนีทรงพยากรณ์เราว่า มีปัญญา สมบูรณ์ด้วยศีล เหมือนนกต้อยติวิดรักษาไข่ ดังจามรีรักษาขนหาง เรา รู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในศาสนา เรากำหนดรู้อาสวะ ทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระราหุลเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยการฉะนี้แล.
จบ ราหุลเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทานที่ ๗ (๑๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกกัณณิการ์
[๑๙] เราได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระนามว่าปทุมุตระเชษฐบุรุษของโลก เป็น นระผู้ประเสริฐ สูงสุดกว่านระ ประทับนั่งอยู่ที่เงื้อมเขา เวลานั้นเราได้ เห็นดอกกัณณิการ์กำลังบานจึงเด็ดขั้วมันแล้ว เอามาประดับที่ฉัตร โปรย (กั้น) ถวายแด่พระพุทธเจ้า และเราได้ถวายบิณฑบาตมีข้าวชั้นพิเศษ ที่จัดว่าเป็นโภชนะอย่างดี ได้นิมนต์พระ ๘ รูป เป็น ๙ รูป ทั้งพระ พุทธเจ้าให้ฉันที่บริเวณนั้น พระสยัมภูมหาวีรเจ้าผู้เป็นบุคคลผู้เลิศ ทรง อนุโมทนาว่า ด้วยการถวายฉัตรนี้ (และ) ด้วยจิตอันเลื่อมใสในการ ถวายข้าวชั้นพิเศษนั้น ท่านจักได้เสวยสมบัติ จักเป็นจอมเทวดาเสวย เทวรัชสมบัติ ๓๐ ครั้ง และจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๑ ครั้ง จักได้ เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับไม่ถ้วนในแสนกัลปแต่ กัลปนี้ วงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักสมภพ ดาบสผู้มีปัญญากว้างขวางเสมอ ด้วยแผ่นดิน มีปัญญาดี มหาชนเรียกว่าสุเมธ จักเป็นพระพุทธเจ้าพระ นามว่าโคดมโดยพระโคตร เมื่อพระศาสนากำลังรุ่งเรือง ผู้นี้จักถึงความเป็น มนุษย์จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่าอุปเสนะ เมื่อกาลเป็นไป ถึงที่สุด เราถอนภพได้ทั้งหมด เราชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ทรง กายอันเป็นที่สุดไว้ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตปุตตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน.
จบ ภาณวารที่ ๓.
-----------------------------------------------------
รัฐปาลเถราปทานที่ ๘ (๑๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายช้าง
[๒๐] เราได้ถวายช้างตัวประเสริฐ มีงางอนงามควรเป็นราชพาหนะพร้อมทั้งลูก ช้างอันงามมีเครื่องหัตถาลังการ กั้นฉัตรขาวแด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่า ปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลกผู้คงที่ เราซื้อสถานที่นั้นทั้งหมดแล้ว ได้ให้ สร้างอารามถวายแก่สงฆ์ ได้ให้สร้างปราสาทไว้ภายในวิหารนั้น ๕๔,๐๐๐ หลัง ได้ทำทานดังห้วงน้ำใหญ่แล้ว มอบถวายแด่พระพุทธเจ้า พระ สยัมภูมหาวีรเจ้าผู้เป็นอัครบุคคล ทรงอนุโมทนา ทรงยังชนทั้งหมดให้ ร่าเริง ทรงแสดงอมตบท พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกพระนามว่าปทุมุตระ ทรงทำผลบุญที่เราทำแล้วนั้นให้แจ้งชัดแล้ว ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้นี้ได้ให้สร้างปราสาท ๕๔,๐๐๐ หลัง เราจักแสดงวิบากของผู้นี้ ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว กูฏาคารหมื่นแปดพัน จักมีแก่ผู้นี้ และกูฏาคารเหล่านั้นสำเร็จด้วยทองล้วน เกิดในวิมานอัน อุดม ผู้นี้จักเป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติ ๕๐ ครั้ง และจักเป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ๕๘ ครั้ง ในกัลปที่แสน พระศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระ โคตรซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้อัน กุศลมูลตักเตือนแล้ว จักเคลื่อนจากเทวโลก ไปบังเกิดในสกุลที่เจริญมี โภคสมบัติมาก ภายหลัง เขาอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักบวช จักได้ เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ารัฐปาละ เขามีตนส่งไปแล้ว เพื่อ ความเพียรสงบระงับ ไม่มีอุปธิ จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มี อาสวะนิพพาน เราลุกขึ้นแล้ว ละโภคสมบัติออกบวช ความรักในโภค- สมบัติเหมือนก้อนเขฬะไม่มีแก่เรา เรามีความเพียรอันนำธุระไป อันนำ มาซึ่งธรรมเป็นเดนเกษมจากโยคะ เราทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุดในศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระรัฐปาลเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ รัฐปาลเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
โสปากเถราปทาน ที่ ๙ (๑๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอาสนะดอกไม้
[๒๑] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ เสด็จมายังสำนักของเราซึ่งกำลังชำระ เงื้อมเขาอยู่ที่ภูเขาสูงอันประเสริฐ เราเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามา ได้ ตกแต่งเครื่องลาดแล้ว ได้ปูลาดอาสนะดอกไม้ถวายแด่พระโลกเชษฐ์ผู้คง ที่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะนายกของโลกประทับนั่งบนอาสนะ ดอกไม้แล้ว ทรงทราบคติของเรา ได้ตรัสความเป็นอนิจจํว่า สังขาร ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้น แล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับเป็นสุข พระสัพพัญญู เชษฐบุรุษของโลก เป็นพระผู้ประเสริฐ ทรงเป็นนักปราชญ์ ตรัสดังนี้ แล้ว เสด็จเหาะขึ้นในอากาส ดังพระยาหงส์ในอัมพร เราละทิฏฐิของ ตนแล้วเจริญอนิจจสัญญา ครั้นเราเจริญอนิจจสัญญาได้วันเดียวก็ทำกาละ ณ ที่นั้นเอง เราเสวยสมบัติทั้งสอง อันกุศลมูลตักเตือนแล้วเกิดในภพ ที่สุด เข้าถึงกำเนิดพ่อครัว เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เรามี กาลฝน ๗ โดยกำเนิด ได้บรรลุอรหัต เราปรารภความเพียร มีใจแน่วแน่ ตั้งมั่นอยู่ในศีลด้วยดี ยังพระมหานาคให้ทรงยินดีแล้ว ได้อุปสมบทในกัลป ที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายอาสนะดอกไม้ในกัลปที่ ๙๔ แต่ กัลปนี้ เราได้เจริญสัญญาใดในกาลนั้น เราเจริญสัญญานั้นอยู่ ได้บรรลุ- อาสวขัยแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระโสปากเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โสปากเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
สุมังคลเถราปทานที่ ๑๐ (๒๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอาหาร
[๒๒] เราประสงค์จะบูชาเครื่องเซ่นสรวง จึงให้ตกแต่งโภชนาหารยืนอยู่ที่โรง- ใหญ่ คอยต้อนรับพราหมณ์ทั้งหลาย ครั้งนั้นเราได้เห็นพระผู้มีพระภาค สัมพุทธเจ้า พระนามว่าปิยทัสสีทรงมียศมาก ทรงนำโลกทั้งปวงให้วิเศษ เป็นสยัมภูอัครบุคคลผู้โชติช่วง อันพระสาวกทั้งหลายแวดล้อม รุ่งเรือง ดังพระอาทิตย์ เสด็จดำเนินไปในถนน จึงประนมอัญชลียังจิตของตนให้ เลื่อมใส นิมนต์ด้วยใจเท่านั้นว่า ขอเชิญพระมหามุนีเสด็จมา พระ ศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราเสด็จมาสู่ประตู (เรือน) เรากับพระขีณาสพหนึ่งพัน (เราทูลว่า) ขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้บุรุษ อาชาไนย ขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้อุดมบุรุษ ขอเชิญเสด็จขึ้นปราสาท ประทับนั่งบนอาสนะอันอุดมเถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงฝึกพระ องค์แล้ว มีบริวารอันฝึกแล้วทรงข้ามพ้นแล้ว ประเสริฐกว่าบรรดาผู้ข้าม เสด็จขึ้นปราสาทแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะอันประเสริฐ อามิสใดที่เรา รวบรวมไว้อันมีอยู่ในเรือนตน เรามีจิตเลื่อมใส ได้ถวายอามิสนั้น แด่ พระพุทธเจ้าด้วยมือทั้งสองของตนโดยเคารพ เรามีจิตเลื่อมใส มีใจ ผ่องแผ้ว เกิดโสมนัส ประนมอัญชลีนมัสการพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ว่า โอ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ในระหว่างพระอริยบุคคล ๘ นั่งฉันอยู่ มีพระขีณาสพเป็นอันมาก อานุภาพนี้ของท่านทั้งหลาย เรานับถือพระผู้มี พระภาคนั้นเป็นสรณะ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปิยทัสสี เชษฐบุรุษ ของโลกประเสริฐกว่านระ ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้วได้ตรัส พระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดได้นิมนต์สงฆ์ผู้ซื่อตรง มีจิตมั่นคง และพระ ตถาคตสัมพุทธเจ้าให้ฉัน เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรา กล่าว ผู้นั้นจักได้เสวยเทวราชสมบัติ ๒๗ ครั้ง จักปรารภในกรรมของตน รื่นรมย์อยู่ในเทวโลก จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๘๐ ครั้ง จักได้เป็น พระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๕๐๐ ครั้ง เราเข้าป่าไพรวันอันสัตว์ ร้าย (เสือโคร่ง) อาศัยอยู่ เริ่มตั้งความเพียรแล้ว เผากิเลสได้ ในกัลป ที่ ๑๘๐๐ เราได้ให้ทานใดในเวลานั้น ด้วยผลแห่งทานนั้น เราไม่รู้ทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายอาหาร คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระสุมังคลเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุมังคลเถราปทาน
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สีหาสนทายกเถราปทาน ๒. เอกถัมภิกเถราปทาน ๓. นันทเถราปทาน ๔. จุลลปันถกเถราปทาน ๕. ปิลินทวัจฉเถราปทาน ๖. ราหุลเถราปทาน ๗. อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน ๘. รัฏฐปาลเถราปทาน ๙. โสปากเถราปทาน ๑๐. สุมังคลเถราปทาน
ในวรรคนี้ท่านประกาศคาถาไว้ ๑๓๗ คาถา.
จบ สีหาสนิยวรรคที่ ๒.
-----------------------------------------------------
สุภูติวรรคที่ ๓
สุภูติเถราปทานที่ ๑ (๒๑)
ว่าด้วยผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
[๒๓] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาชื่อนิสภะ เราได้สร้างอาศรมไว้ที่ภูเขา นิสภะนั้นอย่างสวยงาม สร้างบรรณศาลาไว้ ในกาลนั้น เราเป็นชฎิลมีนาม ชื่อว่าโกลิยะ มีเดชรุ่งเรือง ผู้เดียว ไม่มีเพื่อน อยู่ที่ภูเขานิสภะ เวลานั้น เราไม่บริโภคผลไม้ เหง้ามันและใบไม้ ในกาลนั้น เราอาศัยใบไม้เป็นต้น ที่เกิดเองและหล่นเองเลี้ยงชีวิต เราย่อมไม่ยังอาชีพให้กำเริบ แม้จะสละ ชีวิต ย่อมยังจิตของตนให้ยินดี เว้นอเนสนา จิตสัมปยุตด้วยราคะเกิดขึ้น แก่เรา เมื่อใด เมื่อนั้น เราบอกตนเองว่า เราผู้เดียวทรมานจิตนั้น ท่าน กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้ง แห่งความขัดเคือง และหลงใหลในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหล จง ออกไปเสียจากป่า ที่อยู่นี้เป็นของท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน มีตบะ ท่านอย่าประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์เลย จงออกไปเสียจากป่าเถิด ท่านจักเป็น เจ้าเรือนได้สิ่งที่ควรได้เมื่อใด ท่านอย่ายินดีแม้ทั้งสองอย่างนั้นเลย จงออก ไปจากป่าเถิด เปรียบเหมือนฟืนเผาศพ ไม่ใช้ทำกิจอะไรที่ไหนๆ ไม้นั้น เขาไม่ได้สมมติว่า เป็นไม้ในบ้านหรือในป่า ฉันใด ท่านก็เปรียบเหมือน ฟืนเผาศพ ฉันนั้น ไม่ใช่คฤหัสถ์ สมณะก็ไม่ใช่ วันนี้ ท่านพ้นจาก เพศทั้งสอง จงออกจากป่าไปเสียเถิด ข้อนี้พึงมีแก่ท่านหรือหนอ ใครจะรู้ ข้อนี้ของท่าน ใครจะนำธุระของเราไปโดยเร็ว เพราะท่านมากด้วยความ เกียจคร้าน วิญญูชนจักเกลียดท่าน เหมือนชาวเมืองเกลียดของไม่สะอาด ฉะนั้น ฤาษีทั้งหลาย จักคร่า ท่านมาโจทท้วง ทุกเมื่อ วิญญูชนจักประกาศ ท่านว่ามีศาสนาอันก้าวล่วงแล้ว ก็เมื่อไม่ได้สังวาส ท่านจักเป็นอยู่อย่างไร ช้างมีกำลัง เข้าไปหาช้างกุญชรตกมัน ๓ ครั้ง เกิดในสกุลช้างมาตังคะ มีอายุ ๖๐ ถอยกำลังแล้ว นำ (ขับ) ออกจากโขลง มันถูกขับจากโขลง แล้ว ย่อมไม่ได้ความสุขสำราญ มันเป็นสัตว์มีทุกข์เศร้าใจ ซบเซา หวั่น ไหวอยู่ ฉันใด ชฎิลทั้งหลายจักนำ (ขับ) แม้ท่านผู้มีปัญญาทรามออก ท่านถูกชฎิลเหล่านั้นขับไล่แล้ว จักไม่ได้ความสุขสำราญ ฉันนั้น ท่าน เพรียบพร้อมแล้วด้วยลูกศร คือ ความโศก ทั้งกลางวันและกลางคืน จัก ถูกความเร่าร้อนแผดเผา เหมือนช้างถูกขับจากโขลง ฉะนั้น หม้อน้ำทอง ย่อมไม่ไปในที่ไหนๆ ฉันใด ท่านมีศีลอันเสื่อมแล้ว ก็ฉันนั้น จักไม่ไป ในที่ไหนๆ แม้ท่านอยู่ครองเรือน ก็จักเป็นอยู่อย่างไร ทรัพย์อันเป็น ของมารดา และแม้ของบิดาที่ฝังไว้ของท่านไม่มี ท่านจักต้องทำการงาน ของตน จะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ จักเป็นอยู่ในเรือนอย่างนี้ กรรมที่ดีนั้น ท่านไม่ชอบ เราห้ามใจอันหมักหมมด้วยสังกิเลสอย่างนี้ ในที่นั้น เราได้ ธรรมกถาต่างๆ ห้ามจิตจากบาปธรรม เมื่อเรามีปกติอยู่ด้วยความไม่ ประมาทอย่างนี้ เวลา ๓ หมื่นปีล่วงเราไป (ผู้อยู่) ในป่าใหญ่ พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตระ ทรงเห็นเราผู้ไม่ประมาท ผู้แสวงหาประโยชน์อันอุดม จึงเสด็จมายังสำนักของเรา พระพุทธเจ้ามีพระรัศมีดังสีทองชมพูนุท ประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเสมอด้วยพระรูป เสด็จจงกรม อยู่ในอากาศในเวลานั้น พระพุทธเจ้าไม่มีใครเสมอด้วยพระญาณ เสด็จ จงกรมอยู่ในอากาศในกาลนั้น ดังพระยารังมีดอกบานสะพรั่ง เหมือนสายฟ้า ในระหว่างกลีบเมฆ พระองค์เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศในเวลานั้น ดังราชสีห์ ผู้ไม่กลัว ดุจพญาช้างร่าเริง เหมือนพญาเสือโคร่งผู้ไม่ครั่นคร้าน พระ พุทธเจ้ามีพระรัศมีดังแท่งทองสิงคี เปรียบด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียน มีพระ รัศมีโชติช่วงดังดวงแก้วมณีเสด็จจงกรมอยู่ในอากาศในกาลนั้น พระพุทธ- เจ้ามีพระรัศมีเปรียบดังเขา (แก้วใส) ไกรลาสอันบริสุทธิ์ เสด็จจงกรม อยู่ในอากาศในเวลานั้น ดังพระจันทร์ในวันเพ็ญ ดุจพระอาทิตย์เวลาเที่ยง เวลานั้น เราได้เห็นพระองค์เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ จึงคิดอย่างนี้ว่า สัตว์ผู้นั้นเป็นเทวดาหรือว่าเป็นมนุษย์ นระเช่นนี้ เราไม่เคยได้ฟังหรือเห็น ในแผ่นดิน บทมนต์จะมีอยู่บ้างกระมัง ผู้นี้จักเป็นพระศาสดา ครั้นเราคิด อย่างนี้แล้ว ได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใส เรารวบรวมดอกไม้และของหอม ต่างๆ ไว้ในเวลานั้น ได้ปูลาดอาสนะดอกไม้อันวิจิตรดีเป็นที่รื่นรมย์ใจ แล้วได้กล่าวคำนี้กะพระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่านระผู้เป็นสารถีว่า ข้าแต่พระวีร- เจ้า อาสนะอันสมควรแก่พระองค์นี้ ข้าพระองค์จัดไว้ถวายแล้ว ขอได้โปรด ทรงยังจิตของข้าพระองค์ให้ร่าเริง ประทับนั่งบนอาสนะดอกโกสุมเถิด พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าไม่ทรงตกพระทัย ดังพญาไกรสร ประทับนั่งบน อาสนะดอกโกสุมอันประเสริฐนั้น ๗ คืน ๗ วัน เราก็ได้นมัสการพระองค์ ๗ คืน ๗ วัน พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก เสด็จออกจากสมาธิแล้ว เมื่อทรงพยากรณ์กรรมของเรา ได้ตรัสพระดำรัสดังนี้ว่า ท่านจงเจริญ พุทธานุสสติอันยอดเยี่ยมกว่าภาวนาทั้งหลาย ท่านเจริญพุทธานุสสตินี้แล้ว จักยังใจให้เต็มเปี่ยมได้ จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จัก ได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อยู่ในแว่นแคว้น ๑๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดย คณานับมิได้ จักได้เสวยสมบัตินั้นทั้งหมด นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสสติ เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จักได้โภคสมบัติเป็น อันมาก จะไม่มีความบกพร่องด้วยโภคะ นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสสติ ในแสนกัลป พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ท่านจักทิ้ง ทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ทาสและกรรมกรเป็นอันมาก จักบวชในพระศาสนาของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม จักยังพระสัมพุทธเจ้าโคดมศากยบุตรผู้ ประเสริฐให้ทรงยินดี จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าสุภูติ พระศาสดาพระนามว่าโคดม ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว จักทรง ตั้งท่านว่าเป็นผู้เลิศใน ๒ ตำแหน่ง คือ ในคณะพระทักขิไณยบุคคล ๑ ในการอยู่โดยไม่มีข้าศึก ๑ พระสัมพุทธเจ้าผู้รุ่งเรือง ทรงเป็นนายกสูงสุด เป็นนักปราชญ์ ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เสด็จเหาะขึ้นสู่อากาศ ดังพญาหงส์ ในอัมพร เราอันพระโลกนาถทรงพร่ำสอนแล้ว นมัสการพระตถาคต มีจิต เบิกบาน เจริญพระพุทธานุสสติอันอุดมทุกเมื่อ ด้วยกุศลกรรมที่เราทำดี แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตนาไว้ เราละกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่ภพ ดาวดึงส์ ได้เป็นจอมเทวดาเสวยทิพยสมบัติ ๘๐ ครั้ง และได้เป็นพระ เจ้าจักรพรรดิ ๑๐๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับ มิได้ ได้เสวยสมบัติเป็นอันดี นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสสติ เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เราย่อมได้โภคสมบัติเป็นอันมาก เรา ไม่มีความบกพร่องโภคะเลย นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสสติ ในแสนกัลปแต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมอันใดไว้ในกาลนั้น ด้วยผลแห่ง กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสสติ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระสูภูติเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุภูติเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อุปวาณเถราปทานที่ ๒ (๒๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายธง
[๒๔] พระสัมพุทธชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ทรงรุ่งเรือง ดังกองไฟ เสด็จปรินิพพานแล้ว มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต กระทำจิตกาธารอย่างสวยงามแล้วปลงพระสรีระ มหาชนทั้งหมดพร้อมทั้ง เทวดาและมนุษย์ ทำสรีรกิจเสร็จแล้ว รวบรวมพระธาตุไว้ ณ ที่นั้น ได้ สร้างพระพุทธสถูปไว้ชั้นที่ ๑ แห่งพระพุทธสถูปนั้นสำเร็จด้วยทอง ชั้นที่ ๒ สำเร็จด้วยแก้วมณี ชั้นที่ ๓ สำเร็จด้วยเงิน ชั้นที่ ๔ สำเร็จด้วยแก้วผลึก ชั้นที่ ๕ ในพระพุทธสถูปนั้น สำเร็จด้วยแก้วทับทิม ชั้นที่ ๖ สำเร็จด้วย แก้วลาย (เพชรตาแมว) ชั้นบนสำเร็จด้วยรัตนล้วน ทางเดินสำเร็จด้วย แก้วมณี ไพรทีสำเร็จด้วยรัตนะ พระสถูปสำเร็จด้วยทองล้วนๆ สูงสุด หนึ่งโยชน์ เวลานั้น เทวดาทั้งหลายมาร่วมประชุมปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ พระธาตุจะได้ไม่ เรี่ยราย พระสรีระจะรวมกันเป็นอันเดียว เราทั้งหลายจักทำกุญแจใส่ใน พระพุทธสถูปนี้ เทวดาทั้งหลายจึงยังโยชน์อื่นให้เจริญด้วยรัตนะ ๗ ประการ (เทวดาทั้งหลายจึงนิรมิตพระสถูปให้สูงเพิ่มขึ้นอีกโยชน์หนึ่ง ด้วยรัตนะ ๗ ประการ) พระสถูปจึงสูง ๒ โยชน์ สว่างไสวขจัดความมืดได้ นาค ทั้งหลายมาประชุมร่วมปรึกษากัน ณ ที่นั้นในเวลานั้นว่า มนุษย์และเทวดา ได้สร้างพระพุทธสถูปแล้ว เราทั้งหลายอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์กับ เทวดาไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ นาคเหล่านั้น จึงร่วมกันรวบรวมแก้วอินทนิล แก้วมหานิล และแก้วมณี มีรัศมีโชติช่วงปกปิดพระพุทธสถูป พระพุทธเจดีย์ประมาณเท่านั้น สำเร็จ ด้วยแก้วมณีล้วน สูงสุด ๓ โยชน์ ส่งแสงสว่างไสวในเวลานั้น ฝูงครุฑ มาประชุมร่วมปรึกษากันในเวลานั้นว่า มนุษย์เทวดาและนาคได้สร้างพระ- พุทธสถูปแล้ว เราทั้งหลายอย่าประมาทเลย ดังมนุษย์เป็นต้นกับเทวดา ไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ ฝูงครุฑ จึงได้สร้างสถูปอันสำเร็จด้วยแก้วมณีล้วน และกุญแจก็เช่นนั้น ได้สร้าง พระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปให้สูงอีกโยชน์หนึ่ง พระพุทธสถูปสูงสุด ๔ โยชน์ รุ่งเรืองอยู่ ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ดังพระอาทิตย์อุทัยฉะนั้น และพวก กุมภัณฑ์ก็มาประชุมร่วมปรึกษากันในเวลานั้นว่า พวกมนุษย์และพวกเทวดา ฝูงนาคและฝูงครุฑ ได้สร้างสถูปอันอุดม ถวายเฉพาะแด่พระพุทธเจ้าผู้ ประเสริฐ พวกเราอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์เป็นต้นกับเทวดาไม่ ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวาย แต่พระโลกนาถผู้คงที่ พวก เราจักปกปิดพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปด้วยรัตนะ พวกกุมภัณฑ์ได้สร้าง พระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปในที่สุดอีกโยชน์หนึ่ง เวลานั้นพระสถูปสูงสุด ๕ โยชน์ สว่างไสวอยู่ พวกยักษ์มาประชุมร่วมปรึกษากัน ณ ที่นั้นใน เวลานั้นว่า เวลานั้น มนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์ (และ) ครุฑ ได้พากันสร้างสถูปอันอุดมถวายเฉพาะแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พวก เราอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์เป็นต้น พร้อมกับเทวดาไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ พวกเราจักปกปิด พระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปด้วยแก้วผลึก พวกยักษ์จึงสร้างพระพุทธเจดีย์ ต่อขึ้นไป ในที่สุดอีกโยชน์หนึ่ง เวลานั้น พระสถูปจึงสูงสุด ๖ โยชน์ สว่างไสวอยู่ พวกคนธรรพ์พากันมาประชุมร่วมปรึกษากันในเวลานั้นว่า สัตว์ทั้งปวง คือ มนุษย์ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์และยักษ์ พากันสร้างพระสถูปแล้ว บรรดาสัตว์เหล่านี้ พวกเรายังไม่ได้สร้าง แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวายต่อพระโลกนาถผู้คงที่ พวกคนธรรพ์ จึงพากันสร้างไพรที ๗ ชั้น ได้สร้างตลอดทางเดิน เวลานั้น พวก คนธรรพ์ได้สร้างสถูปสำเร็จด้วยทองคำล้วน ในกาลนั้น พระสถูปจึง สูงสุด ๗ โยชน์ สว่างไสวอยู่ กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ แสง สว่างมีอยู่เสมอไป พระจันทร์พระอาทิตย์พร้อมทั้งดาวครอบงำรัศมีพระ- สถูปนั้นไม่ได้ ก็แสงสว่างโพลงไปไกลร้อยโยชน์โดยรอบ (พระสถูป) ในเวลานั้น มนุษย์เหล่าใดจะบูชาพระสถูป พวกเขาไม่ต้องขึ้นพระสถูป พวกเขายกขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์ตนหนึ่งพวกเทวดาตั้งไว้ ชื่อว่าอภิสมมต มันยกธงหรือพวงดอกไม้ขึ้นไปในเบื้องสูง มนุษย์เหล่านั้นมองไม่เห็นยักษ์ เห็นแต่พวงดอกไม้ขึ้นไป ครั้นเห็นเช่นนี้แล้วกลับไป มนุษย์ทั้งหมด ย่อมไปสู่สุคติ มนุษย์เหล่าใดชอบใจในปาพจน์ และเหล่าใดเลื่อมใส ในพระศาสนา ต้องการจะเห็นปาฏิหาริย์ ย่อมบูชาพระสถูป เวลานั้น เราเป็นคนยากไร้อยู่ในเมืองหงสวดี เราได้เห็นหมู่ชนเบิกบาน จึงคิด อย่างนี้ในเวลานั้นว่า เรือนพระธาตุเช่นนี้ ของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้โอฬาร ก็หมู่ชนเหล่านี้มีใจยินดีไม่รู้จักอิ่มใน สักการะที่ทำอยู่ แม้เราก็จักทำสักการะแด่พระโลกนาถผู้คงที่บ้าง เราจักเป็น ทายาทในธรรมของพระองค์ในอนาคต เราจึงเอาเชือกผูกผ้าห่มของเราอัน ซักขาวสะอาดแล้ว คล้องไว้ที่ยอดไม้ไผ่ ยกเป็นธงขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์ อภิสมมตจับธงของเรานำขึ้นไปในอัมพร เราเห็นธงอันลมสะบัด ได้เกิด ความยินดีอย่างยิ่ง เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้นแล้ว เข้าไปหา ภิกษุรูปหนึ่ง กราบไหว้ภิกษุนั้นแล้ว ได้สอบถามถึงผลในการถวายธง ท่านยังความเพลิดเพลินและปีติให้เกิดแก่เรา กล่าวแก่เราว่า ท่านจักได้ เสวยวิบากของธงนั้นในกาลทั้งปวง จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อมท่านอยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการ ถวายธง ดนตรีละ ๖ หมื่น และกลองเภรีอันประดับสวยงามจะประโคม แวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง หญิงสาวแปดหมื่น หกพัน อันประดับงดงาม มีผ้าและอาภรณ์วิจิตร สวมใส่แก้วมณี และ- กุณฑล หน้าแฉล้ม แย้มยิ้ม มีตะโพกผึ่งผาย เอวเล็ก เอวบาง จักแวดล้อม (บำเรอ) ท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง ท่านจักรื่นรมย์อยู่ใน เทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้า ประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ในแสนกัลป พระศาสดาทรง พระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติ ในโลก ท่านอันกุศลมูลตักเตือน เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว ประกอบ ด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ ท่านจักละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ทาสและกรรมกร เป็นอันมากออกบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระนามว่าโคดม ท่านจักยังพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดมศากยบุตร ผู้ประเสริฐให้โปรดปราณแล้ว จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีชื่อ ว่าอุปวาณะ กรรมที่เราทำแล้วในแสนกัลป ให้ผลแก่เราในที่นี้แล้ว เราเผากิเลสของเราแล้ว ดุจกำลังลูกศรพ้นแล่งไปแล้ว เมื่อเราเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจักยกขึ้นโดยรอบ ๓ โยชน์ทุกเมื่อ ในแสนกัลปแต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในเวลานั้น ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายธง คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และแม้อภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล ทราบว่า ท่านพระอุปวาณเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
จบ อุปวาณเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ตีณิสรณาคมนียเถราปทานที่ ๓ (๒๓)
ว่าด้วยผลแห่งการรับสรณะ ๓
[๒๕] เราเป็นคนบำรุงมารดาบิดา อยู่ในนครจันทวดีเวลานั้น เราเลี้ยงดูมารดา บิดาของเราผู้ตาบอด เรานั่งอยู่ในที่ลับ คิดอย่างนี้ในเวลานั้นว่า เรา เลี้ยงดูมารดาบิดาอยู่ จึงไม่ได้บวช โลกทั้งหลายอันความมืดมนอนธการ ปิดแล้ว ย่อมถูกไฟ ๓ กองเผา เมื่อเราเกิดแล้วในภพเช่นนี้ ไม่มีใครจะ เป็นผู้แนะนำ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก บัดนี้ พระพุทธศาสนา กำลังรุ่งเรือง สัตว์ผู้ใคร่บุญอาจรื้อถอนตนขึ้นได้ เราจะรับสรณะ ๓ แล้ว จะรักษาให้บริบูรณ์ ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำแล้วนั้น เราจะพ้นทุคติได้ เราได้เข้าไปหาท่านพระสมณะชื่อนิสภะ อัครสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว รับสรณคมน์ ในครั้งนั้นเรามีอายุได้แสนปี ได้รักษาสรณคมน์ให้บริบูรณ์ ตลอดเวลาเท่านั้น เมื่อกาลที่สุดล่วงไป เราได้ระลึกถึงสรณคมน์ ด้วย กุศลกรรมที่ได้ทำแล้วนั้น เราได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ เมื่อเรายังอยู่ในเทวโลก ประกอบแต่บุญกรรม เราอุบัติ ณ ประเทศใดๆ เราย่อมได้เหตุ ๘ ประการ คือ ในประเทศนั้นๆ เราเป็นผู้อันเขาบูชาทุกทิศ ๑ เป็นผู้มี ปัญญาคมกล้า ๑ เทวดาทั้งปวงย่อมประพฤติตามเรา ๑ เราย่อมได้โภค- สมบัติไม่ขาดสาย ๑ เป็นผู้มีผิวพรรณดังทอง ๑ เป็นผู้มีปฏิภาณในที่ ทั้งปวง ๑ เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อมิตร ๑ ยศของเราสูงสุด ๑ เราได้เป็น จอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง อันนางอัปสรแวดล้อมเสวยสุข อันเป็นทิพย์ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้า ประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้ เมื่อถึงภพที่สุด เราประกอบ ด้วยบุญกรรม เกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลมั่งคั่งที่สุดในนครสาวัตถี เวลาเย็น (วันหนึ่ง) เราต้องการจะเล่น แวดล้อมด้วยพวกเด็ก ออก จากนครแล้ว เข้าไปสู่สังฆาราม ณ ที่นั้น เราได้เห็นพระสมณะผู้พ้นวิเศษ แล้ว ไม่มีอุปธิ ท่านแสดงธรรมแก่เรา และได้ให้สรณะแก่เรา เรา นั้นฟังสรณะแล้ว ระลึกถึงสรณะของเราได้ นั่งอยู่บนอาสนะอันหนึ่ง ได้บรรลุอรหัต เราได้บรรลุอรหัตนับแต่เกิดได้เจ็ดปี พระพุทธเจ้ามีพระ- จักษุ ทรงรู้คุณของเราแล้ว ทรงประทานอุปสมบทในกัลปอันประมาณ มิได้แต่กัลปนี้ เราได้ถึงสรณะ กรรมที่เราทำดีแล้วเพียงนั้น ได้ให้ผลแก่ เรา ณ ที่นี้ สรณะเรารักษาดีแล้ว ความปรารถนาแห่งใจเรานั้นตั้งไว้ดี แล้ว เราได้เสวยยศทุกอย่างแล้ว ได้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ท่านเหล่า ใดมีความต้องการฟัง ท่านเหล่านั้นจงฟังเรากล่าว เราจักบอกความแห่ง บทที่เราเห็นเองแก่ท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้ว ในโลก ศาสนาของพระชินเจ้าเป็นไปอยู่ พระองค์ทรงตีกลองอมฤต อันเป็น เครื่องบรรเทาลูกศร คือความโศกได้ ท่านทั้งหลายพึงทำสักการะอันยิ่งใน บุญเขตอันยอดเยี่ยม ตามกำลังของตน ท่านทั้งหลายจักพบนิพพาน ท่านทั้งหลายจงรับไตรสรณคมน์ จงรักษาศีล ๕ ยังจิตให้เลื่อมใสใน พระพุทธเจ้าแล้ว จักทำที่สุดทุกข์ได้ ท่านทั้งหลายจงยกเราเป็นตัวอย่าง รักษาศีลแล้ว แม้ทุกท่านก็จัก ได้บรรลุอรหัตโดยไม่นานเลยเราเป็นผู้ มีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิวิธี ฉลาดในเจโตปริยญาณ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระองค์ ขอถวายบังคม จรณะของพระศาสดา ในกัลปอันประมาณมิได้แต่กัลปนี้ เราได้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลในการถึงสรณคมน์ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระตีสรณาคมนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ตีณิสรณาคมนิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
เบญจสีลสมาทานนิยเถราปทานที่ ๔ (๒๔)
ว่าด้วยผลแห่งการรักษาเบญจศีล
[๒๖] เวลานั้น เราเป็นคนทำการรับจ้างอยู่ในนครจันทวดี เรามัวประกอบ ในการนำมาซึ่งการงานของผู้อื่น จึงไม่ได้บวช โลกทั้งหลายถูกความมืด ใหญ่หลวงปิดบังแล้ว ย่อมถูกไฟ ๓ กองเผา เราควรจะประกอบด้วย อุบายอะไรหนอ ไทยธรรมของเราไม่มี และเราเป็นคนยากไร้ทำการรับ จ้างอยู่ ผิฉะนั้น เราพึงรักษาเบญจศีลให้บริบูรณ์เถิด เราจึงเข้าไปหา พระภิกษุชื่อนิสภะ ผู้เป็นสาวกของพระมุนีพระนามว่าอโนมทัสสี แล้ว ได้รับสิกขาบท ๕ เวลานั้นเรามีอายุแสนปี เรารักษาเบญจศีลให้บริบูรณ์ ตลอดเวลาเท่านั้น เมื่อเวลาใกล้ตายมาถึงเข้า ทวยเทพย่อมยังเราให้ชื่นชม (เชื้อเชิญเรา) ว่า ท่านผู้นิรทุกข์ รถอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่งนี้ปรากฏ แล้วเพื่อท่าน เมื่อจิตดวงหลังเป็นไป เราได้ระลึกถึงศีลของเรา ด้วย กุศลกรรมที่ได้ทำแล้วนั้น เราได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ ได้เป็นจอมเทวดาเสวย ราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ ครั้ง แวดล้อมด้วยนางอัปสรทั้งหลาย เสวย สุขอันเป็นทิพย์อยู่ และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้า ประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว เคลื่อนจากเทวโลก มาเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลอันมั่งคั่งในนคร ไพสาลี เมื่อศาสนาของพระชินเจ้ายังรุ่งเรืองอยู่ มารดาและบิดาของเราได้ รับสิกขาบท ๕ ในเวลาใกล้พรรษา เราฟังศีลอยู่พร้อมกับมารดาและบิดา จึงระลึกถึงศีลของเราได้ เรานั่งอยู่บนอาสนะอันเดียว ได้บรรลุอรหัตแล้ว เราได้บรรลุอรหัตนับแต่เกิดได้ ๕ ปี พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุทรงทราบคุณของ เราแล้ว ได้ประทานอุปสมบทให้เรา เรารักษาสิกขาบท ๕ ให้บริบูรณ์ แล้ว ไม่ได้ไปสู่วินิบาตเลย ตลอดกัลปหาประมาณมิได้แต่กัลปนี้ เรานั้น ได้เสวยยศเพราะกำลังแห่งศีลเหล่านั้น เมื่อจะประกาศผลของศีลที่เราได้ เสวยแล้ว โดยจะนำมาประกาศตลอดโกฏิกัลป ก็พึงประกาศได้เพียงเอกเทศ เรารักษาเบญจศีลแล้ว ย่อมได้เหตุ ๓ ประการ คือ เราเป็นผู้มีอายุยืน นาน ๑ มีโภคสมบัติมาก ๑ มีปัญญาคมกล้า ๑ เมื่อเราประกาศผลของ ศีลทั้งปวงกะหมู่มนุษย์อันมีประมาณยิ่ง เราท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ ย่อมได้ฐานะเหล่านี้ พระสาวกของพระชินเจ้าทั้งหลาย ประพฤติอยู่ในศีลหา ประมาณมิได้ ถ้าจะพึงยินดีอยู่ในภพ จะพึงมีผลเช่นไร เบญจศีลอันเรา ผู้เป็นคนรับจ้าง มีความเพียรประพฤติดีแล้ว เราพ้นจากเครื่องผูกทั้งปวงได้ ในวันนี้ ด้วยศีลนั้น ในกัลปอันประมาณมิได้ แต่กัลปนี้ เรารักษาเบญจศีล แล้ว ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง (การรักษา) เบญจศีล คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และแม้อภิญญา ๖ เราพึงทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระเบญจศีลสมาทานิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เบญจสีลสมาทานิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อันนสังสาวกเถราปทานที่ ๕ (๒๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายภิกษา
[๒๗] เราได้ปีติอย่างยิ่ง เพราะได้เห็นสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดังทองคำ พระนามว่าสิทธัตถะ เสด็จดำเนินอยู่ในระหว่างตลาด เช่นกับเสาค่ายทอง มีพระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ ดังดวงประทีปส่องโลกให้โชติช่วง หาประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบ ฝึกพระองค์แล้ว ทรงความรุ่งเรือง เราถวายอภิวาทสัมพุทธเจ้าแล้ว นิมนต์พระองค์ผู้มหามุนีให้เสวย พระมุนี ผู้ประกอบด้วยกรุณาในโลก ทรงอนุโมทนาแก่เราในกาลนั้น เรายังจิตให้ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระมหากรุณาพระองค์นั้น ทรงทำความชื่น ชมอย่างยิ่งแล้ว บันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัลปหนึ่ง ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลป นี้ เราได้ถวายทานใดในเวลานั้น ด้วยผลแห่งทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษา คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอันนสังสาวกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อันนสังสาวกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ธูปทายกเถราปทานที่ ๖ (๒๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายธูป
[๒๘] เรามีจิตเลื่อมใส ได้ถวายธูปไว้ในพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคพระนาม ว่าสิทธัตถะ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือความ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เราย่อมเป็นที่รักของชนแม้ ทั้งหมด นี้เป็นผลแห่งการถวายธูป ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ ถวายธูปใดในเวลานั้น ด้วยผลแห่งการถวายธูปนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายธูป คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระธูปทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ธูปทายกเถราปทาน
-----------------------------------------------------
ปุฬินปูชกเถราปทานที่ ๗ (๒๗)
ว่าด้วยผลแห่งการเกลี่ยทราย
[๒๙] เราขนเอาทรายเก่าที่โพธิมณฑลอันอุดม แห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่า ว่าวิปัสสีออกทิ้ง แล้วเกลี่ยทรายอันสะอาดไว้ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายทรายใด ด้วยผลการถวายทรายนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น ผลแห่งการถวายทราย ในกัลปที่ ๕๓ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระราชา ครอบครองคน ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีกำลังมาก มีพระนามว่ามหาปุฬินะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระปุฬินปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปุฬินปูชกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อุตติยเถราปทานที่ ๘ (๒๘)
ว่าด้วยผลแห่งการส่งข้ามฟาก
[๓๐] เวลานั้น เราเป็นจระเข้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา เราขวนขวายหาเหยื่อของ ตน ได้ไปยังท่าน้ำ สมัยนั้น พระสยัมภูผู้อัครบุคคลพระนามว่าสิทธัตถะ พระองค์ประสงค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำ จึงเสด็จเข้ามาสู่ท่าน้ำ ก็เมื่อ พระสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง แม้เราก็มาถึงที่ท่าน้ำนั้น เราได้เข้าไปใกล้ พระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้กราบทูลดังนี้ว่า เชิญเสด็จขึ้น (หลังข้าพระองค์) เถิดพระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์จักข้ามส่งพระองค์ ขอพระองค์ทรงอนุ- เคราะห์วิสัยของบิดาข้าพระองค์เถิด พระมหามุนี พระมหามุนีทรงสดับ คำทูลเชิญของเราแล้วเสด็จขึ้น (หลัง) เราร่าเริง มีจิตยินดี ได้ข้าม ส่งพระผู้มีพระภาค ผู้นายกของโลก ที่ฝั่งแม่น้ำโน้น พระผู้มีพระภาค สิทธัตถะนายกของโลก ทรงยังเราให้พอใจ ณ ที่นั้นว่า ท่านจักได้บรรลุ อมตธรรม เราเคลื่อนจากกายนั้นแล้ว ได้ไปสู่เทวโลก แวดล้อมด้วย นางอัปสร เสวยสุขอันเป็นทิพย์อยู่ เราได้เป็นจอมเทวดา เสวยเทวรัช สมบัติอยู่ ๗ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ๓ ครั้ง เราขวนขวายในวิเวก มีปัญญาและสำรวมแล้วด้วยดี ทรงกายอันเป็น ที่สุดอยู่ในศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เรา ได้ข้ามส่งพระนราสภ ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง การข้ามส่งพระนราสภ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จ แล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระอุตติยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุตติยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
เอกัญชลิกเถราปทานที่ ๙ (๒๙)
ว่าด้วยผลแห่งการประนมอัญชลี
[๓๑] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดังทองพระนามว่า วิปัสสี เลิศกว่าผู้นำหมู่ เป็นนระผู้แกล้วกล้า ทรงแนะนำดี ทรงทรมานผู้ ที่ยังมิได้ทรมาน ผู้คงที่ ทรงมีวาทะมาก มีมติมาก เสด็จดำเนินไป ระหว่างตลาด จึงมีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ประนมอัญชลีไหว้ ใน กัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ประนมอัญชลีไหว้อันใด ในเวลานั้น ด้วย กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการประนมอัญชลีไหว้ คุณ วิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกัญชลิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกัญชลิกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
โขมทายกเถราปทานที่ ๑๐ (๓๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้าโขมะ
[๓๒] เวลานั้น เราเป็นพ่อค้าอยู่ในนครพันธุมดี ด้วยการค้าขายนั้น เราได้เลี้ยง ดูภริยา และก่อสร้างกุศลสมบัติ เราต้องการกุศล ได้ถวายผ้าโขมะผืน หนึ่งแด่พระศาสดาพระนามว่าวิปัสสี ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่หลวง เสด็จ ดำเนินอยู่ในถนน ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เวลานั้น เราได้ถวายผ้าโขมะ ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลการถวายผ้าโขมะในกัลป ที่ ๒๗ แต่กัลปนี้ เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า สินธวสันทนะ สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโขมทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โขมทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สุภูติเถราปทาน ๒. อุปวาณเถราปทาน ๓. ตีณิสรณาคมนิยเถราปทาน ๔. เบญจสีลสมาทานนิยเถราปทาน ๕. อันนสังสาวกเถราปทาน ๖. ธูปทายกเถราปทาน ๗. ปุฬินปูชกเถราปทาน ๘. อุตติยเถราปทาน ๙. เอกัญชลิกเถราปทาน ๑๐. โขมทายกเถราปทาน
คาถารวมทั้งหมดที่ท่านกล่าวไว้มี ๑๘๕ คาถา.
จบ สุภูติวรรคที่ ๓.
จบ ภาณวารที่ ๔.
-----------------------------------------------------
กุณฑธานวรรคที่ ๔
กุณฑธานเถราปทาน ๑ (๓๑)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผลกล้วย
[๓๓] เรามีจิตเลื่อมใสโสมนัส ได้บำรุงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ตรัสรู้เอง เป็นอัครบุคคล ซึ่งทรงหลีกเร้นอยู่ตลอด ๗ วัน เรารู้เวลาที่พระองค์เสด็จ ออกจากที่หลีกเร้น ได้ถือผลกล้วยใหญ่เข้าไปถวายพระมหามุนีพระนามว่า ปทุมุตระ พระผู้มีพระภาคสัพพัญญผู้นำของโลก เป็นมหามุนี ทรงยัง จิตของเราให้เลื่อมใส ทรงรับไว้แล้วเสวย พระสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงนำ หมู่ชั้นยอดเยี่ยมเสวยแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะของพระองค์ ได้ตรัส พระคาถาเหล่านี้ว่า ยักษ์เหล่าใดประชุมกันอยู่ที่ภูเขานี้ และคณะภูตในป่า ทั้งหมดนั้น จงฟังคำเรา ผู้ใดบำรุงพระพุทธเจ้าผู้เที่ยง ดังไกรสรราชสีห์ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เป็นท้าว เทวราช ๑๑ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ครั้ง ในกัลปที่แสน พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นได้ด่าสมณะทั้งหลายผู้มีศีล หา อาสวะมิได้ จักได้ชื่อ (อันเหมาะสม) ด้วยวิบากแห่งกรรมอันลามก เขาจักได้เป็นโอรสทายาทในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น อันธรรม นิรมิตแล้ว จักเป็นสาวกมีชื่อว่ากุณฑธานะ เราประกอบเนืองๆ ซึ่ง ความสงัด เพ่งฌาน ยินดีในฌาน ยังพระศาสดาให้ทรงโปรดปราน ไม่ มีอาสวะอยู่ พระชินเจ้าอันพระสาวกทั้งหลายแวดล้อม ห้อมล้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางสงฆ์แล้ว ทรงให้เรารับการแจกสลาก เราห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ถวายบังคมพระศาสดาผู้นำของโลก เมื่อภิกษุ ทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ ได้รับสลากที่หนึ่งไว้ข้างหน้าของผู้ประเสริฐ ด้วย กรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในอัครฐาน เรามีความเพียรอันนำซึ่ง ธุระ นำความเกษมจากโยคะมาให้ เราทรงกายเป็นที่สุดไว้ในศาสนาของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกุณฑธานเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กุณฑธานเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
สาคตเถราปทานที่ ๒ (๓๒)
ว่าด้วยผลแห่งการสรรเสริญพระพุทธเจ้า
[๓๔] ในกาลนั้น เราเป็นพราหมณ์มีนามชื่อว่า โสภิตะ อันบริวารพร้อมด้วย ศิษย์แวดล้อมแล้ว ได้ไปยังอาราม สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคผู้อุดมบุรุษ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จออกจากประตูพระอารามแล้วประทับยืนอยู่ เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ฝึกพระองค์แล้ว แวดล้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ผู้ฝึกตนแล้ว จึงยังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้วเชยชมพระองค์ผู้นำ ของโลกว่า ต้นไม้ทุกชนิดนั้น งอกงามบนแผ่นดิน ฉันใด สัตว์ผู้มี ความรู้ก็ฉันนั้น ย่อมงอกงามในศาสนาของพระชินเจ้า พระองค์สัพพัญญู ผู้ทรงนำหมู่แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงถอนคนเป็นอันมากออกจากทาง ผิดแล้ว ตรัสบอกทางที่ถูก พระองค์ฝึกพระองค์แล้วแวดล้อมด้วยผู้ฝึก ตนแล้ว ทรงเพ่งฌาน แวดล้อมด้วยผู้เพ่งฌาน ทรงมีความเพียร แวด ล้อมด้วยผู้ส่งตนไปแล้ว ผู้สงบระงับและผู้คงที่ ประดับด้วยบริษัท ย่อม งามด้วยพระญาณอันเกิดแต่บุญ รัศมีของพระองค์รุ่งเรือง ดังพระอาทิตย์ อุทัยฉะนั้น พระศาสดาพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นเราผู้มีจิตเลื่อมใส ประทับยืนท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า พราหมณ์ใดยังความร่าเริงให้เกิดแล้ว สรรเสริญ เรา พราหมณ์นั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอดแสนกัลป อันกุศลมูล ตักเตือนแล้ว จักเคลื่อนจากสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วจักบวชในศาสนาของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม ครั้นบวชในศาสนาแล้วจักได้ความยินดี และความร่าเริง จักเป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อว่าสาคตะ เราบวช แล้วเว้นกรรมอันลามกด้วยกาย ละวจีทุจริต ยังอาชีพให้บริสุทธิ์ เรา เป็นอยู่อย่างนี้ เป็นผู้ฉลาดในเตโชธาตุ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสาคตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบสาคตเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
มหากัจจายนเถราปทานที่ ๓ (๓๓)
ว่าด้วยผลแห่งการทาทองพระเจดีย์
[๓๕] เราได้ให้ทำแผ่นศิลาไว้แล้ว ได้เอาทองฉาบทาพระเจดีย์ชื่อปทุม ของพระ ผู้มีพระภาคผู้เป็นที่พึ่งของโลกพระนามว่าปทุมุตระ และได้กั้นฉัตรอัน สำเร็จด้วยแก้ว แล้วเอาพัดวาลวิชนีพัดถวายพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ ของโลก ผู้คงที่ ภูมเทวดามีประมาณเท่าไร มาประชุมกันทั้งหมดในเวลา นั้น ด้วยความหวังว่า พระศาสดาจักตรัสผลแห่งอาสนะและฉัตรแก้ว พวกเราจักฟังพระศาสดาตรัสทั้งหมดนั้น พึงยังความร่าเริงให้เกิดอย่างยิ่ง ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสยัมภูผู้อัครบุคคลประทับนั่งบน อาสนะทองแล้ว แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใด ได้ถวายอาสนะอันสำเร็จด้วยทองและแก้วนี้ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักเป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๓๐ กัลป จักมีรัศมีแผ่ไปโดยรอบตลอดร้อยโยชน์ มาสู่มนุษยโลกแล้ว จัก ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีพระนามว่าปภัสสระ จักเป็นผู้มีเดชอันรุ่งเรือง จักได้เป็นกษัตริย์ มีรัตนะ ๘ ประการ โชติช่วงอยู่โดยรอบ ทั้งกลางคืน กลางวัน ดังพระอาทิตย์อุทัยฉะนั้น ในกัลปที่แสน พระศาสดามีพระนาม ชื่อว่าโคดมซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักเคลื่อนจากภพดุสิต จักเป็นบุตร พราหมณ์ มีนามชื่อว่ากัจจานะ ภายหลัง เขาบวชแล้วจักตรัสรู้ ไม่มี อาสวะอยู่ พระโคดมผู้ส่องโลกให้โชติช่วงจักทรงตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศ ผู้นั้น จักกล่าวปัญหาที่ถูกถามแล้วโดยย่อให้พิสดาร และเมื่อกล่าวปัญหา นั้น จักยังอัธยาศัยให้เต็ม พราหมณ์ผู้เป็นอภิชาตบุตรในสกุลอันมั่งคั่ง เรียนจบมนต์ ละทรัพย์และข้าวเปลือกแล้ว บวชเป็นบรรพชิต เมื่อถูก ถามปัญหาแม้โดยย่อ เราก็กล่าวแก้ได้โดยพิสดาร เราย่อมยังอัธยาศัย ของชนเหล่านั้นให้เต็ม ย่อมยังพระผู้มีพระภาคผู้สูงกว่าสัตว์ให้โปรดปราน พระมหาวีรเจ้าผู้ตรัสรู้เอง เป็นอัครบุคคล ทรงโปรดปรานเรา ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางสงฆ์แล้ว ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมหากัจจายนเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มหากัจจายนเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
กาฬุทายีเถราปทานที่ ๔ (๓๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายข้าวชั้นพิเศษ
[๓๖] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่เสด็จ ดำเนินทางไกล เที่ยวจาริกไป ในเวลานั้น เราได้ถือเอาดอกปทุม ดอก อุบล และดอกมะลิซ้อนอันบานสะพรั่ง และถือข้าว (สุก) ชั้นพิเศษมา ถวายแด่พระศาสดา พระมหาวีรชินเจ้า ทองเสวยข้าวชั้นพิเศษอันเป็น โภชนะดี และทรงรับดอกไม้นั้นแล้ว ทรงยังเราให้รื่นเริงว่า ผู้ใดได้ ถวายดอกปทุมอันอุดม เป็นที่ปรารถนา เป็นที่ใคร่ในโลกนี้แก่เรา ผู้นั้น ทำกรรมที่ทำได้ยากนัก ผู้ใดได้บูชาดอกไม้ และได้ถวายข้าวชั้นพิเศษ แก่เรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เสวย เทวรัชสมบัติ ๑๘ ครั้ง ดอกอุบล ดอกปทุม และดอกมะลิซ้อน จะมีใน เบื้องบนผู้นั้นด้วยผลแห่งบุญนั้น ผู้นั้นจักสร้างหลังคาอันประกอบด้วย ของหอมอันเป็นทิพย์ไว้ในอากาศ จักทรงไว้ในเวลานั้น จักได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง จักได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๕๐๐ ครั้ง ในกัลปที่แสน พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งมีสมภพใน วงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นปรารถนาในกรรมของ ตน อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักได้เป็นบุตรผู้มีชื่อเสียง ทำความเพลิด เพลินให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลายแต่ภายหลัง ผู้นั้นอันกุศลมูลตักเตือน แล้วจักบวช จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วไม่มีอาสวะนิพพาน พระ โคดมผู้เผ่าพันธุ์ของโลก จักทรงตั้งผู้นั้นซึ่งบรรลุปฏิสัมภิทา ได้ทำกิจที่ ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ในเอตทัคคสถาน ผู้นั้นมีตนส่งไปแล้ว เพื่อความเพียร สงบระงับ ไม่มีอุปธิ จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าอุทายี เรากำจัดราคะ โทสะ โมหะ มานะ และมักขะ ได้แล้ว กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ เรายังพระสัม พุทธเจ้าให้ทรงโปรดปราน มีความเพียร มีปัญญา และพระสัมพุทธเจ้า ทรงเลื่อมใส ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกาฬุทายีเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กาฬุทายีเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
โมฆราชเถราปทานที่ ๕ (๓๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายบังคมพระพุทธเจ้า
[๓๗] ก็พระผู้มีพระภาคผู้สยัมภู พระนามว่าอัตถทัสสี ไม่ทรงแพ้อะไรๆ แวด ล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จดำเนินไปในถนน เราแวดล้อมด้วยพวกศิษย์ ทั้งหลายออกจากเรือนไป ครั้นแล้วได้พบพระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของ โลกที่ถนนนั้น เราได้ประนมอัญชลีบนเศียรเกล้าถวายบังคมพระสัมพุทธ- เจ้า ยังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว เชยชมพระองค์ผู้นายกของโลก สัตว์ มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี ประมาณเท่าใด สัตว์เหล่านั้นย่อม เข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ ทั้งหมดเปรียบเหมือนสัตว์ในน้ำเหล่า ใดเหล่าหนึ่ง สัตว์เหล่านั้นย่อมติดอยู่ภายในข่ายของคนที่เอาข่ายตาเล็กๆ เหวี่ยงลงในน้ำฉะนั้น อนึ่งสัตว์เหล่าใดคือ สัตว์มีรูป และไม่มีรูป มีเจตนา (ความตั้งใจ) สัตว์เหล่านั้นย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ทั้งหมด พระองค์ทรงถอนโลกอันอากูลด้วยความมืดนี้ขึ้นได้แล้ว สัตว์เหล่านั้นได้ฟัง ธรรมของพระองค์แล้ว ย่อมข้ามกระแสความสงสัยได้ โลกอันอวิชชา ห่อหุ้มแล้ว อันความมืดท่วมทับ โลกกำจัดความมืดได้ ส่งแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ พระองค์ผู้มีจักษุเป็นผู้ทรงบรรเทาความมืดมน ของสัตว์ทั้งปวง ชนเป็นอันมากฟังธรรมของพระองค์แล้ว จักนิพพาน ดังนี้แล้ว เราเอาน้ำผึ้งรวงอันไม่มีตัวผึ้งใส่เต็มหม้อแล้ว ประคองด้วยมือ ทั้งสอง น้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาค พระมหาวีรเจ้าผู้แสวงหาคุณอัน ใหญ่หลวง ทรงรับด้วยพระหัตถ์อันงาม ก็พระสัพพัญญูเสวยน้ำผึ้งนั้น แล้ว เสด็จเหาะขึ้นสู่นภากาศ พระศาสดาพระนามว่าอัตถทัสสีนราสภ ประทับอยู่ในอากาศ ทรงยังจิตของเราให้เลื่อมใส ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ว่า ผู้ใดชมเชยญาณนี้ และชมเชยพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดด้วยจิตอัน เลื่อมใสนั้น ผู้นั้นจะไม่ไปสู่ทุคติและผู้นั้นจักเสวยเทวรัชสมบัติ ๔๖ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง จักได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชเสวยสมบัติ อยู่ในแผ่นดินนับไม่ถ้วน จักเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม จักพิจารณาอรรถ อันลึกซึ้งอันละเอียดได้ด้วยญาณ จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อ ว่าโมฆราช จักถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มี อาสวะ พระโคดมผู้ทรงเป็นยอดของผู้นำหมู่ จักทรงตั้งผู้นั้นไว้ในเอต- ทัคคสถาน เราละกิเลสเครื่องประกอบของมนุษย์ ตัดเครื่องผูกพันในภพ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโมฆราชเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โมฆราชเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อธิมุตตกเถราปทานที่ ๖ (๓๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอ้อย
[๓๘] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้เป็นอุดมบุคคลเสด็จนิพพานแล้ว เรามีจิตเลื่อมใส นิมนต์ภิกษุสงฆ์ เราทำมณฑปด้วยอ้อยแล้ว นิมนต์ สังฆรัตนะ ผู้ซื่อตรง มีจิตตั้งมั่นเป็นสงฆ์ผู้อุดม ให้ฉันอ้อย เราเข้าถึง กำเนิดใดๆ คือความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เราย่อม ครอบงำสัตว์ทั้งปวง นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม ในกัลปที่ ๑,๘๐๐ เราได้ ให้ทานใดในเวลานั้น ด้วยผลแห่งทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งการถวายอ้อย คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านอธิมุตตกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อธิมุตตกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ลสุณทายกเถราปทานที่ ๗ (๓๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายกระเทียม
[๓๙] ในกาลนั้น เราเป็นดาบสอยู่ที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ เราอาศัยกระเทียม เลี้ยงชีวิต กระเทียมเป็นอาหารของเรา เราใส่กระเทียมเต็มหาบแล้ว ได้ ไปสู่อารามสงฆ์ เราร่าเริง มีจิตโสมนัส ได้ถวายกระเทียมแก่สงฆ์ ครั้นถวายกระเทียมแก่สงฆ์ผู้ให้เกิดความยินดีเหลือเกินในศาสนาพระวิปัส- สีผู้เลิศกว่านรชนแล้ว ได้บันเทิงในสวรรค์ตลอดกัลป ในกัลปที่ ๙๑ แต่ กัลปนี้ เราได้ให้กระเทียมใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้ เป็นผลแห่งการถวายกระเทียม คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระลสุณทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ลสุณทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
อายาตทายกเถราปทานที่ ๘ (๓๘)
ว่าด้วยผลแห่งการสร้างศาลาโรงฉัน
[๔๐] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าสิขี ผู้ประเสริฐกว่าพวกคนผู้กล่าว (ยกย่อง ตน) นิพพานแล้ว เราร่าเริง มีจิตโสมนัส ได้ไหว้พระสถูปอันอุดม ในกาลนั้น เราร่าเริง มีจิตโสมนัส ให้คนไปบอกกับนายช่าง ให้ทรัพย์ แล้ว จ้างให้ทำศาลา (ลี) โรงฉัน เราอยู่ในเทวโลกตลอด ๘ กัลป โดยไม่สับสนกันเลย ในกัลปที่เหลือ เราท่องเที่ยวไปสับสนกัน ยาพิษ ย่อมไม่กล้ำกรายในกายเรา และศาตราไม่กระทบกายเรา เราไม่พึงตายใน น้ำ นี้เป็นผลแห่งการสร้างศาลาโรงฉัน เราปรารถนาฝนเมื่อใด มหาเมฆ ย่อมยังฝนให้ตกเมื่อนั้น แม้เทวดาทั้งหลายก็ตกอยู่ในอำนาจเรา นี้เป็น ผลแห่งบุญกรรม เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ๓๐ ครั้ง ใครๆ ย่อมไม่ดูหมิ่นเรา นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม ในกัลปที่ ๓๐ แต่กัลปนี้ เราได้ให้สร้างศาลาโรงฉันใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการสร้างศาลาโรงฉัน คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอายาตทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อายาตทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ธรรมจักกิกเถราปทานที่ ๙ (๓๙)
ว่าด้วยผลแห่งการตั้งธรรมจักรบูชา
[๔๑] เราได้ตั้งธรรมจักรนี้ ทำอย่างสวยงาม อันวิญญูชนชมเชย (บูชา) ไว้ ข้างหน้าอาสนะอันประเสริฐ แห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ เราย่อมรุ่งเรืองกว่าวรรณะทั้งสี่ มีคนใช้ พลทหารและพาหนะ คนเป็น อันมากย่อมติดตามห้อมล้อมเราเป็นนิตย์ เราแวดล้อมด้วยดนตรีหกหมื่น ทุกเมื่อ เราย่อมงามด้วยบริวาร นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ตั้งธรรมจักรใดบูชา ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการตั้งธรรมจักรบูชา พระเจ้าจักรพรรดิหลายพระองค์ มีพล มาก มีพระนามว่า สหัสสราชา ผู้เป็นใหญ่กว่าชน ได้มีปรากฏตลอด ๑๑ กัลป แต่กัลปนี้ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระธรรมจักกิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ธรรมจักกิกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
กัปปรุกขิยเถราปทานที่ ๑๐ (๔๐)
ว่าด้วยผลแห่งการตั้งต้นกัลปพฤกษ์บูชา
[๔๒] เราได้คล้องผ้าอันวิจิตรหลายผืนไว้ตรงหน้าพระสถูปอันประเสริฐ ของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ แล้วตั้งต้นกัลปพฤกษ์ไว้ เราเข้า ถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ในกำเนิดนั้นๆ ต้น กัลปพฤกษ์อันงาม ย่อมประดิษฐานอยู่ใกล้ประตูเรา เวลานั้น เราเอง บริษัทเพื่อนและคนคุ้นเคย ได้ถือเอาผ้าจากต้นกัลปพฤกษ์นั้นมานุ่งห่ม ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ตั้งต้นกัลปพฤกษ์ใดไว้ ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการตั้งต้นกัลปพฤกษ์ และในกัลปที่ ๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ องค์ ทรงพระนามว่าสุเจละ ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัม- ภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกัปปรุกขิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กัปปรุกขิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุณฑธานเถราปทาน ๒. สาคตเถราปทาน ๓. มหากัจจายนเถราปทาน ๔. กาฬุทายีเถราปทาน ๕. โมฆราชเถราปทาน ๖. อธิมุตตกเถราปทาน ๗. ลสุณทายกเถราปทาน ๘. อายาตทายกเถราปทาน ๙. ธรรมจักกิกเถราปทาน ๑๐. กัปปรุกขิยเถราปทาน
และมีคาถา ๑๑๒ คาถา.
จบ กุณฑธานวรรคที่ ๔
-----------------------------------------------------
อุปาลีวรรคที่ ๕
อุปาลีเถราปทานที่ ๑ (๔๑)
ว่าด้วยพระอุบาลีปรารภกรรมของตน
[๔๓] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยพระขีณาสพหนึ่งพัน พระองค์ทรงประกอบความสงัด เสด็จไปเพื่ออยู่ในที่ลับ เรานุ่งห่มหนัง สัตว์ ถือไม้เท้าสามง่ามเที่ยวไป ได้พบพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี เหนือเศียรเกล้า ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า แล้วชมเชยพระองค์ผู้นำ ของโลกว่า สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคล เกิดผุดขึ้น เกิด ในครรภ์ และนกมีกาเป็นต้นทั้งหมด ย่อมเที่ยวไปในอากาศทุกเมื่อ ฉันใด สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีสัญญาก็ตาม ไม่มีสัญญาก็ตาม สัตว์ เหล่านั้น ก็ฉันนั้น ย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ทั้งหมด อนึ่ง กลิ่นหอมอันมีอยู่ที่ภูเขา ณ ภูเขาหิมวันต์อันเป็นภูเขาสูงสุด กลิ่นหอม ทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวในศีลของพระองค์ โลกนี้พร้อมทั้ง เทวโลก แล่นไปเข้าความมืดมนใหญ่ โลกกำจัดความมืดได้ส่งแสงโชติ ช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต แล้ว โลกก็ถึงความมืด ฉันใด เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ สัตว์โลก ถึงความมืด ฉันนั้น (อนึ่ง) เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ย่อม ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอันประเสริฐ สุด ก็ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น พระองค์ทรงส่งพระองค์ไปเพื่อ ความเพียร ได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ทรงยังหมู่ชน เป็นอันมากให้ยินดีด้วยการปรารภกรรมของพระองค์ พระมหามุนีพระนาม ว่าปทุมุตระผู้เป็นนักปราชญ์ ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงอนุโมทนา แล้ว เสด็จเหาะขึ้นในอากาศ ดังพระยาหงส์ในอัมพร พระสัมพุทธเจ้าผู้แสวง หาคุณอันใหญ่หลวง พระนามว่าปทุมุตระ เป็นศาสดาของเทวดาและ มนุษย์ทั้งหลาย ทรงเหาะขึ้นไปประทับอยู่ในอากาศ ได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ผู้ใดเชยชมญาณอันประกอบด้วยข้ออุปมาทั้งหลายนี้ เราจัก พยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว เขาจักได้เป็นท้าวเทวราช ๑๘ ครั้ง จักได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๓๐๐ ครั้ง จัก ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยจะคณานับมิได้ ในกัลปที่แสน พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก เขาอันกุศล มูลตักเตือนแล้ว จักเคลื่อนจากภพดุสิต จักเป็นผู้ต่ำโดยชาติ (มีชาติต่ำ) มีชื่อว่าอุบาลีและภายหลังเขาบวชแล้ว หน่ายกรรมอันลามก กำหนดรู้ อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน พระโคดมพุทธเจ้าผู้ศากยบุตร มียศใหญ่ จักทรงโปรดตั้งเขาไว้ในเอตทัคคสถานทางบรรลุ (ผู้ยิ่งด้วย) วินัย เราบวชด้วยศรัทธา ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะกำหนด รู้อาสวะทั้งปวง ไม่มีอาสวะอยู่ และพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์เราว่า เราแกล้วกล้าในวินัย เราปรารภในกรรมของตน ไม่มีอาสวะอยู่ เราสำรวม ในพระปาติโมกข์และในอินทรีย์ ๕ ทรงพระวินัยอันเป็นบ่อเกิดรัตนะไว้ ได้หมดทั้งสิ้น พระศาสดาผู้ไม่มีใครเทียบถึงในโลก ทรงรู้คุณของเราแล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุปาลีเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
โสณโกฏิยเวสสเถราปทานที่ ๒ (๔๒)
ว่าด้วยผลแห่งการทำที่จงกรม
[๔๔] เราได้ให้ทำที่จงกรม ซึ่งทำการฉาบทาด้วยปูนขาว ถวายแด่พระมุนีพระ- นามว่าอโนมทัสสีเชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ เราได้เอาดอกไม้ต่างๆ สี ลาดที่จงกรม ทำเพดานบนอากาศ แล้วทูลเชิญพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดให้ทรง ใช้สอย เวลานั้น เราประนมอัญชลีถวายบังคมพระองค์ผู้มีวัตรอัน งาม แล้วมอบถวายศาลาลีแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคผู้เป็น ศาสดายอดเยี่ยมในโลก มีพระจักษุ ทรงรู้ความดำริของเรา จึงอนุเคราะห์ รับไว้ พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ครั้นทรงรับแล้ว ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ผู้ใดมีจิตโสมนัส ได้ถวายศาลาลีแก่เรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว รถอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง จักปรากฏแก่ผู้นี้ พร้อมเพรียงด้วยบุญกรรม ในเวลาใกล้ตาย ผู้นี้จักไปสู่เทวโลกด้วยยาน นั้น เทวดาทั้งหลายจักพลอยบันเทิง ในเมื่อผู้นี้ไปถึงภพอันดี วิมานอัน ควรค่ามาก เป็นวิมานประเสริฐฉาบทาด้วยดินแก้ว ประกอบด้วยปราสาท อันประเสริฐ จักครอบงำวิมานอื่น ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้เป็นท้าวเทวราชตลอด ๒๕ กัลป และจักได้เป็นพระ เจ้าจักรพรรดิตลอด ๗๗ กัลป พระเจ้าจักรพรรดินั้นแม้ทั้งหมดมีพระนาม เดียวกันว่ายโสธร ผู้นี้ได้เสวยสมบัติทั้งสองแล้ว ก่อสร้างสั่งสมบุญ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิใน ๒๘ กัลป (อีก) แม้ในภพนั้น จักมี วิมานอันประเสริฐ ที่วิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตให้ผู้นี้จักครองบุรีซึ่งมีเสียง ๑๐ อย่างต่างๆ กัน ในกัลปจะนับประมาณมิได้ แต่กัลปนี้ ผู้นี้จักได้ เป็นพระราชารักษาแผ่นดิน มีฤทธิ์มาก มีพระนามชื่อว่าโอกกากะ อยู่ใน แว่นแคว้น นางกษัตริย์ผู้มีวัยอันประเสริฐ มีชาติสูงกว่าหญิง ๖ หมื่น ทั้งหมด จักประสูติพระราชบุตรและพระราชบุตรี ๙ พระองค์ ครั้น ประสูติพระราชบุตรและพระราชบุตรี ๙ พระองค์แล้ว จักสิ้นพระชนม์ พระเจ้าโอกกากราชจักทรงอภิเษกนางกัญญาผู้เป็นที่รัก กำลังรุ่นเป็นมเหสี พระนางจักยังพระเจ้าโอกกากราชให้โปรดปรานแล้วได้พร ครั้นพระนาง ได้พรแล้ว จักให้ขับไล่พระราชบุตรและพระราชบุตรี พระราชบุตรและ พระราชบุตรีทั้งหมดนั้นถูกขับไล่แล้ว จักไปยังภูเขา เพราะกลัวความแตก ชาติ พระราชบุตรทั้งหมดจักสมสู่กับพระกนิษฐภคินี ส่วนพระเชษฐภคินี พระองค์หนึ่งจักเป็นโรคพยาธิ กษัตริย์ทั้งหลายจักตั้ง (ใจ) ลงมั่นว่า ชาติของเราอย่าแตกแยกเลย กษัตริย์จึงนำมาสมสู่กับพระเชษฐภคินีนั้น ความเกิดแห่งสกุลโอกกากะจักแตกแยก โอรสของกษัตริย์เหล่านั้นจักมี พระนามว่าโลกิยะ โดยชาติจักได้เสวยโภคสมบัติ อันเป็นของมนุษย์มิใช่ น้อยในภพนั้น ผู้นี้เคลื่อนจากกายนั้นแล้วจักไปสู่เทวโลก แม้ในเทวโลก นั้น จักได้วิมานอันประเสริฐ เป็นที่รื่นรมย์ใจ ผู้นี้อันกุศลมูลตักเตือน แล้ว จักเคลื่อนจากเทวโลกมาสู่ความเป็นมนุษย์ จักมีชื่อว่าโสณะ จัก ปรารภความเพียร มีใจแน่วแน่ ตั้งความเพียรในศาสนาของพระศาสดา กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน พระผู้มีพระภาค พระนามว่า โคดมศากยบุตร ผู้ประเสริฐ ผู้รู้วิเศษ เป็นมหาวีระ ทรง เห็นคุณอนันต์จักตั้งไว้ในตำแหน่งเลิศ เมื่อฝนตกในที่ประมาณ ๔ นิ้ว หญ้าประมาณ ๔ นิ้ว ลมซัด เว้น พระผู้มีพระภาคผู้คงที่ ซึ่งทรงประกอบความเพียร ความถึงที่สุด ไม่มียิ่งขึ้นไปกว่านั้น เรามีตนฝึกแล้วในการฝึกอันอุดม เราตั้งจิตไว้ดีแล้ว เราปลงภาระทั้งปวง ลงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะดับแล้ว พระอังคีรสมหานาค มีพระชาติสูง ดังพระยาไกรสร ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในเอต- ทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโสณโกฏิยเวสสเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โสณโกฏิยเวสสเถราปทาน
-----------------------------------------------------
ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทานที่ ๓ (๔๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอาสนะทอง
[๔๕] หมู่ชนทั้งปวงเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงมีจิตเมตตา เป็นมหามุนีอัครนายกของโลกทั้งปวง ชนทั้งปวงย่อมถวายอามิส คือ สัตตุก้อน สัตตุผง น้ำและข้าวแก่พระศาสดา และในสงฆ์ผู้เป็นนาบุญ ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า แม้เราก็จักนิมนต์พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดและสงฆ์ ผู้ยอดเยี่ยมแล้ว จักถวายทาน แก่พระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐกว่าเทวดา ผู้คงที่ คนเหล่านี้เราส่งไปให้นิมนต์พระตถาคต และภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นนาบุญ ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า บัลลังก์ทอง ๑ แสน ลาดด้วย เครื่องลาดวิเศษมีขนยาว ด้วยเครื่องลาดยัดนุ่น เครื่องลาดมีรูปดอกไม้ ผ้าเปลือกไม้และผ้าฝ้าย เราได้ให้จัดตั้งอาสนะอันควรค่ามาก สมควรแด่ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระผู้ทรงรู้แจ้งโลก ประเสริฐ กว่าเทวดา ผู้องอาจกว่านระ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้ามาสู่ประตู บ้านเรา เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ต้อนรับพระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะ ของโลก ทรงมียศ แล้วนำเสด็จมาสู่เรือนของตน เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส อังคาสภิกษุ ๖ แสน และพระพุทธเจ้าผู้นายกของโลก ให้อิ่มหนำด้วยข้าวชั้นพิเศษ พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้ง โลก ทรงรับเครื่องบูชาแล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัส พระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดถวายอาสนะทองอันลาดด้วยเครื่องลาดวิเศษมีขน ยาวนี้ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เป็น ท้าวเทวราช อันนางอัปสรแวดล้อม เสวยสมบัติอยู่ ๗๔ ครั้ง จักได้เป็น พระเจ้าประเทศราช ครอบครองพสุธา ๑๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ๕๑ ครั้ง จักเป็นผู้มีสกุลสูงในกำเนิดและภพทั้งปวง ภายหลัง ผู้นั้นอันกุศลมูลตักเตือนแล้วจักบวช จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่า ภัททิยะ เราเป็นผู้ขวนขวายภายในวิเวก มีปกติอยู่ใน เสนาสนะอันสงัด ผลทั้งปวงเราบรรลุแล้ว วันนี้ เราเป็นผู้ไม่มีความ เศร้าหมองจิต พระสัพพัญญูผู้นายกของโลก ทรงทราบคุณทั้งปวงของเรา แล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
จบ ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทาน
-----------------------------------------------------
สันนิฏฐาปกเถราปทานที่ ๔ (๔๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผลแฟง
[๔๖] เราทำกระท่อมไว้ในป่า อยู่ในระหว่างภูเขา ยินดีด้วยลาภและความเสื่อม ลาภ ด้วยยศและความเสื่อมยศ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระผู้รู้ แจ้งโลก ผู้ควรรับเครื่องบูชา เสด็จมาในสำนักเราพร้อมด้วยภิกษุ ๑ แสน เมื่อพระมหานาคทรงพระนามว่าปทุมุตระ ผู้อุดมเสด็จเข้ามา เราได้ปูลาด เครื่องลาดหญ้าถวายแด่พระศาสดา เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ ถวายผลแฟงและน้ำฉันแด่พระผู้มีพระภาคผู้ซื่อตรง ด้วยใจอันผ่องใส ในแสนกัลปแต่กัลปนี้ เราได้ถวายทานใด ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลแฟง ในกัลปที่ ๔๑ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์หนึ่ง พระนามว่าอรินทมะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี พลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสันนิฏฐาปกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สันนิฏฐาปกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ปัญจหัตถยเถราปทานที่ ๕ (๔๕)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกบัว ๕ กำ
[๔๗] พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้มีพระจักษุทอดลง ตรัสพอประมาณ มีสติ ทรงสำรวมอินทรีย์ เสด็จมาในแถวตลาด ดอกอุบลห้ากำมีอยู่ในบ่อน้ำ ขุ่นของเรา เราเลื่อมใสได้เอาดอกอุบลนั้นบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยมือทั้ง สองของตน และดอกไม้เหล่านั้นเรายกขึ้นเป็นหลังคาแห่งพระศาสดานั้น เราทรงดอกไม้ถวายพระมหานาค ดังศิษย์กั้นร่มถวายอาจารย์ ฉะนั้น ใน กัลปที่ ๓ หมื่น เราได้ยกดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ใน ๒ พันกัลปแต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิผู้ เป็นกษัตริย์ ๕ พระองค์ ทรงพลมาก มีพระนามชื่อว่าหัตถิยะ คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัญจหัตถิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัญจหัตถิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
ปทุมฉทนิยเถราปทานที่ ๖ (๔๖)
ว่าด้วยผลแห่งการกั้นร่มเป็นพุทธบูชา
[๔๘] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าวิปัสสี ผู้อัครบุคคลเสด็จนิพพานแล้ว เราถือ ดอกปทุมอันบานดียกขึ้นขึ้นบูชาที่จิตกาธาร ในเมื่อมหาชนยกพระศพขึ้น จิตกาธาร จิตกาธารสูงขึ้นไปจรดนภากาศ เราได้ทำร่มไว้ในอากาศ กั้นไว้ จิตกาธาร ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ยกดอกไม้ใดบูชา ด้วยกรรม นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๔๗ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดินามว่าปทุมิสระ เป็นใหญ่ มีพลมาก ครอบครองแผ่นดินมีสมุทรสาคร ๔ เป็นที่สุด คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปทุมฉทนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปทุมฉทนิยเถราปทาน
-----------------------------------------------------
สยนทายกเถราปทานที่ ๗ (๔๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายที่นอน
[๔๙] เราได้ถวายที่นอนอย่างดีเลิศ ลาดด้วยกัณฑะ คือผ้า แด่พระผู้มีพระภาค พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้มีจิตเมตตา ผู้คงที่ พระผู้มีพระภาคชินเจ้า ทรง รับที่นอนอันเป็นกัปปิยะแล้ว เสด็จลุกจากที่นอนนั้น เหาะขึ้นสู่อากาศ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายที่นอนใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายที่นอน ในกัลปที่ ๕๑ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิ มีพระนามว่าวรุณเทพ ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ มีกำลังพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสยนทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สยนทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
จังกมทายกเถราปทานที่ ๘ (๔๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายที่จงกรม
[๕๐] เราได้ให้ทำสถานที่จงกรมก่อด้วยอิฐ ถวายแด่พระมุนีพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ สถานที่จงกรมสร้างสำเร็จดีแล้ว โดยสูง ๕ ศอก โดยยาว ๑๐๐ ศอก ควรเป็นที่เจริญภาวนา น่ารื่นรมย์ใจ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสีผู้เป็นนระอุดมทรงรับแล้ว ทรง กำทรายด้วย (ฝ่า) พระหัตถ์แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ด้วยการ ถวายทรายนี้ และด้วยการถวายที่จงกรมอันทำเสร็จดีแล้ว ผู้นั้นจักได้ เสวยทรายอันประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ จักเสวยเทวรัชสมบัติใน เทวดาทั้งหลายตลอด ๓ กัลป อันนางอัปสรแวดล้อมแล้วเสวยสมบัติ เขามาสู่มนุษย์โลกแล้ว จักได้เป็นพระราชาในแว่นแคว้น และจักได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิในแผ่นดิน ๓ ครั้ง ในกัลปที่ ๑๘๐๐ เราได้ทำกรรมใด ในเวลานั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายที่ จงกรม คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระจังกมทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จังกมทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
สุภัททเถราปทานที่ ๙ (๔๙)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยผอบไม้จันทน์
[๕๑] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก ผู้ควรรับเครื่องบูชา ผู้มียศมาก ทรงถอนหมู่ชนขึ้นแล้ว จะเสด็จนิพพาน ก็เมื่อพระสัมพุทธ- เจ้าทรงยังหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหวแล้ว จะเสด็จนิพพาน หมู่ชนและ เทวดาเป็นอันมากได้ประชุมกันในเวลานั้น เราเอากฤษณาและดอกมะลิ ซ้อนใส่ผอบไม้จันทน์เต็มแล้ว ร่าเริง มีจิตโสมนัส ยกขึ้นบูชาพระผู้มี มีพระภาคผู้เป็นนระอุดม พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมใน โลก ทรงทราบความดำริของเรา ทรงบรรทมอยู่นั่นแล ได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ผู้ใดเอา (ร่ม) กฤษณาและมะลิซ้อนบังร่มให้เราในกาลที่สุด เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว บุคคลผู้นี้เคลื่อนจากโลก นี้แล้ว จักไปสู่หมู่เทวดาชั้นดุสิต เขาได้เสวยรัชสมบัติในชั้นดุสิต นั้นแล้ว จักไปสู่ชั้นนิมมานรดี เขาถวายดอกมะลิซ้อนอันประเสริฐสุด ด้วยอุบายนี้แล้ว จักปรารภกรรมของตนเสวยสมบัติ บุคคลผู้นี้จักบังเกิด ในชั้นดุสิตนั้นอีก เคลื่อนจากชั้นนั้นแล้ว จักไปสู่ความเป็นมนุษย์ พระ- มหานาคศากยบุตรผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้มีพระจักษุ ทรงยังสัตว์ ให้ตรัสรู้เป็นอันมากแล้ว จักเสด็จนิพพานในกาลนั้น เขาอันกุศลมูล ตักเตือนแล้ว จักเข้าไปเฝ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าแล้ว จักทูล ถามปัญหาในกาลนั้น พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ทรง ให้ร่าเริง ทรงทราบบุรพกรรมแล้ว จักทรงเปิดเผย (แสดง) สัจจะ ทั้งหลาย เขายินดีว่า ปัญหานี้ พระศาสดาทรงปรารภ (แก้) แล้ว มีใจชื่นชม ถวายบังคมพระศาสดาแล้วจักทูลขอบวช พระพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ทรงฉลาดในธรรมอันเลิศ ทรงเห็นว่าเขามีใจเลื่อมใส ยินดีด้วย กรรมของตน จักทรงให้บวช บุคคลผู้นี้พยายามแล้ว จักกำหนดรู้อาสวะ ทั้งปวงได้ แล้วจักไม่มีอาสวะนิพพานในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
จบ ภาณวารที่ ๕
เราประกอบด้วยบุพกรรม มีจิตชื่นชม ตั้งมั่นด้วยดี เป็นบุตรผู้เกิดแต่ พระหทัยของพระพุทธเจ้า อันธรรมนิรมิตดีแล้ว เราเข้าไปเฝ้าพระธรรมราชา แล้ว ได้ทูลถามปัญหาอันสูงสุด และเมื่อพระผู้มีพระภาคจะทรงแก้ปัญหา ของเราได้ตรัสกระแสธรรม เรารู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้ว ยินดีใน ศาสนาอยู่ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ ในแสนกัลป แต่กัลปนี้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระผู้นายกอุดม ไม่ทรงมีอุปาทาน เสด็จนิพพานแล้ว ดังประทีปดับเพราะสิ้นน้ำมัน ฉะนั้น พระสถูปแก้ว ของพระผู้มีพระภาคสูงประมาณ ๗ โยชน์ เราได้ทำธงสวยงามกว่าธงทั้งปวง เป็นที่รื่นรมย์ใจ บูชาไว้ที่พระสถูปนั้น พระอัครสาวกชื่อติสสะ ของ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป เป็นบุตรผู้เกิดในหทัยของเรา เป็นทายาท ในพระพุทธศาสนา เรามีใจเลวทรามได้กล่าววาจาอันไม่เจริญแก่พระอัคร- สาวกนั้น ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ความเจริญจึงได้มีแก่เราในภายหลังพระ- มุนีมหาวีรชินเจ้า ผู้ทรงเกื้อกูลประกอบด้วยพระกรุณา ทรงประทานบรรพชา แก่เราบนที่บรรทมครั้งสุด ณ ศาลวันอันเป็นที่เวียนมาแห่งมัลลกษัตริย์ ทั้งหลาย บรรพชาก็มีในวันนี้เดี๋ยวนี้เอง อุปสมบทก็ในวันนี้เอง ปรินิพพาน ก็ในวันนี้เอง เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดกว่าสัตว์ คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุภัททเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบสุภัททเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
จุนทเถราปทานที่ ๑๐ (๕๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกไม้
[๕๒] เราได้ให้ทำดอกไม้อันเป็นวัตถุควรบูชา เพื่อถวายแด่พระผู้มีพระภาค พระนามว่าสิทธัตถะเชษฐบุรุษของโลกผู้คงที่ แล้วปกปิดด้วยดอกมะลิ เรา ให้ทำดอกไม้นั้นสำเร็จแล้ว น้อมเข้าไปถวายแด่พระพุทธเจ้า และถือเอา ดอกไม้ที่เหลือไปบูชาพระพุทธเจ้า เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส นำเอา ดอกไม้เข้าไปบูชาพระพุทธเจ้าผู้เช่นกับทองคำมีค่า เป็นอัครนายกของโลก พระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงข้ามความสงสัยแล้ว ผู้ข้ามห้วงกิเลสได้แล้ว แวดล้อม ด้วยพระขีณาสพ ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ว่าผู้ใดได้ถวายดอกไม้มีค่า มีกลิ่นหอมฟุ้งแก่เรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว บุคคลผู้นี้เคลื่อนจากโลกนี้แล้ว จักแวดล้อมด้วย หมู่เทวดา เกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิ จักไปสู่เทวโลก ภพของบุคคลนั้น (สูง) น่าหวาดเสียว สำเร็จด้วยทองและแก้วมณี วิมานทั้งหลายอันเกิด ด้วยกรรม จักปรากฏ เขาจักได้เสวยเทวรัชสมบัติ ๗๔ ครั้ง จักแวดล้อม ด้วยนางอัปสรเสวยสมบัติ จักได้เป็นพระราชาในแผ่นดิน ครอบครอง พสุธา ๓๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง จักเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ มีนามชื่อว่าทุชชยะ เสวยบุญนั้นประกอบด้วยกรรมของตน ไม่ไปสู่ วินิบาต จักไปสู่ความเป็นมนุษย์ เงินที่บุคคลนั้นสั่งสมไว้แล้ว แม้ร้อยโกฏิ มิใช่น้อย บุคคลนั้นจักบังเกิดในกำเนิดเป็นพราหมณ์ เป็นบุตรผู้มีปัญญา ของวังคันตพราหมณ์ เป็นโอรสผู้เป็นที่รักของนางสารีพราหมณี และภายหลัง เขาจักบวชในศาสนาของพระอังคีรส จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่า จูฬจุนทะ เขาจักได้เป็นพระขีณาสพแต่ยังเป็นสามเณรทีเดียว กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน เราได้บำรุงพระมหาวีรเจ้า และพระสาวกอื่นๆ ผู้มีศีลเป็นอันมาก และบำรุงพระเถระผู้พี่ชายของเรา เพื่อบรรลุประโยชน์อันสูงสุด ครั้นเราบำรุงพระเถระผู้พี่ชายของเราแล้ว ได้ เอาธาตุใส่ไว้ในบาตร นำเข้าไปถวายพระสัมพุทธเจ้าเชษฐบุรุษของโลก ผู้ นราสภ พระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ทรงรับธาตุนั้นด้วยพระหัตถ์ ทั้งสอง แล้วจักทรงพระโอวาท จึงทรงประกาศพระอัครสาวก จิตของเรา พ้นวิเศษดีแล้ว และศรัทธาของเราตั้งมั่นดีแล้ว เรากำหนดรู้อาสวะทั้งปวง แล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระจุนทเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบจุนทเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อุปาลีเถราปทาน ๒. โสณโกฏิยเวสสเถราปทาน ๓. ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทาน ๔. สันนิฏฐาปกเถราปทาน ๕. ปัญจหัตถิยเถราปทาน ๖. ปทุมฉทนิยเถราปทาน ๗. สยนทายกเถราปทาน ๘. จังกมทายกเถราปทาน ๙. สุภัททเถราปทาน ๑๐. จุนทเถราปทาน
คาถาในวรรคนั้นมี ๑๔๔ คาถา
จบอุบาลีวรรคที่ ๕.
-----------------------------------------------------
วีชนีวรรคที่ ๖
วิธูปนทายกเถราปทานที่ ๑ (๕๑)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายพัด
[๕๓] เราได้ถวายพัดเล่มหนึ่ง แด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เชษฐบุรุษของ โลก ผู้คงที่ ผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ มั่นคง เรายังจิตของตนให้เลื่อมใส แล้ว ประนมอัญชลีถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า บ่ายหน้าไปทางทิศอุดร หลีกไป พระศาสดาผู้อัครนายกของโลกทรงรับพัดวิชนีแล้ว ประทับยืน ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ด้วยการถวายพัดนี้ และด้วยการตั้งจิตไว้ ผู้นี้จักไม่ไปสู่วินิบาตตลอดแสนกัลป เราปรารภ ความเพียร มีจิตแน่วแน่ มีใจตั้งมั่นในเจโตคุณ (คุณคือการกำหนดรู้ใจ ผู้อื่น) มีอายุ ๗ ปี โดยกำเนิดได้บรรลุอรหัต ใน ๖ หมื่นกัลป ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ ทรงกำลังมากพระนามเหมือนกันว่า พิชช- มานะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระวิธูปนทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ วิธูปนทายกเถราปทาน
สตรังสิยเถราปทานที่ ๒ (๕๒)
ว่าด้วยผลแห่งการชมเชยพระผู้โลกนายก
[๕๔] พระผู้มีพระภาคผู้อุดมบุรุษ เสด็จขึ้นภูเขาอันสูงสุดแล้ว ประทับนั่งอยู่ เราเป็นพราหมณ์ผู้เรียนจบมนต์ อยู่ในที่ไม่ไกลภูเขา ได้เข้าไปเฝ้าพระ- มหาวีรเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเทวดา เป็นนราสภ ประนมกรอัญชลีแล้ว ชมเชย พระผู้นายกของโลกว่า พระมหาวีรพุทธเจ้าพระองค์นี้ ทรงประกาศธรรม อันประเสริฐ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟ พระผู้มี พระภาคผู้มีพระจักษุ ไม่ทรงกำเริบดังมหาสมุทร หาผู้ต้านทานได้ยาก ดุจ อรรณพ ไม่ทรงครั่นคร้ามเหมือนราชสีห์ทรงแสดงธรรม พระศาสดา พระนามว่าปทุมุตระ ทรงทราบความดำริของเรา ประทับยืนในท่ามกลาง ภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดได้ถวายอัญชลีนี้ และเชยชม พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้นั้นจักได้เสวยเทวรัชสมบัติตลอด ๖ หมื่นกัลป ในแสนกัลป พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอังคีรสะ ผู้มีกิเลสดังหลังคา เปิด จักเสด็จอุบัติในภพนั้น ผู้นั้นจักเป็นโอรสผู้รับมรดกในธรรมของ พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นอันธรรมนิรมิตแล้ว จักเป็นพระอรหันต์มีชื่อว่า สตรังสี เรามีอายุ ๗ ปีโดยกำเนิด ออกบวชเป็นบรรพชิตมีชื่อว่าสตรังสี รัศมีของเราแผ่ออกไป เรามักเพ่งฌานยินดีในฌานอยู่ที่มณฑปหรือโคนไม้ เราทรงกายอันเป็นที่สุด อยู่ในศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอด ๖ หมื่นกัลป ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ทรงพระนามว่าโรมะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสตรังสิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สตรังสิยเถราปทาน
สยนทายกเถราปทานที่ ๓ (๕๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายที่นอน
[๕๕] เรามีจิตเลื่อมใส ได้ถวายที่นอนแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงอนุเคราะห์โลกทั้งปวง พระองค์นั้น ด้วยการถวายที่นอนนั้น โภคสมบัติย่อมเกิดแก่เรา เปรียบเหมือนพืช (ข้าวกล้า) สำเร็จในนาดี นี้เป็นผลแห่งการถวายที่นอน เราย่อมสำเร็จการนอนในอากาศ ย่อมทรง แผ่นดินนี้ไว้ เราเป็นใหญ่ในสัตว์ทั้งหลาย นี้เป็นผลแห่งการถวายที่นอน ใน ๕ พันกัลป ได้มีพระมหาวีระ ๘ พระองค์ ในกัลปที่ ๓๕๐๐ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิผู้มีพลมาก ๔ พระองค์ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสยนทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สยนทายกเถราปทาน
คันโธทกทายกเถราปทานที่ ๔ (๕๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายหม้อน้ำหอม
[๕๖] ในกาลนั้น ได้มีการฉลองพระมหาโพธิ์แห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตระ เราได้ถือเอาหม้ออันวิจิตร บรรจุเต็มด้วยน้ำหอมแล้วได้ถวาย ก็ในเวลาสรงน้ำไม้โพธิ์มหาเมฆยังฝนให้ตก และได้มีเสียงบันลือดังลั่น ในเมื่อสายฟ้าผ่า ด้วยกำลังสายฟ้านั้นแล เราทำกาละ ณ ที่นั้น เราอยู่ ในเทวโลก ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ พระคุณสมบัติ แห่งพระศาสดาของเราทั้งหลาย ซากศพของเราตก ลง เรารื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ภพของเรา ๗ ชั้น สูงสุดน่าหวาดเสียว นางเทพกัญญา ๑ แสนแวดล้อมเราเสมอ ความป่วยไข้ไม่มีแก่เรา ความ เศร้าโศกไม่มีแก่เรา เราไม่เห็นความเดือดร้อนเลย นี้เป็นผลแห่งบุญ กรรม ในกัลปที่ ๒๘๐๐ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่าสังวสิตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระคันโธทกทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ คันโธทกทายกเถราปทาน.
โอปวุยหเถราปทานที่ ๕ (๕๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายม้าอาชาไนย
[๕๗] เราได้ถวายม้าอาชาไนย แด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ครั้นมอบ ถวายในพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กลับไปเรือนของตน พระอัครสาวกของ พระศาสดามีนามชื่อว่าเทวิล ผู้เป็นทายาทแห่งธรรมอันประเสริฐ ได้มา สู่สำนักของเรา (กล่าวว่า) พระผู้มีพระภาคผู้นำประโยชน์ทั้งปวง ม้า อาชาไนยไม่ควร พระองค์ผู้มีจักษุทรงทราบความดำริของท่าน จึงทรงรับ ไว้ เราจึงตีราคาม้าสินธพซึ่งมีกำลังวิ่งเร็วดังลม เป็นพาหนะเร็ว แล้ว ได้ถวายของที่ควรแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เราเข้าถึงกำเนิด ใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ม้าอาชาไนยอันมีกำลังวิ่งเร็วดัง ลม เป็นที่ยินดี ย่อมเกิดแก่เรา (เราดำริว่า) ชนเหล่าใดได้อุปสมบท ชนเหล่านั้นได้ดีแล้วหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าบ่อยๆ ถ้าพระพุทธเจ้ามีใน โลก เราได้เป็นพระราชาผู้มีพลมาก ครอบครองแผ่นดินมีสมุทร ๔ เป็น ที่สุด เป็นใหญ่แห่งชนชาวชมพูทวีป ๒๘ ครั้ง ภพที่สุดย่อมเป็นไปแก่ เรา นี้เป็นครั้งหลังสุด เราละความชนะและความแพ้แล้ว ได้ถึงฐานะอัน ไม่หวั่นไหว ในกัลปที่ ๓๕๐๐ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นกษัตริย์มีเดช มาก ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโอปวุยหเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โอปวุยหเถราปทาน
สปริวาราสนเถราปทานที่ ๖ (๕๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายบิณฑบาต
[๕๘] เราไปสู่สถานที่อันไม่เศร้าหมอง ประดับด้วยมะลิซ้อน แล้วได้ถวาย บิณฑบาตแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ พระพุทธเจ้าผู้อัครนายก ของโลก ผู้ซื่อตรง มีพระหฤทัยมั่นคง ประทับนั่งบนอาสนะนั้น ทรง ประกาศอานิสงส์บิณฑบาตว่า พืชแม้จะน้อยที่ชาวนาปลูกลงในนาดี มหาเมฆสายฝนให้ตกเสมอ ผลย่อมยังชาวนาให้ยินดี ฉันใด บิณฑบาต นี้ ท่านปลูกลงในนาดี ผลจักยังท่านให้ยินดีในภพที่เกิด ฉันนั้น พระ- สัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระผู้อุดม ตรัสดังนี้แล้ว ทรงรับบิณฑบาต แล้วบ่ายพระพักตร์ทางทิศอุดรเสด็จไป เราสำรวมในพระปาติโมกข์และใน อินทรีย์ ๕ ขวนขวายในวิเวกไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสปริวาราสนเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สปริวาราสนเถราปทาน.
ปัญจทีปกเถราปทานที่ ๗ (๕๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายประทีป
[๕๙] เราเชื่อสนิทในพระสัทธรรม ของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง เป็นผู้มีความเห็นตรง เราได้ถวายประทีป (ทำการบูชาด้วยประทีป) แวดล้อมไว้ที่ไม้โพธิ์ ในครั้งนั้นเราเชื่อ จึงได้ ทำการบูชาด้วยประทีปที่ไม้โพธิ์ เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็น เทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เทวดาทั้งหลายย่อมทรงดวงไฟไว้ ในอากาศ นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยประทีป เราย่อมมองเห็นได้ภายใน หม้อ ภายในหินล้วน ตลอดล่วงภูเขาในที่ร้อยโยชน์โดยรอบ ด้วยกรรม ที่เหลืออยู่นั้น เราเป็นผู้บรรลุความสิ้นอาสวะ เราทรงกายอันเป็นที่สุดนี้ อยู่ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคผู้จอมสัตว์ในกัลปที่ ๓๔๐๐ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิพระนามว่าสตจักขุ มีพระเดชานุภาพมาก มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัญจทีปกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัญจทีปกเถราปทาน.
ธชทายกเถราปทานที่ ๘ (๕๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายธงและบำรุง
[๖๐] เราร่าเริง มีจิตโสมนัส ได้ยกธงขึ้นปักไว้ที่ไม้โพธิ์อันเป็นต้นไม้อุดม แห่ง พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เราเก็บใบโพธิ์ที่หล่นเอาไปทิ้งภายนอก ได้ไหว้ไม้โพธิ์อันอุดม ดังได้ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าผู้หมดจดทั้งกาย ในภายนอก ทรงพ้นวิเศษแล้ว ไม่มีอาสวะเหมือนดังเฉพาะพระพักตร์ พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตระทรงรู้แจ้งโลก ผู้ควรรับเครื่องบูชาประทับ ยืนท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ด้วยการถวายธงและ ด้วยการบำรุงทั้งสองนี้เขาจะไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัลป จักได้เสวยความ เป็นเทวดารูปงามไม่น้อยในเทวดาทั้งหลาย จักได้เป็นพระราชาในแว่น แคว้นหลายร้อยครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีพระนามชื่อว่าอุคคตะ ครั้นเสวยสมบัติแล้ว อันกุศลมูลตักเตือน จักยินดียิ่งในพระศาสนาของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม เราเป็นผู้มีจิตแน่วแน่เพื่อความเพียรสงบ ระงับไม่มีอุปธิ ทรงกายอันเป็นที่สุดอยู่ในพระศาสนาของพระสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๕๑๐๐ ได้มีกษัตริย์หลายพระองค์ พระนามว่าอุคคตะ มีเสนา ประมาณ ๕ หมื่น มีชื่อว่าเขมะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระธชทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบธชทายกเถราปทาน.
ปทุมเถราปทานที่ ๙ (๕๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกปทุมพร้อมด้วยธง
[๖๑] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ ทรงยัง ธรรมอันประเสริฐให้เป็นไป ทรงยังสายฝนอมฤตให้ตก ดับความเร่าร้อน มหาชนอยู่ เรายืนถือดอกปทุมพร้อมด้วยธงอยู่ที่ไกล ๒๕๐ ชั่วธนู มีความ โสมนัสได้โยนดอกปทุมพร้อมด้วยธงขึ้นไปบนอากาศ เพื่อบูชาพระ มุนีพระนามว่าปทุมุตระ และเมื่อดอกปทุมกำลังมา ความอัศจรรย์ก็เกิดมี ในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐกว่าบรรดาคน ทรงทราบความ ดำริของเรา ทรงรับไว้ พระศาสดาทรงรับดอกปทุมอันอุดมด้วยพระหัตถ์ อันประเสริฐแล้ว ประทับยืนในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ผู้ใดโยนดอกปทุมนี้มาในพระสัพพัญญู ผู้นายกอุดม เราจัก พยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักเป็นจอมเทวดาเสวย เทวรัชสมบัติตลอด ๓๐ กัลป จักได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครอง พสุธาอยู่ ๗๐๐ กัลป จักถือเอาอัตภาพในภพนั้นแล้ว จักได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ในกาลนั้น สายฝนดอกปทุมจักตกจากอากาศมากมาย ใน แสนกัลป พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นจักเป็นโอรสผู้เป็นทายาทในธรรม ของพระศาสดาพระองค์นั้น อันธรรมนิรมิต กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน เราออกจากครรภ์แล้วมีสติสัมปชัญญะ มีอายุ ๕ ปี โดยกำเนิด ได้บรรลุอรหัต คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปทุมเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบปทุมเถราปทาน.
อสนโพธิยเถราปทานที่ ๑๐ (๖๐)
ว่าด้วยผลแห่งการปลูกไม้โพธิ์
[๖๒] เรามีอายุ ๗ ปีโดยกำเนิด ได้พบพระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก เรา มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้เข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน เรา ร่าเริง มีจิตโสมนัสได้ปลูกไม้โพธิ์อันอุดม ถวายแด่พระผู้มีพระภาคพระ นามว่าดิสสะเชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ ต้นไม้อันงอกขึ้นบนแผ่นดิน โดยนามบัญญัติชื่อว่าอสนะ (ประดู่) เราบำรุงโพธิ์ชื่ออสนะอันอุดมนี้อยู่ ๕ ปี จึงได้เห็นต้นไม้มีดอกบานน่าอัศจรรย์ เป็นเหตุให้ขนพองสยอง เกล้า เมื่อจะประกาศกรรมของตน จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เวลานั้น องค์พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะเป็นสยัมภูอัครบุคคล ประ ทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดปลูกต้น โพธิ์นี้ และกระทำพุทธบูชาโดยเคารพ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เสวยเทวรัชสมบัติในเทวดาทั้งหลาย ตลอด ๓๐ กัลป และจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๖๔ ครั้ง เคลื่อนจาก ดุสิตภพแล้ว อันกุศลมูลตักเตือน เสวยสมบัติทั้งสองแล้ว จักรื่นรมย์ อยู่ในความเป็นมนุษย์ ผู้นั้นมีใจแน่วแน่เพื่อความเพียร สงบระงับ ไม่มี อุปธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน เราประกอบ วิเวกเนืองๆ เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ ตัดเครื่องผูกดังช้างทำลายปลอก แล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ปลูกต้นโพธิ์ในเวลา นั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการปลูกต้นโพธิ์ ในกัลปที่ ๗๕ แต่กัลปนี้ เวลานั้นได้มีพระเจ้าจักรพรรดิทรงสมบูรณ์ด้วย แก้ว ๗ ประการ มีนามปรากฏว่าทัณฑเสน ในกัลปที่ ๗๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีพระนามว่า สมันตเนมิ ในกัลปที่ ๒๐ ถ้วนแต่กัลปนี้ ได้มีกษัตริย์พระนามว่าปุณณกะ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอสนโพธิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอสนโพธิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. วิธูปนทายกเถราปทาน ๒. สตรังสิยเถราปทาน ๓. สยนทายกเถราปทาน ๔. คันโธทกทายกเถราปทาน ๕. โอปวุยหเถราปทาน ๖. สปริวาราสนเถราปทาน ๗. ปัญจทีปกเถราปทาน ๘. ธชทายกเถราปทาน ๙. ปทุมเถราปทาน ๑๐. อสนโพธิยเถราปทาน
มีคาถา ๙๒ คาถา.
จบ วีชนีวรรคที่ ๖.
-----------------------------------------------------
สกจิตตนิยวรรคที่ ๗
สกจิตตนิยเถราปทานที่ ๑ (๖๑)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายสถูป
[๖๓] เราได้เห็นป่าชัฏใหญ่สงัดเสียง ปราศจากอันตราย เป็นที่อยู่อาศัยของ พวกฤาษี ดังกับจะรับเครื่องบูชา เราจึงเอาไม้ไผ่มาทำเป็นสถูป แล้ว เกลี่ย (โปรย) ดอกไม้ต่างๆ ได้ไหว้พระสถูป ดุจถวายบังคมพระสัม- พุทธเจ้า ซึ่งยังทรงพระชนม์อยู่เฉพาะพระพักตร์ เราได้เป็นพระราชา สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นปรารภด้วยกรรม ของตน นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราโปรยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง พุทธบูชา ในกัลปที่ ๘๐ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มียศอนันต์ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสกจิตตนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สกจิตตนิยเถราปทาน.
อาโปปุปผิยเถราปทานที่ ๒ (๖๒)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกไม้บูชา
[๖๔] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี เสด็จออกจากวิหาร แล้วขึ้นที่จงกรม ทรง ประกาศสัจจะ ๔ ทรงแสดงอมฤตบท ณ ที่จงกรมนั้น ข้าพระองค์รู้ (ได้ฟัง) พระสุรเสียงของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดพระนามว่าสิขี ผู้คงที่ แล้ว จับดอกไม้ต่างๆ โยนขึ้นไปในอากาศ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมสัตว์ เชษฐบุรุษของโลกผู้นราสภ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ผู้ละความชนะและ แพ้แล้ว ได้บรรลุถึงฐานะอันไม่ไหวหวั่น ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ ข้า พระองค์โปรดดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ไม่รู้ทุคติเลย นี้เป็น ผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ในกัลปที่ ๒๐ แต่กัลปนี้ ได้มีกษัตริย์ พระนามว่าสุเมธ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ได้ทำเสร็จ แล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอาโปปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อาโปปุปผิยเถราปทาน.
ปัจจาคมนิยเถราปทานที่ ๓ (๖๓)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกสาหร่าย
[๖๕] ในกาลนั้น เราเป็นนกจักรพรากอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสินธู เรามีสาหร่ายล้วนๆ เป็นภักษาและสำรวมดีในสัตว์ทั้งหลาย เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก ธุลีเสด็จไปในอากาศ จึงเอาจะงอยปากคาบดอกสาหร่าย บูชาแด่พระผู้มี พระภาคพระนามว่าปัสสี ผู้ใดตั้งศรัทธาอันไม่หวั่นไหวไว้ด้วยดี ในพระ ตถาคตด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ผู้นั้นจะไม่ไปสู่ทุคติ การที่เราได้มาใน สำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเป็นการมาดีหนอ เราเป็นนกจักรพรากได้ ปลูกพืชไว้ดีแล้ว ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระผู้มีพระภาคด้วย ดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๗ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ มีพลมาก ทรงพระนาม เดียวกันว่าสุจารุทัสสนะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัจจาคมนียเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัจจาคมนียเถราปทาน.
ปรัปปสาทกเถราปทานที่ ๔ (๖๔)
ว่าด้วยผลแห่งการสรรเสริญ
[๖๖] ใครได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหา คุณใหญ่ ทรงชนะผู้วิเศษ มีพระฉวีวรรณดังทองแล้ว จะไม่เลื่อมใสเล่า ใครเห็นพระฌานของพระพุทธเจ้า (อัน) เปรียบเหมือนภูเขาหิมวันต์อัน ประมาณไม่ได้ ดังสาครอันข้ามได้ยาก แล้วจะไม่เลื่อมใสเล่า ใครเห็น ศีลของพระพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบเหมือนแผ่นดินอันประมาณมิได้ ดุจมาลัย ประดับศีรษะอันวิจิตร ฉะนั้น แล้วจะไม่เลื่อมใสเล่า ใครเห็นพระญาณ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบดังอากาศอันไม่กำเริบ ดุจอากาศอันนับไม่ได้ ฉะนั้น แล้วจะไม่เลื่อมใสเล่า พราหมณ์ว่าโสนะ ได้สรรเสริญพระ พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ไม่ทรงแพ้อะไร ด้วยคาถา ๔ คาถานี้แล้ว ไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอด ๙๔ กัลป เราได้เสวยสมบัติ อันดีงามมิใช่น้อยในสุคติทั้งหลาย ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราสรรเสริญ พระพุทธเจ้าผู้นำของโลกแล้ว ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสรร- เสริญ ในกัลปที่ ๑๔ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ผู้สูง ศักดิ์ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ มีพลมาก คุณสมบัติเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปรัปปสาทกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปรัปปสาทกเถราปทาน.
ภิสทายกเถราปทานที่ ๕ (๖๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเหง้ามันและรากบัว
[๖๗] พระผู้มีพระภาคมีพระนามชื่อว่าเวสสภู เป็นองค์ที่ ๓ แห่งพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นฤาษีทั้งหลาย พระองค์ผู้เป็นอุดมบุรุษเสด็จเข้าป่าชัฏแล้วประทับอยู่ เราได้ถือเอาเหง้ามันและรากบัวไปในสำนักพระพุทธเจ้า และเรามีจิตเลื่อม ใส ได้ถวายเหง้ามันและรากบัวนั้น แด่พระพุทธเจ้าด้วยมือทั้งสองของตน ก็ทานที่เราถวายนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเวสสภู ผู้มีพระปัญญาอัน ประเสริฐ ทรงลูบคลำด้วยพระหัตถ์ เราไม่รู้สึกว่าจะมีความสุขอันเสมอ ด้วยสุขนั้น ที่ไหนจะมีความสุขยิ่งไปกว่านั้น อัตภาพที่สุดย่อมเป็นไป แก่เรา เราถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดเครื่องผูกขาดดังช้างทำลายปลอก แล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายเหง้ามันและราก บัว ในกัลปที่ ๑๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิรวม ๑๖ พระองค์ เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระภิสทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ภิสทายกเถราปทาน
สุจินติตเถราปทานที่ ๖ (๖๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเนื้อดี
[๖๘] เราเป็นผู้เที่ยวอยู่ที่ภูเขา ดังไกรสรราชสีห์ผู้เป็นอภิชาตสัตว์ เราฆ่าหมู่เนื้อ เลี้ยงชีวิตอยู่ระหว่างภูเขา ก็พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสีสัพพัญญู ผู้ประเสริฐกว่าบรรดาคน พระองค์ทรงประสงค์จะถอนเราขึ้น จึงเสด็จมา ยังภูเขาสูง เราฆ่าเนื้อฟานแล้วนำมาเพื่อกิน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้ามาภิกษาจาร เราได้เลือกหยิบเอาเนื้อดีถวายแด่พระศาสดาพระ องค์นั้น ในกาลนั้น พระมหาวีรเจ้าจะทรงยังเราให้เย็น จึงทรงอนุโมทนา ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราเข้าไปในระหว่างภูเขา ยังปีติให้เกิดขึ้นแล้ว ทำ กาละ ณ ที่นั้น ด้วยการถวายเนื้อนั้น และด้วยการตั้งจิตไว้ดี เรารื่นรมย์ อยู่ในเทวโลกตลอด ๑๕๐๐ กัลป ในกัลปทั้งหลายที่เหลือ เราทำกุศล ด้วยการถวายเนื้อนั้น และด้วยการอนุสรณ์ถึงพระพุทธเจ้าในกัลปที่ ๓๘ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ พระนามว่าทีฆายุ ในกัลปที่ ๖๐๐๐ แต่กัลปนี้ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๒ พระองค์ พระนามว่าสรณะ คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้วพระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุจินติตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุจินติตเถราปทาน.
วัตถทายกเถราปทานที่ ๗ (๖๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้าผืนหนึ่ง
[๖๙] ในกาลนั้นเราเกิดเป็นพระยาครุฑสุบรรณ เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศ- จากธุลี เสด็จไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ เราละเพศนกครุฑแล้วแปลงเป็นมาณพ เราถวายผ้าผืนหนึ่งแด่พระพุทธเจ้าผู้คงที่ พระพุทธเจ้าผู้ศาสดาอัครนายก ของโลกทรงรับผ้าผืนนั้นแล้ว ประทับยืนอยู่ในอากาศ ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ด้วยการถวายผ้านี้และด้วยการตั้งจิตไว้ (ดี) ผู้นี้ละกำเนิดนกครุฑแล้ว จัก รื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ก็พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสี เชษฐบุรุษ ของโลก ผู้นราสภ ทรงสรรเสริญการถวายผ้าเป็นทานแล้ว บ่ายพระพักตร์ ทางทิศอุดรเสด็จไป ในภพที่เราเกิด เรามีผ้าสมบูรณ์ ผ้าเป็นหลังคา บังร่มอยู่ในอากาศ นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้า ในกัลปที่ ๓๖ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ มีพระนามว่าอรุณสะ มีพลมาก เป็น ใหญ่กว่ามนุษย์ คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระวัตถทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ วัตถทายกเถราปทาน.
อัมพทายกเถราปทานที่ ๘ (๖๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายมะม่วงสุก
[๗๐] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี ผู้ไม่มีอุปธิ ประทับนั่งอยู่ ณ ระหว่างภูเขา ได้ทรงแผ่เมตตาไปในโลกอันมีสัตว์ หาประมาณมิได้ ใน กาลนั้น เราเป็นพระยาวานรอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์อันสูงสุด ได้เห็นพระ พุทธเจ้าผู้มีพระคุณไม่ทรามผู้ยิ่งใหญ่ จึงยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เวลานั้นต้นมะม่วงกำลังเผล็ดผล มีอยู่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ เราได้ไปเก็บ ผลมะม่วงสุกจากต้นนั้นมาถวายพร้อมด้วยน้ำผึ้ง พระพุทธเจ้ามหามุนี พระนามว่าอโนมทัสสี ทรงพยากรณ์เรานั้น ว่าด้วยการถวายน้ำผึ้ง และด้วย การถวายน้ำมะม่วงทั้งสองนี้ ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๕๗ กัลป ในกัลปทั้งหลายที่เหลือ จักท่องเที่ยวสับสนกันไป จักใช้กรรมอันลามก ให้สิ้นแล้ว เมื่อความเจริญแก่งอม จักมาจากทุคติมีวิบาตเป็นต้นแล้ว จักเผากิเลสให้ไหม้ เราเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ทรงฝึกแล้วด้วยการฝึกอันอุดม เราเป็นผู้ละความชนะและความแพ้แล้ว บรรลุถึงฐานะอันไม่หวั่นไหว ในกัลปที่ ๗๗๐๐ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๔ พระองค์ ทุกพระองค์มีพระนามว่าอัมพัฏฐชัย มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอัมพทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อัมพทายกเถราปทาน.
สุมนเถราปทานที่ ๙ (๖๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกมะลิ
[๗๑] ในกาลนั้น เราเป็นนายมาลาการมีนามชื่อว่าสุมนะ ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากธุลี ทรงสมควรรับเครื่องบูชาของโลก จึงเอามือทั้งสองประคอง ดอกมะลิที่บานดีบูชาแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก ด้วยการบูชาดอกไม้นี้ และด้วยการตั้งจิตไว้ เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น ผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วย ดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๒๖ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ผู้มีพระยศ มาก ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำแจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุมนเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุมนเถราปทาน.
ปุปผจังโกฏิยเถราปทานที่ ๑๐ (๗๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผอบดอกอังกาบ
[๗๒] ข้าพระองค์เอาดอกอังกาบอันบานดี ใส่ในผอบจนเต็มแล้ว ได้บูชาพระ พุทธเจ้าพระนามว่าสิขีผู้ประเสริฐสุด ผู้ไม่ทรงครั้นคร้ามดังสีหะ เหมือน พระยาครุฑ งามประเสริฐดุจพระยาเสือโคร่ง มีพระชาติดีเหมือนไกรสร ราชสีห์ เป็นสรณะของโลกสาม ผู้ไม่หวั่นไหว ไม่ทรงแพ้อะไรๆ ผู้ เลิศกว่าบรรดาผู้ฆ่ากิเลส ประทับนั่งแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ พร้อมทั้งผอบ ใหญ่ ข้าแต่พระองค์ผู้จอมสัตว์ ผู้นราสภ ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ข้า- พระองค์เป็นผู้ละความชนะและแพ้แล้ว บรรลุถึงฐานะอันไม่หวั่นไหว ใน กัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ ข้าพระองค์ได้ทำกรรมใด ในกาลนั้น ด้วยกรรม นั้น ข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๓๐ ถ้วนแต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๕ พระองค์ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพระนามว่าเทวภูติเหมือนกัน คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัม- ภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ พุทธศาสนา ข้าพระองค์ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปุปผจังโกฏิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปุปผจังโกฏิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สกจิตตนิยเถราปทาน ๒. อาโปปุผผิยเถราปทาน ๓. ปัจจาคมนิยเถราปทาน ๔. ปรัปปสาทกเถราปทาน ๕. ภิสทายกเถราปทาน ๖. สุจินติตเถราปทาน ๗. วัตถทายกเถราปทาน ๘. อัมพทายกเถราปทาน ๙. สุมนเถราปทาน ๑๐. ปุปผจังโกฏิยเถราปทาน
คาถาอันแสดงอรรถที่ท่านกล่าวแล้วนับได้ ๗๑ คาถา ฉะนี้แล.
จบ สกจิตตนิยวรรคที่ ๗.
-----------------------------------------------------
นาคสมาลวรรคที่ ๘
นาคสมาลเถราปทานที่ ๑ (๗๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาสถูปด้วยดอกแคฝอย
[๗๓] เราถือเอาดอกแคฝอยไปบูชาที่พระสถูป ซึ่งมหาชนสร้างไว้ที่หนทางใหญ่ ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขีผู้เผ่าพันธุ์ของโลก ในกัลปที่ ๓๑ แต่ กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป ในกัลปที่ ๑๕ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่าปุปผิยะทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระนาคสมาลเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นาคสมาลเถราปทาน.
ปทสัญญกเถราปทานที่ ๒ (๗๒)
ว่าด้วยผลแห่งการเลื่อมใสรอยพระบาท
[๗๔] ก็เราได้เห็นรอยพระบาทที่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าติสสะ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ พระอาทิตย์ ทรงเหยียบไว้ เป็นผู้มีใจร่าเริงโสมนัส ยังจิตให้เลื่อมใสใน รอยพระบาท ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยสัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในรอยพระบาท ในกัลปที่ ๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์พระนามว่า สุเมธ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปทสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปทสัญญกเถราปทาน.
สุสัญญกเถราปทานที่ ๓ (๗๓)
ว่าด้วยผลแห่งการไหว้ผ้าบังสุกุลจีวร
[๗๕] เราได้เห็นผ้าบังสุกุลจีวรของพระศาสดาห้อยอยู่บนยอดไม้ แล้วได้ประนม อัญชลีไปทางนั้นไหว้บังสุกุลจีวร ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ทำ กรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง สัญญาในบังสุกุลจีวร ในกัลปที่ ๔ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ จอมกษัตริย์พระนามว่าทุมหระ ทรงครอบครองแผ่นดินมีสมุทรสาคร ๔ เป็น ที่สุด มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุสัญญกเถราปทาน.
ภิสาลุวทายกเถราปทานที่ ๔ (๗๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเหง้ามันผลไม้และน้ำ
[๗๖] เราเข้าไปยังป่าชัฏอยู่ในป่าใหญ่ ได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้ สมควรรับเครื่องบูชาจึงได้ถวายเหง้ามัน ผลไม้และน้ำสำหรับล้างพระหัตถ์ ถวายบังคมพระบาทด้วยเศียรเกล้าแล้ว มุ่งหน้าทางทิศอุดรหลีกไป ใน กัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายเหง้ามันและผลไม้ในกาลนั้น ด้วย กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม และในกัลปที่ ๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่าภิสสมมต ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัม- ภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระภิสาลุวทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ภิสาลุวทายกเถราปทาน
จบ ภาณวารที่ ๖
เอกสัญญกเถราปทานที่ ๕ (๗๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง
[๗๗] ข้าพระองค์ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง แก่พระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี มีนามชื่อว่าขัณฑะ ผู้สมควรรับเครื่องบูชาของโลก ข้าแต่พระองค์ผู้จอมสัตว์นราสภ ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ข้าพระองค์ไม่ รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง ในกัลปที่ ๔๐ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์พระนามว่าวรุณ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา ข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกสัญญกเถราปทาน.
ติณสันถารทายกเถราปทานที่ ๖ (๗๖)
ว่าด้วยผลแห่งการลาดหญ้ามาลาถวาย
[๗๘] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีสระใหญ่อยู่สระหนึ่ง ดาดาษไปด้วยดอกปทุม เป็นที่อาศัยของนกต่างๆ เราอาบและดื่มน้ำในสระนั้นแล้ว อยู่ในที่ไม่ ไกล ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้เลิศกว่าสมณะเสด็จไปในอากาศ พระศาสดา ผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเรา เสด็จลงจากอากาศแล้ว ประทับยืนอยู่ที่พื้นดินในขณะนั้น เราได้เกี่ยวหญ้ามาลาดถวายเป็นที่ ประทับนั่ง พระผู้มีพระภาคผู้เป็นใหญ่ในโลก ๓ เป็นนายกประทับนั่งบน นั้น เรายังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายบังคมพระองค์ผู้นายกของ โลก นั่งกระเย่งเพ่งดูพระมหามุนีไม่กระพริบตา ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราเข้าถึงภพชั้นนิมมานรดี เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลการถวายเครื่อง ลาดหญ้า ในกัลปที่ ๒ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่ามิตตสมมต ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติณสันถารทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติณสันถารทายกเถราปทาน
สูจิทายกเถราปทานที่ ๗ (๗๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเข็ม
[๗๙] ในกัลปที่ ๓ หมื่น แต่กัลปนี้ เราได้ถวายเข็ม ๕ เล่ม แต่พระพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก มีพระนามชื่อว่าสุเมธ มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีพระฉวีวรรณดังทองคำ ผู้เป็นจอมสัตว์ ผู้คงที่ เพื่อ ต้องการเย็บจีวร ด้วยการถวายเข็มนั้นแล ญาณเป็นเครื่องเห็นแจ้ง อรรถ อันละเอียด คมกล้า เกิดขึ้นแก่เรารวดเร็วและสะดวก เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ถอนภพทั้งปวงขึ้นแล้ว เราทรงกายครั้งที่สุดอยู่ในศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ทรงพระนาม ว่าทิปทาธิบดี ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสูจิทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สูจิทายกเถราปทาน
ปาฏลิปุปผิยเถราปทานที่ ๘ (๗๘)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกแคฝอย
[๘๐] ในกาลนั้น เราเป็นบุตรเศรษฐีสุขุมาลชาติ ตั้งอยู่ในความสุข ได้เอา ดอกแคฝอยห่อพกไปบูชาพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดังทองคำ เช่นกับแท่งทองคำอันมีค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ กำลัง เสด็จดำเนินอยู่ในละแวกตลาด เราร่าเริง มีจิตโสมนัส บูชาพระองค์ ด้วยดอกไม้ ถวายนมัสการพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ ทรงรู้แจ้งโลก เป็นนาถะของโลก ประเสริฐกว่านระ ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง การบูชาด้วยดอกไม้ ในกัลปที่ ๖๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ มีพระนามว่าอภิสมมต ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ ทราบว่า ท่านพระปาฏลิปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปาฏลิปุปผิยเถราปทาน.
ฐิตัญชลิยเถราปทานที่ ๙ (๗๙)
ว่าด้วยผลแห่งการประนมกรอัญชลี
[๘๑] เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้ออยู่ในป่าชัฏ ได้พบพระสัมพุทธเจ้าผู้มีพระ- ลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ในป่านั้น ณ ที่นั้น เราประนมกร อัญชลีแล้ว เดินบ่ายหน้าไปทางทิศปราจีน ขณะเมื่อเรานั่งอยู่บนเครื่อง ลาดใบไม้ที่เรานำมาในที่ไม่ไกล อสนีบาตตกลงบนกระหม่อมของเราใน เวลานั้น ในเวลาใกล้ตาย เราได้ประนมกรอัญชลีอีกครั้งหนึ่ง ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ทำอัญชลีในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการทำอัญชลีในกัลปที่ ๕๔ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิ มีพระนามว่ามิคเกตุ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพล มาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระฐิตัญชลิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ฐิตัญชลิยเถราปทาน.
ตีณิปทุมิยเถราปทานที่ ๑๐ (๘๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกปทุม ๓ ดอก
[๘๒] ในกาลนั้น พระชินเจ้าพระนามปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ทรงฝึก พระองค์เองแล้ว ทรงแวดล้อมด้วยพระสาวกผู้ฝึกตนแล้ว เสด็จออกจาก นคร เวลานั้น เราเป็นช่างดอกไม้ อยู่ในพระนครหงสวดี เราถือดอก ปทุม ๓ ดอก อย่างดีเลิศ (จะไป) ในพระนครนั้น ได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากธุลี เสด็จดำเนินอยู่ในละแวกตลาด พร้อมกับได้เห็นพระ- สัมพุทธเจ้า เราได้คิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า จะมีประโยชน์อะไรแก่เราด้วย ดอกไม้เหล่านี้ ที่เราบำรุงพระราชา เราจะพึงได้บ้านหรือคามเขตหรือ ทรัพย์พันหนึ่ง (เท่านั้น) เราบูชาพระพุทธเจ้าผู้ฝึกคนที่มิได้ฝึกตน ผู้แกล้ว กล้า ทรงนำสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งปวง เป็นนาถะของโลกแล้ว จักได้ ทรัพย์อันไม่ตาย ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว จึงยังจิตของตนให้เลื่อมใส แล้วจับดอกปทุม ๓ ดอกโยนขึ้นไปบนอากาศ ในกาลนั้น พอเราโยนขึ้น ไป ดอกปทุมเหล่านั้นก็แผ่ (บาน) อยู่ในอากาศ มีขั้วขึ้นข้างบน ดอกลงข้างล่าง ทรงอยู่เหนือพระเศียรในอากาศ มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เห็นแล้ว พากันโห่ร้องเกรียวกราว ทวยเทพเจ้าในอากาศพากันซ้องสาธุ การว่า ความอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วในโลก เราทั้งหลายจักนำดอกไม้มาบูชา พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เราทั้งหมดจักฟังธรรม จักนำดอกไม้มาบูชา พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงสมควรรับเครื่อง บูชา ประทับยืนอยู่ที่ถนนนั่นเอง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า มาณพใด ได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวแดง เราจักพยากรณ์มาณพนั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว มาณพนั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่น กัลป และจักได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๓๐ ครั้ง จักมี วิมานชื่อมหาวิตถาริกะในเทวโลกนั้นสูง ๓๐๐ โยชน์ กว้าง ๑๕๐ โยชน์ พวงดอกไม้ ๑๔๐,๐๐๐ พวงที่เทวดานิรมิตอย่างสวยงามห้อยอยู่ที่ปราสาท อันประเสริฐ และประดับที่นอนใหญ่ นางอัปสรแสนโกฏิ มีรูปอุดม ฉลาดในการฟ้อน การขับรำและการประโคม จักแวดล้อมอยู่โดยรอบ ในกาลนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์มีสีแดง จักตกลงในวิมานประเสริฐ อัน เกลื่อนกล่นด้วยหมู่เทพนารีเช่นนี้ แก้วปทุมราคะโตประมาณเท่าจักร จัก ห้อยอยู่ที่ตะปูฝาที่ไม้ฟันนาค ที่บานประตู และที่เสาระเนียด ที่วิมานนั้น นางเทพอัปสรทั้งหลายจักลาด จักห่มด้วยใบบัว นอนอยู่ภายในวิมานอัน ประเสริฐซึ่งดาดาษด้วยใบบัว ดอกบัวแดงล้วนเหล่านั้น แวดล้อมภพ ส่งกลิ่นหอมตลบไปประมาณร้อยโยชน์โดยรอบ มาณพนี้จักได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับ มิได้ ได้เสวยสมบัติทั้ง ๒ แล้ว หากังวลมิได้ ไม่มีอันตราย เมื่อกาล เป็นที่สุดมาถึงแล้ว จักได้บรรลุนิพพาน พระพุทธเจ้าเราได้เห็นดีแล้ว หนอ การค้าเราประกอบแล้ว เราบูชา (พระพุทธเจ้าด้วย) ดอกบัว ๓ ดอกแล้ว ได้เสวยสมบัติ ๓ ดอกบัวแดงอันบานงาม จักทรงไว้บน กระหม่อมของเราผู้บรรลุธรรม พ้นวิเศษแล้วโดยประการทั้งปวงในวันนี้ เมื่อพระปทุมุตรบรมศาสดาตรัสกรรมของเราอยู่ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ หลายแสน ในกัลปที่หนึ่งแสนแต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง (การบูชาด้วย) ดอกบัว ๓ ดอก เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพทั้งปวงขึ้นแล้ว อาสวะทั้งหมดสิ้นรอบแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระตีณิปทุมิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ตีณิปทุมิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. นาคสมาลเถราปทาน ๒. ปทสัญญกเถราปทาน ๓. สุสัญญกเถราปทาน ๔. ภิสาลุวทายกเถราปทาน ๕. เอกสัญญกเถราปทาน ๖. ติณสันถารทายกเถราปทาน ๗. สูจิทายกเถราปทาน ๘. ปาฏลิปุปผิยเถราปทาน ๙. ฐิตัญชลิยเถราปทาน ๑๐. ตีณิปทุมิยเถราปทาน
มีคาถา ๗๕ คาถา
จบ นาคสมาลวรรคที่ ๘.
-----------------------------------------------------
ติมิรปุปผิยวรรคที่ ๙
ติมิรปุปผิยเถราปทานที่ ๑ (๘๑)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกดีหมี
[๘๓] เรา (เที่ยว) ไปตามกระแสน้ำใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ได้เห็นพระสมณะ ซึ่งประทับนั่งอยู่ ผู้ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระสมณะนั้น แล้วให้คิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า พระผู้มีพระภาคนี้ทรงข้ามเองแล้ว จักทรงยัง สรรพสัตว์ให้ข้าม ทรงทรมานเองแล้ว จักทรงทรมานสรรพสัตว์ ทรงเบา พระทัยเองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้เบาใจ ทรงสงบเองแล้ว จักทรง ยังสรรพสัตว์ให้สงบ ทรงพ้นเองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้พ้น ทรงดับ เองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้ดับ ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว ได้ถือเอา ดอกดีหมี มาโปรยลงบนพระเศียรแห่งพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่ พระนามว่าสิทธัตถะ ในกาลนั้น (บูชา) แล้วประนมอัญชลี ทำประทักษิณ พระองค์ และถวายบังคมพระบาทพระศาสดาแล้ว กลับไปทางทิศอื่น พอ เราไปแล้วไม่นาน พระยาเนื้อได้เบียดเบียนเรา เราเดินไปตามริมเหว ได้ตกลงในเหวนั้นนั่นเอง ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๕๖ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ พระนามว่ามหารหะ ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้, ทราบว่า ท่านพระติมิรปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติมิรปุปผิยเถราปทาน.
คตสัญญกเถราปทานที่ ๒ (๘๒)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกกรรณิการ์ ๗ ดอก
[๘๔] เรามีอายุ ๗ ปีโดยกำเนิด บรรพชาเป็นสามเณร มีใจเลื่อมใส ได้ถวายบังคม พระบาทของพระศาสดาได้โยนดอกไม้กรรณิการ์ ๗ ดอกขึ้นไปในอากาศ อุทิศเฉพาะพระพุทธเจ้า พระนามว่าติสสะ ผู้ทรงคุณอนันต์ดังสาคร มีใจ ยินดีและเลื่อมใสบูชาหนทางที่พระสุคตเสด็จดำเนิน ได้กระทำอัญชลีด้วย มือทั้งสองของตน ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ ได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๘ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์ มีพระนามว่าอัคคิสิขะ ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระคตสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ คตสัญญกเถราปทาน.
นิปันนัญชลิกเถราปทานที่ ๓ (๘๓)
ว่าด้วยผลแห่งการประนมอัญชลีด้วยจิตเลื่อมใส
[๘๕] เราเป็นไข้หนักนั่งอยู่ที่โคนไม้ ในป่าชัฏใหญ่ เป็นผู้ควรได้รับความกรุณา อย่างยิ่ง พระศาสดาพระนามว่าติสสะ ทรงอนุเคราะห์เสด็จมาหาเรา เรานั้น นอนอยู่ ได้ประนมอัญชลีเหนือเศียรเกล้า เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ แล้วได้ทำกาละ ณ ที่นั้น ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้อุดมบุรุษ ด้วยกรรม นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายบังคม ในกัลปที่ ๕ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๕ พระองค์ มีพระนามว่ามหาสิขะ ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระนิปันนัญชลิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นิปันนัญชลิกเถราปทาน.
อโธปุปผิยเถราปทานที่ ๔ (๘๔)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกไม้บูชา
[๘๖] ภิกษุชื่ออภิภู เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี มีอานุภาพมาก บรรลุวิชชา ๓ เข้ามาสู่ภูเขาหิมวันต์ในกาลนั้น แม้เราก็เป็นฤาษีผู้ชำนาญ ในอัปปมัญญาและฤทธิ์อยู่ในอาศรมรมณิยสถาน ใกล้ภูเขาหิมวันต์ เรา ปรารถนาภูเขาอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนนกในอากาศปรารถนาอากาศ ฉะนั้น เราเก็บดอกไม้ที่เชิงเขาแล้ว มาสู่ภูเขา หยิบดอกไม้ ๗ ดอกโปรยลงบน พระเศียร เราอันพระวีระแลดูแล้ว เดินบ่ายหน้าไปทางทิศปราจีน เรามุ่ง ไปสู่ที่อยู่ ถึงอาศรมแล้ว เก็บหาบเครื่องบริขาร แล้วเดินไปตามระหว่าง ภูเขา งูเหลือมเป็นสัตว์ร้ายกาจ มีกำลังมาก รัดเรา เราระลึกถึงบุรพกรรม ได้ทำกาละ ณ ที่นั้น ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราโปรยดอกไม้ใด ด้วย กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอโธปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อโธปุปผิยเถราปทาน.
รังสิสัญญกเถราปทานที่ ๕ (๘๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายบังคม
[๘๗] เมื่อก่อน เราสำเร็จการอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ เรานุ่งห่มหนังสัตว์อยู่ในระหว่าง ภูเขา เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ ดุจพระอาทิตย์ แผดแสง เสด็จเข้าป่า งามเหมือนพระยารังมีดอกบาน จึงยังจิตให้เลื่อมใส ในรัศมีแล้วนั่งกระโหย่ง ประนมอัญชลี ถวายบังคมแด่พระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสี ด้วยเศียรเกล้า ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำ กรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญา ในรัศมี คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระรังสิสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ รังสิสัญญกเถราปทาน.
รังสิสัญญิกเถราปทานที่ ๖ (๘๖)
ว่าด้วยผลแห่งการทำจิตให้เลื่อมใสในพุทธรัศมี
[๘๘] เราทรงผ้าเปลือกไม้คากรองอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ ขึ้นสู่ที่จงกรมแล้วนั่งผินหน้า ไปทางทิศปราจีน เราได้เห็นพระสุคตเจ้าพระนามว่าผุสสะ ผู้ยินดีในฌาน ทุกเมื่อ (เสด็จมา) บนภูเขา จึงประนมอัญชลีแล้วยังจิตให้เลื่อมใสในพระ รัศมี ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระรัศมี คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระรังสิสัญญิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ รังสิสัญญิกเถราปทาน.
ผลทายกเถราปทานที่ ๗ (๘๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผลไม้
[๘๙] เราทรงหนังสัตว์หยาบอยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ ได้เห็นพระชินเจ้าผู้ประเสริฐ พระนามว่าผุสสะ จึงถือผลไม้ไปถวาย เรามีใจผ่องใส ได้ถวายผลไม้ใด ผลไม้นั้นบังเกิดแก่เราในภพที่เราเกิดแล้ว ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ ถวายผลไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวาย ผลไม้ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ชัดแจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระผลทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ผลทายกเถราปทาน.
สัททสัญญกเถราปทานที่ ๘ (๘๘)
ว่าด้วยผลแห่งการเลื่อมใสตามเสียงแสดงธรรม
[๙๐] เราอยู่บนเครื่องลาดใบไม้ ณ ภูเขาหิมวันต์ ได้ยังจิตให้เลื่อมใสในพระสุรเสียง ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าผุสสะ กำลังทรงแสดงธรรม ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสัททสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สัททสัญญกเถราปทาน.
โพธิสิญจกเถราปทานที่ ๙ (๘๙)
ว่าด้วยผลแห่งการรดน้ำโพธิพฤกษ์
[๙๑] ได้มีการฉลองพระมหาโพธิแห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี ในกาลนั้น เราบวชอยู่ได้ถือเอาดอกโกสุมเข้าไปบูชา แล้วเอาน้ำเข้าไปรดที่โพธิพฤกษ์ ด้วยกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคทรงพ้นแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้พ้น ทรง ดับแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้ดับหนอ ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ รดน้ำโพธิพฤกษ์ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ รดน้ำไม้โพธิ์ ในกัลปที่ ๓๓ อันกำลังเป็นไป ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็น จอมชนรวม ๘ พระองค์ ทรงพระนามว่าอุทกาเสจนะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโพธิสิญจกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โพธิสิญจกเถราปทาน.
ปทุมปุปผิยเถราปทานที่ ๑๐ (๙๐)
ว่าด้วยผลแห่งการโยนดอกปทุมขึ้นบูชา
[๙๒] เราเข้าไปยังป่าบัว บริโภคเหง้าบัวอยู่ ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ผุสสะ มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ เราจับดอกปทุมโยนขึ้นไป ในอากาศ เราระลึกถึงกรรมอันลามกแล้ว ออกบวชเป็นบรรพชิต ครั้น บวชแล้ว มีกายและใจอันสำรวมแล้ว ละวจีทุจริต ชำระอาชีพให้บริสุทธิ์ แต่กัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราบูชา (พระพุทธเจ้าด้วย) ดอกไม้ใด ด้วยกรรม นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ได้มีพระเจ้าแผ่นดิน (จักรพรรดิ) ๑๘ พระองค์ ทรงพระนามเหมือนกันว่า ปทุมภาส ในกัลปที่ ๑๘ ได้มีพระเจ้าแผ่นดิน ๔๘ พระองค์ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปทุมปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปทุมปุปผิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ติมิรปุปผิยเถราปทาน ๒. คตสัญญกเถราปทาน ๓. นิปันนัญชลิกเถราปทาน ๔. อโธปุปผิยเถราปทาน ๕. รังสิสัญญกเถราปทาน ๖. รังสิสัญญิกเถราปทาน ๗. ผลทายกเถราปทาน ๘. สัททสัญญกเถราปทาน ๙. โพธิสิญจกเถราปทาน ๑๐. ปทุมปุปผิยเถราปทาน
และท่านประกาศคาถาไว้ ๕๖ คาถา.
จบ ติมิรปุปผิยวรรคที่ ๙
-----------------------------------------------------
สุธาวรรคที่ ๑๐
สุธาปิณฑิยเถราปทานที่ ๑ (๙๑)
ว่าด้วยผลบุญของผู้บูชาไม่อาจนับได้
[๙๓] ใครๆ ไม่อาจจะนับบุญของบุคคลผู้บูชา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสาวก ผู้สมควรบูชา ผู้ล่วงธรรมเครื่องให้เนิ่นช้า ผู้ข้ามความโศก และความร่ำไรแล้ว ว่าบุญนี้มีประมาณเท่านี้ได้ ใครๆ ไม่อาจจะนับบุญ ของบุคคลผู้บูชาปูชารหบุคคลเหล่านั้น เช่นนั้น ผู้ดับแล้ว ไม่มีภัย แต่ ที่ไหนๆ ว่าบุญนี้มีประมาณเท่านี้ได้ การที่บุคคลในโลกนี้ พึงให้ทำความ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ นี้ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการบูชานี้ เรามีใจผ่องใส ได้ใส่ก้อนปูนขาวในระหว่างแผ่นอิฐ ที่พระเจดีย์ แห่งพระผู้มีพระภาค พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้เลิศกว่านระ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ทำ กรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ ปฏิสังขรณ์ ในกัลปที่ ๓๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๓ พระองค์ ทรงพระนามว่าปฏิสังขาระ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุธาปิณฑิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุธาปิณฑิยเถราปทาน.
สุปีฐิยเถราปทานที่ ๒ (๙๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายตั่ง
[๙๔] เรายินดีมีจิตโสมนัส ได้ถวายตั่งอันสวยงามแด่พระพุทธเจ้า พระนามว่า ติสสะ ผู้เป็นนาถะของโลก เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ในกัลปที่ ๓๘ แต่ กัลปนี้ เราได้เป็นพระราชาพระนามว่ามหารุจิ โภคสมบัติอันไพบูลย์ และ ที่นอนมิใช่น้อย ได้มีแล้วแก่เรา เรามีใจผ่องใสได้ถวายตั่งแก่พระพุทธเจ้า แล้ว ย่อมเสวยกรรมของตน ที่ตนได้ทำไว้ดีแล้วในกาลก่อน ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายตั่งใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่ง ในกัลปที่ ๓๘ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิ ๓ พระองค์ องค์ที่ ๑ พระนามว่ารุจิ องค์ที่ ๒ พระนามว่า อุปรุจิ องค์ที่ ๓ พระนามว่ามหารุจิ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุปีฐิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุปีฐิยเถราปทาน.
อัฑฒเจลกเถราปทานที่ ๓ (๙๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้าครึ่งท่อน
[๙๕] เราเป็นคนเข็ญใจ สมควรได้รับความการุญอย่างยิ่ง ได้ถวายผ้าครึ่งท่อนแด่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าติสสะ ครั้นถวายผ้าครึ่งท่อนแล้ว บันเทิงอยู่ใน สวรรค์ตลอดกัลปหนึ่ง และในกัลปทั้งหลายที่เหลือ เราได้ทำกุศล ในกัลป ที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายผ้าใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้า ในกัลปที่ ๕๑ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักร- พรรดิหลายพระองค์ พระนามว่าสมันตาโอทนะ เป็นกษัตริย์จอมชน คุณ วิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ ชัดแจ้งแล้วพระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอัฑฒเจลกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อัฑฒเจลกเถราปทาน.
สูจิทายกเถราปทานที่ ๔ (๙๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเข็ม
[๙๖] เมื่อก่อน เราเป็นช่างทองอยู่ในพระนครพันธุมะ อันประเสริฐสุด เราได้ ถวายเข็มแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ญาณของเราเสมอด้วยแก้ว วิเชียรอันเลิศ เป็นเช่นนั้นเพราะกรรม เราเป็นผู้ปราศจากราคะ พ้นวิเศษ แล้ว บรรลุถึงธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ภพทั้งปวงทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและ ปัจจุบัน เราค้นคว้า (พิจารณา) ได้ด้วยญาณ นี้เป็นผลแห่งการถวายเข็ม ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ ทรงพระนาม ว่า วชิราสมะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสูจิทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สูจิทายกเถราปทาน.
คันธมาลิยเถราปทานที่ ๕ (๙๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายสถูปไม้หอม
[๙๗] เราได้ทำสถูปไม้หอมคลุม (ปิด) ด้วยดอกมะลิ อันสมควรแก่พระพุทธเจ้า ถวายแด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้า อัครนายกของโลก เช่นกับทองคำมีค่า ผู้รุ่งเรืองดังนิลอุบล แผดแสงดัง พระอาทิตย์ ผู้องอาจดังพระยาเสือโคร่ง ผู้ประเสริฐ มีชาติยิ่งเหมือน ไกรสร ผู้เลิศกว่าสมณะทั้งหลาย ประทับนั่งแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เรา ถวายบังคมพระบาทของพระศาสดาแล้ว บ่ายหน้าทางทิศอุดรหลีกไป ใน กัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายของหอมและดอกไม้ ด้วยผลแห่ง สักการะที่ทำแล้วในพระพุทธเจ้าโดยพิเศษนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น ผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๓๙ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระ องค์ พระเจ้าจักรพรรดิเหล่านั้น มีพระนามเหมือนกันว่าเทวคันธะ คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระคันธมาลิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ คันธมาลิยเถราปทาน.
ติปุปผิยเถราปทานที่ ๖ (๙๖)
ว่าด้วยผลแห่งการเก็บใบแคฝอยทิ้ง
[๙๘] เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้ออยู่ในป่าชัฏใหญ่ เราเห็นไม้แคฝอยอันเขียวสด อันเป็นไม้โพธิ์ ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี จึงบูชาด้วยดอกไม้ ๓ ดอก เวลานั้น เราเก็บใบแคฝอยที่แห้งๆ ไปทิ้งในภายนอก เรากราบ ไหว้ไม้แคฝอย ดังถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี นายกของ โลก ผู้บริสุทธิ์ทั้งภายในภายนอก ผู้พ้นวิเศษแล้วไม่มีอาสวะ เฉพาะ พระพักตร์ แล้วทำกาละ ณ ที่นั้นเอง ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ บูชาไม้โพธิ์ใด ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชา ไม้โพธิพฤกษ์ ในกัลปที่ ๓๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๓ พระองค์ ทรงพระนามว่าสมันตปาสาทิกะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติปุปผิยเถราปทาน.
มธุปิณฑิกเถราปทานที่ ๗ (๙๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง
[๙๙] ความยินดีเป็นอันมากได้มีแก่เรา เพราะได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่า สิทธัตถะ ผู้ประเสริฐกว่าบรรดาฤาษี ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ผู้ดับแล้ว เป็นมหานาค ผู้องอาจดังม้าอาชาไนย ผู้รุ่งโรจน์เหมือนดาวประกายพฤกษ์ อันหมู่เทวดานมัสการอยู่ ในป่าชัฏสงัดเสียงไม่อากูล ญาณเกิดขึ้นแล้ว ในขณะนั้น เราได้ถวายน้ำผึ้งแด่พระศาสดาผู้เสด็จออกจากสมาธิ เรามีใจ ผ่องใสถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ ด้วย เศียรเกล้า แล้วบ่ายหน้ากลับไปทางทิศประจิม ในกัลปที่ ๓๔ แต่กัลป นี้ เราได้เป็นพระราชาพระนามว่าสุทัสสนะ ในกาลนั้น น้ำผึ้งออกจาก รากไม้ไหลลงในโภชนาหารของเรา ฝนน้ำผึ้งตกลง นี้เป็นผลแห่งบุรพกรรม ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายน้ำผึ้งใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นเรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง ในกัลปที่ ๓๔ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ มีพระนามว่าสุทัสสนะ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมธุปิณฑิกเถระได้กล่าวพระคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มธุปิณฑิกเถราปทาน.
เสนาสนทายกเถราปทานที่ ๘ (๙๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเครื่องลาดใบไม้
[๑๐๐] เราได้ถวายเครื่องลาดใบไม้ แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ และ ได้เอาเครื่องอุปการะและดอกโกสุมโปรยลงโดยรอบ เราได้เสวยถ้ำ (ห้อง) อันรื่นรมย์ควรค่ามากในปราสาท ดอกไม้มีค่ามากได้ตกลงบนที่นอนของ เรา เราย่อมนอนบนที่นอนอันวิจิตรลาดด้วยดอกไม้ และฝนดอกไม้ตก ลงบนที่นอนของเราในกาลนั้น ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายเครื่อง ลาดใบไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวาย เครื่องลาด พระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ พระนามว่าฐิตาสันถารกะ เป็นจอมแห่งชน อุบัติแล้วในกัลปที่ ๕ แต่กัลปนี้ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเสนาสนทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เสนาสนทายกเถราปทาน.
เวยยาวัจจกเถราปทานที่ ๙ (๙๙)
ว่าด้วยผลแห่งความเป็นไวยาวัจกร
[๑๐๑] ได้มีการประชุมใหญ่ (มหาสันนิบาต) แห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่า วิปัสสี เราได้เป็นไวยาวัจกรผู้รับใช้ในกิจทุกอย่าง ก็ไทยธรรมที่จะถวาย แด่พระสุคตเจ้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่ของเราไม่มี เรามีจิตผ่องใส ได้ถวาย บังคมพระบาทของพระศาสดา ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้กระทำ ไวยาวัจกร ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการทำ ไวยาวัจกร ในกัลปที่ ๘ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนาม ว่าสุจินติยะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่า นี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระไวยาวัจจกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ไวยาวัจจกเถราปทาน.
พุทธุปัฏฐากเถราปทานที่ ๑๐ (๑๐๐)
ว่าด้วยผลแห่งการเป่าสังข์บูชาพระผู้มีพระภาค
[๑๐๒] เราเป็นผู้เป่าสังข์บูชาแด่พระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสี เป็นผู้ประ- กอบการบำรุงพระสุคตเจ้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่เป็นนิตย์ เราเห็นผลการ บำรุงพระโลกนาถผู้คงที่ ดนตรี ๖ หมื่นห้อมล้อมเราทุกเมื่อ ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราบำรุงพระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณใหญ่ ด้วยกรรมนั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบำรุง ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ ทรงพระนามว่ามหานิโฆษ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระพุทธุปัฏฐากเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ พุทธุปัฏฐากเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สุธาปิณฑิยเถราปทาน ๒. สุปีฐิยเถราปทาน ๓. อัฑฒเจลกเถราปทาน ๔. สูจิทายกเถราปทาน ๕. คันธมาลิยเถราปทาน ๖. ติปุปผิยเถราปทาน ๗. มธุปิณฑิกเถราปทาน ๘. เสนาสนทายกเถราปทาน ๙. ไวยาวัจจกเถราปทาน ๑๐. พุทธุปัฏฐากเถราปทาน
ท่านประกาศคาถาไว้ ๖๐ คาถากึ่ง.
จบ สุธาวรรคที่ ๑๐.
-----------------------------------------------------
อนึ่ง รวมวรรคมี ๑๐ วรรค คือ
พุทธวรรคที่ ๑ สีหาสนิยวรรคที่ ๒ สุภูติวรรคที่ ๓ กุณฑธานวรรคที่ ๔ อุปาลิวรรคที่ ๕ วีชนีวรรคที่ ๖ สกจิตตนิยวรรคที่ ๗ นาคสมาลวรรคที่ ๘
ติมีรปุปผิยวรรคที่ ๙ เป็น ๑๐ ทั้งสุธาวรรค รวมคาถาได้ ๑,๔๕๕ คาถา.
จบ หมวด ๑๐ แห่งพุทธวรรค.
จบ หมวด ๑๐๐ ที่ ๑.
-----------------------------------------------------
ภิกขทายิวรรคที่ ๑๑
ภิกขทายกเถราปทานที่ ๑ (๑๐๑)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง
[๑๐๓] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดังทอง สมควรรับเครื่องบูชา เสด็จออกจากป่าอันสงัด จากตัณหาเครื่องรัดมาสู่ความดับ จึงถวายภิกษา ทัพพีหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้มีปัญญา ผู้สงบระงับ ผู้แกล้วกล้ามาก ผู้คงที่ เราตามเสด็จพระองค์ ผู้ทรงยังมหาชนให้ดับ เรามีความยินดีเป็นอันมากในพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ใน กัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษา ในกัลปที่ ๘๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ มีพระนามเหมือนกันว่ามหาเรณุ ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จ แล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระภิกขทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ภิกขทายกเถราปทาน
ญาณสัญญิกเถราปทานที่ ๒ (๑๐๒)
ว่าด้วยผลแห่งการยังจิตให้เลื่อมใสถวายบังคม
[๑๐๔] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดังทอง ผู้องอาจดุจม้าอาชาไนย ดังช้างมาตังคะตกมัน ๓ ครั้ง ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ทรงยังทิศทั้งปวงให้ สว่างไสว เหมือนพระยารัง มีดอกบาน เป็นเชษฐบุรุษของโลก สูงสุด กว่านระ เสด็จดำเนินไปในถนน จึงยังจิตให้เลื่อมใสในพระญาณ ประ นมอัญชลี มีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค พระ นามว่าสิทธัตถะ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระญาณ ใน กัลปนี้ ๗๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ มีพระนามว่า นรุตตมะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระญาณสัญญิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ญาณสัญญิกเถราปทาน
อุปลหัตถิยเถราปทานที่ ๓ (๑๐๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกอุบลกำมือหนึ่ง
[๑๐๕] ในกาลนั้น เราเป็นช่างดอกไม้อาศัยอยู่ในนครติวรา ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากธุลี พระนามว่าสิทธัตถะ อันชาวโลกบูชา มีจิตเลื่อมใส โสมนัส ได้ถวายดอกอุบลกำมือหนึ่ง เราอุบัติในภพใดๆ เพราะผลของ กรรมนั้น เราได้เสวยผลอันน่าปรารถนา ที่ตนทำไว้ดีแล้วในปางก่อน แวดล้อมด้วยพวกนักมวยชั้นเยี่ยม นี้เป็นผลแห่งสัญญาของตน ในกัลป ที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปใกล้เคียงที่ ๙๔ เว้นกัลป ปัจจุบัน ได้มีพระราชา ๕๐๐ พระองค์ มีพระนามเหมือนกันว่านัชชุปมะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอุปลหัตถิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุปลหัตถิยเถราปทาน
ปทปูชกเถราปทานที่ ๔ (๑๐๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกมะลิ
[๑๐๖] เราได้ถวายดอกมะลิแด่พระผู้มีพระภาค พระนามว่าสิทธัตถะ ดอกมะลิ ๗ ดอก เราโปรยลงที่ใกล้พระบาทด้วยความยินดี ด้วยกรรมนั้น วันนี้เราได้ เสวยความไม่ตาย เราทรงกายที่สุดอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยกรรม นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ในกัลปที่ ๕ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๓ พระองค์ มีพระนามว่าสมันตคันธะ ครอบครองแผ่นดินมีสมุทรสาคร ๔ เป็นที่สุด เป็นจอมแห่งหมู่ชน คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปทปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปทปูชกเถราปทาน
มุฏฐิปุปผิยเถราปทานที่ ๕ (๑๐๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกมะลิ
[๑๐๗] ในกาลนั้น เราเป็นนายมาลาการมีชื่อว่าสุทัสสนะ ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากธุลี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ เรามีจักษุบริสุทธิ์ มีใจโสมนัส ถือดอกมะลิไปบูชาพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มี จักษุทิพย์มีมัธยัสถ์ ด้วยพุทธบูชานี้ และด้วยการตั้งจิตไว้ เราไม่เข้าถึง ทุคติเลย ตลอดแสนกัลปในกัลปที่ ๓๖ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ มีพระนามเหมือนกันว่าเทพอุตตระ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมุฏฐิปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มุฏฐิปุปผิยเถราปทาน
อุทกปูชกเถราปานที่ ๖ (๑๐๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายน้ำ
[๑๐๘] ข้าพระองค์ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทอง ผู้รุ่งเรืองดังกองไฟ เหมือนพระอาทิตย์ เป็นที่รองรับเครื่องบูชา เสด็จไปในอากาศ จึงเอา มือทั้งสองกอบน้ำแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ พระพุทธเจ้ามหาวีระมีพระ กรุณาในข้าพระองค์ ทรงรับไว้ พระศาสดามีพระนามว่าปทุมุตระ ประ ทับยืนอยู่ในอากาศทรงทราบความดำริของข้าพระองค์ จึงได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ด้วยการถวายน้ำนี้และด้วยเกิดปีติ เขาจะไม่เข้าถึงทุคติเลยใน แสนกัลป ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ผู้นราสภ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ละความแพ้และความชนะแล้ว บรรลุถึงฐานะ อันไม่หวั่นไหว ในกัลปที่ ๖๕๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระ- องค์ มีพระนามว่าสหัสสราช เป็นจอมชน ปกครองแผ่นดิน มีสมุทร- สาคร ๔ เป็นที่สุด คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอุทกปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุทกปูชกเถราปทาน.
นฬมาลิยเถราปทานที่ ๗ (๑๐๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายพัดดอกอ้อ
[๑๐๙] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลกผู้คงที่ สงบระงับ มั่นคง ประทับนั่งบนเครื่องลาดหญ้า เราเอาดอกอ้อมาผูกเป็นพัด แล้ว น้อมถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมสัตว์ ผู้คงที่ พระสัพพัญญูผู้นายก ของโลก ทรงรับพัดแล้ว ทรงทราบความดำริของเรา ได้ตรัสพระคาถานี้ ว่า กายของเรา ดับ (ร้อน) แล้ว ความเร่าร้อนไม่มี ฉันใด จิตของ ท่านจะหลุดพ้นจากกองไฟ ๓ กอง ฉันนั้น เทวดาบางเหล่าที่อาศัยต้นไม้ อยู่ มาประชุมกันทั้งหมด ด้วยหวังว่า จักได้ฟังพระพุทธพจน์อันยังทายก ให้ยินดี พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ ที่นั้น แวดล้อมด้วยหมู่เทวดา เมื่อจะทรงยังทายกให้รื่นเริง จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ด้วยการถวาย พัดนี้ และด้วยการตั้งจิตไว้ ผู้นี้จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีพระนามชื่อ ว่าสุพพตะ ด้วยกรรมที่เหลือนั้น อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิมีพระนามชื่อว่ามาลุตะ ด้วยการถวายพัดนี้ และด้วย การนับถืออันไพบูลย์ ผู้นี้จะไม่เข้าถึงทุคติในแสนกัลป ในกัลปที่ ๓ หมื่น จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๘ พระองค์ มีพระนามว่าสุพพตะ ใน ๓ หมื่น กัลป จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ พระนามว่ามาลุตะ คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระนฬมาลิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นฬมาลิยเถราปทาน.
จบ ภาณวารที่ ๗.
อาสนุปัฏฐายกเถราปทานที่ ๘ (๑๐๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอาสนะทอง
[๑๑๐] ข้าพระองค์เข้าป่าชัฏสงัดเสียง ไม่อากูล ได้ถวายอาสนะทองแด่พระผู้มี พระภาคพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้คงที่ ข้าพระองค์ถือดอกไม้กำมือหนึ่ง แล้วทำประทักษิณพระองค์ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว กลับมุ่งหน้าไปทาง ทิศอุดร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่า นระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ย่อมยังตนให้ดับ ถอนภพได้ทั้งหมดแล้ว ในกัลปที่ ๑๘๐๐ ข้าพระองค์ได้ถวายทานใด ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายอาสนะทอง ในกัลป- ที่ ๗๐๐ กัลป แต่กัลปนี้ ข้าพระองค์ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่าสันนิพาปกะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา ข้าพระองค์ได้ทำเสร็จ แล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอาสนุปัฏฐายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อาสนุปัฏฐายกเถราปทาน.
พิฬาลิทายกเถราปทานที่ ๙ (๑๐๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายมันมือเสือ
[๑๑๑] เราอยู่บนเครื่องลาดใบไม้ ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ ในกาลนั้น (ถ้า) เราอยากอาหารก็มักนอนเสีย เราขุดจาวมะพร้าว มันอ้อน มันมือเสือ และมันนกมาไว้ เรานำเอาผลพุทรา ไม้รักดำ ผลมะตูม มาจัดแจงไว้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่อง บูชา ทรงทราบความดำริของเราแล้ว เสด็จมาสู่สำนักของเรา เราได้เห็น พระองค์ผู้มหานาค ประเสริฐกว่าเทวดา เป็นนราสภ เสด็จมาแล้ว จึงหยิบเอามันมือเสือมาใส่ลงในบาตร ในกาลนั้น พระสัพพัญญูมหาวีรเจ้า จะทรงยังเราให้ยินดีจึงเสวย ครั้นเสวยเสร็จแล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ ว่า ท่านยังจิตให้เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายมันมือเสือแก่เรา ท่านจะไม่เข้า ถึงทุคติตลอดแสนกัลป ภพที่สุดย่อมเป็นไปแก่เรา เราถอนภพขึ้นได้ ทั้งหมดแล้ว เราทรงกายที่สุดไว้ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๕๔ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าสุเมขลิมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระพิฬาลิทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ พิฬาลิทายกเถราปทาน.
เรณุปูชกเถราปทานที่ ๑๐ (๑๑๐)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาดอกกระถินพิมาน
[๑๑๒] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ มีพระรัศมีเปล่งปลั่ง ดุจพระอาทิตย์ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ดังพระจันทร์วันเพ็ญ อันพระ- สาวกทั้งหลายแวดล้อม ดุจแผ่นดินอันแวดล้อมด้วยสาคร จึงถือเอา ดอกกระถินพิมานไปบูชา พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปัสสี ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกกระถินพิมานใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๔๕ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์มีพระนามว่าเรณุ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จ แล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเรณุปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เรณุปูชกเถราปทาน
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ภิกขาทายกเถราปทาน ๒. ญาณสัญญิกเถราปทาน ๓. อุปลหัตถิยเถราปทาน ๔. ปทปูชกเถราปทาน ๕. มุฏฐิปุปผิยเถราปทาน ๖. อุทกปูชกเถราปทาน ๗. นฬมาลิยเถราปทาน ๘. อาสนุปัฏฐายกเถราปทาน ๙. พิฬาลิทายกเถราปทาน ๑๐. เรณุปูชกเถราปทาน
มีคาถา ๖๖ คาถา
จบ ภิกขาทายิวรรคที่ ๑๑
-----------------------------------------------------
มหาปริวารวรรคที่ ๑๒
มหาปริวารเถราปทานที่ ๑ (๑๑๑)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้าพิมพ์
[๑๑๓] ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสีเชษฐบุรุษของโลก ผู้เป็นนระ ผู้องอาจ กับภิกษุสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ เสด็จเข้าไปสู่พันธุมวิหาร เราออกจาก นครแล้ว ได้ไปที่ทีปเจดีย์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศธุลี สมควรรับ เครื่องบูชาพวกยักข์ในสำนักของเรา มีประมาณ ๘๔,๐๐๐ บำรุงเราโดย เคารพ ดังหมู่เทวดาชาวไตรทศบำรุงพระอินทร์โดยเคารพ ฉะนั้น เวลานั้น เราถือผ้าทิพย์ออกจากที่อยู่ ไปถวายอภิวาทด้วยเศียรเกล้า และได้ถวาย ผ้าทิพย์นั้น แด่พระพุทธเจ้า โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ ความถึงพร้อมแห่งพระศาสดาหนอ ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า แผ่นดินนี้หวั่นไหว เราเห็นความอัศจรรย์อันไม่เคยมี ขนพองสยอง เกล้านั้นแล้ว จึงยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมสัตว์ ผู้คงที่ เรานั้นครั้นยังจิตให้เลื่อมใส และถวายผ้าทิพย์แด่พระศาสดาแล้ว พร้อม ทั้งอำมาตย์และบริวารชน ยอมนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้กระทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่ รู้จักทุคตินี้เลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๕ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ มีพระนามว่าวาหนะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมหาปริวารเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มหาปริวารเถราปทาน.
สุมังคลเถราปทานที่ ๒ (๑๑๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดนตรีเครื่อง ๕
[๑๑๔] พระชินวรพระนามว่าอัตถทัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ เสด็จออกจากพระวิหารแล้ว เสด็จเข้าไปใกล้สระน้ำ พระผู้มีพระภาค สัมพุทธเจ้าทรงสรงสนานและดื่มแล้ว ทรงห่มจีวรผืนเดียวเฉวียงพระอังศา ประทับยืนเหลียวดูทิศน้อยใหญ่อยู่ ณ ที่นั้น ในกาลนั้น เราเข้าไปในที่อยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้นายกของโลก เรามีจิตร่าเริงโสมนัสได้ปรบมือ เราประกาศฟ้อน การขับร้องและดนตรีเครื่อง ๕ ถวายพระองค์ผู้โชติ ช่วงดังดวงอาทิตย์ ส่งแสงเรืองเหลืองดังทองคำ เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดา หรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ ย่อมครอบงำสัตว์ ทั้งปวง ยศของเรามีไพบูลย์ ขอนอบน้อมแด่พระองค์ บุรุษอาชาไนย ขอนอบน้อมแด่พระองค์ อุดมบุรุษ พระองค์ผู้เป็นมุนีทรงยังพระองค์ให้ ยินดีแล้ว ทรงยังผู้อื่นให้ยินดีอีกเล่า เรากำหนดถือเอาแล้ว นั่งแล้ว ทำความร่าเริง มีวัตรอันดี บำรุงพระสัมพุทธเจ้าแล้ว เข้าถึงชั้นดุสิต ในกัลปที่ ๑๖๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิหลายพระองค์ มี พระนามเหมือนกันว่า ทวินวเอกจินติตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุมังคลเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุมังคลเถราปทาน.
สรณคมนิยเถราปทานที่ ๓ (๑๑๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถึงศาสดาเป็นสรณะ
[๑๑๕] สงครามปรากฏแก่ท้าวเทวราชทั้งสอง (พระยายักษ์) กองทัพประชิดกัน เป็นหมู่ๆ เสียงอันดังกึกก้องได้เป็นไป พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่องบูชา ประทับยืนอยู่ในอากาศ ทรงยัง มหาชนให้เกิดสังเวช เทวดาทั้งปวงมีใจยินดีต่างวางเกราะและอาวุธ ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า รวมเป็นอันเดียวกันได้ในขณะนั้น พระ ศาสดาผู้ทรงอนุเคราะห์ ทรงรู้แจ้งโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงเปล่งวาจาสัตบุรุษ ทรงยังมหาชนให้เย็นใจว่า ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีจิต ประทุษร้าย เบียดเบียนสัตว์เพียงตัวหนึ่ง จะต้องเข้าถึงอบายเพราะจิต ประทุษร้ายนั้น เปรียบเหมือนช้างในค่ายสงคราม เบียดเบียนสัตว์เป็น อันมาก ท่านทั้งหลายจงดับ (ระงับ) จิตของตน อย่าเดือดร้อนบ่อยๆ เลย แม้พวกเสนาของพระยายักษ์ทั้งสอง ได้ประชุมกัน นับถือพระโลก เชษฐผู้คงที่เป็นอันดี เป็นสรณะ ส่วนพระศาสดาผู้มีจักษุ ทรงยังหมู่ชน ให้ยินยอมแล้ว ทรงเพ่งดูในเบื้องบนจากเทวดาทั้งหลาย บ่ายพระพักตร์ ทางทิศอุดรเสด็จกลับไป เราได้นับถือพระองค์ผู้จอมสัตว์ผู้คงที่เป็นสรณะ ก่อนใครๆ เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ใน ๓ หมื่นกัลป แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ มีพระนามว่า มหาจุนทภิ และพระนามว่ารเถสภะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสรณคมนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สรณคมนิยเถราปทาน.
เอกาสนิยเถราปทานที่ ๔ (๑๑๔)
ว่าด้วยผลแห่งการประโคมดนตรีไม้โพธิ์
[๑๑๖] ในกาลนั้น เราเป็นท้าวเทวราชมีนามชื่อว่าวรุณ พร้อมด้วยยาน พลทหาร และพาหนะ บำรุงพระสัมพุทธเจ้า เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้สูงสุดกว่าสัตว์เสด็จนิพพานแล้ว เราได้ถือเอาดนตรีทั้งปวงไปประโคม ไม้โพธิ์อันอุดม เราประกอบด้วยการประโคม การฟ้อนรำ และกังสดาน ทุกอย่าง บำรุงไม้โพธิพฤกษ์อันอุดมดังบำรุงพระสัมพุทธเจ้าเฉพาะพระ- พักตร์ ครั้นบำรุงโพธิพฤกษ์อันงอกขึ้นที่ดินดื่มรสด้วยรากนั้นแล้ว นั่งคู้ บัลลังก์ แล้วทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นเอง เราปรารภกรรมของตน เลื่อม ใสในโพธิพฤกษ์อันอุดม ได้เข้าถึงยังชั้นนิมมานรดีด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ดนตรี ๖ หมื่น แวดล้อมเราทุกเมื่อ เป็นไปในภพน้อยใหญ่ ทั้งใน มนุษย์และในเทวดา ไฟ ๓ กองของเราดับแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนขึ้น ได้แล้ว เราทรงกายที่สุดในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๕๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ ๓๔ พระองค์ มีพระ- นามชื่อว่า สุพาหุ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกาสนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกาสนิยเถราปทาน.
สุวรรณปุปผิยเถราปทานที่ ๕ (๑๑๕)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกไม้ทอง ๔ ดอก
[๑๑๗] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ประทับนั่งแสดงอมตบทแก่หมู่ชนอยู่ เราฟังธรรมของพระองค์ผู้เป็นจอม สัตว์คงที่แล้ว ได้โปรยดอกไม้ทอง ๔ ดอก บูชาแด่พระพุทธเจ้า ดอกไม้ ทองนั้นกลายเป็นหลังคาทองบังร่มตลอดทั่วบริษัท ในกาลนั้น รัศมีของ พระพุทธเจ้าและรัศมีทองรวมเป็นแสงสว่างอันไพบูลย์ เรามีจิตเบิกบาน ดีใจ เกิดโสมนัส ประนมกรอัญชลี เกิดปีติ เป็นผู้นำความสุขใน ปัจจุบันมาให้แก่ชนเหล่านั้น เราทูลวิงวอนพระสัมพุทธเจ้าและถวายบังคม พระองค์ผู้มีวัตรงาม ยังความปราโมทย์ให้เกิดแล้ว กลับเข้าสู่ภพของตน ครั้นกลับเข้าสู่ภพแล้ว ยังระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดอยู่ ด้วย จิตอันเลื่อมใสนั้น เราได้เข้าถึงชั้นดุสิต ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เรา บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ทองใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๔๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ราช ๑๖ พระองค์ ทรงพระนามว่าเนมิสมมต มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุวรรณปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุวรรณปุปผิยเถราปทาน.
จิตกปูชกเถราปทานที่ ๖ (๑๑๖)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาควันดนตรีและดอกไม้
[๑๑๘] ข้าพระองค์ (เป็นรุกขเทวดา) พร้อมด้วยอำมาตย์และบริวารอยู่ที่ไม้เกตุ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก ปรินิพพาน แล้ว ข้าพระองค์มีจิตเลื่อมใสโสมนัส ได้ไปสู่พระจิตกาธาร ประโคม ดนตรี ณ ที่นั้นโปรยของหอมและดอกไม้บูชา ข้าพระองค์มีจิตเลื่อมใส โสมนัส ทำการบูชาที่พระจิตกาธาร ไหว้พระจิตกาธารแล้วกลับมาสู่ภพ ของตน ข้าพระองค์เข้าไปในภพแล้ว ยังระลึกถึงการบูชาพระจิตกาธาร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมสัตว์เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ด้วย กรรมนั้น ข้าพระองค์ได้เสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์แล้ว ละความ ชนะและความแพ้แล้ว บรรลุถึงฐานะอันไม่หวั่นไหว ในกัลปที่ ๓๑ แต่ กัลปนี้ ข้าพระองค์บูชาพระจิตกาธารด้วยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระจิตกาธาร ในกัลปที่ ๒๙ แต่ กัลปนี้ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑๖ พระองค์ มีพระนามชื่อว่าอุคคตะ มีพล มาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระจิตกปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จิตกปูชกเถราปทาน
พุทธสัญญกเถราปทานที่ ๗ (๑๑๗)
ว่าด้วยผลแห่งการประกาศพุทธาภาพ
[๑๑๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี ผู้เลิศในโลก ทรงปลงพระชนมายุ สังขารนั้น พื้นแผ่นดินและน้ำก็หวั่นไหว ฟ้าก็คะนอง แม้ภพ ชื่อปปัญจกะ อันสวยงามน่าปลื้มใจ สะอาด วิจิตร ของเราก็หวั่นไหว ในขณะพระ- พุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุ เมื่อภพหวั่นไหวแล้ว ความสะดุ้งเกิดขึ้นแก่ เราว่า ความหวั่นไหวเกิดขึ้นเพื่ออะไรหนอ แสงสว่างอันไพบูลย์ได้มี แล้ว ท้าวเวสสุวัณมา ณ ที่นี้แล้ว ยังมหาชนให้หายความเศร้าโศกว่า สัตว์ไม่มีภัย ท่านทั้งหลายจงมีความตั้งใจเคารพเถิด เราประกาศพระพุทธา- นุภาพว่า โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ ความถึงพร้อมแห่งสัตถุ ศาสน์หนอ เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ แผ่นดินก็หวั่นไหวดังนี้แล้ว บันเทิง อยู่ในสวรรค์ตลอดกัลป ในกัลปทั้งหลายที่เหลือ เราได้ทำกุศล ในกัลป ที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยสัญญานั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๑๔ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ผู้ประเสริฐ มีนามชื่อว่าสมิตะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระพุทธสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ พุทธสัญญกเถราปทาน.
มัคคสัญญกเถราปทานที่ ๘ (๑๑๘)
ว่าด้วยผลแห่งการบอกทางให้แก่พระสาวก
[๑๒๐] พระสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ เที่ยวไปในป่า เป็นผู้หลงทางเหมือนคนตาบอดเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ บุตรของพระมุนีเหล่า- นั้นระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตระ ผู้เป็นนายกของโลก หลงทางอยู่ในป่าใหญ่ ข้าพระองค์ (เป็นเทพบุตร) ลงจากภพมาใน สำนักของภิกษุ บอกทางให้แก่พระสาวกเหล่านั้น และได้ถวายโภชนาหาร ข้าแต่พระองค์ผู้จอมสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ด้วย กรรมนั้น ข้าพระองค์ได้บรรลุอรหัตแต่อายุ ๗ ปีโดยกำเนิด ในกัลปที่ ๕๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๒ พระองค์ มีพระนามชื่อว่า สจักขุ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัม- ภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมัคคสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มัคคสัญญกเถราปทาน.
ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทานที่ ๙ (๑๑๙)
ว่าด้วยผลแห่งการทำกรรมที่ได้โดยยาก
[๑๒๑] ในลำดับกาล เมื่อพระสุคตเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสีเสด็จนิพพาน ใน กาลนั้น ข้าพระองค์เข้าถึงกำเนิดยักษ์และบรรลุถึงยศ ข้าพระองค์คิด ว่า ความได้ด้วยยาก แสงสว่างด้วยยาก การตั้งขึ้นยาก ได้มีแก่เรา แล้วหนอ เมื่อโภคสมบัติของเรามีอยู่ พระสุคตเจ้าผู้มีพระจักษุปรินิพพาน เสียแล้ว ดังนี้ พระสาวกนามว่าสาคระ รู้ความดำริของข้าพระองค์ ท่านต้องการจะถอนข้าพระองค์ขึ้น จึงมาในสำนักของข้าพระองค์ กล่าวว่า จะโศกเศร้าทำไมหนอ อย่ากลัวเลย จงประพฤติธรรมเถิด ท่านผู้มีเมธาดี พระพุทธเจ้าทรงส่งเสริมวิทยาสมบัติของชนทั้งปวงว่า ผู้ใดพึงบูชาพระ- สัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ดี พึงบูชาพระธาตุ แม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาดของพระพุทธเจ้า แม้นิพพานแล้วก็ดี เมื่อ จิตอันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน เพราะฉะนั้น ท่านจงทำสถูปบูชาพระธาตุของพระชินเจ้าเถิด ข้าพระองค์ได้ฟังวาจาของ ท่านสาคระแล้ว ได้ทำพุทธสถูป ข้าพระองค์บำรุงพระสถูปอันอุดมของ พระมุนีอยู่ ๕ ปี ข้าแต่พระองค์ผู้จอมสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐ กว่านระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์เสวยสมบัติแล้ว ได้บรรลุอรหัต ในกัลปที่ ๗๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ มีพระ- นามว่าภูริปัญญา ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา ข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัจจุปัฏฐานสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทาน.
ชาติปูชกเถราปทานที่ ๑๐ (๑๒๐)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาพระชาติ
[๑๒๒] เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ แสงสว่างได้มีอย่างไพบูลย์ และพื้นแผ่นดิน พร้อมทั้งสมุทรสาครและภูเขาก็หวั่นไหว อนึ่ง พวก หมอดูพยากรณ์ว่า พระพุทธเจ้าจักมีในโลก เป็นผู้เลิศกว่าสรรพสัตว์ จักรื้อถอนหมู่ชน (จากสังสารทุกข์) เราได้ฟังคำของพวกหมอดูแล้ว ได้ทำการบูชาพระชาติด้วยความดำริว่า การบูชาพระชาติเช่นนี้นั้นไม่มี (อีก) เรารวบรวมกุศลแล้ว ได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใส ครั้นเราทำการ บูชาพระชาติแล้วทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เราย่อมล่วงสรรพสัตว์ นี้เป็นผล แห่งการบูชาพระชาติ แม่นมทั้งหลายย่อมบำรุงเราเป็นไปตามอำนาจจิต ของเรา เขาไม่อาจยังเราให้โกรธเคือง นี้เป็นผลการบูชาพระชาติ ในกัลป ที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำการบูชาใดในกาลนั้น ด้วยการบูชานั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลการบูชาพระชาติ ในกัลปที่ ๓ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ พระองค์ เป็นจอมแห่งชน มีพระนามว่าสุปาริ- จริยะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และแม้อภิญญา ๑ เราทำให้ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ ทราบว่า ท่านพระชาติปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ชาติปูชกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. มหาปริวารเถราปทาน ๒. สุมังคลเถราปทาน ๓. สรณคมนิยเถราปทาน ๔. เอกาสนิยเถราปทาน ๕. สุวรรณปุปผิยเถราปทาน ๖. จิตกปูชกเถราปทาน ๗. พุทธสัญญกเถราปทาน ๘. มัคคสัญญกเถราปทาน ๙. ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทาน ๑๐. ชาติปูชกเถราปทาน
บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวรวมคาถาไว้ ๙๐ คาถา ฉะนี้แล.
จบ มหาปริวารวรรคที่ ๑๒
-----------------------------------------------------
เสเรยยกวรรคที่ ๑๓
เสเรยยเถราปทานที่ ๑ (๑๒๑)
ว่าด้วยผลแห่งการควันดอกไม้ซึก
[๑๒๓] เราเป็นพราหมณ์ผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท ยืนอยู่ที่โอกาสแจ้ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก เสด็จเที่ยวอยู่ในป่าดังราชสีห์ ไม่ ทรงสะดุ้งกลัวดังพระยาเสือโคร่ง ทรงแสวงหาคุณอันใหญ่หลวง ดังช้าง กุญชรมาตังคะซับมัน ๓ ครั้ง เราจึงหยิบเอาดอกไม้ซึกโยนขึ้นไป (บูชา) ในอากาศ ด้วยพุทธานุภาพ ดอกไม้ซึกทั้งหลายแวดล้อมอยู่โดยประการ ทั้งปวง พระสัพพัญญูมหาวีรเจ้าผู้นำของโลก ทรงอธิษฐานว่า จงเป็น หลังคาดอกไม้โดยรอบ ชนทั้งหลายได้บูชาพระนราสภ ในลำดับนั้น แผ่นดอกไม้นั้นมีขั้วข้างใน มีดอกข้างนอก เป็นเพดานบังร่มอยู่ตลอด ๗ วันแล้วหายไปจากที่นั้น เราได้เห็นความอัศจรรย์อันไม่เคยมี น่าขนพอง สยองเกล้านั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธสุคตเจ้า ผู้เป็น นายกของโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว ไม่ ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ในกัลปที่ ๑๕,๐๐๐ ได้มีพระเจ้าจักร- พรรดิ ๒๕ พระองค์ ทรงพระนามเหมือนกันว่าวิลามาลา มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และแม้อภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเสเรยยกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เสเรยยกเถราปทาน.
ปุปผถูปิยเถราปทานที่ ๒ (๑๒๒)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยสถูปดอกไม้
[๑๒๔] มีภูเขาชื่อกุกกุระอยู่ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ (เราเป็น) พราหมณ์ผู้รู้จบ มนต์อยู่ในท่ามกลางภูเขานั้น ศิษย์ ๕๐๐๐ คน แวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อและ เขาเหล่านั้นเป็นผู้ลุกขึ้นก่อน (นอนทีหลัง) แกล้วกล้าในมนต์ทั้งหลาย พราหมณ์ผู้รู้จบมนต์ ได้ฟังคำของพวกศิษย์ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น แล้วในโลก ขอท่านจงรู้พระพุทธเจ้านั้นว่ามีจริงหรือไม่ พระองค์มีพยัญ- ชนะ ๘๐ มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ พระชินวรมีพระรัศมี แผ่ไปข้างละวา ย่อมรุ่งโรจน์ดังพระอาทิตย์ ดังนี้ พราหมณ์ออกจาก อาศรมแล้ว ถามถึงทิศที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ว่า พระมหาวีรเจ้าผู้นำของ โลกประทับอยู่ ณ ประเทศใด เราเห็นประเทศนั้นแล้ว จักนมัสการพระ- ชินเจ้า ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบ เรามีจิตเบิกบาน มีใจโสมนัส บูชาพระตถาคต นั้น มาเถิดศิษย์ทั้งหลาย เราจักไปเฝ้าพระตถาคต จักถวายบังคมพระ- ยุคลบาทของพระศาสดาแล้ว จักฟังคำสั่งสอนของพระองค์ เราออกจาก อาศรมไปได้ วันหนึ่งก็ได้ป่วยไข้ เป็นผู้ถูกความป่วยไข้เบียดเบียน จึงไปนอน ณ ที่สุดศาลา (ไม้รัง) ประชุมศิษย์ทั้งปวงแล้ว ได้ถามเขา เหล่านั้นถึงพระตถาคตว่า พระคุณของโลกนาถผู้มีปัญญา เครื่องตรัสรู้ อย่างยิ่งเป็นเช่นไร พวกศิษย์เหล่านั้นอันเราถามแล้วพยากรณ์เหมือน บุคคลผู้เห็นแจ้ง แสดงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐนั้นแก่เราดุจมีอยู่ตรงหน้า โดยเคารพ เราฟังคำของศิษย์เหล่านั้นแล้ว ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น ศิษย์ เหล่านั้นเผาสรีระของเราแล้ว ได้ไปในสำนักของพระพุทธเจ้า ประนมกร อัญชลีถวายบังคมพระศาสดา เราเอาดอกไม้ทำสถูปแห่งพระสุคต ผู้ แสวงหาคุณอันใหญ่หลวงแล้ว ไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ใน กัลปที่ ๔๐,๐๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ ๑๖ พระองค์ มีพระนามชื่อว่า อัคคิสมะ มีพลมาก ใน ๒ หมื่นกัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิราช ๓๘ พระองค์ เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระนามว่า ฆฏาสนสมะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรา ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปุปผถูปิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปุปผถูปิยเถราปทาน.
ปายาสทายกเถราปทานที่ ๓ (๑๒๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายข้าวปายาสใส่ถาดสำริด
[๑๒๕] เราต้องการจะบวงสรวงบูชายัญ จึงคดข้าวปายาสใส่ในถาดสำริดด้วยมือ ของตน แล้วไปสู่ป่างิ้ว ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ มีพระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ แวดล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ เสด็จ ออกจากป่าใหญ่ สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเชษฐบุรุษของโลกประเสริฐกว่า นระ เสด็จขึ้นเดินจงกรมในอากาศอันเป็นทางลม เราเห็นความอัศจรรย์ อันไม่เคยเป็นขนลุกชูชันนั้นแล้ว วางถาดสำริดลงถวายบังคมพระผู้มี พระภาคพระนามว่าวิปัสสี ทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์เป็นพระ- สัพพัญญูพุทธเจ้าในโลก พร้อมทั้งเทวโลกและมนุษยโลก ขอจงทรง อนุเคราะห์รับข้าวปายาสของข้าพระองค์เถิด พระผู้มีพระภาคสัพพัญญูผู้นำ ของโลก เป็นศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงรับ ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วย ทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายข้าวปายาสในกัลปที่ ๔๑ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่าพุทโธ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปายาสทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปายาสทายกเถราปทาน
คันโธทกิยเถราปทานที่ ๔ (๑๒๔)
ว่าด้วยผลแห่งการประพรมน้ำหอม
[๑๒๖] เรานั่งอยู่ในปราสาทอันประเสริฐ ได้เห็นพระชินเจ้าพระนามว่าวิปัสสี งามดังไม้รกฟ้าผู้เป็นสัพพัญญู เป็นผู้นำอันอุดม พระองค์ผู้นำของโลก เสด็จดำเนินในที่ไม่ไกลปราสาท รัศมีของพระองค์สว่างไสว ในเมื่อ พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เราประคองน้ำหอม ประพรม (บูชา) พระ- พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ปะพรมน้ำหอมใด ด้วยกรรมนั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่าสุคนธ์ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านคันโธทกิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ คันโธทกิยเถราปทาน.
สัมมุขาถวิกเถราปทานที่ ๕ (๑๒๕)
ว่าด้วยผลแห่งการชมเชยพระพุทธเจ้า
[๑๒๗] เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์ประสูติ เราได้พยากรณ์นิมิตว่า จักยังหมู่ชนให้ ดับ จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ หมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็น ศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ประสูติ ได้มีแสงสว่างอันไพบูลย์ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ประสูติ แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็น ศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประ สูติไฟในอเวจีนรกไม่ลุกโพลง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดา ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ หมู่นกไม่สัญจรไป บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระ- จักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ กองลม ย่อมไม่พัดฟุ้งไป บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มี พระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ แก้วทุกชนิดส่งแสงโชติช่วง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดา ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ ทรงย่างพระบาทก้าวไป ๗ ก้าว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็น ศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ พอพระสัมพุทธเจ้าประสูติแล้ว เท่านั้น ก็ทรงเหลียวแลดูทิศทั้งปวง ทรงเปล่งอาสภิวาจา นี้เป็นธรรมดา ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เรายังหมู่ชนให้เกิดสังเวช เชยชมพระผู้มีพระ- ภาคผู้นำของโลก ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว บ่ายหน้ากลับไปทางทิศ ปราจีน ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราเชยชมพระพุทธเจ้าใด ด้วยการ เชยชมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการเชยชม ในกัลปที่ ๙๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าสัมมุขาถวิกะ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๙๘ แต่กัลปนี้เราได้เป็นพระเจ้า- จักรพรรดิ มีนามว่าปฐวีทุนทุภิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๘ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมกษัตริย์มีนาม ว่าโอภาส สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๗ แต่ กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่าสริจเฉทนะ สมบูรณ์ด้วย แก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๖ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิมีนามว่า อัคคินิพพาปนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี พลมาก ในกัลปที่ ๘๕ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า วาตสมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๔ แต่ กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่า คติปัจเฉทนะ สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๓ แต่กัลปนี้ เราได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า รัตนปัชชละ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี พลมาก ในกัลปที่ ๘๒ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนาม ว่า ปทวิกกมนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่า วิโลกนะ สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ในกัลปที่ ๘๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า คิริสาระ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพล มาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสัมมุขาถวิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สัมมุขาถวิกเถราปทาน.
กุสุมาสนิยเถราปทานที่ ๖ (๑๒๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายอามิสพระพุทธเจ้า
[๑๒๘] ในกาลนั้น เราเป็นพราหมณ์อยู่ในนครธัญญวดี รู้จบไตรเพท เป็นผู้ เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ เป็นผู้ฉลาดในตำรา ทำนายลักษณะคัมภีร์ อิติหาสะ และตำราทำนายนิมิต พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏุภะ บอกมนต์กะศิษย์ทั้งหลาย เราวางดอกอุบล ๕ กำไว้บนหลัง เราประสงค์ จะบวงสรวงบูชายัญในสมาคมบิดามารดา ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสีผู้ประเสริฐกว่านระ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงยังทิศ ทั้งปวงให้สว่างไสวเสด็จมา เราปูลาดอาสนะแล้ว ลาดดอกอุบลนั้น แล้วนิมนต์พระมหามุนี นำมาสู่เรือนของตน อามิสอันใดที่เราตระเตรียม ไว้ มีอยู่ในเรือนของตน เราเลื่อมใสได้ถวายอามิสนั้น แด่พระพุทธเจ้า ด้วยมือทั้งสองของตน เราทราบเวลาที่พระผู้มีพระภาคเสวยแล้ว ได้ถวาย ดอกอุบลกำหนึ่ง พระสัพพัญญูทรงอนุโมทนาแล้ว บ่ายพระพักตร์กลับ ไปยังทิศอุดร ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายดอกไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายดอกไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายดอกไม้ ในกัลปลำดับ ต่อแต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราชพระนามว่า วรทัส- สนะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ ทราบว่า ท่านพระกุสุมาสนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กุสุมาสนิยเถราปทาน.
ผลทายกเถราปทานที่ ๗ (๑๒๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเมล็ดบัว
[๑๒๙] เรา (เป็นพราหมณ์) ผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์รู้จบไตรเพทอยู่ในอาศรมใน ที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ เครื่องบูชาไฟเมล็ดบัวขาวของเรามีอยู่ เราใส่ไว้ใน ห่อแล้วห้อยไว้บนยอดไม้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้ง โลก สมควรรับเครื่องบูชา พระองค์ทรงประสงค์จะถอนเราขึ้น จึงเสด็จ มาภิกขาเรา เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ถวายเมล็ดบัวแด่พระ- พุทธเจ้า พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทองคำ สมควร รับเครื่องบูชา ทรงยังปีติให้เกิดแก่เรา ทรงนำสุขมาให้ในปัจจุบัน ประ- ทับยืนอยู่ในอากาศได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ด้วยการถวายเมล็ดบัวนี้ และ ด้วยการตั้งเจตนาไว้ ผู้นี้จะไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ด้วยกุศลมูล นั้นนั่นแล เราได้เสวยสมบัติแล้ว ละความชนะและความแพ้ บรรลุ ถึงฐานะอันไม่หวั่นไหว ในกัลปที่ ๗๐๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิราชมีนามว่าสุมงคล สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระผลทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ผลทายกเถราปทาน.
ญาณสัญญกเถราปทานที่ ๘ (๑๒๘)
ว่าด้วยผลแห่งการได้สัญญา
[๑๓๐] เราอยู่ในระหว่างภูเขาใกล้ภูเขาหิมวันต์ ได้เห็นกองทรายอันงามแล้ว ระลึก ถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ไม่มีอะไรเปรียบได้ในพระญาณ สงคราม ไม่มีแก่พระศาสดา พระศาสดาทรงรู้ทั่วถึงธรรมทั้งปวงแล้ว ทรงน้อมไป (หลุดพ้น) ด้วยญาณ ขอนอบน้อมแด่พระองค์ บุรุษอาชาไนย ขอนอบ น้อมแด่พระองค์ อุดมบุรุษ ไม่มีใครเสมอด้วยพระญาณของพระองค์ พระญาณสูงสุดพ้นจะประมาณ เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระญาณแล้วบันเทิง อยู่ในสวรรค์ตลอดกัลปในกัลปทั้งหลายที่เหลือ เราทำกุศล ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยสัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระญาณ ในกัลปที่ ๗๑ แต่กัลปนี้ เราได้ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่งมีนามว่าปุฬินปุปผิยะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระญาณสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ญาณสัญญกเถราปทาน
คันธปุปผิยเถราปทานที่ ๙ (๑๒๙)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาดอกไม้ต่างๆ
[๑๓๑] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี มีพระฉวีวรรณดังทองคำ ผู้ควรแก่ทักษิณา แวดล้อมด้วยพระสาวกเป็นอันมาก เสด็จออกจากพระอาราม เราได้เห็น พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดหาอาสวะมิได้ มีจิตเลื่อมใส มีใจ โสมนัส ได้บูชาทางที่เสด็จดำเนิน ด้วยจิตอันเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมสัตว์ผู้คงที่นั้น เราร่าเริง มีจิตโสมนัส ถวายบังคมพระตถาคต อีก ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วย การบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๔๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์มีนามว่าวรุณ สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระคันธปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ คันธปุปผิยเถราปทาน.
ปทุมปูชกเถราปทานที่ ๑๐ (๑๓๐)
ว่าด้วยผลแห่งพุทธบูชา
[๑๓๒] ในที่ไม่ไกลต่อภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาชื่อโคตมะดาดาษด้วยต้นไม้ต่างชนิด เป็นที่อยู่ของหมู่มหาภูต (ยักษ์) ในท่ามกลางภูเขานั้นมีอาศรมที่เราสร้างไว้ เราแวดล้อมด้วยพวกศิษย์ของตน อยู่ในอาศรม (นั้น) ได้สั่งศิษย์ทั้งหลาย ว่า คณะศิษย์ของเรา (เมื่อมาหาเรา) ขอจงนำเอาดอกบัวมาให้เรา เรา จักทำพุทธบูชาแด่พระผู้มีพระภาคผู้จอมสัตว์ ผู้คงที่ ศิษย์เหล่านั้นรับคำ ที่เราสั่งอย่างนี้แล้ว นำเอาดอกบัวมาให้เรา เรากระทำเครื่องหมายอย่างนั้น บูชาแด่พระพุทธเจ้าในกาลนั้น เราประชุมศิษย์ทั้งหลายแล้ว พร่ำสอน ด้วยดีว่า ท่านทั้งหลายอย่าประมาทนะ เพราะว่าความไม่ประมาทนำสุขมา ให้ ครั้นเราพร่ำสอนบรรดาศิษย์ของตน ผู้อดทนต่อคำสอนอย่างนี้แล้ว ประกอบตนในคุณ คือ ความไม่ประมาท ได้ทำกาละในกาลนั้น ในกัลป ที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๕๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่าชลุตตมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปทุมปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปทุมปูชกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. เสเรยยกเถราปทาน ๒. ปุปผถูปิยเถราปทาน ๓. ปายาสทายกเถราปทาน ๔. คันโธทกิยเถราปทาน ๕. สัมมุขาถวิกเถราปทาน ๖. กุสุมาสนิยเถราปทาน ๗. ผลทายกเถราปทาน ๘. ญาณสัญญกเถราปทาน ๙. คันธปุปผิยเถราปทาน ๑๐. ปทุมปูชกเถราปทาน
บัณฑิตผู้เห็นแจ้งอรรถรวมคาถาไว้ ๑๐๕ คาถา.
จบ เสเรยยกวรรคที่ ๑๓
-----------------------------------------------------
โสภิตวรรคที่ ๑๔
โสภิตเถราปทานที่ ๑ (๑๓๑)
ว่าด้วยผลแห่งการฟังอาสภิวาจา
[๑๓๓] พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระเชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ทรง แสดงอมตบทแก่หมู่ชนเป็นอันมาก เวลานั้นเราได้ฟังพระดำรัสอาสภิวาจา ที่พระองค์เปล่งแล้ว ประนมกรอัญชลี เป็นผู้มีใจเป็นอารมณ์เดียว (กล่าวว่า) สมุทรเลิศกว่าทะเลทั้งหลาย เขา สุเมรุประเสริฐกว่าเขาทั้งหลาย เป็นที่สั่งสมหิน ฉันใด ชนเหล่าใด ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิต ชน เหล่านั้นย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยวแห่ง พระพุทธญาณ ฉันนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นฤาษีประกอบด้วยพระกรุณาทรงหยุดการแสดงธรรม ประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดสรร- เสริญญาณใน (ของ) พระพุทธเจ้าผู้นำของโลก ผู้นั้นจะต้องไม่ไปสู่ทุคติ ตลอดแสนกัลป ผู้นั้นจักเผากิเลสทั้งหลายได้แล้วจักเป็นผู้มีอารมณ์เดียว มีจิตมั่นคง จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าโสภิตะ เราเผา กิเลสได้แล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ในกัลปที่ ๕๐,๐๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิ ๗ พระองค์ ทรงพระนามว่าสมุคคตะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโสภิตเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โสภิตเถราปทาน.
สุทัสสนเถราปทานที่ ๒ (๑๓๒)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้เกต
[๑๓๔] ไม้การเกตกำลังมีดอก มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ข้าพระองค์แสวงหา ต้นการเกตนั้นอยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก ในกาลนั้น ข้า พระองค์เห็นการเกตมีดอกบาน จึงตัดที่ขั้วแล้วบูชาแด่พระพุทธเจ้าพระ นามว่าสิขี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก ข้าแต่พระมหามุนีพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงบรรลุอมตบทอันไม่เคลื่อนด้วยพระญาณใด ข้าพระองค์บูชา พระญาณนั้น ข้าพระองค์ทำการบูชาพระญาณแล้ว ได้เห็นดอกการเกต ข้าพระองค์เป็นผู้ได้สัญญานั้น นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระญาณ ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ ข้าพระองค์บูชาพระพุทธญาณด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชา นั้น ข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลการบูชาพระญาณ ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๒ พระองค์ ทรงพระนามว่า พลุคคตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุทัสสนเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุทัสสนเถราปทาน
จันทนปูชกเถราปทานที่ ๓ (๑๓๓)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยแก่นจันทน์หอม
[๑๓๕] เวลานั้น เราเป็นกินนรอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา และเรามีดอกไม้เป็นภักษา เป็นผู้กินดอกไม้ ก็พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสี เชษฐบุรุษของ โลก ประเสริฐกว่านรชนเสด็จเหาะไปบนยอดป่า ดังพระยาหงส์ในอัมพร (เรากล่าวว่า) ขอความนอบน้อมจงมี แด่พระองค์บุรุษอาชาไนย จิตของ พระองค์บริสุทธิ์ดี พระองค์มีสีพระพักตร์ผ่องใส พระผู้มีพระภาคผู้มีพระ ปัญญาดังแผ่นดิน มีเมธาดี เสด็จลงจากอากาศทรงปูลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว ประทับนั่งโดยบัลลังก์ (ขัดสมาธิ) เราถือเอาแก่นจันทน์หอมไปในสำนัก พระชินเจ้า เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้บูชาแด่พระพุทธเจ้าถวาย บังคมพระสัมพุทธเจ้าเชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ยังความ ปราโมทย์ให้เกิดแล้ว บ่ายหน้ากลับไปทางทิศอุดร ในกัลปที่ ๑,๘๐๐ แต่ กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่ รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ใน ๑,๔๐๐ กัลป แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์ มีพระนามชื่อว่าโรหินี มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระจันทนปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จันทนปูชกเถราปทาน.
จบ ภาณวารที่ ๘.
ปุปผฉทนิยเถราปทานที่ ๔ (๑๓๔)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกไม้เป็นหลังคา
[๑๓๖] (เราเป็น) พราหมณ์มีนามชื่อว่าสุนันทะ ผู้รู้จบมนต์ เป็นผู้เล่าเรียน เป็นผู้ควรขอ ได้บูชายัญชื่อวาชเปยยะ ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคพระ นามว่าปทุมุตระผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้เลิศ เป็นพระฤาษีกอปรด้วยพระกรุณา ทรงเอ็นดูหมู่ชน เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้าผู้ เป็นนายกของโลก เสด็จจงกรมแล้ว ทรงแผ่เมตตาไปในบรรดาสัตว์หา ประมาณมิได้ ไม่มีอุปธิ พราหมณ์ผู้รู้จบมนต์เด็ดดอกไม้ที่ขั้วแล้ว ประชุม ศิษย์ทั้งหมด ให้ศิษย์ช่วยกันโยนดอกไม้ขึ้นไปในอากาศ ในกาลนั้น หลังคาดอกไม้ได้มีตลอดทั่วพระนครไม่หายไป (คงมีอยู่) ตลอด ๗ วัน ด้วยพุทธานุภาพ ด้วยกุศลมูลนั้น พราหมณ์ผู้รู้จบมนต์ได้เสวยสมบัติแล้ว กำหนดรู้อาสวะทั้งปวง ข้ามโลก ๓ และตัณหาได้แล้ว ในกัลปที่ ๑๑๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ ๓๔ พระองค์ มีพระนาม เหมือนกันว่าอัมพรังสะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปุปผฉทนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปุปผฉทนิยเถราปทาน.
รโหสัญญิกเถราปทานที่ ๕ (๑๓๕)
ว่าด้วยผลแห่งการสัญญาในการเลื่อมใส
[๑๓๗] ภูเขาชื่อวสภะ มีอยู่ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ที่เชิงเขาวสภะนั้น มีอาศรม ที่เราสร้างไว้ในกาลนั้น เราเป็นพราหมณ์บอกมนต์กะศิษย์ประมาณ ๓๐๐๐ เราสั่งสอนศิษย์เหล่านั้นแล้วเข้าอยู่ (ในที่สงัด) ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พราหมณ์ผู้รู้จบมนต์ นั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว แสวงหาเพศ พระพุทธเจ้ายังจิตให้เลื่อมใสในพระญาณ ครั้นเรายังจิตให้เลื่อมใสในพระ ญาณแล้ว นั่งคู้บัลลังก์อยู่บนเครื่องลาดหญ้า กระทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยสัญญานั้น เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระญาณ ในกัลปที่ ๒๗ แต่กัลป นี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราชทรงพระนามว่าสิรีธร ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระรโหสัญญิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ รโหสัญญิกเถราปทาน.
จัมปกปุปผิยเถราปทานที่ ๖ (๑๓๖)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกจำปา
[๑๓๘] เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเวสสภู ผู้โชติช่วงดังดอกกรรณิการ์ ประทับนั่งอยู่ที่ระหว่างภูเขา ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่างดังดาวประกายพฤกษ์ มีมาณพ ๓ คนเป็นผู้ศึกษาดีในศิลปของตน หาบสิ่งของเต็มหาบไปตั้งข้าง หลังเรา เราผู้มีตบะใส่ดอกจำปา ๗ ดอกไว้ในห่อ ถือดอกจำปาเหล่านั้น บูชา ในพระญาณของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเวสสภู ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธญาณด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่ รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระญาณ ในกัลปที่ ๒๙ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิมีพระนามว่าวิหตาภา ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประ- การ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระจัมปกปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จัมปกปุปผิยเถราปทาน.
อัตถสันทัสสกเถราปทานที่ ๗ (๑๓๗)
ว่าด้วยผลแห่งการชมเชยพระพุทธเจ้า ๓ คาถา
[๑๓๙] เรานั่งอยู่ในโรงอันกว้างใหญ่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ ผู้เป็นนายกของโลก ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ผู้บรรลุพลธรรมแวดล้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑ แสน ผู้บรรลุวิชชา ๓ ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก แวดล้อมพระสัมพุทธเจ้า ใครเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส ใน มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกไม่มีอะไรเปรียบ ในพระญาณของพระสัมพุทธ- เจ้าองค์ใด ใครได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระญาณไม่สิ้นสุด แล้ว จะไม่เลื่อมใสเล่า ชนทั้งหลายแสดงธรรมกาย และไม่อาจทำ รัตนากรทั้งสิ้นให้กำเริบได้ ใครได้เห็นแล้วจะไม่เลื่อมใสเล่า พราหมณ์ นารทะนั้นชมเชยพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระผู้ไม่แพ้ด้วย ๓ คาถา นี้แล้วเดินไปข้างหน้า ด้วยจิตอันเลื่อมใสและด้อยการชมเชยพระพุทธเจ้า นั้น เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ในกัลปที่ ๓๐๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์พระนามว่าสุมิตตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอัตถสันทัสสกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อัตถสันทัสสกเถราปทาน.
เอกรังสนิยเถราปทานที่ ๘ (๑๓๘)
ว่าด้วยผลแห่งการเลื่อมใสในการฟังธรรม
[๑๔๐] ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า เกสวะ โดยนามชื่อว่านารทะ เราแสวงหากุศล และอกุศลอยู่ ได้ไปสู่สำนักพระพุทธเจ้า พระมหามุนีพระนามว่าอัตถทัสสี ทรงมีจิตเมตตา ประกอบด้วยพระกรุณา พระองค์ผู้มีจักษุ เมื่อทรงปลอบ สัตว์ทั้งหลายให้เบาใจ ทรงแสดงธรรมอยู่ เรายังจิตของตนให้เลื่อมใส ประนมกรอัญชลีบนเศียรเกล้า ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว บ่ายหน้ากลับ ไปทางทิศประจิม ในกัลปที่ ๑๗๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราช เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระนามว่า อมิตตตปนะ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกรังสนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกรังสนิยเถราปทาน
สาลาทายกเถราปทานที่ ๙ (๑๓๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกรัง
[๑๔๑] เวลานั้น เราเป็นราชสีห์พระยาเนื้อมีสกุล เราแสวงหาห้วง (บ่อ) น้ำ บนเขา ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก จึงดำริว่า พระมหา- วีรเจ้าพระองค์นี้ ย่อมยังมหาชนให้ดับได้ ถ้าเช่นนั้น เราพึงเข้าไปเฝ้า พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าเทวดา ผู้องอาจกว่านระเถิด เราจึงหักกิ่งรังแล้ว แล้วนำเอาดอกมาพร้อมด้วยกระออมน้ำ (ใส่กระออมน้ำมา) เข้าไปเฝ้า พระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ถวายดอกรังอันงาม ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายดอกไม้ และในกัลปที่ ๙ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิ ๓ พระองค์ ทรงพระนามว่าวิโรจนะ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสาลทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สาลทายกเถราปทาน.
ผลทายกเถราปทานที่ ๑๐ (๑๔๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผลมะหาด
[๑๔๒] ในกาลนั้น เราเป็นพรานเที่ยวฆ่าสัตว์อื่นเป็นอย่างมาก สำเร็จการนอนอยู่ ที่เงื้อมเขา ไม่ไกลพระศาสดาพระนามว่าสิขี เราได้เห็นพระพุทธเจ้า อัครนายกของโลก ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า ก็เราไม่มีไทยธรรมสำหรับ ถวายแด่พระศาสดาผู้จอมสัตว์ ผู้คงที่ เราได้ถือเอาผลมะหาดไปสู่สำนัก พระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเชษฐบุรุษของโลกผู้ประเสริฐกว่านระทรงรับ ต่อแต่นั้น เราได้ถือผลมะหาดไปปวารณา พระองค์ผู้นำวิเศษ ด้วยจิต อันเลื่อมใสนั้น เราได้ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นเอง ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายผลมะหาดใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งการถวายผลไม้ ในกัลปที่ ๑๕ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์ ทรงพระนามว่ามาลภิ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี พลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระผลทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ผลทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. โสภิตเถราปทาน ๒. สุทัสสนเถราปทาน ๓. จันทนปูชกเถราปทาน ๔. ปุปผฉทนิยเถราปทาน ๕. รโหสันทัสสกเถราปทาน ๖. จัมปกปุปผิยเถราปทาน ๗. อัตถสันทัสสกเถราปทาน ๘. เอกรังสนิยเถราปทาน ๙. สาลทายกเถราปทาน ๑๐. ผลทายกเถราปทาน
บัณฑิตทั้งหลายรวมคาถาได้ ๗๒ คาถา ฉะนี้แล.
จบ โสภิตวรรคที่ ๑๔.
-----------------------------------------------------
ฉัตตวรรคที่ ๑๕
อธิฉัตติยเถราปทานที่ ๑ (๑๔๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยฉัตร
[๑๔๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้สูงสุดกว่านระ ปรินิพพานแล้ว เราให้ช่างทำฉัตรเป็นชั้นๆ บูชาไว้ที่พระสถูป ได้มานมัสการพระพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก ตามกาลอันสมควร (และ) ได้ทำหลังคาดอกไม้บูชา (ยกขึ้น) ไว้ที่ฉัตร ใน ๑๗๐๐ กัลป เราได้เสวยเทวรัชสมบัติ ไม่ไปสู่ ความเป็นมนุษย์เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านอธิฉัตติยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อธิฉัตติยเถราปทาน.
ถัมภาโรปกเถราปทานที่ ๒ (๑๔๒)
ว่าด้วยผลแห่งการยกเสาธง
[๑๔๔] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าธรรมทัสสี ผู้ประเสริฐกว่านระ นิพพานแล้ว เราได้ยกเสาธงขึ้นไว้ที่เจดีย์ แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ให้นายช่าง สร้างบันไดสำหรับประชาชน จะได้ขึ้นสู่สถูปอันประเสริฐ แล้วถือเอา ดอกมะลิไปโปรยบูชาที่พระสถูป โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ ความถึงพร้อมแห่งพระศาสดาหนอ เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง การบูชาพระสถูป ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ได้ มีพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑๖ พระองค์ ทรงพระนามว่า ถูปสิขะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระถัมภาโรปกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ถัมภาโรปกเถราปทาน
เวทิการกเถราปทานที่ ๓ (๑๔๓)
ว่าด้วยผลแห่งการกระทำที่บูชา
[๑๔๕] เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าปิยทัสสี ผู้สูงสุดกว่านระนิพพานแล้ว เรามี จิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้กระทำที่บูชาพระพุทธเจ้าแวดล้อมด้วยแก้วมณี แล้ว ได้กระทำการฉลองอย่างมโหฬาร ครั้นทำการฉลองที่บูชาแล้ว เรา ได้ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือ มนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เทวดาทั้งหลาย ย่อมทรงแก้วมณีไว้ในอากาศ นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม ในกัลปที่ ๑๖๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ราช ๓๒ พระองค์ ทรงพระนามว่ามณิปภา มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเวทิการกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เวทิการกเถราปทาน.
สปริวาริยเถราปทานที่ ๔ (๑๔๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายไพรทีไม้จันทน์
[๑๔๖] พระชินสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระเชษฐบุรุษของโลก ผู้ประเสริฐกว่า นระ รุ่งเรืองดังกองอัคคี ปรินิพพานแล้ว เมื่อพระมหาวีรเจ้านิพพานแล้ว ได้มีสถูปอันกว้างใหญ่ ชนทั้งหลาย เอาสิ่งของอันจะพึงถวายเข้าไปตั้งไว้ ที่สถูป ในห้องพระธาตุอันประเสริฐสุด ในกาลนั้น เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัสได้ทำไพรที่ไม้จันทน์อันหนึ่ง อันสมบูรณ์แก่สถูปและถวายธูป และของหอม ในภพที่เราเกิด คือ ในความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ เราไม่ เห็นความที่เราเป็นผู้ต่ำทรามเลย นี้เป็นผลแห่งบุญกรรมในกัลปที่ ๑๕๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ ทรงพระนามว่า สมัตตะ ทุกพระองค์ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสปริวาริยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สปริวาริยเถราปทาน.
อุมมาปุปผิยเถราปทานที่ ๕ (๑๔๕)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาดอกผักตบ
[๑๔๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ทรงเกื้อกูลแก่โลก สมควรรับ เครื่องรับบูชา นิพพานแล้ว ได้มีการฉลองพระสถูปอย่างมโหฬาร เมื่อ การฉลองพระสถูปแห่งพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้แสวงหา คุณอันยิ่งใหญ่เป็นไปอยู่ เราเอาดอกผักตบไปบูชาที่พระสถูป ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระสถูปด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูปด้วยดอกไม้ ในกัลปที่ ๙ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘๕ พระองค์ ทรงพระนามเหมือนกันว่า โสมเทวะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอุปมาปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุมมาปุปผิยเถราปทาน.
อนุโลมทายกเถราปทานที่ ๖ (๑๔๖)
ว่าด้วยผลแห่งการกระทำไพรทีโพธิพฤกษ์
[๑๔๘] เราได้ทำไพรทีที่โพธิพฤกษ์แห่งพระมุนีพระนามว่าอโนมทัสสี เราใส่ก้อน ปูนขาวแล้ว ได้ทำกรรมด้วยมือตนเอง พระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสี ผู้อุดมกว่านระ ทอดพระเนตรเห็นกุศลกรรมที่เราทำแล้วนั้น ประทับอยู่ ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ด้วยกรรม คือ การใส่ปูน ขาวนี้ และด้วยการตั้งเจตนาไว้ ผู้นี้จะได้เสวยสมบัติแล้ว จักทำที่สุด ทุกข์ได้ เราเป็นผู้มีสีหน้าผ่องใส มีอารมณ์เดียว มีจิตมั่นคง ทรงกาย ที่สุดไว้ในพระศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๑๐๐ แต่กัลป นี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชพระนามว่าสัมปัสสนะ บริบูรณ์ ไม่ บกพร่อง มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอนุโลมทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อนุโลมทายกเถราปทาน.
มรรคทายกเถราปทานที่ ๗ (๑๔๗)
ว่าด้วยผลแห่งการกระทำหนทาง
[๑๔๙] พระสัมพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุเสด็จขึ้นสู่ท่าน้ำแล้ว เสด็จดำเนินไปสู่ป่า เรา ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ มีพระลักษณะอันประเสริฐ พระองค์นั้น จึงได้ถือเอาจอบและปุ้งกี๋มาปราบหนทางให้ราบเรียบ เราได้ บังคมพระศาสดาแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใส ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เรา ได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย ในกัลปที่ ๕๗ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมประชาชนพระองค์หนึ่ง มี พระนามว่าสุปปพุทธะ เป็นผู้นำ เป็นใหญ่กว่านระ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านมรรคทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มรรคทายกเถราปทาน.
ผลกทายกเถราปทานที่ ๘ (๑๔๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายแผ่นกระดาน
[๑๕๐] เราเป็นนายช่างทำยานอยู่ในเมือง เป็นผู้ศึกษาดีในกรรมของช่างไม้ เราได้ ทำแผ่นกระดานด้วยไม้จันทน์ ถวายแด่พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของ โลก วิมานอันบุญกรรมนิรมิตดีแล้วด้วยทองคำนี้ ย่อมสว่างไสว ยาน ช้าง ยานม้า อันเป็นยานทิพย์ ปรากฏแก่เรา ปราสาทและวอ และ แก้วอันประมาณมิได้ ย่อมบังเกิดแก่เราตามปรารถนา นี้เป็นผลแห่งการ ถวายแผ่นกระดาน ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายแผ่นกระดานใด ด้วยการถวายแผ่นกระดานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวาย แผ่นกระดานในกัลปที่ ๕๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ทรงพระนามว่าภวนิมมิตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระผลทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ผลกทายกเถราปทาน.
วฏังสกิยเถราปทานที่ ๙ (๑๔๙)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยพวงมาลัย
[๑๕๑] พระสยัมภูผู้ไม่พ่ายแพ้ มีพระนามชื่อว่าสุเมธ เมื่อทรงพอกพูนวิเวก จึง เสด็จเข้าป่าใหญ่ เราเห็นดอกไม้ช้างน้าวกำลังบาน จึงเอามาร้อยเป็นพวง มาลัย บูชาแด่พระพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลกเฉพาะพระพักตร์ ใน กัลปที่ ๓ หมื่น แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วย การบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๙๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ ทรงพระนามว่านิมมิตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระวฏังสกิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ วฏังสกิยเถราปทาน.
ปัลลังกทายกเถราปทานที่ ๑๐ (๑๕๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายบัลลังก์
[๑๕๒] ก็เราได้ถวายบัลลังก์พร้อมทั้งผ้าสำหรับปิดเบื้องบน (เพดาน) แด่พระผู้มี พระภาคพระนามว่าสุเมธ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ ในกาลนั้น บัลลังก์ นั้น ได้เป็นบัลลังก์ประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ รู้ความดำริของเรา ย่อมเกิดขึ้นแก่เราทุกเมื่อ ใน ๓ หมื่นกัลปแต่กัลปนี้ เราได้ถวายบัลลังก์ ใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลการถวาย บัลลังก์ ในกัลปที่ ๒ หมื่น แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์ ทรงพระนามว่าสุวรรณภา ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัลลังกทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัลลังกทายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อธิฉัตติยเถราปทาน ๒. ถัมภาโรปกเถราปทาน ๓. เวทิการกเถราปทาน ๔. สปริวาริยเถราปทาน ๕. อุมมาปุปผิยเถราปทาน ๖. อนุโลมทายกเถราปทาน ๗. มรรคทายกเถราปทาน ๘. ผลกทายกเถราปทาน ๙. วฏังสกิยเถราปทาน ๑๐. ปัลลังกทายกเถราปทาน
บัณฑิตประกาศคาถา ๕๖ คาถา.
จบ ฉัตตวรรคที่ ๑๕.
-----------------------------------------------------
พันธุชีวกวรรคที่ ๑๖
พันธุชีวกเถราปทานที่ ๑ (๑๕๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยพวงมาลัยดอกชบา
[๑๕๓] เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี ผู้ปราศจากมลทินบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวดังพระจันทร์ มีความเพลิดเพลินและภพสิ้นแล้ว ทรงข้ามตัณหา ในโลกแล้ว ผู้ยังหมู่ชนให้ดับ ทรงข้ามเองแล้วยังหมู่ชนให้ข้าม เป็นมุนี เพ่งฌานอยู่ในป่า มีจิตเป็นอารมณ์เดียวตั้งมั่นด้วยดี เราร้อยดอกชบา หลายดอกไว้ในเส้นด้ายแล้ว บูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขีผู้เป็นเผ่า พันธุ์ของโลก ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมในกาลนั้น ด้วยกรรม นั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๗ แต่กัลปนี้ เรา ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่าสมันตจักษุ เป็นจอมมนุษย์ มีบริวาร มาก มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระพันธุชีวกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ พันธุชีวกเถราปทาน.
ตัมพปุปผิยเถราปทานที่ ๒ (๑๕๒)
ว่าด้วยผลแห่งการทำความสะอาดต้นโพธิ์
[๑๕๔] เราเป็นผู้ประกอบในการทำกรรมของบุคคลอื่น ได้ทำความผิดเพียบพร้อม ด้วยภัยและเวร จึงวิ่งหนีไปตามชายป่า ได้เห็นต้นไม้มีดอกเป็นกลุ่มก้อน บานสะพรั่ง จึงถือเอาดอกมันแดงไปเกลี่ยลงที่โพธิฤกษ์ ได้กวาดไม้แค ฝอย อันเป็นไม้โพธิ์อันอุดมนั้นแล้ว เข้าไปนั่งคู้บัลลังก์ (ขัดสมาธิ) ที่ โคนโพธิ์ ชนทั้งหลายแสวงหาทางไปอยู่ ได้มาสู่ที่ใกล้เรา และเราเห็นชน เหล่านั้น ณ ที่นั้นแล้ว คำนึงถึงโพธิพฤกษ์อันอุดมและเรามีใจผ่องใส ไหว้โพธิพฤกษ์แล้ว ตกลงในเหวที่น่ากลัวอันลึกหลายชั่วลำตาล ในกัลป ที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาโพธิพฤกษ์ด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาโพธิพฤกษ์ และในกัลปที่ ๓ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่าสัมมสิตะ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระตัมพปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ตัมพปุปผิยเถราปทาน.
วีถิสัมมัชชกเถราปทานที่ ๓ (๑๕๓)
ว่าด้วยผลแห่งการกวาดถนนยกธง
[๑๕๕] เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้นำของโลก เป็นจอมสัตว์ประเสริฐกว่านระ มี พระรัศมีเปล่งปลั่งดังพระอาทิตย์อุทัยเหลืองอร่ามเหมือนพระจันทร์ เสด็จ ดำเนินไปเหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ ภิกษุสงฆ์ ๖๘๐๐๐ ล้วนเป็นพระ ขีณาสพแวดล้อม เราจึงกวาดถนนนั้น ในเมื่อพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก เสด็จไป ได้ยกธงขึ้นที่ถนนนั้น ด้วยจิตอันเลื่อมใส ในกัลปที่ ๙๑ แต่ กัลปนี้ เราได้ยกธงใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ ถวายธงในกัลปที่ ๔ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระราชามีพลมาก สมบูรณ์ ด้วยอาการทั้งปวง ปรากฏชื่อว่าสุธชะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระวีถิสัมมัชชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ วีถิสัมมัชชกเถราปทาน.
กักการุปูชกเถราปทานที่ ๔ (๑๕๔)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกฟักทิพย์
[๑๕๖] เราเป็นเทพบุตร ได้บูชาพระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกพระนามว่าสิขี ได้ถือ เอาดอกฟักทิพย์ไปบูชาแด่พระพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้ เป็นผลแห่งพุทธบูชา และในกัลปที่ ๙ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราช มีพระนามว่าสัตตุตตมะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกักการุปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
จบ กักการุปูชกเถราปทาน.
มันทารวปุปผปูชกเถราปทานที่ ๕ (๑๕๕)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกมนทาวัน
[๑๕๗] เราเป็นเทพบุตร ได้บูชาพระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกพระนามว่าสิขี ได้บูชา แด่พระพุทธเจ้าด้วยดอกมนทารพ พวงมาลัยทิพย์เป็นหลังคาบังร่มในพระ ตถาคตตลอด ๗ วัน ชนทั้งปวงมาประชุมกันนมัสการพระตถาคต ใน กัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการ บูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๐ แต่ กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่าชุตินธระ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมันทารวปุปผปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มันทารวปุปผปูชกเถราปทาน.
กทัมพปุปผิยเถราปทานที่ ๖ (๑๕๖)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกกระทุ่ม
[๑๕๘] มีภูเขาชื่อกุกกุฏะอยู่ในที่ไม่ไกลแต่ภูเขาหิมวันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์อยู่ใกล้เชิงภูเขานั้น เราเห็นต้นกระทุ่มมีดอกบาน ดังพระจันทร์ขึ้นไป บนท้องฟ้า จึงประคองด้วยมือทั้งสอง บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๗ องค์ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระปัจเจก พุทธเจ้า ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ ทรงพระนามว่าปุปผะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกทัมพปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กทัมพปุปผิยเถราปทาน.
ติณสูลกเถราปทานที่ ๗ (๑๕๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกมะลิซ้อน
[๑๕๙] มีภูเขาชื่อภูตคณะอยู่ในที่ไม่ไกลแต่ภูเขาหิมวันต์ พระชินปัจเจกพุทธเจ้า องค์หนึ่ง สละโลกแล้วมาอยู่ ณ ภูเขานั้น เราถือเอาดอกมะลิซ้อนไปบูชา แด่พระพุทธเจ้า เราไม่ตกลงในจตุราบายตลอด ๙ หมื่นกัลป (แสนกัลป หย่อนหนึ่ง) ในกัลปที่ ๑๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์หนึ่ง มีพระนามว่าธรณีรุหะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพล มาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติณสูลกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติณสูลกเถราปทาน.
นาคปุปผิยเถราปทานที่ ๘ (๑๕๘)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกสารภีที่ทางเสด็จ
[๑๖๐] (เราเป็น) พราหมณ์มีนามชื่อว่าสุวัจฉะ เป็นผู้รู้จบมนต์แวดล้อมด้วยพวก ศิษย์ของตน อยู่ ณ ระหว่างภูเขา พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ผู้ สมควรรับเครื่องบูชาพระองค์ทรงประสงค์จะรื้อถอน (ช่วยเหลือ) เรา จึงเสด็จมายังสำนักเรา เสด็จจงกรมอยู่บนเวหาส เหมือนประทีปอันโพลง ฉะนั้น ทรงทราบว่าเรายินดีแล้ว บ่ายพระพักตร์กลับไปทางทิศประจิม ก็เราได้เห็นความอัศจรรย์อันไม่เคยมี ขนพองสยองเกล้านั้นแล้ว ได้เก็บ เอาดอกสารภีไปโปรยลงที่ทางเสด็จไป ในกัลปที่แสนแต่กัลปนี้ เราโปรย ดอกไม้ใดด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราไม่เข้าถึงทุคติเลย ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช มีพระนามว่ามหารถะ สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล. ทราบว่า ท่านพระนาคปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นาคปุปผิยเถราปทาน.
ปุนนาคปุปผิยเถราปทานที่ ๙ (๑๕๙)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกบุนนาค
[๑๖๑] เราเป็นนายพรานเข้าไปสู่ป่าใหญ่ ได้เห็นดอกบุนนาคกำลังบาน จึงระลึก ถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ได้เก็บเอาดอกบุนนาคนั้นอันมีกลิ่นหอม ตลบอบอวลแล้ว ได้ก่อสถูปที่กองทรายบูชาแด่พระพุทธเจ้า ในกัลป ที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เรา ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง มีนามว่าตโมนุทะ สมบูรณ์ด้วย แก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปุนนาคปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปุนนาคปุปผิยเถราปทาน.
กุมุททายกเถราปทานที่ ๑๐ (๑๖๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกบัวโกมุท
[๑๖๒] ณ ที่ใกล้ภูเขาหิมวันต์ มีสระใหญ่สระหนึ่ง (สระธรรมชาติ) ดาดาษด้วย ดอกปทุม (บัวหลวง) และดอกอุบล (บัวเขียว) สะพรั่งด้วยดอกปุณ ฑริก (บัวขาว) ในกาลนั้น เราเป็นนกมีนามชื่อว่ากุกกุฏะ อาศัยอยู่ ใกล้สระนั้น เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ด้วยวัตร ฉลาดในบุญและมิใช่บุญ พระ มหามุนีพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควรรับเครื่องบูชา เสด็จ สัญจรไปในที่ไม่ไกลสระนั้น เราหักดอกบัวโกมุทน้อมถวายแด่พระองค์ พระองค์ทรงทราบความดำริของเราแล้วทรงรับไว้ ครั้นเราถวายทานแล้ว และอันกุศลมูลตักเตือน เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ในกัลป ที่ ๑๖๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ พระเจ้าจักรพรรดิ เหล่านี้มีพระนามว่าวรุณ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกุมุททายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กุมุททายกเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. พันธุชีวกเถราปทาน ๒. ตัมพปุปผิยเถราปทาน ๓. วีถิสัมมัชชกเถราปทาน ๔. กักการุปูชกเถราปทาน ๕. มันทาวรปุปผปูชกเถราปทาน ๖. กทัมพปุปผิยเถราปทาน ๗. ติณสูลกเถราปทาน ๘. นาคปุปผิยเถราปทาน ๙. ปุนนาคปุปผิยเถราปทาน ๑๐. กุมุททายกเถราปทาน
บัณฑิตกล่าวคาถาไว้ ๕๖ คาถา.
จบ พันธุชีวกวรรคที่ ๑๖.
-----------------------------------------------------
สุปาริจริยวรรคที่ ๑๗
สุปาริจริยเถราปทานที่ ๑ (๑๖๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบำรุงพระศาสดา
[๑๖๓] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นจอมสัตว์ ประเสริฐกว่านระ มีพระนามว่าปทุม ผู้ มีพระจักษุ เสด็จออกจากป่าใหญ่แล้ว ทรงแสดงธรรมอยู่ ในขณะนั้น ได้มีการประชุมแห่งเทวดาทั้งหลาย ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค เทวดา ทั้งหลายมาประชุมกันด้วยกิจบางอย่าง ได้เห็นอย่างแจ้งชัด เราได้ทราบ (ได้ยิน) พระสุรเสียงที่ทรงแสดงอมฤตธรรมของพระพุทธเจ้า มีจิต เลื่อมใสมีใจโสมนัส ปรบมือแล้วเข้าไปบำรุง เราเห็นผลแห่งการบำรุง พระศาสดาที่ประพฤติด้วยดี ใน ๓๐,๐๐๐ กัลป เราไม่เข้าถึงทุคติเลย ใน กัลปที่ ๒,๙๐๐ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่าสมลังกตะ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณสมบัติเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสุปาริจริยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สุปาริจริยเถราปทาน.
กณเวรปุปผิยเถราปทานที่ ๒ (๑๖๒)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกชบาถวาย
[๑๖๔] พระผู้มีพระภาค พระนามว่า สิทธัตถะเชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่า นระ แวดล้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย เสด็จดำเนินไปสู่พระนคร เรา เป็นผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุ้มครองในภายในพระราชวัง เราเข้าไปใน ปราสาท ได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก จึงถือ (เก็บ) เอาดอกชบา ไปโปรยลงในภิกษุสงฆ์ แยกพระพุทธเจ้าไว้แผนกหนึ่ง โปรยดอกชบาลง บูชายิ่งกว่านั้น ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอก ไม้ใด ด้วยการบูชานั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลป ที่ ๘๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ทรงพระนามว่ามหิทธิกะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกณเวรปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กณเวรปุปผิยเถราปทาน
ขัชชทายกเถราปทานที่ ๓ (๑๖๓)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายมะพร้าว
[๑๖๕] ในปางก่อน เราได้ถวายผลไม้แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าติสสะ และ ได้ถวายผลมะพร้าวที่สมมติกันว่าควรเคี้ยว ครั้นถวายผลมะพร้าวนั้นแด่พระ พุทธเจ้า พระนามว่าติสสะ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวงแล้ว ย่อมบันเทิง มีความประสงค์สิ่งที่ต้องการก็เข้าถึง (ได้) ตามปรารถนา ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักร- พรรดิราช มีพระนามว่าอินทสมะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี พลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ ทราบว่า ท่านพระขัชชทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ขัชชทายกเถราปทาน.
เทสปูชกเถราปทานที่ ๔ (๑๖๔)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาสถานที่
[๑๖๖] ก็พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสี เชษฐบุรุษของโลก ผู้ประเสริฐกว่า นระ เสด็จขึ้นสู่เวหาส เสด็จไปในอากาศ พระศาสดามหามุนี เหาะขึ้น ไปประทับอยู่ ณ ประเทศใด เรามีจิตเลื่อมใสได้บูชาประเทศนั้น ด้วยมือ ทั้งสองของตน ในกัลปที่ ๑๘๐๐ แต่กัลปนี้ เราได้เห็นพระมหามุนีใด ด้วยการเห็นนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาประเทศ ใน กัลปที่ ๑๑๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า โคสุชาต ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเทสปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เทสปูชกเถราปทาน
กณิการฉทนิยเถราปทานที่ ๕ (๑๖๕)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยร่มดอกกรรณิการ์
[๑๖๗] พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู เชษฐบุรุษของโลก ผู้ประเสริฐกว่า นระ เป็นมุนี เสด็จเข้าป่าใหญ่เพื่อทรงพักกลางวัน เวลานั้น เราเก็บ เอาดอกกรรณิการ์มาทำเป็นร่ม ได้ทำหลังคา (เพดาน) ดอกไม้บูชาแด่ พระพุทธเจ้าในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๒๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ ๘ พระองค์ ทรงพระนาม ว่าโสณณาภา ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกณิการฉทนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กณิการฉทนิยเถราปทาน.
สัปปิทายกเถราปทานที่ ๖ (๑๖๖)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเนยใส
[๑๖๘] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าผุสสะ ผู้สมควรรับเครื่องบูชาผู้ประเสริฐ ทรง ยังมหาชนให้ดับ เสด็จดำเนินไปตามถนน พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง สำนักของเราโดยลำดับ ลำดับนั้น เรารับบาตรแล้ว ได้ถวายเนยใส และน้ำมัน ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายเนยใสใดในกาลนั้น ด้วยการถวายเนยใสนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายเนย ใส ในกัลปที่ ๕๖ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง พระนามว่าสโมทกะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสัปปิทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สัปปิทายกเถราปทาน.
ยุธิกปุปผิยเถราปทานที่ ๗ (๑๖๗)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกเข็ม
[๑๖๙] เราเที่ยวไปตามกระแสน้ำ ใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ณ ที่นั้น เราได้เห็น พระสยัมภูผู้ดังพระยาไม้รังกำลังมีดอกบาน เราจึงถือเอาดอกเข็มเข้าไปเฝ้า พระมหามุนี เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้บูชาแด่พระพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการ บูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๖๗ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สามุทธระ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิ- สัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระยุธิกพุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ยุธิกปุปผิยเถราปทาน.
ทุสสทายกเถราปทานที่ ๘ (๑๖๘)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผ้า
[๑๗๐] ในกาลนั้น เราเป็นพระราชโอรสอยู่ในพระนครอันรื่นรมย์ ชื่อติวรา เราได้ผ้าอันเป็นเครื่องบรรณาการแล้ว ได้ถวายแด่พระผู้มีพระภาคผู้สงบ ระงับ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า สิทธัตถะทรงรับแล้ว ทรงลูบคลำผ้า ด้วยพระหัตถ์ ครั้นทรงรับแล้ว เสด็จเหาะขึ้นสู่นภากาศ เมื่อพระผู้มี พระภาคเสด็จไป ผ้าตามไปเบื้องหลังพระปฤษฎางค์ เรายังจิตให้เลื่อมใส ในพระองค์ว่า พระพุทธเจ้าเป็นอัครบุคคลหนอ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายผ้าใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผ้านั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้า ในกัลปที่ ๖๗ แต่กัลปนี้ ในกาลนั้น ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นจอมมนุษย์ มีพระนามว่าบริสุทธิ์ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระทุสสทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ทุสสทายกเถราปทาน.
สมาทปกเถราปทานที่ ๙ (๑๖๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเรือนยอด
[๑๗๑] ได้มีการประชุมอุบาสกเป็นอันมากในพระนครพันธุมดี เราเป็นหัวหน้า ของอุบาสกเหล่านั้น อุบาสกเหล่านั้นประพฤติตามปรารถนาของเรา เรา ประชุมอุบาสกทั้งหมดนั้น แล้วชักชวนในการทำบุญว่า เราทั้งหลายจัก ทำเรือนยอดเดียว (ศาลา) ถวายแก่สงฆ์ผู้เป็นบุญเขตอันสูงสุด เขา เหล่านั้นรับคำแล้ว ได้กระทำไปตามอำนาจความพอใจของเรา เราทั้งหลาย ช่วยกันสร้างเรือนยอดเดียวนั้นสำเร็จแล้ว ได้ถวายแด่พระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสี ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายเรือนยอดเดียวใด ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวาย เรือนยอดเดียว ในกัลปที่ ๕๙ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็น จอมชนพระองค์หนึ่ง มีพระนามชื่อว่าอเวละ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้ง ชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสมาทปกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สมาทปกเถราปทาน.
ปัญจังคุลิยเถราปทานที่ ๑๐ (๑๗๐)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยของหอม
[๑๗๒] เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคมหามุนี พระนามว่าติสสะ ผู้เป็นนาถะของ โลก ประเสริฐกว่านระกำลังเสด็จเข้าพระคันธกุฎี อันเป็นพระวิหารสวย งาม จึงถือเอาของหอมและพวงดอกไม้ไปสู่สำนักพระชินเจ้า และเราเป็น ผู้มีศรัทธาน้อยในพระสัมพุทธเจ้า ได้ถวายบังคม ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยของหอมใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายบังคม ในกัลปที่ ๗๒ แต่กัลปนี้ เราได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่าสยัมปกะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มี พลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัญจังคุลิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัญจังคุลิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สุปาริจริยเถราปทาน ๒. กณเวรปุปผิยเถราปทาน ๓. ขัชชทายกเถราปทาน ๔. เทสปูชกเถราปทาน ๕. กณิการฉทนิยเถราปทาน ๖. สัปปิทายกเถราปทาน ๗. ยุธิกปุปผิยเถราปทาน ๘. ทุสสทายกเถราปทาน ๙. สมาทปกเถราปทาน ๑๐. ปัญจังคุลิยเถราปทาน
มีคาถา ๕๔ คาถา ฉะนี้แล.
จบ สุปาริจริยวรรคที่ ๑๗
-----------------------------------------------------
กุมุทวรรคที่ ๑๘
กุมุทมาลิยเถราปทานที่ ๑ (๑๗๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกบัวโกมุท
[๑๗๓] ณ ที่ใกล้ภูเขาหิมวันต์ มีสระใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง (ตามธรรมชาติ) เราเป็น ผีเสื้อน้ำที่ดุร้าย มีกำลังมาก อยู่ในสระใหญ่นั้น ดอกโกมุทอันบานโต ประมาณเท่าจักร เกิดอยู่ในสระใหญ่นั้น และในกาลนั้น เราเก็บดอก โกมุท (ที่มีเมล็ดไว้) อันเป็นที่ประชุมแห่งเมล็ดไว้ ก็พระผู้มีพระภาค พระนามว่าอัตถทัสสี ผู้จอมสัตว์ ประเสริฐกว่านระ ทรงเห็นดอกโกมุท อันหดหู่ (งอ) จึงเสด็จมาในสำนักของเรา เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์เสด็จเข้ามา จึงหยิบดอกโกมุททั้งหมดบูชา (ถวาย) แด่พระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ดอกไม้ที่ภูเขาหิมวันต์มีอยู่เท่าใด พระตถาคตประกอบด้วยดอกไม้เท่านั้นเป็นหลังคาบังร่มเสด็จไป ในกัลปที่ ๑๘๐๐ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๕ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นจอมชน ทรงพระนามว่า สหัสสรถะ มีพล มาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกุมุทมาลิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กุมุทมาลิยเถราปทาน.
นิสเสณีทายกเถราปทานที่ ๒ (๑๗๒)
ว่าด้วยผลแห่งการสร้างบันได
[๑๗๔] เราได้สร้างบันไดสำหรับเสด็จขึ้นปราสาทถวาย แด่พระผู้มีพระภาคพระ- นามว่าโกณฑัญญะ ผู้เป็นนาถะของโลก ผู้คงที่ ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราได้เสวยสมบัติแล้ว ทรงกายอันเป็นที่สุดไว้ในพระพุทธศาสนา ของ สัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัลปที่ ๓๑,๐๐๐ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิราช ๓ พระองค์ ทรงพระนามว่าสัมพหุละ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระนิสเสณีทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ นิสเสณีทายกเถราปทาน.
รัตติยปุปผิยเถราปทานที่ ๓ (๑๗๓)
ว่าด้วยผลการถวายดอกอัญชัญ
[๑๗๕] ในกาลก่อน เราเป็นนายพรานเนื้ออยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นพระพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ เราเห็นต้นอัญชัญ เขียวที่ขึ้นอยู่บนแผ่นดิน มีดอกบานอยู่กลางคืน จึงถอนขึ้นพร้อมทั้งราก น้อมเข้าไปถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ ในกัลปที่ ๙๑ แต่ กัลปนี้ เราได้ถวายดอกไม้ใด ด้วยการถวายดอกไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติ เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายดอกไม้ และในกัลปที่ ๘ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่าสุปปสันนะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณสมบัติเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระรัตติยปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ รัตติยปุปผิยเถราปทาน.
อุทปานทายกเถราปทานที่ ๔ (๑๗๔)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายบ่อน้ำ
[๑๗๖] เราได้ทำ (ขุด) บ่อน้ำถวายแด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่า วิปัสสี และ ในกาลนั้น เราได้ถือเอาบิณฑบาตไปมอบถวาย ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งการถวายบ่อน้ำ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอุทปานทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อุทปานทายกเถราปทาน.
สีหาสนทายกเถราปทานที่ ๕ (๑๗๕)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาของหอม
[๑๗๗] เมื่อพระโลกนาถผู้เป็นนายกพระนามว่าปทุมุตระ เสด็จนิพพานแล้ว เรา มีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้ถวายอาสนะทอง และได้บูชาด้วยของหอม และดอกไม้เป็นอันมาก ด้วยคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงนำสุขในปรโลก มาให้ ชนเป็นอันมากทำการบูชาในพระองค์แล้ว ย่อมดับ (เย็นใจ) เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ไหว้โพธิพฤกษ์อันอุดมแล้ว ไม่ได้เข้าถึง ทุคติเลย ตลอดแสนกัลป ในกัลปที่ ๑๕๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิ ๘ พระองค์ พระเจ้าจักรพรรดิราชเหล่านั้น ทรงพระนาม เหมือนกันว่า สิลุจจยะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสีหาสนทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล
จบ สีหาสนทายกเถราปทาน.
มัคคทัตติกเถราปทานที่ ๖ (๑๗๖)
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกไม้
[๑๗๘] พระผู้มีพระภาคพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้จอมสัตว์ประเสริฐกว่านระ เสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง เพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบัน เมื่อพระผู้มีพระภาค ยกพระบาทขึ้น ดอกไม้ตั้งอยู่บนพระเศียรแห่งพระพุทธเจ้าผู้งาม เรามีจิต เลื่อมใส มีใจโสมนัส ถวายบังคมแล้วโปรยดอกไม้ในกัลปที่ ๒ หมื่น แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๕ พระองค์ทรงพระนามว่า ปุปผฉทนิยะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระมัคคทัตติกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ มัคคคทัตติกเถราปทาน
เอกทีปิยเถราปทานที่ ๗ (๑๗๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายประทีป
[๑๗๙] เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้ถวายประทีปดวงหนึ่งไว้ที่ไม้สนอันเป็น โพธิพฤกษ์อันอุดม ของพระมุนีพระนามว่าปทุมุตระ ในภพที่เกิด เมื่อ การสั่งสมบุญเกิดแล้ว เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป ในกัลปที่ ๑๖๐๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ทรง พระนามว่าจันทาภา มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกทีปิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกทีปิยเถราปทาน.
มณิปูชกเถราปทานที่ ๘ (๑๗๘)
ว่าด้วยผลแห่งพุทธบูชา
[๑๘๐] แม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านไปภายในภูเขาหิมวันต์ ในกาลนั้น พระสยัมภูพุทธ- เจ้าประทับอยู่ในเขตใกล้แม่น้ำนั้น เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้เอา บัลลังก์แก้วอันวิจิตรด้วยดี เป็นที่รื่นรมย์ใจ ไปบูชาแด่พระพุทธเจ้า ใน กัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาบัลลังก์แก้วใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่ รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา และในกัลปที่ ๑๒ แต่กัลปนี้ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิราช ๘ พระองค์ ทรงพระนามเหมือนกันว่าสตรังสี มีพล มาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า พระมณิปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบมณิปูชกเถราปทาน.
ติกิจฉกเถราปทานที่ ๙ (๑๗๙)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายยา
[๑๘๑] เราเป็นหมอผู้ศึกษาดี อยู่ในนครพันธุมดี เป็นผู้นำสุขมาให้แก่มหาชน ผู้ได้รับความทุกข์เดือดร้อน (กระสับกระส่าย) ในกาลนั้น เราเห็นพระ สมณะผู้มีศีล ผู้รุ่งเรืองใหญ่ ป่วยไข้ มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ถวาย ยาบำบัดไข้ พระสมณะผู้สำรวมอินทรีย์อุปัฏฐากของพระวิปัสสีสัมมาสัม- พุทธเจ้า มีนามชื่อว่าพระอโสก หายจากโรคด้วยยานั้นแล ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายยาใด ด้วยการถวายยานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายยา และในกัลปที่ ๘ แต่ภัทรกัลปนี้ เราได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก พระนามว่า สัพโพสถ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติกิจฉกเถระได้กล่าวคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติกิจฉกเถราปทาน.
สังฆุปัฏฐากเถราปทานที่ ๑๐ (๑๘๐)
ว่าด้วยผลแห่งการอุปัฏฐาก
[๑๘๒] เราเป็นคนรักษาอาราม ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสี เรามีจิต เลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้อุปัฏฐากพระสงฆ์ผู้อุดม ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งอุปัฏฐาก ในกัลปที่ ๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก พระนามว่าสโมตถกะ คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระสังฆุปัฏฐากเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบสังฆุปัฏฐากเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุมุทมาลิยเถราปทาน ๒. นิสเสณีทายกเถราปทาน ๓. รัตติยปุปผิยเถราปทาน ๔. อุทปานทายกเถราปทาน ๕. สีหาสนทายกเถราปทาน ๖. มัคคทัตติกเถราปทาน ๗. เอกทีปิยเถราปทาน ๘. มณิปูชกเถราปทาน ๙. ติกิจฉกเถราปทาน ๑๐. สังฆุปัฏฐากเถราปทาน
มีคาถา ๔๙ คาถา ฉะนี้แล
จบกุมุทวรรคที่ ๑๘.
-----------------------------------------------------
กุฏปุปผิยวรรคที่ ๑๙
กุฏชปุปผิยเถราปทานที่ ๑ (๑๘๑)
ว่าด้วยผลแห่งพุทธบูชา
[๑๘๓] เราเห็นพระผุสสสัมพุทธเจ้าผู้มีรัศมีเปล่งปลั่งดังทองคำ สว่างไสวไปทั่วทิศ ดังพระอาทิตย์ผู้อุดม เสด็จไปในอากาศ จึงเลือกเก็บดอกโมกหลวงที่บาน ทั้งดอกใหญ่และเล็ก เอามาจากต้น มาบูชาแด่พระองค์ เพราะเราเอาดอกไม้ บูชาในกัลปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัลปนี้ เราจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง พุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์ พระนามว่าปุปผิตะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัด แล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกุฏชปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบกุฏชปุปผิยเถราปทาน.
พันธุชีวกเถราปทานที่ ๒ (๑๘๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกชบา
[๑๘๔] พระสยัมภูสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ ผู้อันสัตบุรุษ สรรเสริญ พระองค์ ประทับนั่งเข้าสมาธิอยู่ ณ ระหว่างภูเขา เราแสวงหาดอกบัวอย่างดีอยู่ในสระ ได้เห็นดอกชบาอยู่ในที่ใกล้ เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส เอามือทั้งสอง ประคองเข้าไปเฝ้าพระโสภิตมหามุนี แล้วบูชาแด่พระองค์ เพราะเราได้เอา ดอกไม้บูชา ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง พุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๔ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง ผู้เป็นจอมคน มีพลมาก พระนามว่าสมุทรกัปปะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธ- ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระพันธุชีวกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ พันธุชีวกเถราปทาน.
โกตุมพริยเถราปทานที่ ๓ (๑๘๓)
ว่าด้วยผลแห่งพุทธบูชา
[๑๘๕] เรามีจิตร่าเริงยินดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้อุดมกว่านรชน ซึ่งประทับนั่ง อยู่ ณ ระหว่างภูเขา โชติช่วงดังดอกกรรณิการ์ มีพระคุณประมาณมิได้ เหมือนทะเล เฟื่องฟูดุจแผ่นดิน อันหมู่เทวดาห้อมล้อม ประหนึ่งจะเข้า ไปขอแบ่งสิ่งของ เราถือดอกไม้ ๗ ดอกและผ้าขนสัตว์อย่างดี เข้าไปบูชา แด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งโลก เพราะเราได้เอา ดอกไม้บูชาในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง พุทธบูชา ในกัลปที่ ๒๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง มีนามว่ามหาเนละ มีเดชมาก มีกำลังมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัม- ภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโกตุมพริยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โกตุมพริยเถราปทาน.
ปัญจหัตถิยเถราปทานที่ ๔ (๑๘๔)
ว่าด้วยผลแห่งพุทธบูชา
[๑๘๖] พระผู้มีพระภาคเชษฐบุรุษของโลก ผู้ประเสริฐกว่านรชน พระนามว่าติสสะ แวดล้อมด้วยพระสาวก เสด็จดำเนินอยู่ในถนน เราเป็นบุตรเพื่อความ สำเร็จประโยชน์ ถือดอกอุบล ๕ ดอกยืนอยู่ที่ทางสี่แยก ประสงค์จะให้ เครื่องบูชาอันพระพุทธรัศมีถูกต้องแล้ว ได้บูชาพระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่า สัตว์ มีพระรัศมีดังทองคำ กำลังเสด็จดำเนินอยู่ระหว่างตลาด เพราะเรา เอาดอกไม้บูชาในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๑๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๕ พระองค์ พระนามว่าสุลภสมมต ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำลังมาก คุณ วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้ แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระปัญจหัตถิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ปัญจหัตถิยเถราปทาน.
อิสิมุคคทายกเถราปทานที่ ๕ (๑๘๕)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง
[๑๘๗] เราแม้จะอยู่ในปราสาท ก็นิมนต์พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มีพระ รัศมีเปล่งปลั่งดังพระอาทิตย์อุทัย มีพระรัศมีเหลืองอร่ามเหมือนพระจันทร์ สุกสะกาวราวกับดอกกุ่ม ให้เสวยถั่วฤาษี แล้วได้ถวายน้ำผึ้งอันไม่มีตัว แด่พระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก เอาน้ำผึ้งใส่บาตรของพระสาวก แห่ง พระพุทธเจ้าซึ่งมีประมาณแสนแปดหมื่น จนเต็มทุกๆ รูป ได้ถวายแด่ พระพุทธเจ้ามากกว่านั้น เราอันความเลื่อมใสแห่งจิตนั้นซึ่งเป็นกุศลมูล ตักเตือนแล้ว ไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัลป ในกัลปที่ ๘๓๘๐๐ ได้มี พระเจ้าจักรพรรดิผู้มีพลมาก พระนามว่ามหิสมันตะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอิสิมุคคทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อิสิมุคคทายกเถราปทาน.
โพธิอุปัฏฐายกเถราปทานที่ ๖ (๑๘๖)
ว่าด้วยผลแห่งการบำรุงไม้โพธิ์
[๑๘๘] เราเป็นคนตีตะโพนอยู่ในนครรัมมวดี เป็นผู้ประกอบการบำรุงไม้โพธิ์อัน อุดมเป็นนิตย์ เราบำรุง ทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว ไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอด ๑๘๐๐ กัลป ในกัลปที่ ๑๕๐๐ เราได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิผู้เป็นอธิบดีแห่งชน มีพลมาก มีนามว่าทมถะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระโพธิอุปัฏฐายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โพธิอุปัฏฐายกเถราปทาน.
เอกจินติกเถราปทานที่ ๗ (๑๘๗)
ว่าด้วยผลแห่งการที่กุศลตักเตือน
[๑๘๙] ในกาลใด เทวดาจะจุติจากหมู่เทพเพราะสิ้นอายุ ในกาลนั้น เทวดาผู้ พลอยยินดีย่อมเปล่งเสียงออก ๓ ประการว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านจากนี่ จงไปสู่สุคติ จงได้ความเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แล้ว จงได้ศรัทธาชั้นเยี่ยม ในสัทธรรม ศรัทธาของท่านผู้ตั้งมั่นแล้วนั้นจงมั่นคงเป็นมูลไว้ อย่าคลอน แคลนในสัทธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศดีแล้ว ตลอดชีวิต ท่านจงกระทำ กุศลอันไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีอุปธิด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ให้มาก แต่นั้นท่านก่อสร้างบุญ ทำบุญนั้นด้วยทานให้มาก จงแนะนำแม้สัตว์อื่นๆ ให้ตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ในสัทธรรม สัตว์อื่นๆ ผู้รู้ตามความเป็นจริง พลอย ยินดีตามท่าน ผู้เป็นเทวดาล่วงเทวดา เพราะความอนุเคราะห์นี้ ขอท่าน จงกลับมาบ่อยๆ นะในกาลนั้น เราเป็นผู้สลดใจอยู่ในหมู่เทวดาที่มาประชุม กัน ด้วยคิดว่า เราเป็นอะไรเล่า จุติจากนี่แล้วจึงจักไปยังกำเนิดมนุษย์ได้ ในกาลนั้น พระสมณะสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ผู้อบรม อินทรีย์แล้ว มีนามชื่อว่าสุมนะ รู้ความสลดใจของเรา ปรารถนาจะช่วย เหลือเรา ท่านจึงมาในสำนักของเรา พร่ำสอนอรรถธรรมแล้ว ยังเราให้ สลดใจ เราได้ฟังคำของท่านแล้ว ทำให้จิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เราเพียง แต่ได้ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น เรานั้นอัน กุศลมูลตักเตือนแล้ว ได้อุปบัติในเทวโลกนั้นเอง ไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอด แสนกัลป คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกจินติกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกจินติกเถราปทาน.
ติกรรณิปุปผิยเถราปทานที่ ๘ (๑๘๘)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกเจต
[๑๙๐] เราเป็นเทวดาแวดล้อมด้วยหมู่นางอัปสร ระลึกถึงบุรพกรรมได้ จึงระลึกถึง พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เรายังจิตของตนให้เลื่อมใส ถือดอกเจตภังคี ๓ ดอก ไปบูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้ประเสริฐกว่านรชนเพราะ เราได้เอาดอกไม้บูชาในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๗๓ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ เป็นผู้อุดม ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติกรรณิปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติกรรณิปุปผิยเถราปทาน.
เอกจาริยเถราปทานที่ ๙
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกมนทารพ
[๑๙๑] ในกาลนั้น ได้มีเสียงประกาศกึกก้องในหมู่เทพเทวดาชั้นดาวดึงส์ว่าพระ พุทธเจ้าจะเสด็จนิพพานในโลก และพวกเราก็ยังมีราคะในเทวดาผู้เกิดความ สังเวช เพรียบพร้อมด้วยลูกศร คือความโศกเหล่านั้น เราเป็นผู้มีใจแข็ง ด้วยกำลังของตน ได้ไปในสำนักพระพุทธเจ้า เราถือดอกมนทารพที่นิรมิต รวบรวมไว้ไปบูชาแด่พระพุทธเจ้า ในเวลาใกล้จะปรินิพพาน ในกาลนั้น เทวดาและนางอัปสรทั้งปวงอนุโมทนาเรา เราไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสน กัลป ในหกหมื่นกัลป แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ องค์ มีพล มาก พระนามว่ามหามัลลชน คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระเอกจาริยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ เอกจาริยเถราปทาน.
ติวัณฏิปุปผิยเถราปทานที่ ๑๐ (๑๙๐)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกไม้ต่างๆ
[๑๙๒] เราทุกคนนั้นประชุมกัน เข้าไปเพ่งโทษพระเถระชื่ออภิภู ความเร่าร้อน ได้เกิดแก่พวกเราผู้เข้าไปเพ่งโทษ ในกาลนั้น พระเถระมีนามชื่อว่าสุนันทะ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระนามว่าธรรมทัสสีผู้เป็นมุนีมาในสำนักของ เรา ในกาลนั้น ชนทั้งหลายที่อยู่ในสำนักของเรา ได้เอาดอกไม้มาให้เรา เราได้เอาดอกไม้นั้นบูชาพระสาวกทั้งหลาย เราทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น แล้ว ก็เกิดขึ้นอีก เราไม่ได้ไปสู่วินิบาตเลยตลอด ๑๘๐๐ กัลป ในกัลปที่ ๑๓๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ พระนามว่าธูมเกตุ ทรง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติวัณฏิปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติวัณฏิปุปผิยเถราปทาน.
-----------------------------------------------------
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุฏชปุปผิยเถราปทาน ๒. พันธุชีวกเถราปทาน ๓. โกตุมพริยเถราปทาน ๔. ปัญจหัตถิยเถราปทาน ๕. อิสิมุคคทายกเถราปทาน ๖. โพธิอุปัฏฐากเถราปทาน ๗. เอกจินติกเถราปทาน ๘. ติกรรณิปุปผิยเถราปทาน ๙. เอกจาริยเถราปทาน ๑๐. ติวัณฏิปุปผิยเถราปทาน
ท่านประกาศคาถาไว้ ๖๐ คาถา
จบ กุฏชปุปผิยวรรคที่ ๙.
-----------------------------------------------------
ตมาลปุปผิยวรรคที่ ๒๐
ตมาลปุปผิยเถราปทานที่ ๑ (๑๙๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกคูน
[๑๙๓] วิมานของเราที่บุญกรรมนิรมิตให้ เปรียบด้วยไม้เท้าของเทวดา มีเสาทอง ๘๔๐๐๐ เสา เรามีจิตผ่องใส ถือเอาดอกคูนไปบูชาแด่พระพุทธเจ้าพระ นามว่าสิขี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลกในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรม ใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๒๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ทรงพระนาม ว่าจันทติตตะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระตมาลปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ตมาลปุปผิยเถราปทาน.
ติณสันถารทายกเถราปทานที่ ๒ (๑๙๒)
ว่าด้วยผลแห่งการทำหลังคา
[๑๙๔] ในกาลเมื่อเราบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่า ได้เกี่ยวหญ้าถวายแด่พระศาสดา หญ้า ทั้งหมดนั้นเวียนไปทางเบื้องขวาแล้วตกลงที่แผ่นดิน เราถือเอาหญ้านั้นมา ลาดลงที่แผ่นดินดอนๆ และนำเอาใบตาล ๓ ใบมาทำเป็นหลังคา ถวายแด่ พระศาสดาพระนามว่าสิทธัตถะเทวดาและมนุษย์ ณ ที่นั้นทรง (บูชา) พระ ศาสดาตลอด ๗ วัน ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายหญ้าใดในกาลนั้น ด้วยการถวายหญ้านั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายหญ้า ใน กัลปที่ ๖๕ แต่กัลปนี้ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ ทรงพระนามว่า มหัทธนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระ- พุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติณสันถารทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ติณสันถารทายกเถราปทาน.
ขัณฑผุลลิยเถราปทานที่ ๓ (๑๙๓)
ว่าด้วยผลแห่งการทำที่ขรุขระให้เรียบ
[๑๙๕] พระสถูปของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าผุสสะ มีอยู่ที่ป่ามหาวัน ในกาล นั้น ต้นไม้งอกขึ้น ณ ที่นั้น ฝูงช้างพากันมาหักกิน เราได้ทำที่ขรุขระให้ ราบเรียบ แล้วได้ใส่ก้อนปูนขาว เรายินดีด้วยคุณของพระผู้มีพระภาคพระ องค์นั้น ผู้เป็นที่เคารพของโลก ๓ ในกัลปที่ ๙๒ แต่กัลปนี้ เราได้ทำ กรรมใด ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ ใส่ก้อนปูนขาว ในกัลปที่ ๗๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระ- องค์ ทรงพระนามว่าชิตเสนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระขัณฑผุลลิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ขัณฑผุลลิยเถราปทาน
อโสกปูชกเถราปทานที่ ๔ (๑๙๔)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกอโศก
[๑๙๖] ในกาลนั้น มีพระราชอุทยานอยู่ในพระนครติปุระ อันน่ารื่นรมย์ เราเป็นคน รักษาพระราชอุทยานอยู่ในนครนั้น เป็นคนรับใช้ของพระราชา พระสยัมภู มีพระนามชื่อว่าปทุม ๑- เป็นง่อยเปลี้ย (สปฺปโต) พระฉายาไม่ละพระองค์ ผู้เป็นมุนี ซึ่งประทับนั่งบนดอกบัวขาว เราเห็นอโศก มีดอกบานเป็นกลุ่มๆ (พวงช่อ) น่าดูนัก จึง (หัก) บูชาแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุม ผู้อุดม ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการ บูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๗๐ แต่ กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖ พระองค์ ทรงพระนามว่าอรณัญชหะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอโสกปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อโสกปูชกเถราปทาน.
อังโกลกเถราปทานที่ ๕ (๑๙๕)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกปรู
[๑๙๗] เราเห็นต้นปรู มีดอกบานสะพรั่ง ดอกสวยงามเป็นพวงๆ จึงได้เก็บดอกไม้ นั้นไปในสำนักพระพุทธเจ้า สมัยนั้น พระมหามุนีพระนามว่าสิทธัตถะ ทรงหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เราจึงบูชาเครื่องบูชาแล้ว โปรยดอกไม้ลงในถ้ำ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชา นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๓๖ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าเทวคัชชิตะ ทรงสมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอังโกลกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อังโกลกเถราปทาน.
@๑. น่าจะแปล, โป. ม. ยุ. ว่ามีรัศมีเปล่งปลั่ง (สมฺปโภ)
กิสลยปูชกเถราปทานที่ ๖ (๑๙๖)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยใบไม้อ่อน
[๑๙๘] สวนดอกไม้ของเรามีอยู่ในนครทวารวดี ในสวนดอกไม้ นั้นมีบ่อน้ำ และ เป็นที่งอกงามแห่งต้นไม้ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้กล้าแข็งด้วยกำลังของพระองค์ ไม่ทรงพ่ายแพ้อะไรๆ พระองค์จะทรง อนุเคราะห์เรา จึงเสด็จไปในอากาศ เราไม่เห็นอะไรๆ อื่นอันควรจะบูชา แด่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง เห็นแต่ใบอ่อนของต้นอโศก จึง เอาโยนขึ้นไปบนอากาศ ก้าน ขั้ว ใบอ่อนเหล่านั้น ตามไปเบื้องพระ ปฤษฎางค์ของพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จไป เราเห็นดังนั้นแล้วเกิดสลดใจว่า โอ พระพุทธเจ้ามีพระคุณใหญ่หลวง ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้บูชาพระ พุทธเจ้าด้วยใบไม้อ่อน ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล แห่งพุทธบูชา ในกัลปที่ ๒๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่าเอกิสสระ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระกิสลยปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ กิสลยปูชกเถราปทาน.
ตินทุกทายกเถราปทานที่ ๗ (๑๙๗)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายผลมะพลับ
[๑๙๙] เราเป็นลิง มีกำลังแข็งแรง เที่ยวไปตามซอกห้วยและธารเขา ได้เห็นต้น มะพลับอันมีผล จึงระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ออกค้นหาพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้เป็นนายกของ โลก ถึงที่สุดภพสาม ๒-๓ วัน พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบ ความดำริของเรา จึงเสด็จมาในสำนักของเรา พร้อมด้วยพระขีณาสพ หลายพัน เราเกิดความปราโมทย์แล้ว ถือผลมะพลับเข้าไปเฝ้า พระผู้มี ภาคสัพพัญญู ผู้ประเสริฐกว่าบรรดาเจ้าลัทธิทรงรับ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใด ในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ในกัลปที่ ๕๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้า จักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าอุปนันทะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระตินทุกทายกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ตินทุกทายกเถราปทาน.
คิริเนลมุฏฐิปูชกเถราปทานที่ ๘ (๑๙๘)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้
[๒๐๐] พระผู้มีพระภาคชินเจ้าพระนามว่าสุเมธ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่า นระ ทรงตั้งความเพียรเพื่อทรงอนุเคราะห์หมู่ชนผู้เกิดภายหลัง เราบูชา ดอกไม้หลายกำแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นจอมสัตว์ ผู้คงที่ ไม่มี โทษดังภูเขา กำลังจงกรมอยู่ เรามีจิตเลื่อมใส อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว ไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอด ๓ หมื่นกัลป ในกัลปที่ ๒,๓๐๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง พระนามว่าสุเนละ สมบูรณ์ด้วย แก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จ ๘ แล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระคิริเนลมุฏฐิปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ คิริเนลมุฏฐิปูชกเถราปทาน.

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ บรรทัดที่ ๑-๔๙๔๔ หน้าที่ ๑-๒๒๘. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=32&A=1&Z=4944&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=32&item=1&items=412              อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=32&item=1&items=412&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=32&item=1&items=412              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรโรมัน :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_item.php?book=32&item=1&items=412              ศึกษาอรรถกถานี้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=1              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ https://84000.org/tipitaka/read/?index_32 https://84000.org/tipitaka/english/?index_32

แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]