ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
 ฉบับหลวง   บาลีอักษรไทย    PaliRoman 
อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
             [๓๐๙] 	นี้วันเป็นอุโบสถที่ ๑๕ ราตรีอันเป็นทิพย์ปรากฏแล้ว มาเรา
                          ทั้งสองจงไปเฝ้าพระโคดมผู้เป็นพระศาสดามีพระนามอันไม่
                          ทรามเถิด ฯ
             เหมวตยักษ์ถามว่า
                          พระโคดมผู้คงที่ทรงตั้งพระทัยไว้ดีแล้ว ในสัตว์ทั้งปวงแลหรือ
                          พระโคดมทรงกระทำความดำริในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์
                          ให้อยู่ในอำนาจแลหรือ ฯ
             สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
                          ก็พระองค์เป็นผู้คงที่ ทรงตั้งพระทัยไว้ดีแล้วในสัตว์ทั้งปวง
                          อนึ่ง พระองค์ทรงกระทำความดำริในอิฏฐารมณ์และ
                          อนิฏฐารมณ์ ให้อยู่ในอำนาจแล้ว ฯ
             เหมวตยักษ์ถามว่า
                          พระโคดมไม่ทรงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้แลหรือ
                          ทรงสำรวมแล้วในสัตว์ทั้งหลายแลหรือ ทรงห่างไกลจาก
                          ความประมาทแลหรือ ย่อมไม่ทรงละทิ้งฌานแลหรือ ฯ
             สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
                          พระองค์ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทรงสำรวม
                          แล้วในสัตว์ทั้งหลาย และทรงห่างไกลจากความประมาท
                          พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมไม่ทรงละทิ้งฌาน ฯ
             เหมวตยักษ์ถามว่า
                          พระโคดมไม่ตรัสคำเท็จแลหรือ มีพระวาจาไม่หยาบคาย
                          แลหรือ ไม่ตรัสคำส่อเสียดแลหรือ ไม่ตรัสคำเพ้อเจ้อ
                          แลหรือ ฯ
             สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
                          พระองค์ไม่ตรัสคำเท็จ มีพระวาจาไม่หยาบคาย และไม่ตรัส
                          คำส่อเสียด ตรัสคำที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว เพราะทรง
                          กำหนดด้วยพระปัญญา ฯ
             เหมวตยักษ์ถามว่า
                          พระโคดมไม่ทรงยินดีในกามทั้งหลายแลหรือ พระหฤทัย
                          ของพระโคดมไม่ขุ่นมัวแลหรือ พระโคดมทรงล่วงโมหะ
                          ได้แล้วหรือ พระโคดมทรงมีพระจักษุในธรรมทั้งหลาย
                          แลหรือ ฯ
             สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
                          พระองค์ไม่ทรงยินดีในกามทั้งหลาย และพระหฤทัยของ
                          พระองค์ไม่ขุ่นมัว พระองค์ทรงล่วงโมหะได้ทั้งหมด พระองค์
                          ตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระจักษุในธรรมทั้งหลาย ฯ
             เหมวตยักษ์ถามว่า
                          พระโคดมทรงถึงพร้อมแล้ว ด้วยวิชชาแลหรือ ทรงมี
                          จรณะบริสุทธิ์แลหรือ อาสวะทั้งหลายของพระองค์นั้นสิ้น
                          ไปแล้วแลหรือ ภพใหม่ไม่มีแลหรือ ฯ
             สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
                          พระองค์ทรงถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชา และทรงมีจรณะบริสุทธิ์
                          อาสวะทั้งหลายของพระองค์สิ้นไปหมดแล้ว ภพใหม่ของ
                          พระองค์ไม่มี ฯ
             เหมวตยักษ์กล่าวว่า
                          พระหฤทัยของพระโคดมผู้เป็นมุนี ถึงพร้อมแล้ว กายกรรม
                          วจีกรรม และมโนกรรม มาเราทั้งสองจงไปเฝ้าพระโคดม
                          ผู้ทรงถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะกันเถิด ฯ
             เหมวตยักษ์ชมเชยพระผู้มีพระภาคว่า
                          มาเถิดเราจงไปเฝ้าพระโคดมผู้มีพระชงฆ์เพียงปลีแข้งเนื้อทราย
                          ผู้ซูบผอม เป็นนักปราชญ์ มีพระกระยาหารน้อย ไม่โลภ
                          เป็นมุนี ทรงฌานอยู่ในป่า เราเข้าไปเฝ้าพระโคดม ผู้ดุจ
                          ราชสีห์ เสด็จเที่ยวไปพระองค์เดียว ไม่เสด็จมาสู่ภพใหม่
                          ไม่มีความห่วงใย ในกามทั้งหลาย แล้วจงทูลถามถึงธรรม
                          เป็นเครื่องพ้นจากบ่วงมาร เราจงทูลถามพระโคดมผู้ตรัสบอก
                          ผู้ทรงแสดง ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้ตรัสรู้แล้ว
                          ผู้ทรงล่วงเวรภัยได้แล้ว ฯ
             เหมวตยักษ์ทูลถามว่า
                          เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมกระทำความ
                          เชยชิดในอะไร โลกยึดถืออะไร เมื่ออะไรมี โลก
                          จึงเดือดร้อน ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรเหมวตะ
                          เมื่ออายตนะภายในและภายนอก ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิด
                          ขึ้น โลกย่อมกระทำความเชยชิดในอายตนะภายในและภาย
                          นอก ๖ โลกยึดถืออายตนะภายในและภายนอก ๖ นั่น
                          แหละ เมื่ออายตนะภายในและภายนอก ๖ มี โลกจึง
                          เดือดร้อน ฯ
                          อุปาทานที่เป็นเหตุให้โลกต้องเดือดร้อนเป็นไฉน ข้าพระองค์
                          ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอก ซึ่งธรรมชาติเป็นเครื่อง
                          ออกจากโลก บุคคลจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ฯ
                          กามคุณ ๕ ในโลกมีใจเป็นที่ ๖ เราประกาศแล้ว บุคคล
                          คลายความพอใจในกามคุณ ๕ นี้ได้แล้วย่อมพ้นจากทุกข์ได้
                          ด้วยอาการอย่างนี้ เราบอกซึ่งธรรมชาติเป็นเครื่องออกจาก
                          โลกนี้ ตามความเป็นจริง แก่ท่านทั้งหลายแล้ว ถ้าแม้ท่าน
                          ทั้งหลายพึงถามเราพันครั้ง เราก็จะบอกข้อนี้แก่ท่านทั้งหลาย
                          เพราะบุคคลย่อมพ้นจากทุกข์ได้ด้วยอาการอย่างนี้ ฯ
                          ในโลกนี้ใครเล่าข้ามโอฆะได้ ในโลกนี้ใครเล่าข้ามอรรณพ
                          ได้ ใครย่อมไม่จมลงในอรรณพที่ลึกซึ้ง ไม่มีที่พึ่ง ไม่มี
                          ที่ยึดเหนี่ยว ฯ
                          ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล มีปัญญา มีใจตั้งมั่นดีแล้ว มีความ
                          หมายรู้ ณ ภายใน มีสติทุกเมื่อ ย่อมข้ามพ้นโอฆะที่ข้ามได้
                          แสนยาก ผู้นั้นเว้นจากกามสัญญา ล่วงสังโยชน์ทั้งปวงเสีย
                          ได้ มีความเพลิดเพลินและภพหมดสิ้นแล้ว ย่อมไม่จมลงใน
                          อรรณพ คือ สงสารอันลึก ฯ
                          เชิญท่านทั้งหลาย ดูพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญา
                          ลึกซึ้ง ผู้ทรงแสดงเนื้อความละเอียด ไม่มีความกังวล
                          ไม่ข้องแล้วในกามภพ พ้นวิเศษแล้วในอารมณ์ทั้งปวง ทรง
                          ดำเนินไปในทางอันเป็นทิพย์ ทรงแสวงหาคุณอันใหญ่
                          เชิญท่านทั้งหลายดูพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นผู้มีพระนามไม่-
                          ทราม ผู้ทรงแสดงเนื้อความละเอียด ผู้ทรงให้ปัญญา
                          ไม่ข้องแล้วในอาลัยในกาม ทรงรู้ธรรมทั้งปวง มีพระปัญญาดี
                          ทรงดำเนินไปในทางอันเป็นอริยะ ทรงแสวงหาคุณอันใหญ่ ฯ
                          วันนี้เราทั้งหลายเห็นดีแล้วหนอ สว่างไสวแล้ว ตั้งขึ้นดีแล้ว
                          เพราะเราทั้งหลายได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงข้ามโอฆะได้
                          แล้ว หาอาสวะมิได้ ฯ
                          ยักษ์หนึ่งพันทั้งหมดเหล่านี้ มีฤทธิ์ มียศ ย่อมถึงพระผู้มี-
                          พระภาคพระองค์นั้น เป็นสรณะด้วยคำว่า พระองค์เป็น
                          พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์
                          ทั้งหลาย จักขอนอบน้อมซึ่งพระสัมพุทธเจ้าและความที่พระ
                          ธรรมเป็นธรรมดี เที่ยวไปจากบ้านสู่บ้าน จากภูเขาสู่ภูเขา ฯ
จบเหมวตสูตรที่ ๙
อาฬวกสูตรที่ ๑๐


             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๔๑๒-๗๕๑๓ หน้าที่ ๓๒๕-๓๒๙. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=7412&Z=7513&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=25&item=309&items=1&mode=bracket              อ่านโดยใช้เนื้อความเป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=25&item=309&items=1              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=25&item=309&items=1&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีอักษรโรมัน :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_item_s.php?book=25&item=309&items=1&mode=bracket              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=309              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ http://84000.org/tipitaka/read/?index_25

อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :