ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

๑๐. อุปวานเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุปวานเถระ
(พระอุปวานเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า) [๑๒๒] พระชินสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ถึงความสำเร็จแห่งธรรมทั้งปวง ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว [๑๒๓] มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต สร้างจิตกาธานอย่างงดงามแล้ว ยกพระสรีระขึ้นวางไว้ [๑๒๔] ชนเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ถวายพระเพลิงพุทธสรีระแล้ว รวบรวมพระธาตุ พากันสร้างพุทธสถูปไว้ ณ ที่นั้น [๑๒๕] สถูปชั้นที่ ๑ ทำด้วยทองคำ ชั้นที่ ๒ ทำด้วยแก้วมณี ชั้นที่ ๓ ทำด้วยเงิน ชั้นที่ ๔ ทำด้วยแก้วผลึก [๑๒๖] ที่พระสถูปนั้น ชั้นที่ ๕ ทำด้วยแก้วทับทิม ชั้นที่ ๖ ทำด้วยแก้วลาย ชั้นที่สูงๆ ขึ้นไปจากนี้ทำด้วยแก้วทั้งหมด [๑๒๗] ร่างร้าน ทำด้วยแก้วมณี ไพที(แท่นสำหรับวางเครื่องสักการะ) ทำด้วยรัตนะ องค์พระสถูปทำด้วยทองคำล้วน สูงขึ้นไปหนึ่งโยชน์ [๑๒๘] ครั้งนั้น หมู่เทวดามาประชุมกัน ณ ที่นั้นแล้วร่วมปรึกษากันว่า ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูปเพื่อบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ [๑๒๙] พระบรมสารีริกธาตุไม่แยกกัน คือรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน พวกเราจักสร้างพระสถูปครอบไว้ที่พระพุทธสถูปนี้ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๕๔}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

[๑๓๐] หมู่เทพได้ขยายพระสถูปให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งโยชน์ ด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ พระสถูปองค์นั้นจึงมีความสูง ๒ โยชน์ ซึ่งส่องสว่างขจัดความมืดได้ [๑๓๑] ครั้งนั้น พวกนาคมาประชุมกัน ณ ที่นั้นแล้ว ร่วมปรึกษากันว่า มนุษย์และเทวดาเหล่านั้น ได้พากันสร้างพระพุทธสถูปเสร็จแล้ว [๑๓๒] พวกเราอย่าได้ประมาทกันเลย มนุษย์และเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูป เพื่อบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ [๑๓๓] พวกนาคพากันรวบรวมแก้วมรกต แก้วมหานิล และแก้วมณีโชติรส ช่วยกันประดับพระพุทธสถูป [๑๓๔] ครั้งนั้น พระสถูปทั้งองค์ สำเร็จด้วยแก้วมณี จนกระทั่งเป็นพุทธเจดีย์สูง ๓ โยชน์ ส่องแสงสว่างไสว [๑๓๕] ครั้งนั้น พวกครุฑมาประชุมกันแล้ว ร่วมปรึกษากันว่า มนุษย์ เทวดา และนาคเหล่านั้นได้พากันทำพุทธบูชาแล้ว [๑๓๖] พวกเราอย่ามัวประมาทอยู่เลย มนุษย์ นาค และเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูป เพื่อบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๕๕}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

[๑๓๗] ครุฑเหล่านั้น ได้สร้างพระสถูป ครอบพระสถูปแก้วมณีทั้งองค์ แม้พวกเขาก็ได้ขยายพระพุทธเจดีย์ให้กว้างไปอีกหนึ่งโยชน์ [๑๓๘] พระพุทธสถูปสูงขึ้นไปอีก ๔ โยชน์ รุ่งโรจน์ ย่อมส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ ดุจดวงอาทิตย์อุทัย [๑๓๙] ครั้งนั้น พวกกุมภัณฑ์มาประชุมกันแล้ว ร่วมปรึกษากันว่า มนุษย์ เทวดา นาค และครุฑก็เป็นเหมือนกันหมด [๑๔๐] ต่างก็ได้พากันสร้างพระสถูปที่อุดมพวกละองค์ บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด พวกเราอย่ามัวประมาทกันเลย มนุษย์และเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว [๑๔๑] ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูป เพื่อบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ จักใช้รัตนะทั้งหลายประดับพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไป [๑๔๒] กุมภัณฑ์แม้เหล่านั้น ได้ขยายพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไปอีกหนึ่งโยชน์ ครั้งนั้น พระสถูปจึงสูงขึ้นเป็น ๕ โยชน์ ย่อมส่องแสงสว่างไสว [๑๔๓] ครั้งนั้น พวกยักษ์มาประชุมกัน ณ ที่นั้นแล้ว ร่วมปรึกษากันว่า มนุษย์ เทวดา นาค ครุฑ และกุมภัณฑ์ [๑๔๔] ต่างก็ได้พากันสร้างพระสถูป ที่ประเสริฐสุดพวกละองค์บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๕๖}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

พวกเราอย่ามัวประมาทกันเลย มนุษย์และเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว [๑๔๕] ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูป บูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ นำแก้วผลึกมาประดับพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไปอีก [๑๔๖] ยักษ์แม้เหล่านั้น ได้ขยายพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไปอีกหนึ่งโยชน์ ครั้งนั้น พระสถูปจึงสูงขึ้นเป็น ๖ โยชน์ ส่องแสงสว่างไสว [๑๔๗] ครั้งนั้น พวกคนธรรพ์มาประชุมกันแล้ว ร่วมปรึกษากันว่า มนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์ และครุฑก็เหมือนกัน [๑๔๘] พวกเขาทั้งหมดได้พากันสร้างพระพุทธสถูป ในเรื่องสร้างพระสถูปนี้ พวกเรายังไม่ได้สร้าง ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูป บูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ [๑๔๙] ครั้งนั้น คนธรรพ์เหล่านั้น สร้างไพทีเป็น ๗ แห่งแล้วได้ทำธงและฉัตรไว้ พวกคนธรรพ์ได้ช่วยกันสร้างพระสถูปซึ่งสำเร็จด้วยทองคำล้วน [๑๕๐] ครั้งนั้น พระสถูปสูงขึ้นเป็น ๗ โยชน์ ส่องแสงสว่างไสว จนไม่รู้กลางวันหรือกลางคืน เพราะมีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา [๑๕๑] ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาว ก็ข่มแสงพระสถูปนั้นไม่ได้ ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ แม้ประทีปก็ไม่โชติช่วง [๑๕๒] โดยกาลนั้น มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่งจะบูชาพระสถูป พวกเขาไม่ขึ้นไปยังพระสถูป เพียงโยนเครื่องสักการะขึ้นไปบนอากาศ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๕๗}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

[๑๕๓] ยักษ์ที่มีนามว่าอภิสัมมตะ ซึ่งเหล่าเทวดาตั้งไว้(เพื่อรักษาพระสถูป) คอยรับธงหรือพวงดอกไม้ไปบูชาให้ยิ่งขึ้น [๑๕๔] ชนเหล่านั้นไม่เห็นยักษ์นั้น คงเห็นแต่พวงดอกไม้ของยักษ์ลอยไปอยู่ พวกเขาทั้งหมดเห็นแล้วอย่างนี้ เมื่อตายไปจึงไปสู่สุคติ [๑๕๕] มนุษย์ทั้งหลายที่ไม่พอใจในพระพุทธพจน์ และมนุษย์ทั้งหลายที่เลื่อมใสศาสนา ผู้มีความต้องการจะเห็นปาฏิหาริย์ จะพากันบูชาพระสถูป [๑๕๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นคนรับจ้างอยู่ในกรุงหงสวดี เห็นประชาชนพากันรื่นเริงบันเทิงใจ จึงคิดอย่างนี้ในครั้งนั้นว่า [๑๕๗] หมู่ชนเหล่านี้พากันดีใจไม่เคยอิ่มถึงสักการะ ซึ่งปรากฏที่เรือนแห่งพระธาตุ ของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ [๑๕๘] แม้เราก็จักทำสักการบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่ เป็นธรรมทายาทของพระองค์ในอนาคตกาล [๑๕๙] ข้าพเจ้าจึงใช้ผ้าห่มของข้าพเจ้าที่ช่างย้อมซักไว้อย่างดี คล้องไว้ที่ปลายไม้ไผ่แล้วจึงยกขึ้นเป็นธงในท้องฟ้า [๑๖๐] ยักษ์อภิสัมมตะ หยิบธงของข้าพเจ้านำไปในท้องฟ้า ข้าพเจ้าเห็นแต่ธงสะบัดพลิ้วเพราะสายลม จึงทำความร่าเริงให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๕๘}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

[๑๖๑] ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในธงนั้นแล้ว เข้าไปหาพระสมณะ อภิวาทพระภิกษุรูปนั้นแล้ว จึงถามถึงวิบากในการบูชาด้วยธง [๑๖๒] พระภิกษุรูปนั้นมีความยินดีมากต่อข้าพเจ้า จึงกล่าวถ้อยคำที่ทำความปีติให้เกิดแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจักได้เสวยวิบากแห่งธงนั้นตลอดกาล [๑๖๓] กองทัพ ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า จักแวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง [๑๖๔] เครื่องดนตรี ๖๐,๐๐๐ ชิ้น กลองที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม จักแวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง [๑๖๕] สาวรุ่น ๘๖,๐๐๐ นาง ล้วนประดับตกแต่งสวยงาม สวมใส่ผ้าอาภรณ์อันงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี [๑๖๖] มีตากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง [๑๖๗] ท่านจักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัป จักเกิดเป็นจอมเทพ ครองเทวสมบัติตลอด ๘๐ ชาติ [๑๖๘] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ชาติ จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๕๙}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๐. อุปวานเถราปทาน

[๑๖๙] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป) พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก [๑๗๐] ท่านถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจุติจากเทวโลก ประกอบด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็นเผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ [๑๗๑] ท่านจักละทิ้งสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ และทาสกรรมกรจำนวนมากแล้ว บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม [๑๗๒] ท่านมีชื่อว่าอุปวานะ จักให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้ประเสริฐแห่งวงศ์ศากยะ ผู้ประเสริฐ ทรงพอพระทัยแล้ว เป็นสาวกของพระศาสดา [๑๗๓] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ ได้แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพนี้ ข้าพเจ้าหลุดพ้นดีแล้ว(จากกิเลส) ดุจความเร็วแห่งลูกศรที่พ้นไปจากแล่ง ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว [๑๗๔] เมื่อข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ ชนทั้งหลาย จักโบกธงประจำตลอดที่ ๓ โยชน์โดยรอบทุกเวลา [๑๗๕] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้ในครั้งนั้น {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า : ๓๖๐}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕๖. ยสวรรค]

๑๑. รัฏฐปาลเถราปทาน

จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายธง [๑๗๖] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ [๑๗๗] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า เป็นการมาดีแล้วโดยแท้ วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว [๑๗๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล ได้ทราบว่า ท่านพระอุปวานเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุปวานเถราปทานที่ ๑๐ จบ


                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๓๕๔-๓๖๑. http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=33&siri=150              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3].                   ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=140                   สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu33              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/thi-ap10/en/walters



บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :