ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒
ปาจิตติยกัณฑ์
ท่านทั้งหลาย อนึ่ง ธรรมคือปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบทเหล่านี้แล มาสู่อุเทศ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑
๑. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระหัตถกะศากยบุตร
[๑๗๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระหัตถกะศากยบุตรเป็นคนพูดสับปรับ ท่านเจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อน เรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้ว ทำให้คลาดเคลื่อน. พวกเดียรถีย์พากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระหัตถกะศากยบุตร เจรจาอยู่กับ พวกเรา จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าว เท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้วทำให้คลาดเคลื่อนเล่า?. ภิกษุทั้งหลายได้ยินเดียรถีย์พวกนั้น เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงเข้าไปหาพระหัตถ- *กะศากยบุตรถึงสำนัก ครั้นแล้วได้ถามพระหัตถกะว่า อาวุโสหัตถกะ ข่าวว่า ท่านเจรจาอยู่กับพวก เดียรถีย์ กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้วทำให้คลาดเคลื่อน จริงหรือ?. พระหัตถกะศากยบุตรตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพวกเดียรถีย์เหล่านี้ เราต้อง เอาชนะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เราไม่ควรให้ความชนะแก่เดียรถีย์พวกนั้น. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระหัตถกะศากยบุตร เจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ จึงได้กล่าว ปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้วทำให้คลาดเคลื่อนเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถาม พระหัตถกะศากยบุตรว่า จริงหรือหัตถกะ ข่าวว่า เธอเจรจา อยู่กับพวกเดียรถีย์ กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้วทำให้คลาดเคลื่อน?. พระหัตถกะศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอเจรจาอยู่กับพวกเดียรถีย์ จึงได้กล่าวปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ เอาเรื่องอื่นกลบเกลื่อนเรื่องอื่น กล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่ พูดนัดหมายไว้แล้วทำให้คลาดเคลื่อนเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคครั้นทรงติเตียนพระหัตถกะศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัส โทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่ สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคน บำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่ สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๐. ๑. เป็นปาจิตตีย์ในเพราะสัมปชามุสาวาท.
เรื่องพระหัตถกะศากยบุตร จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๗๔] ที่ชื่อว่า สัมปชานมุสาวาท ได้แก่ วาจา เสียงที่เปล่ง ถ้อยคำเป็นแนวทาง การเปล่งวาจา เจตนาที่ให้เขาเข้าใจทางวาจา ของบุคคลผู้จงใจจะพูดให้คลาดจากความจริง ได้แก่ คำพูดของอนารยชน ๘ อย่าง คือ ไม่เห็น พูดว่าข้าพเจ้าเห็น ๑, ไม่ได้ยิน พูดว่าข้าพเจ้า ได้ยิน ๑, ไม่ทราบ พูดว่าข้าพเจ้าทราบ ๑, ไม่รู้ พูดว่าข้าพเจ้ารู้ ๑, เห็น พูดว่าข้าพเจ้าไม่เห็น ๑, ได้ยิน พูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ๑, ทราบ พูดว่าข้าพเจ้าไม่ทราบ ๑, รู้ พูดว่าข้าพเจ้าไม่รู้ ๑.
บทภาชนีย์
[๑๗๕] ที่ชื่อว่า ไม่เห็น คือ ไม่เห็นด้วยตา. ที่ชื่อว่า ไม่ได้ยิน คือ ไม่ได้ยินด้วยหู. ที่ชื่อว่า ไม่ทราบ คือ ไม่ได้สูดดมด้วยจมูก, ไม่ได้ลิ้มด้วยลิ้น, ไม่ได้สัมผัสด้วยกาย. ที่ชื่อว่า ไม่รู้ คือ ไม่รู้ด้วยใจ. ที่ชื่อว่า เห็น คือ เห็นด้วยตา. ที่ชื่อว่า ได้ยิน คือ ได้ยินด้วยหู. ที่ชื่อว่า ทราบ คือ ได้สูดดมด้วยจมูก, ได้ลิ้มด้วยลิ้น, ได้สัมผัสด้วยกาย. ที่ชื่อว่า รู้ คือ รู้ด้วยใจ.
อาการของการกล่าวเท็จๆ ทั้งที่รู้
ไม่เห็น-ว่าเห็น
[๑๗๖] ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้น เธอรู้ว่าจักกล่าวเท็จ, ๒ กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ, ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๔ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ, ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ, ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว, ๔ อำพราง ความเห็น, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ, ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากำลังกล่าวเท็จ, ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว, ๔ อำพรางความเห็น, ๕ อำพรางความถูกใจ, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ, ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ, ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว, ๔ อำพราง ความเห็น, ๕ อำพรางความถูกใจ, ๖ อำพรางความชอบใจ, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๗ อย่าง คือ ๑ เบื้องต้นเธอรู้ว่า จักกล่าวเท็จ, ๒ กำลังกล่าว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ, ๓ ครั้นกล่าวแล้ว ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ, ๔ อำพราง ความเห็น, ๕ อำพรางความถูกใจ, ๖ อำพรางความชอบใจ, ๗ อำพรางความจริง, ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน-ว่าได้ยิน
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ-ว่าทราบ
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้-ว่ารู้
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และได้ยิน
[๑๗๗] ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็นและได้ยินด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และทราบ
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่เห็น ว่าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้
ไม่เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน และทราบ
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน และรู้
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน และเห็น
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ และรู้
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ และเห็น
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ได้ยิน ว่าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น
ไม่ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และรู้
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ และได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ และเห็น
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ และได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
ไม่ทราบ ว่าทราบ รู้ เห็น และได้ยิน
ไม่ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ เห็น และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ และเห็น
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ และได้ยิน
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ และทราบ
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ เห็น และได้ยิน
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ เห็น และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ เห็น และทราบ
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ เห็น และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ไม่รู้ ว่ารู้ เห็น ได้ยิน และทราบ
ไม่รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ เห็น ได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เห็น ว่าไม่เห็น
[๑๗๘] เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าไม่เห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่าไม่ได้ยิน
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทราบ ว่าไม่ทราบ
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าไม่ทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รู้ ว่าไม่รู้
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าไม่รู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เห็น ว่าได้ยิน
[๑๗๙] เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
เห็น ว่าทราบ
เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เห็น ว่ารู้
เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เห็น ว่าได้ยิน และทราบ
เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
เห็น ว่าได้ยิน และรู้
เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
เห็น ว่าได้ยิน ทราบ และรู้
เห็น ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่าทราบ
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่ารู้
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่าเห็น
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่าทราบ และรู้
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่าทราบ และเห็น
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ได้ยิน ว่าทราบ รู้ และเห็น
ได้ยิน ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ รู้ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทราบ ว่ารู้
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทราบ ว่าเห็น
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทราบ ว่าได้ยิน
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทราบ ว่ารู้ และเห็น
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ทราบ ว่ารู้ และได้ยิน
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
ทราบ ว่ารู้ เห็น และได้ยิน
ทราบ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้ารู้ เห็น และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รู้ ว่าเห็น
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รู้ ว่าได้ยิน
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รู้ ว่าทราบ
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รู้ ว่าเห็น และได้ยิน
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
รู้ ว่าเห็น และทราบ
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์.
รู้ ว่าเห็น ได้ยิน และทราบ
รู้ ภิกษุรู้อยู่กล่าวเท็จว่าข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เห็น-สงสัย
[๑๘๐] เห็น ภิกษุสงสัย กำหนดไม่ได้ว่าเห็น จำไม่ได้ว่าเห็น หลงลืมว่าเห็น รู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเห็น และได้ยิน ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าเห็น และทราบ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าเห็น และรู้ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และทราบ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน และรู้ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าเห็น ได้ยิน ทราบ และรู้ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ได้ยิน - สงสัย
ได้ยิน ภิกษุสงสัย กำหนดไม่ได้ว่าได้ยิน จำไม่ได้ว่าได้ยิน หลงลืมว่าได้ยิน รู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าได้ยิน และทราบ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วย อาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าได้ยิน และรู้ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าได้ยิน และเห็น ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และรู้ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ และเห็น ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าได้ยิน ทราบ รู้ และเห็น ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทราบ - สงสัย
ทราบ ภิกษุสงสัย กำหนดไม่ได้ว่าทราบ จำไม่ได้ว่าทราบ หลงลืมว่าทราบ รู้อยู่กล่าว เท็จว่า ข้าพเจ้าทราบ และรู้ ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าทราบ และเห็น ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าทราบ และได้ยิน ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าทราบ รู้ และเห็น ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าทราบ รู้ และได้ยิน ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้าทราบ รู้ เห็น และได้ยิน ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รู้ - สงสัย
รู้ ภิกษุสงสัย กำหนดไม่ได้ว่ารู้ จำไม่ได้ว่ารู้ หลงลืมว่ารู้ รู้อยู่กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้ารู้ และเห็น ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๔ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๕ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๖ อย่าง ..., ด้วยอาการ ๗ อย่าง ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้ารู้ และได้ยิน ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้ารู้ และทราบ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้ารู้ เห็น และได้ยิน ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้ารู้ เห็น และทราบ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ... ข้าพเจ้ารู้ เห็น ได้ยิน และทราบ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร
[๑๘๑] ภิกษุพูดพลั้ง ๑, ภิกษุพูดพลาด ๑, [ชื่อว่าพูดพลั้ง คือพูดเร็วไป ชื่อว่าพูดพลาด คือตั้งใจว่าจักพูดคำอื่น แต่กลับพูดไปอีกอย่าง] ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้อง อาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ บรรทัดที่ ๔๕๗๖-๔๙๐๕ หน้าที่ ๑๙๑-๒๐๓. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=2&A=4576&Z=4905&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=2&A=4576&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=2&siri=32              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=2&i=173              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=2&A=2700              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=2&A=5955              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=2&A=2700              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=2&A=5955              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ http://84000.org/tipitaka/read/?index_2              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/pli-tv-bu-vb-pc1/en/brahmali

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]