ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วไม่แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๔ กถาวัตถุปกรณ์
โอปัมมสังสันทนา
[๒๖] ส. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถ- ปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ, หากว่าท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่ง เห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น (อย่างเดียวกัน) ท่านหยั่งเห็น บุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่าน จึงต้อง กล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น. ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่ง เห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็น อื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึง

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๑๙.

กล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็ เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดย สัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจ หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์. ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็น บุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯลฯ [๒๗] ส. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ, หากว่า ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจ หยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น (อย่างเดียวกัน) ท่าน หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่าน จึงต้องกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้า หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น วิญญาณ ก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๐.

เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดย สัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าหยั่ง เห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็ เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯลฯ [๒๘] ส. ท่านหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯลฯ ดุจ หยั่งเห็นสังขาร ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ เวทนา เป็นอื่น รูปก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๒๙] ส. ท่านหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯลฯ ดุจ หยั่งเห็นวิญญาณ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ สัญญา เป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๓๐] ส. ท่านหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯลฯ ดุจ หยั่งเห็นรูป ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนา ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ สังขารเป็น อื่น สัญญาก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๓๑] ส. ท่านหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯลฯ ดุจหยั่ง เห็นเวทนา ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ วิญญาณเป็น อื่นสังขารก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ ป. ถูกแล้ว ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถ- ปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๑.

ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ, หากว่า ท่านหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจ หยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ วิญญาณเป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น (อย่างเดียวกัน) ท่าน หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะ ท่านจึงต้องกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ วิญญาณ เป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดย สัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึง กล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ วิญญาณเป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น ข้าพเจ้า หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ที่ท่านกล่าวในปัญหา นั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดย สัจฉิกัตถปรมัตถ์ วิญญาณเป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า วิญญาณเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯลฯ [๓๒] ส. ท่านหยั่งเห็นจักขายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นโสตายนะ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ จักขายตนะเป็นอื่น ธัมมายตนะก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๓๓] ส. ท่านหยั่งเห็นโสตายตนะ ฯลฯ ท่านหยั่งเห็นธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นจักขายตนะ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นมนายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ธัมมายตนะ เป็นอื่น มนายตนะก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๓๔] ส. ท่านหยั่งเห็นจักขุธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นโสตธาตุ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นธรรมธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ จักขุธาตุเป็นอื่น ธรรมธาตุก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๓๕] ส. ท่านหยั่งเห็นโสตธาตุ ฯลฯ ท่านหยั่งเห็นธรรมธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นจักขุธาตุ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นมโนวิญญาณธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ธรรมธาตุเป็นอื่น มโนวิญญาณธาตุก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๒.

[๓๖] ส. ท่านหยั่งเห็นจักขุนทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ จักขุนทรีย์เป็นอื่น อัญญาตาวินทรีย์ก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๓๗] ส. ท่านหยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯลฯ ท่านหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นจักขุนทรีย์ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตา วินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดย สัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ, หากว่า ท่านหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็ เป็นอื่น (อย่างเดียวกัน) ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็ เป็นอื่น ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็ เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้อง ไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิ- *กัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าว

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๓.

ได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิ- *กัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิ- *กัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตา- *วินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯลฯ [๓๘] ป. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และท่าน ก็หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ป. ท่านจงรับรู้ปฏิกรรม หากว่า ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจ หยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และท่านก็หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้น นะท่านจึงต้องกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้า หยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ ถ้าไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิ- *กัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น พระผู้มีพระ ภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปร- *มัตถ์ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูป

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๔.

เป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้าหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า รูปเป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯลฯ [๓๙] ป. ท่านหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯลฯ ดุจหยั่ง เห็นสังขาร ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ รูปเป็นอื่น วิญญาณก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๐] ป. ท่านหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯลฯ ดุจหยั่ง เห็นสังขาร ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นรูปโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ เวทนาเป็นอื่น รูปก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๑] ป. ท่านหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นสังขาร ฯลฯ ดุจ หยั่งเห็นวิญญาณ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ สัญญา เป็นอื่น เวทนาก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๒] ป. ท่านหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นวิญญาณ ฯลฯ ดุจ หยั่งเห็นรูป ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นเวทนา ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสัญญาโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ สังขาร เป็นอื่น สัญญาก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๓] ป. ท่านหยั่งเห็นวิญญาณโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นรูป ฯลฯ ดุจหยั่ง เห็นเวทนา ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสัญญา ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นสังขารโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ วิญญาณ เป็นอื่น สังขารก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๔] ป. ท่านหยั่งเห็นจักขายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นโสตายตนะ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ จักขายตนะเป็นอื่น ธัมมายตนะก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๕] ป. ท่านหยั่งเห็นโสตายตนะ ฯลฯ ธัมมายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่ง เห็นจักขายตนะ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นมนายตนะโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ธัมมายตนะเป็นอื่น มนายตนะ ก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๕.

[๔๖] ป. ท่านหยั่งเห็นจักขุธาตุ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นโสตธาตุ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นธรรมธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ จักขุธาตุเป็นอื่น ธรรมธาตุก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๗] ป. ท่านหยั่งเห็นโสตธาตุโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ฯลฯ ท่านหยั่งเห็นธรรมธาตุ โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นจักขุธาตุ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นมโนวิญญาณธาตุโดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ธรรมธาตุเป็นอื่น มโนวิญญาณธาตุก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ [๔๘] ป. ท่านหยั่งเห็นจักขุนทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ จักขุนทรีย์เป็นอื่น อัญญาตาวินทรีย์ก็เป็น อื่น หรือ ฯลฯ [๔๙] ป. ท่านหยั่งเห็นโสตินทรีย์ ฯลฯ อัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นจักขุนทรีย์ ฯลฯ ดุจหยั่งเห็นอัญญิณทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์ เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น หรือ ฯลฯ ส. ถูกแล้ว ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และ ท่านก็หยั่ง เห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ป. ท่านจงรับรู้ปฏิกรรม, หากว่า ท่านหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถ- *ปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็ เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และท่านก็หยั่งเห็น อัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๒๖.

โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้าก็หยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดย สัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตน มีอยู่ และ ข้าพเจ้าหยั่งเห็น อัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดุจหยั่งเห็นอัญญินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น อัญญินทรีย์ก็เป็นอื่น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อ เกื้อกูลตน มีอยู่ และข้าพเจ้าหยั่งเห็นอัญญาตาวินทรีย์โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า อัญญาตาวินทรีย์เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น ดังนี้ ผิด ฯลฯ
โอปัมมสังสันทนา จบ
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ บรรทัดที่ ๓๙๗-๕๘๗ หน้าที่ ๑๘-๒๖. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=37&A=397&Z=587&pagebreak=1 http://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=37&A=397&pagebreak=1              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [คลิกเพื่อฟัง]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=37&siri=10              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=37&i=26              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=37&A=391              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=3116              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=37&A=391              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=3116              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ http://84000.org/tipitaka/read/?index_37              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/kv1.1/en/aung-rhysdavids#pts-cs1.1.130

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วไม่แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]