ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๒ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๙ มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๓
ปัญหาวาร
[๕๔๖] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่โลภะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุ ที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และโลภะ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และปฏิฆะและจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายโดยเหตุปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุ- *ปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะเป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายโดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่ สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๕๔๗] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูลในหัวข้อปัจจัย แม้ทั้ง ๓
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณา กุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌาน แล้วพิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม โลภะ และปฏิฆะ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ที่เป็นคันถวิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม และโลภะ และปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่ เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะเกิดขึ้น คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัสและปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัสและปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหคตด้วย- *โทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น [๕๔๘] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ โลภะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายและโลภะ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถ- *กรรม ฯลฯ แล้วกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลกระทำกุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อนให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลาย ออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้วพิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถ- *วิปปยุตตธรรม และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน พิจารณาฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถ- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม และโลภะ ให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *สัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่ สหรคตด้วยโมหะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น [๕๔๙] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ปฏิฆะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิด ก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และโลภะ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดหลังๆ และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิฆะที่ สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ ที่เกิดหลังๆ โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิฆะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และ โลภะ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิฆะที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่เกิดหลังๆ และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ และ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *สัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดก่อนๆ และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดก่อนๆ และโลภะ เป็นปัจจัยแก่โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิด ก่อนๆ และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต วิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และโลภะ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่เกิดหลังๆ และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย [๕๕๐] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล
พึงกระทำอุปนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ นัย
คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย
พึงถามถึงมูล
พึงกระทำอุปนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ นัย
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ แล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เสนาสนะ เป็น ปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ ฯลฯ มานะ ความปรารถนา ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ ความปรารถนา เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และ โลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดย อุปนิสสยปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตต- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม แก่โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และปฏิฆะ โดย อุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๕๑] คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภ ความยินดีนั้น ราคะที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม และโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และปฏิฆะ โดยปุเรชาตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะที่เป็นคันถสัมปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะและขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส และปฏิฆะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๕๕๒] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ นัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย มี ๑ นัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิด ภายหลัง และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๕๕๓] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย อาวัชชนะก็ดี วุฏฐานะก็ดี มีไม่ [๕๕๔] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่โลภะและจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และโลภะ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๕๕๕] คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย วิปากปัจจัย มี ๑ นัย [๕๕๖] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อาหารปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ นัย [๕๕๗] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ พึงจำแนก คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ แก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรมเป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตต- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต วิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๕๕๘] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ พึงจำแนก คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ พึงจำแนก คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปฏิฆะที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ แก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอัตถิปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปป- *ยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิ- *ปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่โลภะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และโลภะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และปฏิฆะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๕๕๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๖๐] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *สัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม และวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๖๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๖๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ [๕๖๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำอนุโลมมาติกาให้พิสดาร
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
คันถสัมปยุตตทุกะ จบ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๒ บรรทัดที่ ๙๙๓๓-๑๐๔๙๒ หน้าที่ ๔๐๖-๔๒๘. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=42&A=9933&Z=10492&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=42&A=9933&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5], [6], [7]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=42&siri=70              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=42&i=546              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=42&A=6474              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=42&A=6474              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๒ http://84000.org/tipitaka/read/?index_42

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]