ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วไม่แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๔ กถาวัตถุปกรณ์
สมันนาคตกถา อีกกถาหนึ่ง
[๙๘๕] สกวาที บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลเป็นผู้ประกอบด้วยผล ๓ หรือ? ปรวาที ถูกแล้ว @๑. วิ. มหาวรรค เล่ม ๑ หน้า ๑๙, สํ. มหาวาร ข้อ ๑๖๖๖ หน้า ๕๒๙

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๓๙๖.

ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล เป็นผู้ประกอบด้วย ผัสสะ ๔ เวทนา ๔ สัญญา ๔ เจตนา ๔ จิต ๔ สัทธา ๔ วิริยะ ๔ สติ ๔ สมาธิ ๔ ปัญญา ๔ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๘๖] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยผล ๒ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยผัสสะ ๓ เวทนา ๓ ฯลฯ ปัญญา ๓ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๘๗] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดา- ปัตติผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยผัสสะ ๒ เวทนา ๒ ฯลฯ ปัญญา ๒ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๘๘] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติ- ผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นพระโสดาบัน ผู้สัตตขัตตุ- ปรมะ ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๘๙] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยสกทาคามิผล หรือ?

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๓๙๗.

ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นพระสกทาคามี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๐] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยอนาคามิผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นพระอนาคามี ผู้อันตรา- ปรินิพพายี ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ผู้อสังขารปรินิพพายี ผู้สสังขารปรินิพพายี ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๑] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติ- ผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นพระโสดาบัน ผู้สัตต- ขัตตุปรมะ ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๒] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยสกทาคามิ- ผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นพระสกทาคามี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๓] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดา- ปัตติผล หรือ?

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๓๙๘.

ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นพระโสดาบัน ผู้สัตต- ขัตตุปรมะ ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๔] ส. ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล พึงเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติ- ผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลองค์นั้น พระโสดาบันก็องค์นั้นแหละ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๕] ส. ผู้ประกอบด้วยสกทาคามิผล พึงเรียกว่า พระสกทาคามี หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยสกทา- คามิผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลองค์นั้น พระสกทาคามีก็องค์นั้นแหละ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๖] ส. ผู้ประกอบด้วยอนาคามิผล พึงเรียกว่า พระอนาคามี หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยอนาคามิผล หรือ?

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๓๙๙.

ป. ถูกแล้ว ส. ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลองค์นั้น พระอนาคามีก็องค์นั้นแหละ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๗] ส. ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล พึงเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัต- ติผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผลองค์นั้น พระโสดาบันก็องค์นั้นแหละ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๘] ส. ผู้ประกอบด้วยสกทาคามิผล พึงเรียกว่า พระสกทาคามี หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยสกทาคา- มิผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผลองค์นั้น พระสกทาคามีก็องค์นั้น แหละ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๙๙๙] ส. ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล พึงเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดา- ปัตติผล หรือ?

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๐.

ป. ถูกแล้ว ส. ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผลองค์นั้น พระโสดาบันก็องค์นั้น แหละ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๐๐] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดา- ปัตติผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยโสดาปัตติผลไปแล้ว มิใช่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยโสดาปัตติผลไป แล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลเป็นผู้ ประกอบด้วยโสดาปัตติผล [๑๐๐๑] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยโสดาปัตติผลไปแล้ว แต่ ยังประกอบด้วยโสดาปัตติผลนั้น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลเลยโสดาปัตติมรรคไปแล้ว เลย สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ราคะที่เป็นอปายคามี โทสะที่ เป็นอปายคามี โมหะที่เป็นอปายคามีไปแล้ว แต่ยังประกอบด้วยโมหะที่ เป็นอปายคามีนั้น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๐๒] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยสกทาคา- มิผล หรือ? ป. ถูกแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๑.

ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยสกทาคามิผลไปแล้ว มิ ใช่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยสกทาคามิผลไป แล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลเป็นผู้ ประกอบด้วยสกทาคามิผล [๑๐๐๓] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยสกทาคามิผลไปแล้ว แต่ ยังประกอบด้วยสกทาคามิผลนั้น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยสกทาคามิมรรคไปแล้ว เลยกามราคะอย่างหยาบ พยาบาทอย่างหยาบ ไปแล้ว แต่ยังประกอบ ด้วยพยาบาทอย่างหยาบนั้น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๐๔] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยอนาคามิผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยอนาคามิผลไปแล้ว มิใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยอนาคามิผลไป แล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็น ผู้ประกอบด้วยอนาคามิผล [๑๐๐๕] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยอนาคามิผลไปแล้ว แต่ ยังประกอบด้วยอนาคามิผลนั้น หรือ?

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๒.

ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เลยอนาคามิมรรคไปแล้ว เลย กามราคะอย่างละเอียด พยาบาทอย่างละเอียดไปแล้ว แต่ยังประกอบด้วย พยาบาทอย่างละเอียดนั้น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๐๖] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัต- ติผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยโสดาปัตติผลไปแล้ว มิ ใช่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยโสดาปัตติผลไป แล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็น ผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล [๑๐๐๗] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยโสดาปัตติผลไปแล้ว แต่ ยังประกอบด้วยโสดาปัตติผลนั้น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยโสดาปัตติมรรคไปแล้ว เลยสักกายทิฏฐิ ฯลฯ โมหะที่เป็นอปายคามีไปแล้ว แต่ยังประกอบด้วย โมหะที่เป็นอปายคามีนั้น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๐๘] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยสกทาคามิ- ผล หรือ? ป. ถูกแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๓.

ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยสกทาคามิผลไปแล้ว มิใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยสกทาคามิผลไป แล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผลเป็นผู้ ประกอบด้วยสกทาคามิผล [๑๐๐๙] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยสกทาคามิผลไปแล้ว แต่ ยังประกอบด้วยสกทาคามิผลนั้น หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เลยสกทาคามิมรรคไปแล้ว เลยกามราคะอย่างหยาบ พยาบาทอย่างหยาบไปแล้ว แต่ยังประกอบด้วย พยาบาทอย่างหยาบนั้น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๑๐] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดา- ปัตติผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เลยโสดาปัตติผลไปแล้วมิใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เลยโสดาปัตติผล ไปแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล [๑๐๑๑] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เลยโสดาปัตติผลไปแล้ว แต่ยังประกอบด้วยโสดาปัตติผลนั้น หรือ?

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๔.

ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เลยโสดาปัตติมรรคไปแล้ว เลยสักกายทิฏฐิ ฯลฯ โมหะที่เป็นอปายคามีไปแล้ว แต่ยังประกอบด้วย โมหะที่เป็นอปายคามีนั้น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๑๒] ป. ไม่พึงกล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลเป็นผู้ประกอบ ด้วยผล ๓ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ได้ผล ๓ แล้ว และไม่เสื่อม จากผล ๓ นั้น มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผลได้ผล ๓ แล้ว และไม่ เสื่อมจากผล ๓ นั้น ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล เป็นผู้ประกอบด้วยผล ๓ [๑๐๑๓] ป. ไม่พึงกล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผลเป็นผู้ประกอบ ด้วยผล ๒ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ได้ผล ๒ แล้ว และไม่เสื่อม จากผล ๒ นั้น มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ได้ผล ๒ แล้ว และ ไม่เสื่อมจากผล ๒ นั้น ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เป็นผู้ประกอบด้วยผล ๒

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๕.

[๑๐๑๔] ป. ไม่พึงกล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผลเป็นผู้ประกอบ ด้วยโสดาปัตติผล หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ได้โสดาปัตติผลแล้ว และ ไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผลนั้น มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ได้โสดาปัตติผลแล้ว และไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผลนั้น ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผลเป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัต- ติผล [๑๐๑๕] ส. เพราะบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ได้ผล ๓ แล้ว และไม่ เสื่อมจากผล ๓ นั้น ฉะนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล จึงเป็นผู้ประกอบด้วยผล ๓ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เพราะบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ได้มรรค ๔ แล้ว และ ไม่เสื่อมจากมรรค ๔ นั้น ฉะนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล จึงเป็นผู้ประกอบด้วยมรรค ๔ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๑๖] ส. เพราะบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ได้ผล ๒ แล้ว และ ไม่เสื่อมจากผล ๒ นั้น ฉะนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิ- ผล จึงเป็นผู้ประกอบด้วยผล ๒ หรือ? ป. ถูกแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------------------- หน้าที่ ๔๐๖.

ส. เพราะบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ได้มรรค ๓ แล้ว และ ไม่เสื่อมจากมรรค ๓ นั้น ฉะนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคา- มิผล จึงเป็นผู้ประกอบด้วยมรรค ๓ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๐๑๗] ส. เพราะบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ได้โสดาปัตติผลแล้ว และไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผลนั้น ฉะนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง สกทาคามิผล จึงเป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เพราะบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ได้มรรค ๒ แล้ว และ ไม่เสื่อมจากมรรค ๒ นั้น ฉะนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคา- มิผล จึงเป็นผู้ประกอบด้วยมรรค ๒ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สมันนาคตกถา อีกกถาหนึ่ง จบ
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ บรรทัดที่ ๙๕๓๓-๙๗๘๗ หน้าที่ ๓๙๕-๔๐๖. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=37&A=9533&Z=9787&pagebreak=1              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=37&siri=61              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=37&i=985              ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [985-1017] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=37&item=985&items=33              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=4656              The Pali Tipitaka in Roman :- [985-1017] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=37&item=985&items=33              The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=4656              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ https://84000.org/tipitaka/read/?index_37              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/kv4.9/en/aung-rhysdavids

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วไม่แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :