พอสิ้นสุดพุทธดำรัสพระเถรีก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
และ
เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงคิดว่า เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นมาเพื่อต้องการน้ำอุ่น
พอเห็นเรา
แล้วไม่ทันได้ใคร่ครวญ ก็จะพูดล่วงเกินดูหมิ่นเราเหมือนก่อน ก็จะได้รับบาปกรรมอันหนัก
เรา
ควรจะทำอะไรพอเห็นที่สังเกตให้พวกเขากำหนดรู้สักอย่างหนึ่ง แล้วนางก็ยกภาชนะต้มน้ำ
ขึ้นตั้งบนเตาไฟ แต่มิได้ก่อไฟเพียงแต่ใส่ฟืนเข้าไว้ เมื่อนางภิกษุณีทั้งหลายมาที่โรงครัว
เพื่อจะ
นำน้ำอุ่นไปสรง เห็นมีแต่ภาชนะต้มน้ำอยู่บนเตาไฟแต่ไม่เห็นไฟ จึงกล่าวว่า:-
พวกเราบอกให้หญิงแก่คนนี้ต้มน้ำถวายภิกษุณีเพื่อนำไปสรง จนบัดนี้นางก็ยังไม่ได้
ใส่ไฟในเตาเลย ไม่ทราบว่านางมัวทำอะไรอยู่
พระโสณาเถรี จึงกล่าวว่า:-
ข้าแต่แม่เจ้า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการน้ำอุ่นไปสรง ก็จงตักเอาจากภาชนะนั้นเถิด
แล้วพระเถรี ก็อธิษฐานเตโชธาตำทำให้น้ำนั้นอุ่นขึ้นทันที
ภิกษุณีทั้งหลายได้ฟังคำของนางแล้วก็คิดว่า คงจะมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็น
แน่ จึงทดลองใช้มือจุ่มลงในภาชนะ ก็ทราบว่าเป็นน้ำอุ่น จึงตักเอาไปสรงทั่วกัน
แต่ว่าตักสัก
เท่าใด น้ำก็ยังปรากฏเต็มภาชนะอยู่เช่นเดิม ภิกษุณีทั้งหลายจึงทราบชัดว่า พระเถรีนี้
สำเร็จเป็น
พระอรหันต์แล้ว ต่างก็พากันตกใจ
นางภิกษุณี ผู้มีวัยอ่อนกว่า ก็ก้มกราบแทบเท้ากล้าวขอขมาโทษว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
พวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน พระความเขลาเบาปัญญา มิได้พิจารณาให้รอบครอบ
ตลอดกาลนานมาแล้ว ขอพระแม่เจ้าจงเมตตาอดโทษแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด
ส่วนนางภิกษุณีผู้มีวัยแก่กว่าก็นั่งกระหย่ง (นั่งคุกเข่า) กล่าวขอขมาให้อดโทษานุโทษให้
เช่นกัน โดยขอขมาโทษด้วยคำว่า ข้าแต่พระแม่เจ้าพวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน
โดยมิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลนานมาแล้ว ขอท่านจงอเมตตาอดโทษให้พวกข้าพเจ้า
ด้วยเถิด