บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] หน้าต่างที่ ๒ / ๒. ในศีลนั้นมีวิธีชำระให้หมดจด ๓ อย่าง คือ ไม่ต้องอาบัติ ๑ ออกจากอาบัติที่ต้องแล้ว ๑ ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลสทั้งหลาย ๑. จริงอยู่ ภาวนาย่อมสำเร็จแก่กุลบุตรผู้มีศีลบริสุทธิ์อย่างนั้น. กุลบุตรควรบำเพ็ญ จริงอยู่ กุลบุตรใดพึงกล่าวว่า เรารักษาศีลอยู่, กรรมด้วยอภิสมาจาริกวัตรจะมีประโยชน์อะไร? ข้อที่ศีลของกุลบุตรนั้นจักบริบูรณ์ได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. แต่เมื่ออภิสมาจาริกวัตรบริบูรณ์ ศีลก็จะบริบูรณ์. เมื่อศีลบริบูรณ์ สมาธิย่อมถือเอาห้อง. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุนั้นหนอไม่บำเพ็ญธรรม คือ เรื่องนี้ควรให้พิสดาร. เพราะเหตุฉะนั้น กุลบุตรนี้ควรบำเพ็ญแม้วัตร มีเจติยังคณวัตรเป็นต้น ที่ท่านเรียกว่าอภิสมาจาริวัตร ให้บริบูรณ์ด้วยดีเสียก่อน. เบื้องหน้าแต่การชำระศีลให้หมดจดนั้น ก็ควรตัดปลิโพธ (ความกังวล) อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในบรรดาปลิโพธ ๑๐ อย่างที่พระอาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ปลิโพธ (ความกังวล) ๑๐ อย่างนั้น คือ อาวาส ๑ ตระกูล ๑ ลาภ (คือปัจจัยสี่) ๑ คณะ (คือหมู่) ๑ การงาน (คือการก่อสร้าง) เป็นที่ คำรบห้า ๑ อัทธานะ (คือเดินทางไกล) ๑ ญาติ ๑ อาพาธ ๑ คัณฐะ (คือการเรียนปริยัติ) ๑ อิทธิฤทธิ์ ๑. กุลบุตรผู้ตัดปลิโพธได้อย่างนี้แล้ว จึงควรเรียนกรรมฐาน. ____________________________ ๑- องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๒๑/หน้า ๑๕-๑๖. [กรรมฐาน ๒ พร้อมทั้งอธิบาย] จริงอยู่ ภิกษุผู้จะเจริญกรรมฐาน ครั้งแรกต้องตัดปลิโพธเสียก่อน แล้วจึงเจริญเมตตาไปในหมู่ภิกษุผู้อยู่ในสีมา, ลำดับนั้น พึงเจริญไปในเหล่าเทวดาผู้อยู่ในสีมา, ถัดจากนั้นพึงเจริญไปในอิสรชนในโคจร แท้จริง ภิกษุนั้นทำพวกชนผู้อยู่ร่วมกันให้เกิดมีจิตอ่อนโยน เพราะเมตตาในหมู่ภิกษุ. เวลานั้น เธอจะมีความอยู่เป็นสุข. เธอย่อมเป็นผู้อันเหล่าเทวดาผู้มีจิตอ่อนโยน เพราะเมตตาในเหล่าเทวดาผู้อยู่ในสีมาจัดการอารักขาไว้เป็นอย่างดี ด้วยการรักษาที่ชอบธรรม. ทั้งเป็นผู้อันอิสรชนทั้งหลายผู้มีจิตสันดานอ่อนโยน เพราะเมตตาในอิรชนในโคจร อนึ่ง เธอเมื่อคิดว่า เราจะต้องตายแน่แท้ด้วยมรณัสสติ ละการแสวงหาที่ไม่สมควรเสีย เป็นผู้มีความสลดใจเจริญสูงขึ้นเป็นลำดับ ย่อมเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อ เพราะเหตุนั้น คุณธรรมทั้ง ๓ (คือ เมตตา ๑ มรณัสสติ ๑ อสุภสัญญา ๑) นั้นของภิกษุนั้น ท่านเรียกว่าสัพพัตถกกัมมัฏฐาน เพราะทำอธิบายว่าเป็นกรรมฐานอันกุลบุตรพึงปรารถนา คือพึงต้องการในที่ทุกสถาน เพราะเป็นธรรมมีอุปการะมาก และเพราะความเป็นปทัฏฐานแห่งการหมั่นประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรตามที่ประสงค์ไป โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้. ก็บรรดาอารมณ์ ๓๘ ประการ กรรมฐานใดที่คล้อยตามจริตของกุลบุตรใด กรรม ในอธิการว่าด้วยอานาปานกัมมัฏฐานนี้ มีความสังเขปเท่านี้. ส่วนความพิสดารนักศึกษาผู้ต้องการกถาว่าด้วย [ควรเรียนกรรมฐานในสำนักพุทธโอรสกระทั่งถึงท่านผู้ได้ฌาน] จริงอยู่ พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระอรหันต์เป็นต้น ย่อมบอกเฉพาะมรรคที่ตนได้บรรลุแล้วเท่านั้น. ส่วนพระวินิจฉยาจารย์นี้เป็นผู้ไม่เลอะเลือน กำหนดอารมณ์เป็นที่สบายและไม่สบายในอารมณ์ทั้งปวงแล้วจึงบอกให้ เหมือนผู้นำไปสู่ทางช้างใหญ่ ในป่าที่รกชัฏฉะนั้น. [กรรมฐานมีสนธิคือที่ต่อ ๕ อย่าง] ภิกษุนั้นควรเป็นผู้มีความประพฤติเบา สมบูรณ์ด้วยวินัยและมรรยาทเข้าไปหาอาจารย์ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว พึงเรียนกรรมฐานมีสนธิ ๕ ในสำนักของอาจารย์นั้นผู้มีจิตอันตนให้ยินดี ด้วยวัตรและข้อปฏิบัติ. ในคำว่า กรรมฐานมีสนธิ ๕ นั้น สนธิมี ๕ อย่างเหล่านี้ คือ อุคคหะ การเรียน ๑ ปริปุจฉา การสอบถาม ๑ อุปัฏฐานะ ความปรากฏ ๑ อัปปนา ความแน่นแฟ้น ๑ ลักษณะ ความกำหนดหมาย ๑. ในอุคคหะเป็นต้นนั้น การ มีคำอธิบายว่า ความใคร่ครวญแห่งสภาพกรรมฐานว่า กรรมฐานนี้มีลักษณะอย่างนี้. ภิกษุเมื่อเรียนกรรมฐานซึ่งมีสนธิ ๕ อย่างนี้ แม้ตนเองก็ไม่ลำบาก ทั้งไม่ต้องรบกวนอาจารย์ให้ลำบาก. เพราะฉะนั้น ควรเรียนอาจารย์ให้บอกแต่น้อย สาธยายตลอดเวลาเป็นอันมาก. ครั้นเรียนกรรมฐานซึ่งมีสนธิ ๕ อย่างนั้นแล้ว ถ้าในอาวาสนั้นมีเสนา ในวิสัยแห่งตติยปาราชิกนี้ มีความสังเขปเท่านี้. ส่วนความพิสดาร นักศึกษาผู้ต้องการกถามรรคนี้ พึงถือเอาจากปกรณ์วิเสส [วิธีมนสิการอานาปานัสสติกรรมฐาน ๘ อย่าง] คือ การนับ การตามผูก การถูกต้อง การหยุดไว้ การกำหนด การเปลี่ยนแปลง ความหมดจดและการเห็นธรรมเหล่านั้นแจ่มแจ้ง. การนับนั่นแล ชื่อว่าคณนา. การกำหนดตามไป ชื่อว่าอนุพันธนา. ฐานที่ลมถูกต้อง ชื่อว่าผุสนา. ความแน่วแน่ชื่อว่าฐปนา. ความเห็นเห็นแจ้ง ชื่อว่าสัลลักขณา. มรรค ชื่อว่าวิวัฏฏนา. ผลชื่อว่าปาริสุทธิ. การพิจารณา ชื่อว่า เตสัญจ ปฏิปัสสนา. [อธิบายวิธีนับลมหายใจเข้าออก] เพราะเมื่อหยุดนับต่ำกว่า ๕ จิตตุปบาทย่อมดิ้นรนในโอกาสคับแคบ ดุจฝูงโคที่รวมขังไว้ในคอกที่คับแคบฉะนั้น. เมื่อนับเกินกว่า ๑๐ ไป จิตตุปบาทก็พะวงอยู่ด้วยการนับเท่านั้น. เมื่อแสดง (การนับ) ให้ขาดในระหว่าง จิตย่อมหวั่นไปว่า กรรมฐานของเราถึงที่สุดหรือไม่หนอ. เพราะฉะนั้น ต้องเว้นโทษเหล่านี้เสียแล้ว จึงค่อยนับ. เมื่อจะนับครั้งแรก ควรนับโดยวิธีนับช้าๆ คือนับอย่างวิธีคนตวงข้าวเปลือก. จริงอยู่ คนตวงข้าวเปลือกตวงเต็มทะนานแล้วบอกว่า ๑ จึงเทลง เมื่อตวงเต็มอีก พบหยากเยื่อบางอย่าง เก็บมันทิ้งเสีย จึงบอกว่า ๑-๑. ในคำว่า ๒-๒ เป็นต้น ก็นัยนี้. กุลบุตรแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บรรดาลมหายใจเข้าและหายใจออก ส่วนใดปรากฏพึงจับเอาส่วนนั้น แล้วพึงกำหนดลมที่กำลังผ่านไปๆ ตั้งแต่ต้นว่า ๑-๑ ไป จนถึงว่า ๑๐-๑๐ เมื่อกุลบุตรนั้นนับอยู่โดยวิธีอย่างนี้ ลมอัสสาสะปัสสาสะที่กำลังผ่านออกและผ่านเข้า ย่อมปรากฏ. ลำดับนั้น กุลบุตรนี้ควรละวิธีนับช้าๆ คือนับอย่างวิธีคนตวงข้าวเปลือกนั้นเสีย แล้วพึงนับโดยวิธีเร็วๆ คือนับอย่างวิธีนายโคบาล. แท้จริง นายโคบาลผู้ฉลาดเอา แม้เมื่อกุลบุตรนี้นับอยู่โดยนัยก่อนอย่างว่ามาแล้วนี้ ลมอัสสาสะและปัสสาสะย่อมปรากฏสัญจรไปมา อย่างรวดเร็ว. ลำดับนั้น เธอรู้อยู่ว่า ลมอัสสาสะและปัสสาสะย่อมสัญจรไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วไม่ถือเอาลมภายในและภายนอก พึงกำหนดเฉพาะลมที่มาถึงช่องๆ เท่านั้น นับอย่างเร็วๆ ทีเดียวว่า ๑-๒-๓-๔-๕ ๑-๒-๓-๔-๕-๖ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐. เพราะว่าในกรรมฐานที่เนื่องด้วยการนับ จิตย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ ด้วยกำลังแห่งการนับเท่านั้น ดุจการหยุดเรือไว้ในกระแสน้ำเชี่ยว ด้วยอำนาจที่เอาถ่อค้ำไว้ฉะนั้น. เมื่อเธอนับอยู่เร็วๆ อย่างนี้กรรมฐานย่อมปรากฏเป็นดุจว่า ดำเนินไปไม่ขาดสาย. เวลานั้น ครั้นเธอรู้ว่า กรรมฐานดำเนินไปไม่ขาดสายแล้ว อย่ากำหนดลมทั้งภายในและภายนอก พึงนับเร็วๆ ตามนัยก่อนนั่นแล. เมื่อเธอส่งจิตเข้าไปพร้อมกับลมที่เข้าไปภายใน ฐานภายในถูกลมกระทบแล้ว ย่อมเป็นเหมือนเต็มด้วยมันข้นฉะนั้น. เมื่อนำจิตออกมาพร้อมกับลมที่ออกมาภายนอก จิตย่อมส่ายไปในอารมณ์มากหลายในภายนอก. แต่ภาวนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ตั้งสติไว้ในโอกาสที่ลมถูกต้อง เจริญอยู่เท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า อย่ากำหนดลมทั้งภายในและภายนอก พึงนับเร็วๆ ตามนัยก่อนนั่นแล. ถามว่า จะพึงนับลมอัสสาสะและปัสสาสะนั่น นานเท่าไร? แก้ว่า พึงนับไปจนกว่าสติที่เว้นจากการนับจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ คือลมอัสสาสะและปัสสาสะ. เพราะว่าการนับ ก็เพื่อจะตัดวิตกที่พล่านไปในภายนอก แล้วตั้งสติไว้ในอารมณ์คือลมอัสสาสะและปัสสาสะเท่านั้น. [อธิบายเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดลมหายใจเข้าออก] จริงอยู่ นาภี (สะดือ) เป็นเบื้องต้นแห่งลมออกไปภายนอก หทัย (หัวใจ) เป็นท่ามกลาง นาสิก (จมูก) เป็นที่สุด. ปลายนาสิกเป็นเบื้องต้นแห่งลมเข้าไปภายใน หทัยเป็นท่ามกลาง นาภีเป็นที่สุด. ก็เมื่อพระโยคาวจรนั้นไปตามเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด (แห่งลมอัสสาสะและปัสสาสะ) นั้น จิตที่ถึงความฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นไปเพื่อความกระวนกระวาย และเพื่อความหวั่นไหว. เหมือนอย่างที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า เมื่อพระโยคาวจรส่งสติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้า กายก็ดี จิตก็ดี ย่อมมีความระส่ำระสาย หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่านไปภายใน เมื่อพระโยคาวจรส่งสติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก กายก็ดี จิตก็ดี ย่อมมีความระส่ำระสาย หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่านไปภายนอก.๑- เพราะฉะนั้น พระโยคาวจร เมื่อมนสิการโดยการตามผูก ไม่พึงมนสิการด้วยอำนาจแห่งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด อนึ่งแลพึงมนสิการด้วยอำนาจการถูกต้อง และด้วยอำนาจการหยุดไว้ เพราะว่าไม่มีการมนสิการเป็นแผนกหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งการถูกต้องและหยุดไว้ เหมือนกับด้วยอำนาจแห่งการนับและการตามผูก. แต่พระโยคาวจรเมื่อนับอยู่ในฐานที่ลมถูกต้องแล้วๆ นั่นแหละชื่อว่ามนสิการด้วยการนับและการถูกต้อง. พระโยคาวจร เมื่อหยุดพักการนับในฐานที่ลมถูกต้องแล้วๆ นั้นนั่นแล ใช้สติตามผูกลม ใจความนี้นั้น พึงทราบด้วยข้ออุปมาเหมือนคนง่อยและคนรักษาประตูที่ท่าน ____________________________ ๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๖๙/หน้า ๒๔๙. [ข้ออุปมาเหมือนคนง่อยโล้ชิงช้า] เปรียบเหมือนคนง่อยไกวชิงช้า ให้แก่มารดาและบุตรผู้เล่นชิงช้าอยู่ แล้วนั่งอยู่ที่โคนเสาชิงช้าในที่นั้นนั่นเอง เมื่อกระดานชิงช้าไกวไปอยู่โดยลำดับ ย่อมเห็นที่สุดทั้งสองข้างและตรงกลาง แต่มิได้ขวนขวายเพื่อจะดูที่สุดทั้งสองข้างและตรงกลาง แม้ฉันใด ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยืนที่ใกล้โคนเสาอันเข้าไปผูกไว้ด้วยอำนาจสติแล้วโล้ชิงช้าคือลมหายใจเข้าและหายใจออก นั่งอยู่ด้วยสติ ในนิมิตนั้นนั่นเองส่งสติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้าและหายใจออก ในฐานที่ลมถูกต้องแล้วซึ่งพัดผ่านมาและผ่านอยู่โดยลำดับ และตั้งจิตเฉยไว้ในนิมิตนั้น และไม่ขวนขวายเพื่อจะแลดูลมเหล่านั้น. นี้เป็นข้ออุปมาเหมือนคนง่อย. [ข้ออุปมาเหมือนคนรักษาประตู] คนรักษาประตูจะไม่สอบสวนบุรุษทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกพระนครว่า ท่านเป็นใคร? มาแต่ไหน? จะไปไหน? หรือว่า ในมือของท่านมีอะไร? ความจริง พวกมนุษย์ผู้เดินไปทั้งภายในและภายนอกพระนครเหล่านั้นไม่ใช่หน้าที่ของคนรักษาประตูนั้น แต่เขาย่อมสอบสวนเฉพาะคนผู้มาถึงประตูแล้วๆ เท่านั้น แม้ฉันใด ลมที่เข้าไปข้างในและลมที่ออกไปข้างนอก ย่อมไม่เป็นหน้าที่ของภิกษุนี้ฉันนั้นเหมือนกัน จะเป็นหน้าที่ก็เฉพาะแต่ลมที่มาถึงช่องแล้วๆ เท่านั้น. นี้เป็นข้ออุปมาเหมือนคนรักษาประตู. [การกำหนดลมหายใจเปรียบเหมือนเลื่อย] สมดังคำที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว และ เมื่อบุคคลไม่รู้ธรรมทั้ง ๓ ประการ ย่อมไม่ ได้ภาวนา (ภาวนาย่อมไม่สำเร็จ). นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว และ เมื่อบุคคลรู้ซึ่ธรรม ๓ ประการ ย่อมได้ภาวนา. ถามว่า ธรรม ๓ ประการเหล่านี้จะไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวและธรรม ๓ ประการเหล่านี้จะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตจะไม่ถึงความฟุ้งซ่าน ประธาน (ความเพียร) ย่อมปรากฏ แลพระโยคาวจรจะทำประโยคให้สำเร็จ ได้บรรลุคุณวิเศษอย่างไร. แก้ว่า เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้บนภาคพื้นที่เรียบเสมอ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมปรากฏด้วยอำนาจแห่งฟันเลื่อยที่ถูกต้นไม้ และเขาย่อมไม่ได้ใฝ่ใจถึงฟันเลื่อยที่ผ่านมาหรือผ่านไป ทั้งฟันเลื่อยที่ผ่านมาหรือผ่านไป จะไม่ปรากฏก็หามิได้ ประธาน (ความเพียรในการตัดต้นไม้) ย่อมปรากฏ และเขาย่อมให้ประโยค (กิริยาที่ตัดต้นไม้นั้น) สำเร็จได้.๑- นิมิตคือสติเป็นเครื่องเข้าไปผูกไว้ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้บนภาค ____________________________ ๑- บาลีที่มาเดิม มีศัพท์ว่า วิเสสมธิจฺฉติ. ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๔/หน้า ๒๕๗. คำว่า ประธาน ความว่า ประธานเป็นไฉน? กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมควรแก่การงาน, นี้เป็นประธาน. ประโยคเป็นไฉน? ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมละอุปกิเลสได้ วิตกย่อมสงบไป, นี้เป็นประโยค. คุณพิเศษเป็นไฉน? ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมหมดสิ้นไป, นี้เป็นคุณพิเศษ. ธรรม ๓ ประการเหล่านี้ย่อมไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว และธรรม ๓ ประการเหล่านี้จะไม่ปรากฏ ก็หามิได้, จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่าน, ประธาน (ความเพียร) ย่อมปรากฏ, และพระโยคาวจรทำให้ประโยค (การหมั่นประกอบภาวนา) สำเร็จได้ ทั้งได้บรรลุคุณพิเศษด้วย. ภิกษุใด เจริญอานาปานัสสติให้บริบูรณ์ดี อบรมมาโดยลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไว้แล้ว, ภิกษุนั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือน พระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้นแล.๒- ____________________________ ๒- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๖/หน้า ๒๕๗. ข้อนี้อุปมาเหมือนเลื่อย. ก็ในข้ออุปมาเหมือนเลื่อยนี้ พึงทราบว่า เหตุเพียงไม่ใฝ่ใจด้วยอำนาจลมหาย เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า กายไม่กระสับกระส่าย ย่อมเป็นของเบาฉะนั้น. เมื่อลมอัสสาสะและปัสสาสะที่หยาบดับไปแล้ว จิตของภิกษุนั้นมีนิมิต คือลมอัสสาสะและปัสสาสะที่ละเอียดเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นไป, แม้เมื่อจิตดวงนั้นดับไปแล้ว จิตดวงต่อๆ ไปซึ่งมีอารมณ์คือนิมิตที่ละเอียดจนละเอียดกว่าจิตนั้น ย่อมเป็นไปนั่นเทียว. ถามว่า จิตดวงต่อๆ ไป ย่อมเป็นไปอย่างไร? แก้ว่า เปรียบเหมือนบุรุษพึงเอาซี่เหล็กท่อนใหญ่ตีกังสดาล ด้วยการตีเพียงครั้งเดียว เสียงดังพึงเกิดขึ้น, จิตของบุรุษนั้นซึ่งมีเสียงดัง (หยาบ) เป็นอารมณ์ พึงเป็นไป, เมื่อเสียงดังดับไป ต่อจากนั้นภายหลัง จิตซึ่งมีเสียงละเอียดเป็นอารมณ์ พึงเป็นไป, แม้เมื่อจิตซึ่งมีนิมิต คือเสียงละเอียดเป็นอารมณ์นั้นดับไปแล้ว จิตดวงต่อๆ ไปซึ่งมีอารมณ์คือนิมิตที่ละเอียดจนละเอียดกว่าจิต ซึ่งมีนิมิตคือเสียงละเอียดเป็นอารมณ์นั้น ย่อมเป็นไปทีเดียว ฉันใด, จิตซึ่งมีนิมิตคือลมอัสสาสะและปัสสาสะเป็นอารมณ์นั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปฉันนั้น. แม้ข้อนี้สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า๓- เปรียบเหมือนบุคคลตีกังสดาล (เสียงดังคือเสียงหยาบ ย่อมกระจายไปก่อน) ดังนี้เป็นต้น. ____________________________ ๓- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๖/หน้า ๒๗๙. ควรให้พิสดาร. เหมือนอย่างว่า กรรมฐานเหล่าอื่นย่อมปรากฏชัดในชั้นสูงๆ ขึ้นไปฉันใด อานา ก็เมื่อกรรมฐานนั้นไม่ปรากฏอยู่อย่างนั้น ภิกษุนั้นไม่ควรลุกขึ้นจากอาสนะ ตบท่อนหนังไปเสีย. ไม่ควรลุกขึ้นด้วยคิดว่า จะพึงทำอย่างไร? เราจักถามพระอาจารย์ หรือว่า บัดนี้กรรมฐานของเราเสื่อมแล้ว. จริงอยู่ เมื่อเธอให้อิริยาบถกำเริบเดินไป กรรมฐานย่อมปรากฏเป็นของใหม่ๆ เรื่อยไป เพราะเหตุนั้น ควรนั่งอยู่ตามเดิมนั่นแหละ นำ [อุบายเป็นเหตุนำอานาปานัสสติกรรมฐานมา] จริงอยู่ ภิกษุนั้นรู้ว่ากรรมฐานไม่ปรากฏ ควรพิจารณาสำเหนียกอย่างนี้ว่า ชื่อว่าลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ มีอยู่ในที่ไหน? ไม่มีในที่ไหน? ของใครมี? ของใครไม่มี? ภายหลัง เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ก็รู้ได้ว่า ลม แน่ะบัณฑิต ตัวเธอไม่ใช่ผู้อยู่ในท้องของมารดา ไม่ใช่ผู้ดำน้ำ ไม่ใช่เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่ใช่คนตาย ไม่ใช่ผู้เข้าจตุต ภายหลัง เธอนั่นควรตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจที่ลมถูกต้องโดยปกตินั่นเอง ให้มนสิการเป็นไป. จริงอยู่ ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้กระทบโครงจมูกของผู้มีจมูกยาวผ่านไป, กระทบริมฝีปากข้างบนของผู้มีจมูกสั้นผ่านไป. เพราะฉะนั้น เธอนั่นจึงควรตั้งนิมิตไว้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมกระทบฐานชื่อนี้. ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงตรัสว่า๑- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการเจริญอานาปานัสสติ แก่ภิกษุผู้หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่. ____________________________ ๑- ม. อุป. เล่ม ๑๔/ข้อ ๒๘๙/หน้า ๑๙๖-๑๙๗. จริงอยู่ กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมสำเร็จแก่ผู้มีสติ มีความรู้ตัวเท่านั้น แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น กรรมฐานอย่างอื่นนอกจากอานาปานัสสติกรรมฐานนี้ ย่อมปรากฏได้แก่ผู้ที่มนสิการอยู่. แต่อานาปานัสสติกรรมฐานนี้เป็นภาระหนัก เจริญสำเร็จได้ยาก ทั้งเป็นภูมิแห่งมนสิการของมหาบุรุษทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธบุตรเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกรรมฐานต่ำต้อย, ทั้งมิได้เป็นกรรมฐานที่สัตว์ผู้ต่ำต้อยซ่องเสพ, เป็นกรรมฐานสงบและละเอียด โดยประการที่มหาบุรุษทั้งหลายย่อมทำไว้ในใจ. เพราะฉะนั้น ในอานาปานัสสติกรรมฐานนี้จำต้องปรารถนาสติและปัญญาอันมีกำลัง. เหมือนอย่างว่า ในเวลาชุนผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยง แม้เข็มก็จำต้องปรารถนาอย่างเล็ก, แม้ด้ายซึ่งร้อยในบ่วงเข็มก็จำต้องปรารถนาเส้นละเอียดกว่านั้นฉันใด, ในเวลาเจริญกรรมฐานนี้ซึ่งเป็นเช่นกับผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยงก็ฉันนั้นเหมือนกัน สติมีส่วนเปรียบด้วยเข็มก็ดี ปัญญาที่สัมปยุตด้วยสตินั้น มีส่วนเปรียบด้วยด้ายร้อยบ่วงเข็มก็ดี จำต้องปรารถนาให้มีกำลัง. ก็แล ภิกษุผู้ประกอบด้วยสติและปัญญานั้นแล้ว ไม่จำต้องแสวงหาลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้น นอกจากโอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ. เปรียบเหมือนชาวนาไถนาแล้วปล่อยพวกโคถึก ให้บ่ายหน้าไปสู่ที่หากิน ชาวนาผู้ฉลาดประสงค์จะจับโคถึกเหล่านั้นมาเทียมไถอีก จะไม่เดินตามรอยเท้าโคถึกเหล่านั้นเข้าไปยังดง. โดยที่แท้ เขาจะถือเอาเชือกและประตักเดินตรงไปยังท่าน้ำซึ่งโคถึกเหล่านั้นลงทีเดียว นั่งหรือนอนคอยอยู่. เวลานั้น เขาได้เห็นโคเหล่านั้นซึ่งเที่ยวไปสิ้นทั้งวัน แล้วลงไปสู่ท่าน้ำดื่มอาบและกินน้ำแล้ว ขึ้นมายืนอยู่ จึงเอาเชือกผูกแล้วเอาประตักทิ่มแทง นำไปเทียม (ไถ) ทำการงานอีกฉันใด. ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่จำต้องแสวงหาลมหายใจเข้าและหายใจออก นอกจากโอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ แต่พึงถือเอาเชือก คือสติและประตักคือปัญญาแล้ว ตั้งจิตไว้ในโอกาสที่ลมถูกต้องโดยปกติ ยังมนสิการให้เป็นไป. เพราะว่า เมื่อเธอมนสิการอยู่อย่างนั้นต่อกาลไม่นานเลย ลมหายใจเข้าและหายใจออกนั้นจะปรากฏดุจพวกโคปรากฏที่ท่าลงดื่มฉะนั้น. ในลำดับนั้น เธอพึงเอาเชือกคือสติผูกประกอบไว้ในที่นั้นนั่นแหละ แล้วแทงด้วยประตักคือปัญญาตามประกอบกรรมฐานอีก. เมื่อเธอหมั่นประกอบอยู่อย่างนั้น ต่อกาลไม่นานเลย นิมิตจะปรากฏ. อาจารย์บางพวกกล่าวไว้ว่า ก็นิมิตนี้นั้นย่อมไม่เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนวินิจฉัยในอรรถกถา มีดังต่อไปนี้:- จริงอยู่ นิมิตนี้ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป ดุจดวงดาว ดุจพวงแก้วมณีและดุจพวงแก้ว มุกดา, บางรูปปรากฏเป็นของมีสัมผัสหยาบ ดุจเมล็ดฝ้ายและดุจเสี้ยนไม้แก่น, บางรูปปรากฏเป็นดุจสายสังวาลที่ยาว ดุจพวงแห่งดอกคำและดุจเปลวควันไฟ, บางรูปดุจใยแมงมุมที่กว้าง ดุจช่อกลีบเมฆ ดุจดอกปทุม ดุจล้อรถ ดุจมณฑลพระจันทร์และดุจมณฑลพระอาทิตย์ ฉะนั้น. ก็แลกรรมฐานนี้นั้นเป็นอันเดียวกันแท้ๆ แต่ปรากฏโดยความต่างกัน เพราะมีสัญญาต่างกัน เหมือนบรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกันนั่งสาธยายพระสูตรอยู่ เมื่อภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า พระสูตรนี้ย่อมปรากฏแก่พวกท่านเป็นเช่นไร? รูปหนึ่งพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนแม่น้ำไหลตกจากภูเขาใหญ่, อีกรูปอื่นพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนแนวป่าแห่งหนึ่ง, รูปอื่นพูดว่า ย่อมปรากฏแก่ผม เป็นเหมือนรุกชาติที่เพียบพร้อมด้วยภาระคือผลไม้ซึ่งมีร่มเงาเย็น สมบูรณ์ด้วยกิ่ง. จริงอยู่ พระสูตรของเธอเหล่านั้นก็เป็นสูตรเดียวกันนั่นเอง แต่ปรากฏโดยความเป็นของต่างกัน เพราะมีสัญญาต่างกัน ฉะนั้น. ความจริง กรรมฐานนี้เกิดแต่สัญญา มีสัญญาเป็นต้นเหตุ มีสัญญาเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ย่อมปรากฏโดยความต่างกัน เพราะมีสัญญาต่างกัน. [ธรรม ๓ อย่างมีบริบูรณ์กรรมฐานจึงถึงอัปปนา] จริงอยู่ กรรมฐานของภิกษุผู้ไม่มีธรรม ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่ถึงอัปปนา ไม่ถึงอุปจา สมจริงดังคำที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า๑- นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว, และ เมื่อภิกษุไม่รู้ธรรม ๓ ประการ ย่อมไม่ได้ ภาวนา (ย่อมไม่สำเร็จ), นิมิต ลมหายใจเข้า และลมหายใจ ออก มิใช่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว, และ เมื่อภิกษุรู้ซึ่งธรรม ๓ ประการย่อมได้ภาวนา. ____________________________ ๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๓๘๔/หน้า ๒๕๗. พระอาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวทีฆนิกายได้กล่าวไว้อย่างนี้ก่อนว่า ก็เมื่อนิมิตปรากฏแล้วอย่างนั้น ภิกษุนั้นควรไปสำนักของอาจารย์ แล้วบอกว่า นิมิตชื่อเห็นปานนี้ ย่อมปรากฏแก่ผลขอรับ ส่วนอาจารย์ไม่ควรพูดว่า นั่นเป็นนิมิตหรือว่าไม่ใช่นิมิต ควรพูดว่า ย่อมเป็นอย่างนั้นละ คุณ แล้วพึงพูดว่า คุณจงมนสิการบ่อยๆ. จริงอยู่ เมื่ออาจารย์พูดว่า เป็นนิมิต เธอจะพึงถึงความถอยหลัง, เมื่ออาจารย์พูดว่า ไม่ใช่นิมิต เธอก็จะเป็นผู้หมดหวังจมอยู่. เพราะเหตุนั้น ไม่ควรพูดแม้ทั้งสองอย่างนั้น ควรประกอบเธอนั้นไว้ในมนสิการนั่นแล. ส่วนอาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวมัชฌิมนิกายได้กล่าวไว้ว่า เธออันอาจารย์พึงพูดว่า นี้เป็นนิมิต คุณ ขอให้คุณจงมนสิการกรรมฐานบ่อยๆ เถิดสัตบุรุษ! ภายหลัง เธอรูปนั้นพึงตั้งจิตไว้ในนิมิตนั่นเอง. จำเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นนี้ ภาวนานี้ของเธอรูปนั้นย่อมมีได้ด้วยอำนาจการตั้งไว้ด้วยประการอย่างนี้. สมจริงดังคำที่พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า พระโยคีผู้เป็นธีรชน เมื่อตั้งจิตไว้ในนิมิต เจริญลมหายใจเข้า และหายใจออก ซึ่งมีอาการ ต่างๆ อยู่ชื่อว่า ย่อมผูกจิตของตนไว้. จำเดิมตั้งแต่นิมิตปรากฏโดยนัยดังกล่าวแล้วนั้น นิวรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นอันพระโยคีนั้นข่มได้โดยแท้ กิเลสทั้งหลายสงบนิ่ง สติเข้าไปตั้งมั่นทีเดียว จิตก็ตั้งมั่นเช่นกัน. [จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยองค์] ถามว่า สมาธิทั้งสองนั้นมีการทำต่างกันอย่างไร? แก้ว่า อุปจารสมาธิแล่นไปในกุศลวิถีแล้ว ก็หยั่งลงสู่ภวังค์. อัปปนาสมาธิ เมื่อพระโยคีนั่งแนบสนิทตลอดทั้งวัน แล่นไปในกุศลวิถีแม้ตลอดทั้งวัน ก็ไม่หยั่งลงสู่ภวังค์. บรรดาสมาธิ ๒ อย่างเหล่านี้ จิตย่อมเป็นธรรมชาติตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ เพราะนิมิตปรากฏ. ภายหลัง ภิกษุนี้ไม่พึงมนสิการนิมิตนั้นโดยสี ทั้งไม่พึงพิจารณาโดยลักษณะ. ก็อีกอย่างหนึ่งแล เธออย่าประมาท ควรรักษานิมิตไว้ดุจพระมเหสีของกษัตริย์ ทรงรักษาครรภ์แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ และดุจชาวนารักษารวงแห่งข้าวสาลีและข้าว จริงอยู่ นิมิตที่รักษาไว้ได้ ย่อมจะอำนวยผลแก่เธอ. เมื่อพระโยคีรักษานิมิตไว้ได้ จะไม่ มีความเสื่อม จากอุปจารฌานที่ตนได้แล้ว, เมื่อไม่มีการอารักขา (นิมิต) ฌานที่ตนได้ แล้วๆ ก็จะพินาศไป ฉะนี้แล. [อุบายสำหรับรักษาอานาปานัสสติกรรมฐานไม่ให้เสื่อม] ภิกษุนั้นควรเว้นอสัปปายะ ๗ อย่างเหล่านี้ คือ อาวาส ๑ โคจร ๑ การ พระโยคีนั้น ครั้นทำนิมิตให้มั่นคงด้วยการเสพสัปปายะอย่างนั้นแล้ว ควรรอคอยความเจริญงอกงามไพบูลย์ บำเพ็ญความเพียรไม่ละทิ้งอัปปนาโกศล ๑๐ อย่างเหล่านี้ คือ ทำวัตถุให้สละสลวย ๑ ประคองอินทรีย์ให้เป็นไปเสมอ ๑ ฉลาดในนิมิต ๑ ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑ ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง ๑ ปลอบจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรปลอบจิตให้ร่าเริง ๑ เพ่งดูจิตในสมัยที่ควรเพ่งดู ๑ เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ๑ เสพบุคคล เมื่อพระโยคีนั้นหมั่นประกอบโดยนัยดังกล่าวมาอย่างนี้อยู่ มโน อีกอย่างหนึ่ง ดวงแรกเรียกว่าบริกรรมและอุปจาระ, ที่ ๒ เรียก จริงอยู่ ชวนะดวงที่ ๔ เท่านั้น บางทีที่ ๕ ย่อมเป็นไป๑- ไม่ถึงดวงที่ ๖ หรือที่ ๗ เพราะอาสัน ____________________________ ๑- โยชนา ๑/๓๓๘ แก้ อปฺเปติ เป็น ปวตฺตติ ส่วนพระโคทัตตเถระผู้ชำนาญอภิธรรมกล่าวไว้ว่า กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเป็นธรรมมีกำลัง โดยอาเสวนปัจจัย เพราะฉะนั้น ชวนะย่อมถึงที่ ๖ หรือที่ ๗. คำนั้นถูกคัดค้านในอรรถกถาทั้งหลาย. ในชวนจิตเหล่านั้น จิตที่เป็นบุรพภาคเป็นกามาวจร ส่วนอัปปนาจิตเป็นรูปา ในอธิการนี้ มีสังเขปกถาเท่านี้ ส่วนนักศึกษาผู้ต้องการความพิสดาร พึงถือเอาจากปกรณ์วิเสส ชื่อวิสุทธิมรรคเถิด. ส่วนในกายานุปัสสนานี้ ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌานแล้วอย่างนั้น ถามว่า เริ่มตั้งวิปัสสนาอย่างไร? แก้ว่า จริงอยู่ พระโยคีนั้น ครั้นออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งองค์ฌานเหล่านั้น ย่อมเห็นภูตรูปซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งหทัยวัตถุนั้น และย่อมเห็นกรัชกายแม้ทั้งสิ้นซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งภูตรูปเหล่านั้น. ในลำดับแห่งการเห็นนั้น เธอย่อมกำหนดรูปและอรูปว่า องค์ฌานจัดเป็นอรูป, (หทัย) วัตถุเป็นต้นจัดเป็นรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้นครั้นออกจากสมาบัติแล้ว กำหนดภูตรูปทั้ง ๔ ด้วยอำนาจ |