บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] ทีฆนิกาย มหาวรรควรรณนา อรรถกถามหาปทานสูตร ต่อไปนี้เป็นการพรรณนาบทตามลำดับในมหาปทานสูตรนั้น. บทว่า ในกเรริ ในบทว่า กเรริกุฏิกายํ เป็นชื่อของไม้กุ่มน้ำ กเรริมณฑปตั้งอยู่ใกล้ประตูกุฎีนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่ากเรริกุฎี เหมือนท่านเรียกว่าโกสัมพกุฏี เพราะตั้งอยู่ใกล้ประตูต้นเล็บเหยี่ยว. นัยว่าภายในพระวิหารเชตวัน มีเรือนใหญ่อยู่ ๔ หลัง คือกเรริกุฎี โกสัมพกุฎี คันธกุฎี สฬลฆระ (เรือนไม้สน) หลังหนึ่งๆ สำเร็จด้วยการบริจาคทรัพย์หลังละหนึ่งแสน. ใน ๔ หลังนั้นพระเจ้าปเสนทิทรงสร้างสฬลฆระ ที่เหลืออนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้าง. เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประทับอยู่ ณ กเรริกุฎี โดยที่อนาถบิณฑิกคฤหบดีได้สร้างทิพยพฤกษ์ ดุจเทววิมานไว้เบื้องบนเสาทั้งหลาย. บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ความว่า เมื่อภิกษุ บทว่า ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตานํ ความว่า เมื่อภิกษุ บทว่า กเรริมณฺฑลมาเล ความว่า ณ ศาลานั่งซึ่งสร้างไว้ไม่ไกลกเรริมณฑปนั่นเอง. ได้ยินว่า กเรริมณฑปนั้นอยู่ในระหว่างคันธกุฎีและศาลา. เพราะฉะนั้น คันธ บทว่า ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตา ความว่า ธรรมีกถาประกอบด้วยบุพเพ บทว่า ธมฺมี คือประกอบด้วยธรรม. บทว่า อุทปาทิ ความว่า บุพเพนิวาสญาณของพระทศพลน่าอัศจรรย์จริง. ถามว่า ชื่อว่าบุพเพนิวาส ใครระลึกได้ ใครระลึกไม่ได้ ตอบ เดียรถีย์ระลึกได้ พระสาวก พระปัจเจกพุทธะระลึกได้. เดียรถีย์พวกไหนระลึกได้. เดียรถีย์เหล่าใดถึงความเป็นผู้เลิศเป็นกรรมวาที เดียรถีย์แม้เหล่านั้นก็ระลึกได้ตลอด ๔๐ กัปเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นไม่ได้. พระสาวกระลึกได้แสนกัป. พระอัครสาวกทั้งสองระลึกได้อสงไขยและแสนกัป. พระปัจเจกพุทธะระลึกได้สองอสงไขยและแสนกัป. แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีกำหนดเท่านั้นเท่านี้. พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงระลึกเท่าที่ทรงหวัง เดียรถีย์ทั้งหลายระลึกได้ตามลำดับขันธ์ พ้นลำดับแล้วไม่สามารถระลึกได้. เดียรถีย์ทั้งหลาย แม้ระลึกได้ตามลำดับก็ถึงความเป็นผู้ไม่มีความรู้สึก ย่อมไม่เห็นความเป็นไปของขันธ์ เหมือนนกตกลงไปในตาข่าย และคนพิการตกลงไปในหลุม. เขาเหล่านั้นตกแล้วในที่นั้น ย่อมเห็นว่าเท่านี้เอง ยิ่งกว่านี้ไม่มี. ด้วยเหตุนี้ การระลึกถึงบุพเพสันนิวาสของพวกเดียรถีย์ย่อมเป็นเหมือนคนตาบอดเดินไปด้วยปลายไม้เท้า. ธรรมดาคนตาบอด เมื่อยังมีคนถือปลายไม้เท้าอยู่ย่อมเดินไปได้ เมื่อไม่มีก็นั่งอยู่ที่นั้นเองฉันใด พวกเดียรถีย์ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมสามารถระลึกถึงได้ตามลำดับขันธ์ เว้นลำดับเสียแล้วย่อมไม่สามารถระลึกได้. แม้พระสาวกทั้งหลาย ก็ระลึกถึงตามลำดับขันธ์ได้ ครั้นถึงความเป็นผู้ไม่มีความรู้สึก ย่อมไม่เห็นความเป็นไปของขันธ์. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชื่อว่ากาลอันไม่มีแห่งขันธ์ทั้งหลายของสัตว์ผู้ท่องเที่ยวไปสู่วัฏฏะเหล่านั้นย่อมไม่มี แต่ในอสัญญภพย่อมเป็นไป ๕๐๐ กัป เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายก้าวล่วงกาลประมาณเท่านี้ ตั้งอยู่ในคำแนะนำอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประทานแล้ว ย่อมระลึกถึงข้างหน้าได้เหมือนท่านโสภิตะฉะนั้น. อนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสองและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตรวจดูจุติและปฏิสนธิแล้ว ย่อมระลึกถึงได้. กิจคือจุติและปฏิสนธิของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มี. พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระประสงค์จะทรงเห็นฐานะใดๆ ย่อมทรงเห็นฐานะนั้นๆ ทีเดียว. อนึ่ง เดียรถีย์ทั้งหลายเมื่อระลึกถึงบุพเพสันนิวาสย่อมระลึกถึงสิ่งที่ตนเห็นแล้ว กระทำแล้ว ฟังแล้วเท่านั้น. พระสาวกทั้งหลายและพระปัจเจกพุทธะทั้งหลายก็เหมือนอย่างนั้น. แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงระลึกถึงสิ่งทั้งหมดที่เดียวที่พระองค์หรือผู้อื่นเห็นแล้ว บุพเพนิวาสญาณของพวกเดียรถีย์เป็นเช่นกับแสงหิ่งห้อย ของพระสาวกทั้งหลายเป็นเช่นกับแสงประทีป ของพระอัครสาวกเป็นเช่นกับแสงดาวประกายพฤกษ์ ของพระปัจเจกพุทธะทั้งหลายเป็นเช่นกับแสงพระจันทร์ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นกับแสงสุริยมณฑลพันดวง. พระพุทธเจ้านั้นไม่กำหนดประมาณเท่านี้ว่า ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ หรือร้อยกัป พันกัป แสนกัป เมื่อพระพุทธเจ้าทรงระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมไม่พลาด ย่อมไม่ขัดข้องโดยแท้ ความนึกคิดต่อเนื่องกันย่อมเป็นความต่อเนื่องกันด้วยความหวัง ความไตร่ตรองและจิตตุปบาทนั่นเอง บุพเพนิวาสญาณย่อมแล่นไป ไม่ติดขัดดุจลูกศรเหล็กแล่นไปฉับพลันในกองใบไม้ที่ผุ และดุจอินทวัชระที่ซัดไปบนยอดเขาสิเนรุ. บทว่า อโห มหนฺตํ ภควโต ปุพฺเพนิวาสญาณํ ความว่า การสนทนาเกิดขึ้น คือเป็นไปแล้วปรารภพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการฉะนี้ เพื่อแสดงความทั้งหมดนั้น โดย ข้อความใดที่ควรกล่าวไว้ในบาลีนี้ว่า อสฺโสสิ โข ภควา ฯเปฯ อถ ภควา อนุปฺ อนึ่ง ในสูตรนั้นสนทนาถึงคุณและโทษยังค้างอยู่. ในสูตรนี้สนทนาถึงบุพเพนิวาสญาณ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ภิกษุเหล่านี้สรรเสริญคุณปรารภบุพเพนิวาสญาณของเรา แต่ไม่รู้ความสำเร็จแห่งบุพเพนิวาสญาณของเรา ช่างเถิด เราจักกล่าวถึงความสำเร็จแห่งบุพเพนิวาสญาณนั้น แล้วแสดงแก่พวกเธอ จึงเสด็จมาประทับนั่ง ณ พุทธอาสน์อันประเสริฐซึ่งตามปกติตั้งไว้เพื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่งแสดงธรรม ซึ่งขณะนั้นภิกษุทั้งหลายปูลาดถวายไว้ มีพระพุทธประสงค์จะทรงแสดงธรรมกถาเกี่ยวกับบุพเพนิวาสญาณแก่ภิกษุเหล่านั้น ในที่สุดแห่งคำถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสนทนาเรื่องอะไรกัน และแห่งคำตอบตั้งแต่ต้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากลับจากบิณฑบาตแล้วในเวลาปัจฉาภัต ได้นั่งประชุมกัน ณ โรงกเรริมณฑล แล้วเกิดสนทนาธรรมกันขึ้นเกี่ยวกับบุพเพนิวาสญาณว่า บุพเพนิวาส บุพเพนิวาส ดังนี้พระเจ้าข้า จึง ในบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเฉยฺยาถโน แปลว่า พวกเธอปรารถนาจะฟังหรือไม่หนอ. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายมีใจรื่นเริง เมื่อจะทูลวิงวอนกะพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงกระทำธรรมกถานี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า เอตสฺส คือ การกระทำธรรมกถานี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำทูลวิงวอนของภิกษุเหล่านั้น มีพระพุทธประสงค์จะทรงแสดง จึงทรงชักชวนภิกษุเหล่านั้นในการเงี่ยหูฟังและตั้งใจฟังด้วยดีด้วยพระดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ากระนั้น พวกเธอทั้งหลายจงฟังแล้ว มีพระพุทธประสงค์จะประกาศการระลึกถึงทางอันตัดขาดแล้ว ไม่ทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นับแต่นี้ไปดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยํ วิปสฺสี คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ในกัปใด. แท้จริง ยํ ศัพท์นี้ ใช้ในปฐมาวิภัตติ์ ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อความใดที่ข้าพระองค์สดับมาแล้วรับมาแล้วต่อหน้าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ข้าพระองค์จะกราบทูลข้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ใช้ในทุติยาวิภัตติ์ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ท่านอกิตตยิ พวกข้าพเจ้าได้ถามข้อความอันใดไว้ พวกข้าพเจ้าจะขอถามข้อความอันนั้นอื่น ขอเชิญท่านจงบอกข้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิดดังนี้. ใช้ในตติยาวิภัตติ์ ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ไม่มีช่องว่างด้วยโลกธาตุหนึ่ง ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้. แต่ในบทนี้ พึงทราบว่าใช้ในสัตตมีวิภัตติ์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยสฺมึ กปฺเป แปลว่า ในกัปใด. บทว่า อุทปาทิ ความว่า ยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือเกิดขึ้นแล้ว. บทว่า ภทฺทกปฺเป ความว่า ในสุนทรกัป คือในสาระกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยกย่องกัปนี้ จึงตรัสอย่างนี้. ดังได้ทราบมาว่า ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงบำเพ็ญอภินิ ในที่สุดอสงไขยกัป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ พระองค์เดียวเท่านั้นทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. แม้จากนั้นก็ได้ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหนึ่งอสงไขย. ในที่สุดอสงไขยกัป พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระสุมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ ทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. แม้จากนั้นก็ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหนึ่งอสงไขย. ในที่สุดอสงไขยกัป ต่อไปอีกอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระพุทธเจ้า ๓ พระ ในที่สุดอสงไขยกัป ต่อไปอีกแสนกัป พระผู้มีพระภาคพระนามว่าพระปทุมุตตระ พระองค์เดียวเท่านั้นทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. ต่อจากนี้ไปอีกสามหมื่นกัป พระ ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายทรงอุบัติขึ้น พระเมตเตยยะจักทรงอุบัติขึ้นภายหลัง. กัปนี้เป็นสุนทรกัปเป็นสารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ๕ พระ ถามว่า ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าประมาณเท่านั้น ทรงอุบัติขึ้นแล้วก็ดี จักทรงอุบัติขึ้นก็ดีในกัปนี้ ย่อมเป็นการปรากฏแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นหรือ หรือว่าย่อมเป็นการปรากฏแม้แก่ผู้อื่นด้วย. ตอบว่า ย่อมเป็นการปรากฏแม้แก่ผู้อื่นด้วย. ถามว่า แก่ใคร. ตอบว่า แก่พรหมชั้นสุทธาวาส. จริงอยู่ ในกาลดำรงอยู่แห่งกัป เมื่อโลกสันนิวาสดำรงอยู่ตลอดอสงไขยหนึ่ง ฝนเริ่มตกเพื่อให้โลกดำรงอยู่. ย่อมเป็นเหมือนหิมะตกในสุดแคว้นแต่ต้นเทียว. จากนั้นก็มีรำข้าวประมาณหนึ่ง งาประมาณหนึ่ง ข้าวสารประมาณหนึ่ง ถั่วเขียวประมาณหนึ่ง ถั่วทองประมาณหนึ่ง พุทรา มะขามป้อม ฟักเหลือง ฟักเขียว น้ำเต้า ประมาณหนึ่ง เป็นสายน้ำงอกงามขึ้นโดยลำดับ หนึ่งอุสภะ สองอุสภะ กึ่งคาวุต หนึ่งคาวุต กึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์ สองโยชน์ สามโยชน์ สิบโยชน์ ฯลฯ แสนโยชน์เป็นประมาณ ตั้งอยู่บริบูรณ์ในระหว่างแสนโกฏิจักรวาฬจนถึงอกนิฏฐพรหมโลก. ลำดับนั้น น้ำนั้นตกโดยลำดับ เมื่อน้ำตก เทว ก็ฐานะของมนุสสโลก เหมือนเมื่อน้ำเข้าไปแล้วปิดปากธมกรกเสีย น้ำนั้นก็อยู่ได้ด้วยอำนาจของลม. แผ่นดินย่อมตั้งอยู่ได้เหมือนใบบัวอยู่หลังน้ำ. มหาโพธิบัลลังก์ เมื่อโลกพินาศ จะพินาศในภายหลัง เมื่อโลกดำรงอยู่ก็ดำรงอยู่ก่อน. ณ โพธิบัลลังก์นั้น กอบัวกอหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้นเป็นบุพพนิมิต หากว่าในกัปนั้นของโพธิบัลลังก์นั้น พระ อนึ่ง เมื่อดอกบัวเกิดหากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจักทรงอุบัติก็เกิดดอกเดียว. หากพระพุทธเจ้าจักทรงอุบัติ ๒ องค์ ๓ องค์ ๔ องค์ ๕ องค์ ดอกบัวก็เกิด ๕ ดอก. อนึ่ง ดอกบัวเหล่านั้นเป็นดอกมีช่อติดกันในก้านเดียวนั่นเอง. ท้าวสุทธาวาสพรหมทั้งหลายชวนกันว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พวกเรามากันเถิด จักเห็นบุพนิมิต แล้วพากันมายังมหาโพธิบัลลังก์สถาน ในกัปที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังไม่ทรงอุบัติดอกบัวก็ไม่มี. ทวยเทพทั้งหลายเห็นกอบัวไม่มีดอก ก็มีความเสียใจว่า พ่อคุณเอ๋ย โลกจักมืดมนหนอ สัตว์ทั้งหลายถูกความมืดครอบงำจักเต็มในอบาย เทวโลก ๖ พรหมโลก ๙ จักว่างเปล่า ครั้นเห็นดอกบัวในเวลาบานต่างดีใจว่า เมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทรงก้าวลงสู่ครรภ์พระมารดา ประสูติ ตรัสรู้ ยังธรรมจักรให้เป็นไป ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์หยั่งลงจาก อนึ่ง ดอกบัว ๕ ดอกเกิดขึ้นแล้วในกัปนี้. แม้ท้าวสุทธาวาสพรหมทั้งหลาย ครั้นเห็นดอกบัวเหล่านั้นก็รู้ความนี้ว่า พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติแล้ว องค์ที่ ๕ จักทรงอุบัติต่อไปดังนี้ ด้วยอานุภาพแห่งนิมิตเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ข้อนั้นเป็นการปรากฏแม้แก่ผู้อื่น ดังนี้. อายุปริจฺเฉทวณฺณนา ในบทเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยในการกำหนดอายุ. บททั้งสองนี้ว่า ปริตฺตํ ลหุกํ เป็นไวพจน์ของอายุน้อยนั่นเอง. ด้วยว่า อายุใดน้อย อายุนั้นย่อมเป็นของนิดหน่อยและเยา. บทว่า อปฺปํวา ภิยฺโย คือ อายุเกินกว่า ๑๐๐ ปีมีน้อย. ครั้นยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ย่อมเป็นอยู่ ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี หรือ ๖๐ ปี. แต่คนอายุยืนอย่างนี้หาได้ยากนัก ได้ข่าวว่า คนโน้นอยู่นานอย่างนี้ ควรพากันไปดูในที่นั้นๆ. บรรดาคนมีอายุยืนนั้น นางวิสาขาอุบาสิกาอยู่ได้ ๑๒๐ ปี พราหมณ์โปกขรสาติ พราหมณ์พรหมายุ พราหมณ์เสละ พราหมณ์พาวริยะ พระอานนทเถระ พระ ก็พระโพธิสัตว์แม้ทั้งปวงมีพระวิปัสสีเป็นต้น ถือปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา ด้วยอสังขาริกจิต สหรคตด้วยโสมนัสและสัมปยุตด้วยญาณ อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตา. เมื่อถือปฏิสนธิด้วยจิตดวงนั้นจะมีอายุอสงไขยหนึ่ง. ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าทั้งปวงจึงมีอายุอสงไขยหนึ่ง. ถามว่า เพราะเหตุไร ท่านเหล่านั้นจึงไม่ตั้งอยู่ถึงอสงไขย. ตอบว่า เพราะความวิบัติแห่งฤดูและโภชนะ. จริงอยู่ อายุย่อมเสื่อมบ้าง ย่อมเจริญบ้างด้วยอำนาจแห่งฤดูและโภชนะ. ในข้อนั้น เมื่อใดพระราชาทั้งหลายไม่เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม เมื่อนั้นอุปราช เสนาบดี เศรษฐี สกลนคร สกลรัฐ ก็ย่อมไม่ประกอบด้วยธรรมเหมือนกัน. เมื่อเป็นดังนั้น อารักขเทวดาของชนเหล่านั้น ภุมมเทวดาผู้เป็นมิตรของเทวดาเหล่านั้น อากาสัฎ พระจันทร์พระอาทิตย์ย่อมดำเนินไปลุ่มๆ ดอนๆ เพราะเทวดาเหล่านั้นไม่ประกอบด้วยธรรม. ลมย่อมไม่พัดไปตามทางลม. เมื่อลมไม่พัดไปตามทางลม ย่อมทำให้วิมานซึ่งตั้งอยู่บนอากาศสะเทือน. เมื่อวิมานสะเทือน พวกเทวดาก็ไม่มีจิตใจจะไปเล่นกีฬา เมื่อเทวดาไม่มีจิตใจจะไปเล่นกีฬา ฤดูหนาว ฤดูร้อนย่อมไม่เป็นไปตามฤดูกาล. เมื่อฤดูไม่เป็นไปตามฤดูกาล ฝนย่อมไม่ตกโดยชอบ บางครั้งตก บางครั้งไม่ตก ตกในบางท้องที่ ไม่ตกในบางท้องที่ ก็เมื่อตกย่อมตก ขณะหว่าน ขณะแตกหน่อ ขณะแตกก้าน ขณะออกรวง ขณะออกน้ำนมเป็นต้น ย่อมตกโดยประการที่ไม่เป็นอุปการะแก่ข้าวกล้าเลย และแล้งไปนาน ด้วยเหตุนั้น ข้าวกล้าจึงสุกไม่พร้อมกัน ปราศจากสมบัติมีกลิ่นสีและรสเป็นต้น. แม้ในข้าวสารที่ใส่ในภาชนะเดียวกัน ข้าวในส่วนหนึ่งดิบ ส่วนหนึ่งเปียกแฉะ ส่วนหนึ่งไหม้. บริโภคข้าวนั้นเข้าไปย่อมถึงโดยอาการ ๓ อย่างในท้อง. สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีโรคมากและมีอายุน้อยด้วยเหตุนั้น. อายุย่อมเสื่อมด้วยอำนาจของฤดูและโภชนะด้วยประการฉะนี้โดยแท้. แม้ทวยเทพทั้งปวงตลอดถึงพรหมโลกย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม โดยนัยอันมีในเบื้องต้นว่า ก็เมื่อใดพระราชาเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม เมื่อนั้นแม้เสนาบดีและอุปราชก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดังนี้. เพราะทวยเทพเหล่านั้นตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ. ลมย่อมพัดไปตามทางของลม ย่อมไม่ทำให้วิมานที่ตั้งอยู่บนอากาศสะเทือน. เมื่อวิมานไม่สะเทือนพวกเทวดาก็มีแก่ใจเล่นกีฬา. ฤดูย่อมเป็นไปตามกาลอย่างนี้. ฝนย่อมตกโดยชอบเกื้อกูลข้าวกล้าตั้งแต่ขณะหว่าน ตกตามเวลา แล้งไปตามเวลา. ด้วยเหตุนั้น ข้าวกล้าสุกพร้อมกัน มีกลิ่นหอม มีสีงาม มีรสอร่อย มีโอชะ. โภชนะที่ปรุงด้วยข้าวกล้านั้นแม้บริโภคแล้วก็ถึงความย่อยง่าย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีโรคมีอายุยืนด้วยเหตุนั้น. อายุย่อมเจริญด้วยอำนาจฤดูและโภชนะด้วยประการฉะนี้. ในบรรดาพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงอุบัติในขณะที่สัตว์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระสิขีทรงอุบัติในขณะที่สัตว์มีอายุ ๗๐,๐๐๐ ปี ดังนั้น ท่านกำหนดอายุนี้ไว้ คล้ายกับเสื่อมไปโดยลำดับ แต่ไม่ใช่เสื่อมอย่างนั้น. พึงทราบว่าอายุเจริญ เจริญแล้วเสื่อม. ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า ในภัทรกัปนี้ก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ทรงอุบัติในขณะที่สัตว์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี กำหนดอายุไว้ ๕ ส่วน ดำรงอยู่ ๔ ส่วน เมื่อถึงส่วนที่ ๕ ก็ปรินิพพาน. อายุนั้นเสื่อม อายุมิได้เสื่อมลงโดยลำดับอย่างนั้น พึงทราบว่าเจริญ เจริญแล้วจึงเสื่อม. ในข้อนั้นพึงทราบว่า ข้อที่เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุเจริญ พระพุทธเจ้าย่อมทรงอุบัติ นั้นแลเป็นกำหนดอายุของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. พึงทราบวินิจฉัยในการกำหนดสถานที่ตรัสรู้. บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ความว่า แทงตลอดคุณ ความเจริญ สิริอันเป็นพุทธะ คือตรัสรู้ยิ่งซึ่งอริยสัจ ๔. แม้ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้ยิ่งแล้ว ณ ควงไม้บุณฑริก ดังนี้ พึงทราบการพรรณนาโดยนัยนี้แล. ก็บทว่า ปุณฺฑรีโก ในที่นี้ คือ ต้นมะม่วงมีรสหวาน. แม้ต้นมะม่วงนั้น บทว่า สาโล คือ ต้นสาละ. แม้ต้นสาละนั้นก็มีปริมาณนั้นเหมือนกัน. พึงทราบ บัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อย่างเดียวกัน. แต่ต้นไม้เป็นอย่างอื่น. ในบรรดาต้นไม้เหล่านั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงรู้แจ้งถึงการตรัสรู้ กล่าวคือมรรคญาณ ๔ ณ ควงไม้ใดๆ ไม้นั้นๆ ท่านเรียกว่า โพธิ. นี้ชื่อว่ากำหนดสถานที่ตรัสรู้. สาวกยุคปริจฺเฉทวณฺณนา บทว่า ขณฺฑติสฺสํ คือ สาวกชื่อว่า ขัณฑะและติสสะ. ท่านทั้งสองนั้น ท่านขัณฑะร่วมบิดาเดียวกันเป็นน้อง ท่านติสสะเป็นปุโรหิต. ท่านขัณฑะบรรลุที่สุดแห่งปัญญาบารมี ท่านติสสะบรรลุที่สุดแห่งสมาธิบารมี. บทว่า อคฺคํ อธิบายว่า เป็นผู้สูงสุด เพราะความเป็นผู้มีคุณไม่เหมือนกับผู้ที่เหลือ ยกเว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี. บทว่า ภทฺทยุคํ อธิบายว่า ชื่อว่าคู่เจริญเพราะความเป็นผู้เลิศ. บทว่า อภิภูสมฺภวํ คือ สาวกชื่อว่าอภิภู และสัมภวะ ท่านทั้งสองนั้น ท่านอภิภูบรรลุที่สุดแห่งปัญญาบารมีไปสู่พรหมโลก บทว่า โสณุตฺตรํ คือ พระสาวกชื่อว่าโสณะและพระอุตตระ. ในท่านทั้งสองนั้น ท่าน บทว่า วิธูรสญฺชีวํ คือ พระสาวกชื่อว่าวิธูระและสัญชีวะ ในท่านทั้งสองนั้น ท่านวิธุระบรรลุปัญญาบารมี. ท่านสัญชีวะบรรลุสมาธิบารมี เป็นผู้มักเข้าสมาบัติพยายามด้วยกำลังสมาบัติ ในที่พักกลางคืนที่พักกลางวัน กุฏี ถ้ำและมณฑปเป็นต้น เข้านิโรธในป่าตลอดวัน. พวกทำงานในป่าเป็นต้น เข้าใจว่า ท่านมรณภาพจึงพากันเผาท่าน. ท่านสัญชีวะนั้น ครั้นออกจากสมาบัติตามกำหนด ห่มคลุมเข้าไปยังบ้านเพื่อบิณฑบาต. อาศัยเหตุนั้นแล ชนทั้งหลายจึงรู้จักท่านว่า ท่านสัญชีวะ ดังนี้. บทว่า ภิยฺโยสุตฺตรํ คือ พระสาวกชื่อว่า ภิยโยสะและอุตตระ. ในท่านทั้งสองนั้น ท่านภิยโยสะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ท่านอุตตระเป็นผู้เลิศด้วยสมาธิ. บทว่า ติสฺสภารทฺวาชํ คือ พระสาวกชื่อว่าติสสะและภารทวาชะ. ในท่านทั้งสองนั้น ท่านติสสะได้บรรลุปัญญาบารมี ท่านภารทวาชะได้บรรลุสมาธิบารมี. บทว่า สารีปุตฺตโมคฺคลฺลานํ คือ พระสาวกชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ. ในท่านทั้งสองนั้น ท่านสารีบุตรได้เป็นผู้เลิศในทางปัญญา ท่านโมคคัลลานะได้เป็นผู้เลิศในทางสมาธิ. นี้ชื่อว่ากำหนดคู่อัครสาวก. สาวกสนฺนิปาตปริจฺเฉทวณฺณนา การประชุมครั้งแรกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ภิกษุทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ. ภิกษุทั้งหมดมีบาตรและจีวรบังเกิดฤทธิ์. ภิกษุทั้งหมดไม่ได้นัดหมายกันมา. อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นมาประชุมกันในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ. ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งจับพัดยังภิกษุให้ลงอุโบสถ. ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ก็นัยนี้แล. ในการประชุมทั้งหมดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เหลือก็เป็นอย่างนั้น. ก็แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายได้มีการประชุมในปฐมโพธิกาลเท่านั้น เพราะเหตุใด. พระสูตรนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วในภาคอื่น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมสาวกของเราในบัดนี้ ให้มีหนเดียว ดังนั้นการประชุมจึงจบ. ในบทว่า อฑฺฒเตรสานิภิกฺขุสตานิ ความว่า ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป คือ บุราณชฎิล ๑,๐๐๐ รูป ปริวารพระอัครสาวก ๒๕๐ รูป. ในบรรดาภิกษุเหล่านั้น ควรกล่าวถึงเรื่องตั้งแต่อภินิหารของพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว แสดงถึงการบรรพชา. อนึ่ง บรรดาบรรพชิตเหล่านั้น พระมหาโมคคัลลานะบรรลุพระอรหัต ในวันที่เจ็ด. พระ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระแล้ว เสด็จขึ้นไปยังเวหาสไปปรากฏ ณ พระวิหารเวฬุวัน. พระเถระรำพึงว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปไหนหนอ ครั้นทราบความที่พระองค์ประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน แม้ท่านเองก็เหาะสู่เวหาสไปปรากฏ ณ พระวิหารเวฬุวันเหมือนกัน. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศปาติโมกข์ (หลักคำสอน) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงการประชุมนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูปเป็นต้น. นี้คือกำหนดการประชุมของพระสาวก อุปฏฺฐากปริจฺเฉทวณฺณนา บทว่า พระอานนท์ ท่านกล่าวหมายถึงความที่พระอานนทเถระ เป็นอุปฐากประจำ. เพราะว่า ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระอุปฐากไม่ประจำ. บางคราวพระนาคสมาละถือบาตรและจีวรตามเสด็จ. บางคราวพระนาคิตะ. บางคราวพระอุปวาณะ. บางคราวพระสุนักขัตตะ. บางคราวจุนทสมณุเทส. บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระเมฆิยะ. ในบรรดาท่านเหล่านั้น บางคราวพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางไกลกับพระนาคสมาลเถระ เสด็จถึงทางสองแพร่ง. พระเถระหลีกออกจากทาง กราบทูลว่า ข้า ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระเถระนั้นว่า นำมาเถิดภิกษุ แล้วทรงรับบาตรและจีวรเสด็จไป. เมื่อภิกษุนั้นไปอีกทางหนึ่ง พวกโจรชิงบาตรและจีวรไป และตีศีรษะ. ภิกษุนั้นคิดว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ไม่มีผู้อื่นแล้ว ได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งที่เลือดไหล. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี่อะไร ภิกษุ. จึงกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุนั้นว่า อย่าคิดไปเลย ภิกษุ เราห้ามเธอถึงเหตุนั้น แล้วทรงปลอบภิกษุนั้น. ก็บางคราวพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังชันตุคามในวังสมฤคทายวันด้านปาจีน กับพระเมฆิยเถระ. แม้ ณ ที่นั้นพระเมฆิยะไปบิณฑบาตในชันตุคาม เห็นสวนมะม่วง ณ พระนครสาวัตถีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันบวรที่ปูไว้ ณ บริเวณคันธกุฎี ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นผู้แก่ ภิกษุบางรูป เมื่อเราบอกว่าเราไปตามทางนี้กันเถิด ได้ไปเสียทางอื่น บางรูปวางบาตรและจีวรของเราไว้บนพื้น พวกเธอจงเลือกภิกษุรูปหนึ่ง เป็นอุปฐากประจำของเรา. ภิกษุทั้งหลายเกิดธรรมสังเวช. ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ตั้งความปรารถนาไว้กะพระองค์ บำเพ็ญบารมีตลอดอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ธรรมดาอุปฐากมีปัญญามากเช่นข้าพระองค์สมควรมิใช่หรือ ข้าพระองค์จักอุปฐากพระองค์ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามพระสารีบุตรว่า อย่าเลย สารีบุตร เธออยู่ในทิศใด ทิศนั้นไม่ว่างเปล่าทีเดียว โอวาทของเธอเช่นเดียวกับโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เธอไม่ต้องทำหน้าที่อุปฐากเรา. พระมหาสาวก ๘๐ รูป เริ่มแต่พระมหาโมคคัลลานะเป็นต้นได้ลุกขึ้นโดยทำนองเดียวกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามพระสาวกเหล่านั้นทั้งหมด. แต่พระอานนท ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะพระอานนท ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ควรให้ผู้อื่นส่งเสริม จักรู้ด้วยตนเองแล้วอุปฐากเรา. แต่นั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นเถิด จงกราบทูลขอตำแหน่งอุปฐากกะพระทศพล. พระเถระลุกขึ้นกราบทูลขอพร ๘ ประการ คือ ข้อห้าม ๔ ข้อ ข้อขอร้อง ๔ ข้อ พึงทราบข้อห้าม ๔ ข้อ. พระอานนทเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็เธอเห็นโทษอะไรในข้อนี้. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากข้าพระองค์จักได้สิ่งเหล่านี้ จักมีผู้กล่าวหาแก่ข้าพระองค์ว่า พระอานนท์ใช้จีวรอันประณีตที่พระทศพลได้แล้ว ฉันบิณฑ พระอานนทเถระกราบทูลขอข้อห้าม ๔ ข้อเหล่านี้. พึงทราบข้อขอร้อง ๔ ข้อ. พระอานนทเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ หากข้าพระองค์จักได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะที่บริษัทมาจากภายนอกแคว้น ภายนอกชนบท เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ามาถึงแล้ว ขณะใดความสงสัยเกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ ขณะนั้นข้าพระองค์จักได้เข้าเฝ้าพระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ เธอเห็นอานิสงส์อะไรในข้อนี้. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรทั้งหลายผู้มีศรัทธาในพระศาสนานี้ เมื่อไม่ได้โอกาสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมกล่าวกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ข้า อนึ่ง ชนทั้งหลายจักถามข้าพระพุทธเจ้าลับหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงคาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี้ในที่ไหน ดังนี้ หากข้าพระองค์จักชี้แจงข้อนั้นไม่ได้ จักมีผู้กล่าวว่าแม้เพียงเท่านี้ ท่านก็ยังไม่รู้ ท่านไม่ละพระผู้ |