ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 11 / 1อ่านอรรถกถา 11 / 18อรรถกถา เล่มที่ 11 ข้อ 33อ่านอรรถกถา 11 / 51อ่านอรรถกถา 11 / 364
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
จักกวัตติสูตร

               อรรถกถาจักกวัตติสูตร               
               อตฺตทีปสรณตาวณฺณนา               
               จักกวัตติสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วอย่างนี้.
               ในพระสูตรนั้นมีการพรรณาบทที่ยากดังต่อไปนี้.
               บทว่า มาตุลายํ ได้แก่ ในพระนครที่มีชื่ออย่างนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำพระนครนั้นให้เป็นโคจรคาม ประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ไม่ไกล.
               ในคำว่า ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ นี้มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้.
               เล่ากันว่า ในสมัยที่พระสูตรนี้เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากมหากรุณาสมาบัติ ในเวลาย่ำรุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลก ทอดพระเนตรเห็นการตรัสรู้ธรรมของเหล่าสัตว์ ๘๔,๐๐๐ ผู้อยู่ในมาตุลนคร ด้วยการกล่าวพระสูตรอันแสดงถึงอนาคตวงศ์นี้ จึงพร้อมด้วยภิกษุ ๒๐,๐๐๐ รูป เสด็จไปยังมาตุลนครแต่เช้าตรู่.
               เจ้ามาตุลนครตรัสว่า “ข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา” จึงต้อนรับนิมนต์พระทศพล ให้เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยเครื่องสักการะเป็นอันมาก ทรงตระเตรียมสถานที่ประทับนั่ง อาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์อันล้ำค่า ได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำภัตรกิจเสร็จทรงดำริว่า ถ้าเราจักแสดงธรรมแก่พวกมนุษย์นี้ ในที่นี้ไซร้ สถานนี้คับแคบ พวกมนุษย์จักไม่มีโอกาสจะยืนจะนั่ง แต่สมาคมใหญ่แล พึงมีได้.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำภัตตานุโมทนาแก่พวกราชตระกูลเลย ทรงถือบาตร เสด็จออกจากพระนครไป.
               พวกมนุษย์คิดว่า พระศาสดาไม่ทรงทำอนุโมทนาแก่พวกเรา เสด็จไปเสีย อาหารเลิศรสคงไม่ถูกพระทัยเป็นแน่แท้ ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ใครๆ ไม่อาจเอาพระทัยได้ถูก ธรรมดาว่าการทำความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็เป็นเช่นกับการจับคออสรพิษที่แผ่แม่เบี้ย มาเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราจักขอขมาพระตถาคต.
               พวกชาวพระนครทั้งสิ้นต่างพากันออกไป พร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะเสด็จไปอยู่นั่นเอง ทอดพระเนตรเห็นต้นมาตุละ (ต้นลำโพง) ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่ในนาของชาวมคธ สะพรั่งพร้อมด้วยกิ่งค่าคบแผ่ไพศาล ตั้งอยู่ในภูมิภาคประมาณกรีสหนึ่ง ดำริว่า เราจักนั่งที่โคนไม้นี้ เมื่อเราแสดงธรรม มหาชนจักมีโอกาสยืนและนั่งได้ จึงเสด็จกลับเลาะลัดมรรคา เสด็จแวะเข้าหาโคนไม้ ทอดพระเนตรดูพระอานนท์ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก (คลังพระธรรม).
               พระเถระทราบว่า พระศาสดาประสงค์จะประทับนั่ง ด้วยความหมายที่พระองค์ทอดพระเนตรเท่านั้น จึงปูลาดจีวรใหญ่สำหรับพระสุคตเจ้าถวาย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่พระอานนท์ปูลาดแล้ว.
               ลำดับนั้น พวกมนุษย์พากันนั่งด้านหน้าพระพักตร์พระตถาคต. หมู่ภิกษุนั่งที่ด้านข้างทั้งสองและด้านหลัง เหล่าเทวดาต่างยืนอยู่ในอากาศ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับในท่ามกลางบริษัทใหญ่นั้นแล ด้วยอาการอย่างนี้ จึงได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้ว.
               สองบทว่า เต ภิกฺขู ความว่า ภิกษุผู้เป็นธรรมปฏิคาหกรับธรรมเข้าไปในสมาคมนั้น.
               บทว่า อตฺตทีปา ความว่า พวกเธอจงทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่กำบังเป็นคติ เป็นที่ไปเบื้องหน้า เป็นที่พึ่ง อยู่เถิด.
               คำว่า อตฺตสรณา นี้เป็นไวพจน์ของคำว่า อตฺตทีปา นั่นเอง.
               คำว่า อนญฺญสรณา เป็นคำปฏิเสธที่พึงอย่างอื่น.
               ความจริง คนอื่นจะเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นหาได้ไม่ เพราะคนอื่นจะบริสุทธิ์ด้วยความพยายามของคนอื่นไม่ได้.
               สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๑-
                         ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้.
____________________________
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๒

               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา.
               ถามว่า ก็ในคำว่า อตฺตทีปา นี้ อะไรเล่า ชื่อว่าตน.
               แก้ว่า โลกิยธรรมและโลกุตรธรรม.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดังนี้.
               คำว่า กาเย กายานุปสฺสี เป็นต้นได้กล่าวพิสดารไว้แล้วในมหาสติปัฏฐานสูตร.
               บทว่า โคจเร ได้แก่ ในสถานที่ควรเที่ยวไป.
               บทว่า สเก คือที่อันเป็นของมีอยู่แห่งตน.
               บทว่า เปตฺติเก วิสเย คือในถิ่นที่มาจากพ่อแม่.
               บทว่า จรตํ คือเที่ยวไปอยู่ บาลีว่า จรนฺตํ ดังนี้ก็มี. เนื้อความก็เช่นนี้แหละ.
               บทว่า น ลจฺฉติ ความว่า จักไม่ได้ คือ จักไม่เห็น.
               บทว่า มาโร ได้แก่เทวบุตรมารบ้าง กิเลสมารบ้าง.
               บทว่า โอตารํ ได้แก่ ร่องรอย คือช่องทางเปิด.
               ก็ความนี้ บัณฑิตพึงแสดงด้วยเรื่องเหยี่ยวนกเขาซึ่งโฉบเฉี่ยวเอานกมูลไถตัวบินออกจากที่ (หลืบ) ก้อนดิน โผจับอยู่บนเสาระเนียด (เสาค่าย) กำลังผึ่งแดดอ่อนไป.
               สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
               ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เหยี่ยวนกเขาเข้าโฉบเฉี่ยวเอานกมูลไถโดยฉับพลันเอาไป.
               ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล นกมูลไถถูกเหยี่ยวนกเขานำไปอยู่คร่ำครวญอย่างนี้ว่า พวกเรานั่นแล เที่ยวไปในที่อโคจร อันเป็นถิ่นของปรปักษ์ นับว่าไม่มีบุญ มีบุญน้อย. ถ้าหากวันนี้ เราพึงเที่ยวไปในที่โคจรอันเป็นถิ่นของพ่อแม่ของตนไซร้ เหยี่ยวนกเขาจักไม่อาจ (จับ) เราด้วยการต่อสู้เช่นนี้.
               เหยี่ยวนกเขาถามว่า ดูก่อนนกมูลไถ ก็สำหรับท่าน อะไรเล่าเป็นถิ่นของพ่อแม่ของตน. นกมูลไถตอบว่า คือ ที่ก้อนดินรอยไถ.
               ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล เหยี่ยวนกเขาหยิ่งในกำลังของตน เชื่อในกำลังของตน ปล่อยนกมูลไถไปโดยกล่าวว่า ดูก่อนนกมูลไถ เจ้าจงไปเถิด ถึงเจ้าไปในที่นั้นก็ไม่พ้น. ครั้งนั้นแล นกมูลไถบินโผไปสู่ที่ก้อนดินรอยไถ ขึ้นยังก้อนดินก้อนใหญ่ ยืนท้าเหยี่ยวนกเขาว่า มาเดี๋ยวนี้ซิ เจ้าเหยี่ยวนกเขา มาเดี๋ยวนี้ซิ เจ้าเหยี่ยวนกเขา.
               ครั้งนั้น เหยี่ยวนกเขาผู้หยิ่งในกำลังของตน เชื่อมั่นในกำลังของตน ลู่ปีกทั้งสองพลันโฉบลงตรงนกมูลไถ.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งใดแล นกมูลไถรู้ตัวว่า เหยี่ยวนกเขาตัวนี้สามารถพุ่งตัวลงมาแล้ว ครั้งนั้นแล นกมูลไถก็หลบซ่อนตรงระหว่างก้อนดินนั้นนั่นเอง.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล เหยี่ยวนกเขาจึงได้แต่ให้อกกระแทกที่ก้อนดินนั่นแล. ภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นก็เหมือนกับที่ภิกษุเที่ยวไปในที่อโคจร อันเป็นถิ่นของปรปักษ์.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอจงอย่าเที่ยวไปในที่อโคจร อันเป็นถิ่นของปรปักษ์. เมื่อเธอเที่ยวไปในแดนอโคจร อันเป็นถิ่นของปรปักษ์ มารย่อมได้ช่อง มารย่อมได้อารมณ์. ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าคืออโคจร ถิ่นของปรปักษ์สำหรับภิกษุ คือ กามคุณ ๕.
               กามคุณ ๕ เป็นไฉน?
               ได้แก่รูปที่พึงรู้ได้ด้วยจักษุอันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพึงใจประกอบด้วยความใคร่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ฯลฯ โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย ฯลฯ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ คืออโคจรอันเป็นถิ่นของปรปักษ์สำหรับภิกษุ.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในโคจร ฯลฯ มารย่อมไม่ได้อารมณ์.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรคือโคจรของภิกษุ ซึ่งเป็นถิ่นของบิดามารดาของตน คือสติปัฏฐาน ๔.
               สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯลฯ ธรรมที่เป็นถิ่นบิดาของตน.
               บทว่า กุสลานํ คือ ธรรมที่ไม่มีโทษเป็นลักษณะ.
               บทว่า สมาทานเหตุ คือ เพราะเหตุสมาทานแล้วประพฤติ.
               บทว่า เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ ความว่า ผลบุญอันเป็นโลกิยะและโลกุตระนี้ ย่อมเจริญอย่างนี้.
               อนึ่ง คำว่า ผลบุญนั้นพึงทราบว่า ได้แก่ ทั้งบุญทั้งผลของบุญชั้นสูงๆ.

               ทฬฺหเนมิจกฺกวตฺติราชกถาวณฺณนา               
               ในคำว่า ปุญฺญผลํ นั้น
               กุศลมี ๒ อย่าง คือ
                         วัฏฏคามีกุศล กุศลเป็นทางไปสู่วัฏฏะ ๑
                         วิวัฏฏคามีกุศล กุศลเป็นทางไปสู่วิวัฏฏะ ๑.
               ในกุศล ๒ อย่างนั้น จิตที่อ่อนโยนของมารดาบิดาด้วยอำนาจที่มีความรักในบุตรธิดา และจิตที่อ่อนโยนของบุตรธิดาด้วยอำนาจที่มีความรักในมารดาบิดา ชื่อว่าวัฏฏคามีกุศล. โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการมีประเภทเป็นต้นว่า สติปัฏฐาน ๔ ชื่อว่าวิวัฏฏคามีกุศล.
               ในกุศลเหล่านั้น สำหรับกุศลที่เป็นวัฏฏคามีสิ้นสุดกันตรงศิริสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในมนุษย์โลก. สำหรับกุศลที่เป็นวิวัฏฏคามีสิ้นสุดกันที่มรรคผลและนิพพานสมบัติ.
               ในกุศลสองอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจักแสดงวิบากของวิวัฏฏคามีกุศลไว้ในตอนท้ายของสูตร. แต่ในที่นี้ เพื่อแสดงวิบากแห่งวัฏฏคามีกุศล พระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดบุตรธิดาไม่ตั้งอยู่ในโอวาทของมารดาบิดา เมื่อนั้นพวกเขาเสื่อมอายุบ้าง ผิวพรรณบ้าง ความเป็นใหญ่บ้าง แต่ว่า เมื่อใดเขาตั้งอยู่ในโอวาท เมื่อนั้นจึงเจริญ ดังนี้แล้ว จึงเริ่มพระธรรมเทศนาด้วยอำนาจความสืบต่อวัฏฏคามีกุศลว่า ภูตปุพฺพํ ภิกฺเว เป็นต้นไป.
               ในคำเหล่านั้น คำเป็นต้นว่า จกฺกวตฺติ ได้กล่าวพิสดารแล้วในมหาปทานสูตรนั้นแล.
               บทว่า โอสกฺกิตํ แปลว่า ย่อหย่อนไปนิดหน่อย.
               บทว่า ฐานา จุตํ แปลว่า เคลื่อนไปจากฐานะโดยประการทั้งปวง.
               เล่ากันว่า จักรแก้วนั้นได้ลอยขึ้นไปตั้งอยู่ในอากาศเหมือนนำไปด้วยล้ออยู่เหนือประตูพระราชวังชั้นใน. ครั้งนั้น พระราชารับสั่งให้ฝั่งเสาไม้ตะเคียนสองต้นไว้ที่ข้างทั้งสองแห่งจักรนั้น ที่บนสุดของจักรแก้ว ผูกเชือกด้ายไว้เส้นหนึ่งให้อยู่ตรงกับกง. แม้ในด้านล่าง ก็ผูกเชือกด้ายเส้นหนึ่งให้อยู่ตรงกับกง. จักรแก้วย้อยต่ำลงแม้นิดเดียว จากเส้นเชือกข้างบนเส้นหนึ่งในบรรดาเชือกสองเส้นนั้นก็เป็นอันว่าหย่อนลง. ปลายสุดของจักรแก้วอยู่เลยที่ตั้งของด้ายชั้นล่าง ชื่อว่าเคลื่อนจากฐานแล้ว. เมื่อมีโทษแรงมาก จักรแก้วนี้นั้นจะเป็นอย่างนี้ คือคล้อยเคลื่อนจากฐานแม้ประมาณเส้นด้ายหนึ่ง หรือประมาณหนึ่งองคุลีสององคุลี.
               ท่านหมายเอาเหตุนั้นจึงกล่าวว่า โอสกฺกิตํ ฐานา จุตํ หย่อนเคลื่อนจากฐานดังนี้.
               ข้อว่า อถ เม อาโรเจยฺยาสิ ความว่า พระราชารับสั่งว่า พ่อเอ๋ย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงไปสู่ที่บำรุงจักรแก้ววันละ ๓ ครั้ง เจ้าเมื่อไปอย่างนั้น พบเห็นจักรแก้วคล้อย คือ เคลื่อนจากที่แม้นิดเดียวเมื่อใด พึงบอกแก่เราเมื่อนั้น เพราะว่า ชีวิตของเราฝากไว้ในมือของเจ้า.
               บทว่า อทฺทส ความว่า บุรุษนั้นไม่ประมาทแล้ว ไปดูวันละ ๓ ครั้ง ได้พบเห็นเข้าในวันหนึ่ง.
               ข้อว่า อถโข ภิกฺขเว ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นพระเจ้าทัฬหเนมิสดับว่า จักรแก้วเคลื่อนที่แล้ว เกิดความโทมนัสอย่างรุนแรง ดำริว่า เราจักมีชีวิตไม่ยั่งยืนนาน อายุของเราเหลือน้อยเต็มที บัดนี้ เราจะไม่มีเวลาบริโภคกามอีกแล้ว เวลาแห่งการบรรพชา ย่อมมีแก่เรา ณ บัดนี้ ดังนี้แล้ว ทรงกันแสงคร่ำครวญ รับสั่งให้เรียกหาพระราชกุมารพระราชโอรสองค์ใหญ่มาแล้ว ตรัสคำนี้.
               คำว่า สมุทฺปริยนฺตํ คือ มีสมุทรหนึ่งที่ล้อมรอบอยู่เป็นขอบเขตนั่นเอง.
               ที่จริง ทรัพย์คือแผ่นดิน นี้เป็นของประจำราชตระกูลของพระราชาพระองค์นั้น.
               อนึ่ง จักรแก้วนั้นมีจักรวาลเป็นขอบเขต เกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจบุญฤทธิ์ ใครๆ ไม่อาจจะยกให้กันได้. ก็พระราชาเมื่อจะมอบจักรแก้วอันเป็นของประจำของราชตระกูล จึงตรัสว่า สมุทฺปริยนฺตํ ดังนี้.
               บทว่า เกสมสฺสุํ ความว่า ที่จริงบุคคลทั้งหลาย แม้เมื่อจะบวชเป็นดาบส ก็ปลงผมและหนวดออกก่อน แต่นั้นไป จึงได้กระหมวดมุ่นผมที่งอกขึ้นมา เที่ยวไป เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา.
               บทว่า กาสายานิ ได้แก่ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด. อธิบายว่า เบื้องต้นได้ทำอย่างนั้น ภายหลังจึงทรงแม้ผ้าเปลือกไม้.
               บทว่า ปพฺพชิ แปลว่า ผนวชแล้ว. อธิบายว่า ก็ครั้นผนวชแล้ว ได้ประทับอยู่ในพระราชอุทยานอันเป็นมงคลส่วนพระองค์นั่นเอง.
               บทว่า ราชีสิมฺหิ คือ ราชฤๅษี. แท้จริง ผู้บวชจากวรรณะพราหมณ์ ท่านเรียกว่า พราหมณฤๅษี. ส่วนผู้ละเศวตฉัตร บวชจากวรรณะกษัตริย์ เรียกว่า ราชฤๅษี.
               บทว่า อนฺตรธายิ แปลว่า อันตรธานแล้ว คือถึงความไม่มี ดุจเปลวประทีปที่ดับแล้ว.
               บทว่า ปฏิสํเวเทสิ ความว่า (พระราชโอรส) กันแสงรำพัน ทูลให้ทราบแล้ว.
               บทว่า เปตฺติกํ คือ ท่านแสดงว่า มิใช่ทรัพย์มรดกตกทอด ที่มาจากข้างราชบิดา อันใครๆ ที่มีความเกียจคร้าน มีความเพียรย่อหย่อน สมาทานประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ไม่อาจจะได้ แต่ว่าผู้ที่อาศัยกรรมที่ทำไว้ดีของตน บำเพ็ญวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๑๐ อย่างหรือ ๑๒ อย่างเท่านั้น จึงจะได้จักรแก้วนั้น.
               ครั้งนั้น ราชฤๅษี เมื่อตักเตือนราชบุตรนั้นไว้ในข้อวัตรปฏิบัติ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อิงฺฆ ตฺวํ เชิญเถิดท่าน.
               ในข้อวัตรปฏิบัตินั้นคำว่า อริเย คือหมดโทษ. คำว่า จกฺกวตฺติวตฺเต ได้แก่ในวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ์.

               จกฺกวตฺติอริยวตฺตวณฺณนา               
               บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐.
               บทว่า นิสฺสาย คือกระทำธรรมนั้นเท่านั้นให้เป็นที่อาศัย ด้วยพระทัยที่อธิษฐานธรรมนั้นไว้แล้ว.
               บทว่า ธมฺมํ สกฺกโรนฺโต ความว่า ธรรมนั้นอันเขาบำเพ็ญแล้ว คือ บำเพ็ญด้วยดีอย่างไร ท่านก็บำเพ็ญธรรมนั้นอย่างนั้นเหมือนกัน.
               สองบทว่า ธมฺมํ ครุกโรนฺโต คือ กระทำธรรมนั้นให้เลิศลอย ด้วยการเข้าถึงความเคารพในธรรมนั้น.
               บทว่า ธมฺมํ มาเนนฺโต คือ กระทำธรรมนั้นเท่านั้นให้เป็นที่รัก และให้ควรแก่การยกย่องอยู่.
               บทว่า ธมฺมํ ปูเชนฺโต คืออ้างอิงธรรมนั้นแล้ว กระทำการบูชาต่อธรรมนั้นด้วยการบูชาด้วยวัตถุมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น.
               บทว่า ธมฺมํ อปจายมาโน ความว่า กระทำการประพฤติอ่อนน้อมต่อธรรมนั้นนั่นเอง ด้วยสามีจิกรรมมีการประนมมือเป็นต้น.
               บทว่า ธมฺมธโช ธมฺมเกตุ อธิบายว่า ชื่อว่ามีธรรมเป็นดุจธงชัย และชื่อว่ามีธรรมเป็นสิ่งสุดยอด เพราะเชิดชูธรรมนั้นไว้เบื้องหน้าเหมือนธงชัย และยกธรรมนั้นขึ้นทำให้เหมือนยอดประพฤติ.
               บทว่า ธมฺมาธิปเตยฺโย คือมีธรรมเป็นใหญ่ ได้แก่เป็นธรรมาธิปไตย เพราะภาวะแห่งธรรมที่มีมาแล้ว และเพราะกระทำกิริยาทั้งหมดด้วยอำนาจธรรมเท่านั้น.
               บทว่า ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺตึ สํวิทหสฺสุ มีวิเคราะห์ดังนี้
               ธรรมของการรักษามีอยู่ เหตุนั้น การรักษานั้นชื่อว่ามีธรรม การรักษาการป้องกัน และการคุ้มครอง ชื่อว่า รกฺขาวรณคุตฺติ. บรรดาธรรมเครื่องรักษาเหล่านั้น ธรรมทั้งหลายมีขันติเป็นต้น ชื่อว่าการรักษา เพราะพระบาลีว่า บุคคลเมื่อรักษาผู้อื่น ชื่อว่ารักษาตน.
               สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อรักษาผู้อื่น ชื่อว่ารักษาตนไว้ได้อย่างไรเล่า?
               บุคคลเมื่อรักษาผู้อื่น ชื่อว่ารักษาตนไว้ได้ด้วยขันติ ด้วยความไม่เบียดเบียน ด้วยความมีเมตตาจิต และด้วยมีความเอ็นดู.
____________________________
๑- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๗๖๑

               การป้องกันวัตถุมีผ้านุ่งผ้าห่มและเรือนเป็นต้น ชื่อว่า อาวรณะ การป้องกัน. การคุ้มครองเพื่อห้ามอุปัทวันตรายมีโจรเป็นต้น ชื่อว่า คุตฺติ การคุ้มครอง.
               อธิบายว่า ท่านจงจัดแจงกิจการทั้งหมดนั้น คือให้เป็นไป ให้ดำรงอยู่ด้วยดี.
               บัดนี้ เมื่อทรงแสดงสิ่งที่พึงจัดการรักษาป้องกันคุ้มครอง ฤๅษีจึงกล่าวว่า อนฺโตชนสฺมึ เป็นต้น.
               ความย่อในคำนั้นมีดังต่อไปนี้ :-

               วัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ์               
               เจ้าจงยังบุตรและภรรยา กล่าวคือชนภายในของเจ้า ให้ตั้งอยู่ในศีลสังวร จงให้วัตถุมีผ้าดอกไม้และของหอมเป็นต้นแก่พวกบุตรและภรรยานั้น และจงป้องกันอุปัทวะทั้งหมดให้แก่เขา.
               แม้ในเหล่าทหารเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างกันดังนี้.
               เหล่าทหารอันพระราชาควรสงเคราะห์ด้วยการเพิ่มบำเหน็จรางวัลให้ ไม่ให้ล่วงเลยกาลเวลา. กษัตริย์ผู้ได้รับการอภิเษก ควรสงเคราะห์ด้วยการให้รัตนะมีม้าอาชาไนยอันสง่างามเป็นต้น. กษัตริย์ที่เป็นประเทศราช ควรให้ยินดีแม้ด้วยการมอบให้ยานพาหนะอันสมควรแก่ความเป็นกษัตริย์นั้น. พราหมณ์ทั้งหลาย ควรให้ยินดีด้วยไทยธรรมมีข้าวน้ำและผ้าเป็นต้น.
               พวกคฤหบดี ควรสงเคราะห์ด้วยการให้พันธุ์ข้าว ไถ ผาลและโคงานเป็นต้น. ผู้อยู่ในนิคม ชื่อ เนคมะ (ชาวนิคม) และผู้อยู่ในชนบท ชื่อว่า ชนปทา (พวกชาวชนบท) ก็เหมือนกัน (คือควรสงเคราะห์ด้วยการให้พันธุ์ ข้าว ไถ ผาลและโคงานเป็นต้น).
               พวกสมณพราหมณ์ผู้มีบาปสงบ มีบาปลอยเสียแล้ว ควรสักการะด้วยการถวายบริขารสำหรับสมณพราหมณ์. หมู่เนื้อและนกควรให้โปร่งใจเสียได้ด้วยการให้อภัย.
               บทว่า วิชิเต คือ ในถิ่นฐานที่อยู่ในอำนาจปกครองของตน.
               บทว่า อธมฺมกาโร คือ การกระทำที่ไม่ชอบธรรม.
               บทว่า มา ปวตฺติตฺถ อธิบายว่า จงยังการกระทำอันเป็นอธรรมนั้นไม่ให้เป็นไป.
               บทว่า สมณพฺราหฺมณา ได้แก่ผู้มีบาปสงบ คือมีบาปลอยเสียแล้ว.
               บทว่า มทปฺปมาทา ปฏิวิรตา คือ งดเว้นจากความเมาด้วยอำนาจมานะ ๙ อย่าง และจากความประมาท กล่าวคือการปล่อยจิตไปในกามคุณ ๕.
               บทว่า ขนฺติโสรจฺเจ นิวิฏฺฐา ความว่า ดำรงอยู่ในอธิวาสนขันติและในความเป็นผู้สงบเสงี่ยม.
               บทว่า เอกมตฺตานํ ความว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ท่านกล่าวว่าย่อมฝึกตน สงบ ระงับ ดับตนผู้เดียวด้วยการข่มกิเลสมีราคะเป็นต้นของตน.
               บทว่า กาเลน กาลํ คือ ทุกเวลา.
               บทว่า อภินิวชฺเชยฺยาสิ ความว่า พึงเว้นเสียซึ่งอกุศล ซึ่งเปรียบเหมือนคูถ เหมือนยาพิษ และเหมือนไฟด้วยดี.
               บทว่า สมาทาย คือ พึงยึดถือกุศลซึ่งเปรียบเทียบเหมือนพวงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม และเปรียบเหมือนน้ำอำมฤต แล้วปฏิบัติโดยชอบ.
               บัณฑิตตั้งอยู่ในกุศลธรรมนี้ แล้วพึงนำวัตรมาปฏิบัติสม่ำเสมอ.
               วัตรนั้นมี ๑๐ ประการ อย่างนี้ คือ วัตรที่พึงปฏิบัติในหมู่ทหารที่เป็นชนภายใน ๑ ในพวกกษัตริย์ ๑ ในกษัตริย์ประเทศราช ๑ ในพราหมณ์และคฤหบดี ๑ ในชาวนิคมและชาวชนบท ๑ ในสมณพราหมณ์ ๑ ในหมู่มฤคและเหล่าปักษา ๑ การห้ามการกระทำอันไม่เป็นธรรม ๑ การมอบทรัพย์ให้แก่ผู้ไม่มีทรัพย์ ๑ การเข้าไปหาสมณพราหมณ์แล้วถามปัญหา ๑.
               แต่เมื่อถือเอาคฤหบดีและเหล่าปักษาชาติเป็นแผนกหนึ่งแล้วก็จะมี ๑๒ อย่าง. บัณฑิตผู้ถือเอาคำที่มิได้กล่าวไว้ในครั้งก่อน พึงทราบว่าวัตรมี ๑๒ อย่าง โดยอาศัยการละราคะที่ไม่เป็นธรรมและวิสมโลภ โลภะที่ไม่สม่ำเสมอเป็นต้น.
               ข้อว่า อิทํ โข ตาต ตํ ดังนี้ ความว่า วัตรทั้ง ๑๐ อย่างและ ๑๒ อย่างนี้ ชื่อว่าวัตรปฏิบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์อันประเสริฐ.
               บทว่า วตฺตมานสฺส คือบำเพ็ญให้บริบูรณ์.
               คำเป็นต้นว่า ตทหุโปสเถ ได้กล่าวไว้แล้วในมหาสุทัสสนสูตร.
               บทว่า สมเตน คือตามมติของตน. คำว่า สุทํ เป็นเพียงนิบาต.
               บทว่า ปสาสติ คือ ปกครอง.
               มีคำกล่าวอธิบายไว้ว่า พระราชาทรงสละราชวงศ์ดั้งเดิม ได้แก่ราชธรรมอันเป็นราชประเพณีเสียแล้ว ดำรงอยู่ในธรรมเพียงเป็นมติของตนปกครองประเทศ. เมื่อเป็นเช่นนั้น พระราชาพระองค์นี้จึงเป็นพระราชาองค์สุดท้าย ซึ่งเป็นผู้ตัดวงศ์ของพระเจ้าทัฬหเนมิ ประดุจผู้ให้เกิดความด่างพร้อยแก่วงศ์มฆเทพฉะนั้น.
               บทว่า ปุพฺเพนาปรํ คือ ในกาลต่อมา ชาวประชาราษฎร์ไม่รุ่งเรือง คือไม่เจริญเหมือนกับกาลก่อน. ข้อว่า ยถา ตํ ปุพฺพกานํ ความว่า ประชาราษฎร์เจริญแล้วเป็นดุจเดียวกันทั้งในรัชกาลต้นและรัชกาลหลังของพระราชาองค์ก่อนๆ ฉันใด จะเจริญรุ่งเรืองฉันนั้นหามิได้ คือในที่ไหน ก็ว่างเปล่า ถูกโจรปล้นสดมภ์. อธิบายว่า แม้โอชาในน้ำมันน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น และในยาคูภัตรเป็นต้น ก็เสื่อมไป.
               สองบทว่า อมจฺจา ปาริสชฺชา คือ เหล่าอำมาตย์และผู้เที่ยวไปในบริษัท.
               บทว่า คณกมหามตฺตา ได้แก่ เหล่าโหรผู้ชำนาญในปาฐะมีอัจฉินทิกะ ทำนายผ้าขาดเป็นต้น และเหล่าอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่.
               บทว่า อนีกฏฺฐา คือ พวกอาจารย์ทั้งหลายมีหัตถาจารย์เป็นต้น.
               บทว่า โทวาริกา คือ ผู้รักษาประตู.
               ปัญญาเรียกว่ามนต์ ในบทว่า มนฺตสฺสาชีวิโน. อำมาตย์ผู้ใหญ่เหล่าใดกระทำปัญญานั้นให้เป็นเครื่องอาศัยเป็นอยู่ อำมาตย์ผู้ใหญ่เหล่านั้นชื่อว่าบัณฑิต. คำว่า มนฺตสฺสาชิวิโน นั้นเป็นชื่อแห่งมหาอำมาตย์เหล่านั้น.

               อายุวณฺณาทิปริหานิกถาวณฺณนา               
               บทว่า โน จ โข อธนานํ ความว่า แก่มนุษย์ผู้ไร้ทรัพย์ คือผู้ยากจน เพราะตนมีความโลภรุนแรง.
               บทว่า ธเน นานุปฺปทิยมาเน ความว่า อันเขาไม่มอบทรัพย์ให้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ทาลิทฺทิยํ แปลว่า ความเป็นผู้ยากจน.
               บทว่า อตฺตนา จ ชีวาหิ ความว่า จงเป็นอยู่ คือจงยังอัตภาพให้เป็นไปเอง.
               บทว่า อุทฺธคฺคิกํ มีวิเคราะห์ว่า ผลของทักษิณานั้นไปในเบื้องบนด้วยอำนาจให้ผลในภูมิสูงๆ ขึ้นไป เหตุนั้น ทักษิณานั้นจึงชื่อว่ามีผลไปในเบื้องบน. ทักษิณาชื่อว่า โสวคฺคิกา เพราะเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสวรรค์ เพราะให้อุบัติเกิดในสวรรค์นั้น. ทักษิณาชื่อว่ามีวิบากเป็นสุข เพราะมีวิบากเป็นสุข ในที่ที่ตนบังเกิดแล้ว. ทักษิณาชื่อว่าเป็นไปเพื่อสวรรค์ เพราะให้บังเกิดผลวิเศษ ๑๐ อย่างมีวรรณะอันเป็นทิพย์เป็นต้นที่ล้ำเลิศด้วยดี. อธิบายว่า ท่านจงยังทักษิณาทานเห็นปานนี้ให้ดำรงอยู่.
               บทว่า ปวฑฺฒิสฺสติ คือ จักเจริญ คือจักมีมาก.
               บทว่า สุนิเสธํ นิเสเธยฺยํ ความว่า เราจะทำการห้าม คือพึงปฏิเสธเด็ดขาด.
               บทว่า มูลฆจฺฉํ คือ ถอนราก. บทว่า ขุรสฺสเรน คือ มีเสียงหยาบ.
               บทว่า ปณเวน คือ กลองพิฆาต.
               บทว่า สิสานิ เนสํ ฉินฺทิสฺสามิ ความว่า โดยที่สุด พวกเรานำแม้เผือกมันเพียงกำมือเดียวของผู้ใดไป เราจักตัดศีรษะของผู้นั้นโดยประการที่ใครๆ จักไม่รู้แม้เรื่องที่เราฆ่า บัดนี้ ในที่นี้จะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเรา แม้พระราชาเสด็จลุกขึ้นอย่างนั้นแล้ว รับสั่งให้ฆ่าบุคคลอื่น.
               พึงทราบอธิบายแห่งคำเหล่านั้น ดังกล่าวมานี้.
               บทว่า อุปกฺกมึสุ คือ เริ่มแล้ว.
               บทว่า ปนฺถทูหนํ ความว่า ดักปล้นคนเดินทาง.
               คำว่า น หิ เทว ความว่า เล่ากันว่า บุรุษนั้นคิดว่า พระราชานี้รับสั่งให้ประหารตามที่ให้การสารภาพว่า จริง พระเจ้าข้า เอาเถิด เราจะให้การเท็จ ดังนี้แล้ว เพราะกลัวตายจึงทูลว่า ไม่จริง พระเจ้าข้า.
               คำว่า อิทํ ในคำว่า เอกีทํ นี้เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า สัตว์พวกหนึ่ง.
               บทว่า จาริตฺตํ ได้แก่ ความประพฤติผิด.
               บทว่า อภิชฺฌาพฺยาปาทา ได้แก่ อภิชฌาและพยาบาท.
               บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิ ได้แก่ ทิฏฐิที่เป็นข้าศึกมีอันตคาหิกทิฏฐิ มีอาทิว่า “ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล” ดังนี้.
               บทว่า อธมฺมราโค ได้แก่ ความกำหนัดในฐานะอันไม่สมควรเป็นต้นว่า มารดา ๑ น้าหญิง ๑ บิดา ๑ อาหญิง ๑ ป้า ๑.
               บทว่า วิสมโลโภ ได้แก่ ความโลภที่รุนแรงในฐานะแม้ที่ควรบริโภค.
               บทว่า มิจฺฉาธมฺโม ความว่า ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง.
               ในบทว่า อมตฺเตยฺยตา เป็นต้น มีวิเคราะห์ว่า ผู้เกื้อกูลมารดาชื่อมัตเตยยะ ภาวะแห่งมัตเตยยะนั้นชื่อมัตเตยยตา.
               คำว่า มตฺเตยฺยตา นั้น เป็นชื่อแห่งการปฏิบัติชอบในมารดา ความไม่มีแห่งมัตเตยยตานั้น และความเป็นปฏิปักษ์ต่อมัตเตยยตานั้น ชื่อว่า อมตฺเตยฺยตา.
               แม้ใน อเปตฺเตยฺยตา เป็นต้น ก็นัยนี้นั่นเอง.
               บทว่า น กุเลเชฏฺฐาปจายิตา ความว่า ภาวะคือการไม่กระทำ ความยำเกรง คือการประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล.

               ทสวสฺสายุกสมยวณฺณนา               
               บทว่า ยํ อิเมสํ คือ ในสมัยใดแห่งมนุษย์เหล่านี้.
               บทว่า อลํปเตยฺย ความว่า ควรให้แก่ผัว.
               บทว่า อิมานิ รสานิ ความว่า รสเหล่านี้เป็นรสที่เลิศในโลก.
               บทว่า อติพฺยาทีปิสฺสนฺติ ได้แก่ จักรุ่งเรืองอย่างยิ่ง. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า กุสลนฺติปิ น ภวิสฺสติ ความว่า แม้ชื่อว่า “กุศล” ดังนี้ก็จักไม่มี. อธิบายว่า แม้เพียงบัญญัติจักไม่ปรากฏ.
               บทว่า ปุชฺชา จ ภวิสฺสนฺติ ปาสํสา ความว่า จักเป็นผู้ควรบูชาและควรสรรเสริญ.
               เล่ากันว่า ในสมัยนั้น พวกมนุษย์คิดกันว่า บุคคลชื่อโน้นประหารมารดา ประหารบิดา ปลงชีวิตสมณพราหมณ์ น่าสังเวชหนอ บุรุษย่อมไม่ทราบแม้ความที่ผู้เจริญในตระกูลมีอยู่ ดังนี้แล้ว จักบูชาและจักสรรเสริญบุรุษนั้นนั่นเอง.
               ข้อว่า น ภวิสฺสติ มาตาติ วา ความว่า จิตที่ประกอบด้วยความเคารพว่า “ผู้นี้เป็นมารดาของเรา จักไม่มีเลย.” มนุษย์ทั้งหลายเมื่อกล่าวถ้อยคำอสัตบุรุษชนิดต่างๆ ดุจกล่าวกะมาตุคามในเรือน ก็จักเข้าไปหาโดยอาการไม่เคารพ.
               แม้ในญาติทั้งหลายมีน้าหญิงเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
               ก็ในคำว่า มาตุจฺฉา เป็นต้นนี้ คือน้องชื่อว่า มาตุจฺฉา ได้แก่น้องสาวของแม่. ชื่อว่า มาตุลานี ได้แก่ภรรยาของลุง. ชื่อว่า อาจริยภริยา ได้แก่ภรรยาของอาจารย์ผู้ให้ศึกษาศิลปวิทยา.
               บทว่า ครูนํ ทารา ได้แก่ ภรรยาของญาติมีอาและลุงเป็นต้น.
               บทว่า สมฺเภทํ ความว่า ภาวะที่เจือปน หรือว่าการทำลายประเพณี.
               บทว่า ติพฺโพ อาฆาโต ปจฺจุปฏฺฐิโต ภวิสฺสติ ความว่า ความโกรธที่รุนแรงจักเกิดขึ้นเฉพาะโดยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ. สองบทหลัง ก็เป็นไวพจน์ของความโกรธนั้นทั้งนั้น.
               จริงอยู่ ความโกรธย่อมทำจิตให้ผูกอาฆาต เหตุนั้นจึงชื่อว่า อาฆาต. ความโกรธย่อมทำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขของตนและบุคคลอื่นให้เสียหาย เหตุนั้นจึงชื่อว่าพยาบาท จะกล่าวว่า ความประทุษร้ายแห่งใจก็ได้ เพราะประทุษร้ายใจ.
               บทว่า ติพฺพํ วธกจิตฺตํ ความว่า จิตคิดจะฆ่าเพื่อให้ผู้อื่นตายย่อมมีได้แม้แก่ผู้มีใจรักใคร่กัน. เพื่อจะแสดงเรื่องแห่งจิตคิดจะฆ่ากันนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า มาตุปิ ปุตฺตมฺหิ ดังนี้.
               บทว่า มาควิกสฺส ได้แก่ พรานล่าเนื้อ.
               บทว่า สตฺถนฺตรกปฺโป ความว่า กัปที่พินาศในระหว่างด้วยศาสตรา คือยังไม่ทันถึงสังวัฏฏกัป โลกก็พินาศเสียในระหว่าง.
               ก็ชื่อว่าอันตรกัปนี้มี ๓ อย่าง คือ ทุพภิกขันตรกัป กัปที่โลกพินาศในระหว่างด้วยทุพภิกขภัย ๑ โรคันตรกัป กัปที่โลกพินาศในระหว่างด้วยโรค ๑. สัตถันตรกัป กัปที่โลกพินาศในระหว่างด้วยศาสตรา ๑.
               ในกัปเหล่านั้น ทุพภิกขันตรกัปมีขึ้นได้แก่หมู่สัตว์ที่หนาด้วยความโลภ. โรคันตรกัป มีขึ้นได้แก่หมู่สัตว์ที่หนาด้วยความโมหะ. สันถันตรกัป มีขึ้นได้แก่หมู่สัตว์ที่หนาด้วยโทสะ.
               ในกัปเหล่านั้น เหล่าสัตว์ที่ฉิบหาย เพราะทุพภิกขันตรกัป ย่อมเกิดขึ้นในปิตติวิสัยแห่งเปรตเสียโดยมาก. เพราะอะไร? เพราะมีความอยากในอาหารเป็นกำลัง.
               เหล่าสัตว์ที่ฉิบหายเพราะโรคันตรกัป บังเกิดในสวรรค์โดยมาก. เพราะอะไร? เพราะสัตว์เหล่านั้นเกิดเมตตาจิตขึ้นว่า โอหนอ โรคเห็นปานนี้ไม่พึงมีแก่สัตว์เหล่าอื่น.
               เหล่าสัตว์ที่ฉิบหายเพราะสัตถันตรกัป ย่อมเกิดในนรกโดยมาก. เพราะอะไร? เพราะมีความอาฆาตต่อกันและกันอย่างรุนแรง.
               บทว่า มิคสญฺญํ ความว่า มนุษย์เกิดความสำคัญขึ้นว่า ผู้นี้เป็นเนื้อ ผู้นี้เป็นเนื้อ.
               บทว่า ติณฺหานิ สตฺถานิ หตฺเถสุ ปาตุภวิสฺสนฺติ ความว่า เล่ากันว่า สำหรับมนุษย์เหล่านั้น วัตถุอะไรๆ พอจะเอามือหยิบฉวยได้ โดยที่สุดกระทั่งใบหญ้าก็จะกลายเป็นอาวุธไปเสียทั้งนั้น.
               ข้อว่า มา จ มยํ กญฺจิ ความว่า พวกเราอย่าปลงแม้บุรุษผู้หนึ่งไรๆ เสียจากชีวิตเลย.
               ข้อว่า มา จ อมฺเห โกจิ ความว่า บุรุษผู้หนึ่งไรๆ อย่าปลงแม้พวกเราเสียจากชีวิตเลย.
               คำว่า ยนฺนูน มยํ ความว่า เหล่าสัตว์จักสำคัญคิดอย่างนี้ว่า ความพินาศแห่งโลกนี้ปรากฏเฉพาะแล้ว อันเราทั้งหลายสองคนอยู่ในที่เดียวกันไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้.
               บทว่า วนคหนํ ความว่า ที่รกชัฏด้วยพฤกษชาติมีพุ่มหญ้าและเถาวัลย์เป็นต้นอันนับว่าป่า. บทว่า รุกฺขคหนํ คือ รกชัฏด้วยต้นไม้คือที่เข้าไปยาก. บทว่า นทีวิทุคฺคํ คือ ที่ซึ่งไปลำบาก ในที่ซึ่งมีเกาะอยู่ระหว่างเป็นต้นแห่งแม่น้ำทั้งหลาย. บทว่า ปพฺพตวิสมํ คือ ที่อันไม่สม่ำเสมอไปด้วยภูเขาทั้งหลาย. หรือว่าที่อันขลุขละในภูเขาทั้งหลาย.
               บทว่า สภาคายิสฺสนฺติ ความว่า เหล่าสัตว์จักทำคนเหล่านั้นให้เสมอกับตน ด้วยถ้อยคำที่ชวนให้บันเทิงอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราเป็นอยู่โดยประการใด สัตว์ทั้งหลายท่านก็พบเห็นแล้ว แม้ท่านก็เป็นอยู่โดยประการนั้น.

               อายุวณฺณาทิวฑฺฒนกถาวณฺณนา               
               บทว่า อายตํ คือ มาก.
               บทว่า ปาณาติปาตา วิรเมยฺยาม ความว่า พวกเราควรลดปาณาติบาตลงเสีย. อาจารย์บางพวกสวดว่า ปาณาติปาตํ วิรเมยฺยาม ก็มี. ในคำนั้นมีอธิบายว่า พวกเราควรละปาณาติบาต.
               บทว่า วีสติวสฺสายุกา ความว่า มารดาบิดางดเว้นจากปาณาติบาต เพราะเหตุไร บุตรทั้งหลายจึงมีอายุเพียง ๒๐ ปี. เพราะมีเขตบริสุทธิ์. แท้จริง มารดาบิดาแห่งบุตรเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล ดังนั้น พวกเขาจึงมีอายุยืน เพราะเขตบริสุทธิ์นี้ เหตุที่พวกบุตรเจริญในครรภ์ของผู้มีศีล. ก็สัตว์เหล่าใดทำกาละเสียในที่นี้ แล้วเกิดในที่นั้นนั่นเอง สัตว์เหล่านั้นมีอายุยืนด้วยสมบัติคือศีลของตนเท่านั้น.
               บทว่า อสฺสาม แปลว่า พึงมี.
               บทว่า จตฺตาลีสวสฺสายุกา ความว่า ส่วนที่เป็นเบื้องต้น บัณฑิตพึงทราบด้วยอำนาจบุคคลผู้เว้นขาดจากอทินนาทานเป็นต้น.

               สงฺขราชอุปฺปตฺติวณฺณนา               
               บทว่า อิจฺฉา ความว่า ตัณหาซึ่งเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พวกท่านจงให้อาหารแก่เรา.
               บทว่า อนสนํ ความว่า ไม่มีการกิน คือภาวะที่ไม่เบิกบาน ได้แก่ความเกียจคร้านทางกาย คือความประสงค์จะนอน เพราะปัจจัยคือความเมาในอาหารของผู้บริโภคอาหาร. อธิบายว่า ภาวะที่กายมีกำลังทราม เพราะการบริโภค.
               บทว่า ชรา ได้แก่ ความชราปรากฏ.
               บทว่า กุกฺกุฏสมฺปาติกา มีวิเคราะห์ว่า ความตกพร้อมแห่งไก่ กล่าวคือการที่ไก่ตัวบินขึ้นจากหลังคา บ้านหนึ่งแล้วตกลงบนหลังคาอีกบ้านหนึ่งมีอยู่ในคามนิคมและราชธานีเหล่านี้ เหตุนั้นคามนิคมและราชธานีเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นที่ชั่วระยะไก่บินตก. บาลีว่า สมฺปาทิกา ดังนี้ก็มี.
               อธิบายว่า ความถึงพร้อมแห่งไก่ กล่าวคือการเดินไปด้วยเท้าแห่งไก่จากระหว่างบ้านหนึ่ง ไปยังอีกระหว่างบ้านหนึ่งมีอยู่ในคามนิคมและราชธานีเหล่านี้.
               ท่านแสดงความที่สัตว์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มนั่นแลแม้ทั้งสองนั้น.
               บทว่า อวีจิ มญฺเญ ผุโฏ ภวิสฺสติ ความว่า จักเต็มแน่นขนัดประดุจอเวจีมหานรก.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งอายุสัตว์ที่เจริญว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในเวลามนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคเจ้านามว่า เมตตรัย จักอุบัติขึ้นในโลก. เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่บังเกิดในเวลาสัตว์ที่มีอายุเจริญ แต่ย่อมเกิดในเวลาสัตว์มีอายุเสื่อม.
               อธิบายว่า เพราะเหตุนั้น เวลาใดอายุนั้นเจริญแล้ว ถึงความเป็นอสงไขยแล้ว กลับตกไปอีก จักตั้งอยู่ในกาลที่สัตว์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในกาลนั้น พระพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้น.
               ก็บทว่า ปริหริสฺสติ นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งสัตว์ที่เที่ยวแวดล้อมไป.
               บทว่า ยูโป ได้แก่ ปราสาท.
               บทว่า รญฺญา มหาปนาเทน การาปิโต ความว่า มีพระราชาผู้เป็นต้นเหตุ ท้าวสักกะเทวราชจึงส่งพระวิษณุกรรมเทพบุตรไปให้สร้างปราสาท เพื่อประโยชน์แก่พระราชาพระองค์นั้น.
               เล่ากันว่า เมื่อก่อน บิดากับบุตรสองคนเป็นช่างสาน ช่วยกันเอาไม้อ้อและไม้มะเดื่อสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ในที่นั้นบำรุงด้วยปัจจัย ๔. ครั้นทำกาละแล้วก็บังเกิดในเทวโลก.
               ในสองบิดาและบุตรนั้น บิดายังอยู่ในเทวโลกนั่นเอง.
               บุตรจุติจากเทวโลกแล้วบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางสุเมธาผู้เป็นเทวีของพระเจ้าสุรุจิต เป็นพระราชกุมารพระนามว่ามหาปนาทะ. ภายหลัง ท้าวเธอรับสั่งให้ยกฉัตร ได้เป็นพระราชานามว่ามหาปนาทะ.
               ลำดับนั้น ด้วยบุญญานุภาพของท้าวเธอ ท้าวสักกะเทวราชจึงส่งพระวิษณุกรรมเทพบุตรให้ไปสร้างปราสาทถวายพระราชา. พระวิษณุกรรมเทพบุตรนั้นเนรมิตปราสาทถวายท้าวเธอ สูงถึง ๒๕ โยชน์ ๗ ชั้น ล้วนแล้วด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ ซึ่งท่านหมายเอากล่าวไว้ในชาดกว่า
                         พระราชาพระนามว่าปนาทะ มีปราสาทล้วนแล้วด้วยทอง
               กว้าง ๑๖ ชั่วลูกธนู ชนทั้งหลายกล่าวส่วนสูงถึงพันชั่วธนู ปราสาท
               นั้น ๗ ชั้นสูงพันชั่วลูกธนู สะพรั่งไปด้วยธง แพรวพราวไปด้วยแก้ว
               สีเขียว นักฟ้อน ๖ พันแบ่งเป็น ๗ พวก ได้ฟ้อนอยู่ในปราสาทนั้น
                         ดูก่อนภัททชิเศรษฐี ท่านกล่าวไว้โดยประการใด เหตุนั้น
               ได้มีในกาลนั้น โดยประการนั้น ครั้งนั้นเราได้เป็นท้าวสักกะผู้ทำ
               การขวนขวายให้แก่ท่าน ดังนี้.

               พระราชานั้นประทับอยู่ที่ปราสาทนั้นตลอดพระชนมายุสวรรคตแล้ว บังเกิดในเทวโลก. เมื่อท้าวเธอบังเกิดในเทวโลก ปราสาทนั้นก็จมลงในกระแสแม่น้ำมหาคงคา. พระนครชื่อปยาคะประดิษฐ์เป็นอันเทวดานิรมิตแล้ว ณ ที่ใกล้เคียงหัวบันไดของปราสาทนั้น. บ้านชื่อโกฏิคามมีในที่ตรงกับยอดปราสาทพอดี.
               ภายหลังต่อมา ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา เทพบุตรช่างสานนั้นจุติจากเทวโลก เป็นเศรษฐีชื่อภัททชิในถิ่นมนุษย์ บวชในสำนักพระศาสดา บรรลุพระอรหัตแล้ว.
               พึงให้เรื่องพิสดารด้วยคำว่า “ท่านนั้นแสดงปราสาทนั้นแก่หมู่ภิกษุ ในวันที่เอาเรือข้ามแม่น้ำคงคา”.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุใด ปราสาทนี้จึงไม่อันตรธานไป.
               แก้ว่า เพราะอานุภาพบุญเทพบุตรนอกจากนี้. กุลบุตรผู้ทำบุญร่วมกับท่านบังเกิดในเทวโลก ในอนาคตจักเป็นพระราชานามว่า สังขะ ปราสาทนั้นจักตั้งขึ้น สำหรับให้พระราชานั้นใช้สอย เพราะเหตุนั้น ปราสาทจึงไม่อันตรธานไปแล้ว.
               บทว่า อุสฺสาเปตฺวา ความว่า ให้ปราสาทนั้นตั้งขึ้น.
               บทว่า อชฺฌาวสิตฺวา ได้แก่ ประทับอยู่ ณ ที่นั้น.
               บทว่า ตํ ทตฺวา วิสชฺชิตฺวา ความว่า ให้ปราสาทนั้นด้วยอำนาจทานและสละด้วยอำนาจการบริจาคโดยไม่เพ่ง (ผลตอบแทน).
               ถามว่า ถวายปราสาทอย่างนั้นแก่ใคร.
               แก้ว่า แก่เหล่าสมณะเป็นต้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า “ให้ทานแก่สมณพราหมณ์คนกำพร้าคนเดินทางวณิพกยาจก”.
               ถามว่า ก็พระราชา (พระภัททชิ) นั้นจักแสดงปราสาทหลังหนึ่ง แก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างไร?
               แก้ว่า นัยว่า จิตของท่านจักเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ปราสาทนี้จงกระจัดกระจาย. ปราสาทนั้นจักกระจัดกระจายเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ท้าวเธอไม่มีจิตข้องเกี่ยวปราสาทนั้นเลย จักสละด้วยอำนาจทาน ด้วยพระดำรัสว่า ผู้ใดปรารถนาจำนวนเท่าใด ผู้นั้นจงถือเอาจำนวนเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทานํ ทตฺวา เมตฺเตยฺยสฺส ภควโต ฯเปฯ วิหริสฺสติ ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุสนธิสืบต่อแห่งวัฏฏคามีกุศล ด้วยพระดำรัสมีประมาณเท่านี้. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความสืบต่อแห่งวัฏฏคามีกุศล จึงตรัสคำว่า อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิห เป็นต้นไว้อีก.

               ภิกฺขุโนอายุวณฺณาทิวฑฺฒนกถาวณฺณนา               
               ข้อว่า อิทํโข ภิกฺขเว ภิกฺขุโน อายุสฺมึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้กับเธอว่า “เธอทั้งหลายจักเจริญด้วยอายุบ้าง” คำนี้ย่อมมีในอายุของภิกษุนั้น คือคำนี้เป็นเหตุแห่งอายุ. เพราะฉะนั้น พวกเธอเมื่อต้องการให้อายุเจริญ ต้องเจริญอิทธิบาท ๔ อย่างเหล่านี้.
               บทว่า วณฺณสฺมึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราได้กล่าวคำใดไว้กับเธอว่า พวกเธอจักเจริญด้วยวรรณะบ้าง นี้เป็นเหตุ (เจริญ) วรรณะในวรรณะนั้น ด้วยว่าวรรณะแห่งสรีระของผู้มีศีล ย่อมเจริญด้วยอำนาจความไม่เดือดร้อนเป็นต้น แม้วรรณะคือคุณก็เจริญด้วยอำนาจชื่อเสียง เพราะฉะนั้น พวกเธอเมื่อต้องการให้วรรณะเจริญต้องมีศีลบริบูรณ์.
               บทว่า สุขสฺมึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราได้กล่าวคำใดไว้กับพวกเธอว่า พวกเธอจักเจริญด้วยความสุขบ้างดังนี้ คำนี้ย่อมมีความสุขที่เกิดจากฌานมีประการต่างๆ มีปีติและสุขเกิดจากวิเวก ในความสุขนั้น คือเป็นต้น เพราะเหตุนั้น พวกเธอเมื่อต้องการให้เจริญด้วยความสุข ต้องเจริญฌาน ๔ อย่างเหล่านี้.
               บทว่า โภคสฺมึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราได้กล่าวคำใดไว้กับพวกเธอว่า พวกเธอจักเจริญด้วยโภคะบ้าง ดังนี้ นี้คือโภคะได้แก่พรหมวิหารที่พึงแผ่ได้ทั่วทิศอันนำซึ่งความเป็นผู้ไม่เกลียดชังเหล่าสัตว์ที่หาประมาณมิได้ มีอานิสงส์ ๑๑ ประการเช่นนอนเป็นสุขเป็นต้น เพราะฉะนั้น พวกเธอเมื่อต้องการให้โภคะเจริญ ต้องเจริญพรหมวิหารเหล่านี้.
               บทว่า พลสฺมึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราได้กล่าวคำใดไว้กับพวกเธอว่า พวกเธอจักเจริญด้วยกำลังบ้างดังนี้ คำนี้คือกำลัง กล่าวคืออรหัตตผล ซึ่งเกิดขึ้นในที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งอาสวะ เพราะเหตุนั้น พวกเธอเมื่อต้องการจะให้กำลังเจริญ ต้องทำความพากเพียรเพื่อการบรรลุถึงพระอรหัต.
               บทว่า ยถยิทํ ภิกฺขเว มารพลํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราย่อมไม่พิจารณาเห็นแม้กำลังอันเป็นเอกในโลกอย่างอื่นที่ข่มยาก กำจัดยาก เหมือนกำลังของเทวบุตรมารมัจจุมารกิเลสมารนี้เลย อรหัตตผลนี้เท่านั้นย่อมข่ม ครอบงำ ท่วมทับกำลังแม้นั้นได้ เพราะเหตุนั้น พวกเธอควรทำความพากเพียรในพระอรหัตนี้เท่านั้น.
               ข้อว่า เอวมิทธํ ปุญญํ ความว่า แม้บุญที่เป็นโลกุตตระนี้ ย่อมเจริญจนตราบสิ้นอาสวะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อยังอนุสนธิสืบต่อแห่งวัฏฏคามีกุศลให้จบลง จึงยังเทศนาให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัต. ในเวลาจบพระสูตร ภิกษุ ๒๐,๐๐๐ รูปบรรลุพระอรหัต สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้วแล.

               จบอรรถกถาจักกวัตติสูตรที่ ๓               
               ------------------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 11 / 1อ่านอรรถกถา 11 / 18อรรถกถา เล่มที่ 11 ข้อ 33อ่านอรรถกถา 11 / 51อ่านอรรถกถา 11 / 364
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=1189&Z=1702
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=6&A=727
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=6&A=727
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :