ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 369อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 383อ่านอรรถกถา 12 / 388อ่านอรรถกถา 12 / 557
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค
มหาโคปาลสูตร ว่าด้วยองค์แห่งนายโคบาลกับของภิกษุ


               อรรถกถามหาโคปาลสูตร               
               มหาโคปาลสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ. เราได้ฟังมาแล้วอย่างนี้
               ในมหาโคปาสสูตรนั้น มี ๓ กถา คือ เอกนาลิกา จตุรสฺสา นิ สินฺนวตฺติกา.
               การกล่าวบาลีในกถาทั้ง ๓ นั้น และกล่าวเนื้อความแต่ละบท ชื่อว่า เอกนาลิกา. การแสดงนายโคบาลผู้ไม่ฉลาด แสดงภิกษุผู้ไม่ฉลาด แสดงนายโคบาลผู้ฉลาด แสดงภิกษุผู้ฉลาด กล่าวประมวลไว้เป็น ๔ พวก ชื่อว่า จตุรสฺสา. การแสดงนายโคบาลผู้ไม่ฉลาดไปถึงที่สุด การแสดงภิกษุผู้ไม่ฉลาดไปถึงที่สุด การแสดงนายโคบาลผู้ฉลาดไปถึงที่สุด การแสดงภิกษุผู้ฉลาดไปถึงที่สุด นี้ชื่อว่า นิสินนวุตติกา.
               กถานี้ อาจารย์ทั้งปวงในธรรมวินัยประพฤติกันมาแล้ว
               บทว่า เอกาทสหิ ภิกฺขเว องฺเคหิ คือ โดยส่วนแห่งโทษ ๑๑ อย่าง. บทว่า โคคณํ แปลว่า ฝูงโค. บทว่า ปริหริตุํ ได้แก่ พาเที่ยวไป. บทว่า ผาติกาตุํ ได้แก่ ให้ถึงความเจริญ. บทว่า อิธ คือ ในโลกนี้.
               บทว่า น รูปญฺญู โหติ ได้แก่ ย่อมไม่รู้จักรูปโดยการนับ หรือโดยสี.
               ชื่อว่าย่อมไม่รู้จักโดยการนับ คือย่อมไม่รู้จักนับโคของตนว่า ร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง. นายโคบาลนั้นเมื่อแม่โคถูกฆ่าหรือหนีไปนับฝูงโคแล้ว ทราบว่า วันนี้แม่โคประมาณเท่านี้หายไปดังนี้ เที่ยวไปตลอด ๒-๓ ละแวกบ้านหรือดง ย่อมไม่แสวงหา. เมื่อแม่โคของคนอื่นเข้าไปยังฝูงโคของตน นับจำนวนแล้วทราบว่า โคเหล่านี้ประมาณเท่านี้ไม่ใช่ของเราดังนี้ ไม่เอาไม้ตะพดตีออกไป แม่โคของเขาที่หายไปแล้ว ก็เป็นอันหายไป. เขาต้อนแม่โคของคนอื่นเที่ยวไป. พวกเจ้าของโคเห็นแล้วคุกคามว่า นายโคบาลนี้รีดน้ำนมแม่โคนมของพวกเราตลอดกาลประมาณเท่านี้แล้ว พาเอาแม่โคของตนไป. แม้ฝูงโคของเขาย่อมเสื่อมไป เขาย่อมห่างไกลจากการบริโภคปัญจโครส.
               นายโคบาลที่ชื่อว่าไม่รู้โดยสี คือไม่รู้ว่า โคสีขาวมีประมาณเท่านี้ สีแดงประมาณเท่านี้ สีดำประมาณเท่านี้ สีด่างประมาณเท่านี้ สีเขียวประมาณเท่านี้ นายโคบาลนั้น เมื่อแม่โคถูกฆ่าหรือหนีไป ฯลฯ เขาย่อมห่างไกลจากการบริโภคปัญจโครส.
               บทว่า น ลกฺขณกุสโล โหติ ความว่า ย่อมไม่รู้เครื่องหมายที่ต่างกันมีธนู หอก หลาวเป็นต้นที่ตนทำเป็นเครื่องหมายไว้ที่ตัวของแม่โค นายโคบาลนั้น เมื่อแม่โคถูกฆ่าหรือหนีไป นับจำนวนโคแล้วรู้ว่า วันนี้โคลักษณะโน้นหายไป ฯลฯ เขาย่อมห่างไกลแม้จากการบริโภคปัญจโครส.
               บทว่า น อาสาฏิกํ สาเฏตา ความว่า แผลของโคมีในที่ถูกตอและหนามเป็นต้นทิ่มแทง แมลงวันหัวเขียวหยอดไข่ขางไว้ที่แผลนั้น ชื่อว่าไม่คอยเขี่ยไข่ขางของแมลงวันหัวเขียวเหล่านั้น นายโคบาลคอยเอาไม้เขี่ยไข่ขางเหล่านั้นออกไปแล้ว พึงใส่ยา. นายโคบาลโง่ หาทำอย่างนั้นไม่. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าไม่คอยเขี่ยไข่ขาง. แผลของโคของเขาลุกลามเป็นแผลลึก พวกสัตว์เล็กไชเข้าท้องได้ แม่โคเหล่านั้นถูกความเจ็บไข้ครอบงำไม่สามารถเพื่อจะเคี้ยวกินหญ้า และดื่มน้ำได้ตามต้องการ น้ำนมของโคทั้งหลาย ในที่นั้นก็ขาด พวกโคก็ถอยกำลัง แม้อันตรายแห่งชีวิตย่อมมีแก่โคทั้ง ๒ ฝูง โคของเขาย่อมเสื่อมบ้าง เขาย่อมห่างไกลจากปัญจโครสบ้างด้วยประการอย่างนี้.
               บทว่า น วณํ ปฏิจฺฉาเทตา โหติ ความว่า แผลที่เกิดแล้วแก่โคโดยนัยที่กล่าวแล้ว พึงเอาปอหรือป่านพันปิดไว้. นายโคบาลโง่ หาทำอย่างนั้นไม่. เมื่อเป็นเช่นนั้น หนองย่อมไหลจากแผลของโคของเขา โคเสียดสีกันและกัน เพราะการเสียดสีนั้น แผลเกิดแก่โคแม้เหล่าอื่น โคถูกความเจ็บไข้ครอบงำแล้วอย่างนี้ ไม่สามารถเพื่อจะเคี้ยวกินหญ้า ตามต้องการได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น ธูมํ กตฺตา โหติ ความว่า ในเวลาภายในฤดูฝน เหลือบและยุงเป็นต้นชุกชุม เมื่อฝูงโคเข้าคอกแล้วควรสุมด้วยควันให้ในคอกนั้น นายโคบาลผู้ไม่ฉลาด ย่อมไม่สุมควันให้ ฝูงโคถูกเหลือบเป็นต้นเบียดเบียนตลอดคืนยังรุ่ง ก็ไม่ได้หลับ. ในวันรุ่งขึ้น นอนหลับที่โคนไม้เป็นต้น ในที่นั้นๆ ในป่า ไม่สามารถเพื่อจะเคี้ยวกินหญ้าตามความต้องการได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกลจากการบริโภคปัญจโครส.
               บทว่า น ติตฺถํ ชานาติ ความว่า ไม่รู้จักท่าว่าเรียบหรือไม่เรียบ มีสัตว์ร้ายหรือไม่มีสัตว์ร้าย ดังนี้. นายโคบาลนั้นปล่อยแม่โคให้ลงไปโดยที่มิใช่ท่า เมื่อแม่โคเหล่านั้นเหยียบแผ่นหินเป็นต้นที่ท่าไม่เรียบ เท้าย่อมแตก แม่โคลงที่ท่าลึกมีสัตว์ร้าย สัตว์ร้ายมีจระเข้เป็นต้นก็กัดเอา เขาจะต้องกล่าวว่า วันนี้โคหายไปแล้วประมาณเท่านี้ วันนี้ประมาณเท่านี้ ฝูงโคของเขาย่อมเสื่อมบ้าง เขาย่อมห่างไกลจากปัญจโครสบ้าง ด้วยประการอย่างนี้.
               บทว่า น ปิตํ ชานาติ ความว่า ไม่รู้จักให้โคดื่ม ก็นายโคบาลควรรู้จักให้โคดื่มและไม่ดื่มอย่างนี้ว่า โคนี้ดื่ม โคนี้ไม่ดื่ม โคนี้ได้โอกาสที่ท่าน้ำสำหรับดื่ม โคนี้ไม่ได้ดังนี้. แต่นายโคบาลนี้รักษาฝูงโคในป่าตลอดทั้งวัน คิดว่าเราจักให้ดื่มน้ำดังนี้ ก็ต้อนไปแม่น้ำหรือหนอง โคใหญ่โคเล็กเอาเขาหรือสีข้างกระแทกแม่โคที่ไม่มีกำลัง และโคที่กำลังน้อยและแก่ ตนได้โอกาสลงน้ำแค่อก ดื่มตามความปรารถนา โคที่เหลือเมื่อไม่ได้โอกาสยืนอยู่บนฝั่ง ดื่มน้ำเจือเปือกตมบ้าง ไม่ได้ดื่มบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น นายโคบาลตีที่หลัง ต้อนให้โคเหล่านั้นกลับเข้าป่าอีก ในโคเหล่านั้น แม่โคที่ไม่ได้ดื่มอิดโรยด้วยความกระหาย ไม่สามารถจะเคี้ยวกินหญ้าตามความต้องการได้ น้ำนมของแม่โคในที่นั้นก็ขาดไป ฝูงโคก็ถอยกำลัง ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น วิถึ ชานาติ ความว่า ไม่รู้จักว่า ทางนี้เป็นทางเรียบปลอดภัย ทางนี้ไม่เรียบ น่าสงสัยมีภัยจำเพาะหน้า. เขาเว้นทางอันปลอดภัยเรียบ ต้อนฝูงโคให้เดินไปอีกทางหนึ่ง โคได้กลิ่นราชสีห์และเสือเป็นต้น หรืออันตรายแต่โจรครอบงำ เปรียบด้วยเนื้อตื่น ยืนชูคอ จะเคี้ยวกินหญ้าดื่มน้ำไม่ได้ตามความปรารถนา น้ำนมของแม่โคในที่นั้น ก็ขาดไป ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น โคจรกุสโล โหติ ความว่า ก็นายโคบาลพึงฉลาดในสถานที่โคเที่ยวหากิน พึงรู้คราวละ ๕ วันหรือคราวละ ๗ วัน ให้ฝูงโคเที่ยวหากินในทิศหนึ่งแล้ว วันรุ่งขึ้น ไม่พึงให้เที่ยวไปที่นั้น. ก็สถานที่ฝูงโคใหญ่เคยเที่ยวไป หญ้าหมดเรียบเหมือนหน้ากลอง แม้น้ำก็ขุ่นมัว เพราะฉะนั้น ในวันที่ ๕ หรือที่ ๗ จึงควรต้อนให้ไปเที่ยวหากินในที่นั้นอีก เพราะว่า แม้หญ้าก็กลับงอกงาม แม้น้ำก็ใส ด้วยเหตุประมาณเท่านี้.
               ส่วนนายโคบาลนี้ไม่รู้จักคราวละ ๕ วัน หรือคราวละ ๗ วัน ย่อมรักษาสถานที่ตนรักษาแล้วนั่นและทุกๆ วัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝูงโคของเขาไม่ได้เคี้ยวกินหญ้าอันเขียวสด เมื่อเคี้ยวกินหญ้าแห้ง ดื่มน้ำเจือเปือกตมอยู่ น้ำนมของแม่โคในที่นั้นก็ขาดไป ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า อนวเสสโทหี โหติ ความว่า เนื้อและเลือดของลูกโคจะตั้งอยู่ได้เพียงใด นายโคบาลผู้ฉลาดพึงรีดน้ำนมให้เหลือไว้ ๑-๒ เต้าเพียงนั้น นายโคบาลนี้รีดน้ำนมมิได้เหลืออะไรสำหรับลูกโคเลย ลูกโคที่ยังดูดน้ำนมย่อมอิดโรย ด้วยความกระหายน้ำนม เมื่อไม่สามารถดำรงตนอยู่ได้ สั่นล้มลงตายต่อหน้าแม่ แม่เห็นลูกน้อยแล้วคิดว่า ลูกน้อยของเราไม่ได้แม้เพื่อจะดื่มน้ำนมของแม่ตน ไม่สามารถเพื่อจะเคี้ยวกินหญ้าดื่มน้ำตามความต้องการได้ เพราะความโศกถึงลูก น้ำนมที่เต้าน้ำก็ขาดไป ฝูงโคของเขาย่อมเสื่อมบ้าง เขาย่อมห่างไกลจากปัญจโครสบ้างด้วยประการอย่างนี้
               ชื่อว่าพ่อโค เพราะอรรถว่าทำหน้าที่เป็นพ่อของโคทั้งหลาย.
               ชื่อว่าหัวหน้าโค เพราะอรรถว่านำฝูงโค คือพาไปได้ตามชอบใจ.
               บทว่า น อติเรกปูชาย ความว่า จริงอยู่ นายโคบาลผู้ฉลาดปรนปรือโคใหญ่เห็นปานนี้ ด้วยการปรนปรือเป็นพิเศษ คือย่อมให้อาหารอันประณีต ตกแต่งด้วยของหอมและการเจิม ๕ แห่ง ประดับดอกไม้ สวมปลอกทองคำและเงินที่เขา ตามดวงไฟให้สว่างตลอดคืน ให้นอนภายใต้เพดานผ้า. ส่วนนายโคบาลนี้ย่อมไม่ทำการเอื้อเฟื้ออย่างเดียว จากการให้อาหารอันประณีตเป็นต้นนั้น โคใหญ่เมื่อไม่ได้ปรนปรือ เป็นพิเศษก็ไม่รักษาฝูงโค ไม่ป้องกันอันตราย ฝูงโคของเขาย่อมเสื่อมไป เขาย่อมห่างไกลจากปัญจโครส ด้วยประการอย่างนี้.
               บทว่า อิธ คือ ในศาสนานี้.
               บทว่า น รูปญฺญู โหติ ความว่า ย่อมไม่รู้จักรูปที่กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า มหาภูตรูป ๔ โดยอาการ ๒ คือ โดยการนับหรือโดยสมุฏฐาน. ชื่อว่าไม่รู้จักโดยการนับ คือไม่รู้ว่าส่วนแห่งรูป ๒๕ มาแล้วในบาลีอย่างนี้ว่า อายตนะคือตา หู จมูก ลิ้นและกาย อายตนะคือรูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ อากาสธาตุ อาโปธาตุ ความเบาแห่งรูป ความอ่อนแห่งรูป ความควรแก่การงาน ความก่อขึ้น ความสืบต่อ ความแก่ ความที่รูปเป็นของไม่เที่ยง อาหารคือคำข้าว.
               ภิกษุนี้เปรียบเหมือนนายโคบาลนั้น ไม่รู้จักรูปแห่งโคทั้งหลายโดยการนับฉะนั้น เธอเมื่อไม่รู้จักรูปโดยการนับ ก็ไม่สามารถเพื่อจะกำหนดรูป ยึดถือรูป กำหนดปัจจัย ยกขึ้นสู่สามัญลักษณะ กำหนดรูป ยึดถือรูป กำหนดปัจจัย ยกขึ้นสู่สามัญลักษณะแล้ว กำหนดอรูป กำหนดจับอรูป กำหนดปัจจัย ยกขึ้นสู่ลักษณะให้กัมมัฏฐานถึงที่สุดได้ ภิกษุนั้นย่อมไม่เจริญด้วยศีลสมาธิวิปัสสนา มรรคผลและนิพพานในศาสนานี้ เหมือนฝูงโคของนายโคบาลนั้น ย่อมไม่เจริญฉะนั้น.
               เหมือนอย่างว่า นายโคบาลนั้นย่อมห่างไกลจากปัญจโครสฉันใด ภิกษุนั้นก็ห่างไกลจากธรรมขันธ์ ๕ คือศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์อันเป็นของพระอเสขะฉันนั้น ชื่อว่าไม่รู้จักโดยสมุฏฐาน คือไม่รู้ว่ารูปประมาณเท่านี้มีสมุฏฐานเดียว ประมาณเท่านี้มีสองสมุฏฐาน ประมาณเท่านี้มีสามสมุฏฐาน ประมาณเท่านี้มีสี่สมุฏฐาน ประมาณเท่านี้ย่อมไม่ตั้งขึ้นแต่สมุฏฐานไหนเลย ดังนี้. ภิกษุนี้เปรียบเหมือนนายโคบาลนั้น ไม่รู้จักรูปแห่งโคทั้งหลายโดยสีฉะนั้น เธอไม่รู้จักรูปโดยสมุฏฐาน ยึดถือรูป กำหนดรูปแล้ว ฯลฯ ย่อมห่างไกล.
               บทว่า น ลกฺขณกุสโล โหติ ความว่า ย่อมไม่รู้จักว่า กุศลกรรม อกุศลกรรมเป็นลักษณะบัณฑิตและพาลที่กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า คนเป็นบัณฑิตมีกรรมเป็นลักษณะ คนพาลมีกรรมเป็นลักษณะ เขาเมื่อไม่รู้จักอย่างนี้ ไม่เว้นคนพาล ไม่คบหาบัณฑิต เมื่อไม่เว้นคนพาล ไม่คบหาบัณฑิต ไม่รู้จักสิ่งที่ควรไม่ควร เป็นกุศล อกุศล สิ่งที่มีโทษไม่มีโทษ โทษหนักโทษเบา แก้ไขได้แก้ไขไม่ได้ เหตุมิใช่เหตุ เมื่อไม่รู้สิ่งนั้น ย่อมไม่สามารถเพื่อจะถือเอากัมมัฏฐานไปเจริญได้ ภิกษุนั้นย่อมไม่เจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้นตามที่กล่าวแล้วในศาสนานี้ เหมือนฝูงโคของนายโคบาลนั้นไม่เจริญ คือเป็นผู้ห่างไกลจากธรรมขันธ์ เหมือนนายโคบาลห่างไกลจากปัญจโครสฉะนั้น.
               บทว่า น อาสาฏิกํ สาเฏตา โหติ ความว่า ย่อมไม่บรรเทากามวิตกเป็นต้นที่กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า กามวิตกเกิดขึ้นแล้วดังนี้ ไม่คอยเขี่ยไข่ขางเป็นอกุศลวิตกนี้ เมื่อเที่ยวประพฤติอยู่ในอำนาจของวิตก ย่อมไม่สามารถเพื่อจะถือเอากัมมัฏฐานไปเจริญได้ ภิกษุนั้นย่อมห่างไกลเหมือนของนายโคบาล ฯลฯ.
               บทว่า น วณํ ปฏิจฺฉาเทตา โหติ ความว่า เมื่อถือนิมิตในอารมณ์ทุกอย่างโดยนัยเป็นต้นว่า เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ถือโดยนิมิตดังนี้ ย่อมไม่ยังความสำรวมให้ถึงพร้อม เหมือนนายโคบาลนั้นไม่ปิดแผลฉะนั้น ภิกษุนั้นเมื่อเปิดทวารเที่ยวไป ย่อมไม่สามารถเพื่อถือกัมมัฏฐานไปเจริญได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น ธูมํ กตฺตา โหติ ความว่า ภิกษุไม่สุมควันคือธรรมเทศนา เหมือนนายโคบาลนั้นไม่สุมควันฉะนั้น คือไม่ทำธรรมกถาหรือสรภัญญะ อุปนิสินนกถาหรืออนุโมทนา แต่นั้น พวกมนุษย์ไม่รู้จักคุณนั้นว่า ภิกษุผู้เป็นพหูสูตมีคุณดังนี้ มนุษย์เหล่านั้นเมื่อไม่รู้จักคุณและโทษ ย่อมไม่กระทำการสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ เธอเมื่อลำบากด้วยปัจจัย ก็ไม่สามารถเพื่อจะทำการสาธยายพระพุทธพจน์ บำเพ็ญวัตตปฏิบัติ ถือกัมมัฏฐานไปเจริญได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น ติตฺถํ ชานาติ ความว่า ภิกษุย่อมไม่เข้าไปหาภิกษุผู้เป็นพหูสูต ผู้เป็นดุจท่า เมื่อเข้าไปหา ไม่ไต่ถาม ถือเอา สอบถามให้รู้อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พยัญชนะนี้พึงปลูกฝังอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร บาลีในที่แห่งบาลีนี้กล่าวไว้อย่างไร เนื้อความในที่นี้แสดงไว้อย่างไร ภิกษุผู้เป็นพหูสูตเหล่านั้นอันเธอไม่ไต่ถามแล้วอย่างนี้ ย่อมไม่เปิดเผยข้อความที่ยังลี้ลับ ไม่จำแนกออกแสดง ไม่ทำข้อความที่ลึกให้ตื้น ไม่ทำข้อความที่ไม่ปรากฏให้ปรากฏแก่เธอ.
               บทว่า อเนกวิหิ เตสุ จ กงฺขาฏฺฐานีเยสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ ย่อมไม่บรรเทาแม้ความสงสัยอย่างหนึ่งในความสงสัยหลายอย่าง.
               มีอธิบายว่า ก็ความสงสัย ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย ย่อมไม่นำแม้ความสงสัยอย่างหนึ่งในธรรมนั้นออกไปได้. เธอไม่เข้าไปหาท่าคือภิกษุผู้เป็นพหูสูตอย่างนี้ จึงเต็มด้วยความสงสัย ไม่สามารถเพื่อจะถือกัมมัฏฐานไปเจริญได้.
               เหมือนอย่างว่า นายโคบาลย่อมไม่รู้จักท่าฉันใด ภิกษุนี้ไม่รู้จักท่าคือธรรมฉันนั้น เมื่อไม่รู้ ได้ถามปัญหาในมิใช่วิสัย เข้าไปหาพระนักอภิธรรม ได้ถามสิ่งที่ควรไม่ควร เข้าไปหาพระวินัยธร ได้ถามการกำหนดรูปและอรูป ท่านเหล่านั้นถูกเธอถามในธรรมที่มิใช่วิสัย ย่อมไม่สามารถเพื่อจะตอบได้ เธอจึงเต็มไปด้วยความสงสัยด้วยตนเอง จึงไม่สามารถเพื่อจะถือกัมมัฏฐานไปเจริญได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า ปิตํ น ชานาติ ความว่า ภิกษุย่อมไม่รู้ คือไม่ได้ความปราโมทย์ประกอบด้วยธรรม เหมือนนายโคบาลนั้นย่อมไม่รู้จักให้โคดื่มและไม่ดื่มฉะนั้น เธออาศัยบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยการฟัง ย่อมไม่ประสบอานิสงส์ ไปยังโรงฟังธรรมแล้ว ย่อมไม่ฟังโดยความเคารพ นั่งหลับย่อมพูดคุยเป็นผู้มีใจส่งไปอื่น เธอเมื่อไม่ฟังธรรมโดยความเคารพ ย่อมไม่สามารถเพื่อจะถือกัมมัฏฐานไปเจริญได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น วีถึ ชานาติ ความว่า ภิกษุย่อมไม่รู้ชัดอริยมรรคมีองค์ ๘ ตามเป็นจริงว่า ทางนี้เป็นโลกิยะ ทางนี้เป็นโลกุตตระดังนี้ เหมือนนายโคบาลนั้นไม่รู้อยู่ซึ่งทางและมิใช่ทางฉะนั้น เมื่อเธอไม่รู้ตั้งมั่นแล้วในทางที่เป็นโลกิยะ ย่อมไม่สามารถเพื่อจะยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้นได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า น โคจรกุสโล โหติ ความว่า ภิกษุย่อมไม่รู้ชัดสติปัฏฐาน ๔ ตามเป็นจริงว่า ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตตระ เหมือนนายโคบาลนั้นไม่รู้อยู่ซึ่งคราวละ ๕ วันและ ๗ วันฉะนั้น เมื่อเธอไม่รู้ปลูกฝังญาณของตนไว้ในธรรมอันที่สุขุม ตั้งมั่นในสติปัฏฐานเป็นโลกิยะ ย่อมไม่สามารถเพื่อจะยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้นได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า อนวเสสโทหี ความว่า ภิกษุเมื่อไม่รู้จักประมาณในการรับ ย่อมรีดเสียหมดมิได้เหลือไว้.
               ส่วนในนิทเทสวาร พวกคฤหบดีผู้มีศรัทธามาปวารณาแก่ภิกษุนั้นว่า อภิหฏฺฐุํ ปวาเรนฺติ ในที่ปวารณานี้ ปวารณามี ๒ คือ ปวารณาด้วยวาจา ๑ ปวารณาด้วยปัจจัย ๑.
               พวกมนุษย์ไปยังสำนักของภิกษุแล้ว ปวารณาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพึงบอกสิ่งที่ต้องการดังนี้ ชื่อว่าปวารณาด้วยวาจา. พวกมนุษย์ถือผ้าหรือเภสัชมีน้ำนมและน้ำอ้อยเป็นต้น ไปสำนักของภิกษุ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงรับตามความต้องการเถิด ดังนี้ ชื่อว่าปวารณาด้วยปัจจัย.
               บทว่า ตตฺร ภิกฺขุ มตฺตํ น ชานาติ มีอธิบายว่า ภิกษุไม่รู้จักประมาณในปัจจัยเหล่านั้น ไม่รับแต่พอประมาณโดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ในรถวินีตสูตรว่า พึงรู้ความสามารถของทายก ความสามารถของไทยธรรม พึงรู้กำลังของตน รับสิ่งที่เขานำมาถวายทั้งหมด. มนุษย์เดือดร้อนจะไม่มาปวารณาอีก. เธอเมื่อลำบากด้วยปัจจัย ย่อมไม่สามารถจะถือกัมมัฏฐานไปเจริญได้ ฯลฯ เขาย่อมห่างไกล.
               บทว่า เต น อติเรกปูชาย ปูชิตา โหติ ความว่า ภิกษุไม่บูชาพระภิกษุเหล่านั้นผู้เป็นพระเถระด้วยบูชาเป็นอดิเรกมีเมตตากายกรรมเป็นต้นนี้ ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ เหมือนนายโคบาลไม่ปรนปรือโคใหญ่ด้วยการปรนปรือเป็นพิเศษอยู่ฉะนั้น เพราะฉะนั้น พระเถระคิดว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ทำความเคารพและความยำเกรงในพวกเราเหล่านี้แล้ว จึงมิได้สงเคราะห์พวกนวกภิกษุด้วยการสงเคราะห์ ๒ คือ ไม่สงเคราะห์ด้วยธรรม ๑ ด้วยอามิส ๑ ไม่บำรุงนวกภิกษุผู้ลำบาก เหี่ยวแห้งอยู่ด้วยจีวรหรือบาตร สิ่งของเนื่องด้วยบาตรหรือที่อยู่ ไม่ให้ศึกษาบาลี หรืออรรถกถาคัมภีร์เนื่องด้วยธรรมกถา หรือคัมภีร์ที่ลี้ลับ.
               พวกนวกภิกษุเมื่อไม่ได้การสงเคราะห์ ๒ อย่างเหล่านี้ แต่สำนักของพระเถระทั้งหลายโดยประการทั้งปวง ย่อมไม่อาจเพื่อจะดำรงอยู่ในศาสนานี้ได้. พวกเธอย่อมไม่เจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้น เหมือนฝูงโคของนายโคบาล ย่อมไม่เจริญฉะนั้น. นายโคบาลนั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากปัญจโครสฉันใด เธอย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากธรรมขันธ์ ๕ ฉันนั้น.
               สุกกปักษ์ ท่านประกอบไว้แล้ว พึงทราบด้วยสามารถตรงกันข้ามที่กล่าวแล้วในกัณหปักษ์.

               จบอรรถกถามหาโคปาลสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค มหาโคปาลสูตร ว่าด้วยองค์แห่งนายโคบาลกับของภิกษุ จบ.
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 369อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 383อ่านอรรถกถา 12 / 388อ่านอรรถกถา 12 / 557
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=7106&Z=7246&bgc=seashell
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=8&A=4222
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=8&A=4222
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :