ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 420อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 439อ่านอรรถกถา 14 / 467อ่านอรรถกถา 14 / 853
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค
อุปักกิเลสสูตร

               อรรถกถาอุปักกิเลสสูตร               
               อุปักกิเลสสูตร มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตทโวจ ความว่า มิใช่กราบทูลด้วยความประสงค์จะให้แตกแยกกัน และมิใช่เพื่อจะประจบ. แท้จริง ภิกษุนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้เชื่อฟังเราแล้วจักงดเว้น และธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมุ่งอนุเคราะห์เพื่อประโยชน์สถานเดียว พระองค์จักตรัสบอกเหตุอย่างหนึ่งแก่ภิกษุเหล่านี้เป็นแน่ ภิกษุเหล่านั้นฟังเหตุเหล่านั้นแล้วจักงดเว้น แต่นั้นภิกษุเหล่านั้นจักอยู่อย่างผาสุก. เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงกราบทูลคำมีอาทิว่า อิธ ภนฺเต ดังนี้.
               ในบทเป็นต้นว่า มา ภณฺฑนํ พึงเติมปาฐะที่เหลือว่า อกตฺถ เป็นต้นเข้าไปด้วย แล้วถือเอาความอย่างนี้ว่า มา ภณฺฑนํ อย่าทำการขัดแย้งกัน.
               บทว่า อญฺญตโร ความว่า ได้ยินว่า ภิกษุนั้นมุ่งประโยชน์ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า คือได้ยินว่า ภิกษุนั้นมีความประสงค์อย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ถูกความโกรธครอบงำแล้ว จะไม่เชื่อฟังคำสอนของพระศาสดา ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกล่าวสอนภิกษุเหล่านี้อยู่ อย่าทรงลำบากเลยดังนี้. เพราะฉะนั้น จึงกราบทูลอย่างนี้.
               บทว่า ปิณฺฑาย ปาวิสิ ความว่า มิใช่เสด็จเข้าไปเพื่อบิณฑบาตอย่างเดียว แต่ได้ทรงอธิฏฐานพระหฤทัยว่า คนที่เห็นเราแล้ว จงเข้าเฝ้าเรา.
               ถามว่า ทรงอธิฏฐานเพื่อประโยชน์อะไร.
               ตอบว่า เพื่อทรงทรมานภิกษุเหล่านั้น.
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับจากบิณฑบาตโดยอาการอย่างนั้นแล้ว ตรัสคาถามีอาทิว่า ปุถุสทฺโท สมชโน ดังนี้แล้ว เสด็จออกจากกรุงโกสัมพีตรงไปยังพาลกโลณการคาม.
               แต่นั้นเสด็จไปในปาจีนวังสมิคทายวัน ต่อนั้นเสด็จเข้าไปยังชัฏป่าชื่อว่าปาริเลยยกะ อันช้างตัวประเสริฐชื่อปาริเลยยกะบำรุงอยู่ ประทับอยู่ตลอดไตรมาส.
               แม้ชาวพระนครคิดว่า พระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่วิหารแล้ว พวกเราจะไปฟังธรรมแล้วถือของหอมดอกไม้ตรงไปยังวิหาร ถามว่า ท่านเจ้าข้า พระศาสดาเสด็จไปไหน.
               ภิกษุทั้งหลายบอกว่า พวกท่านจะเฝ้าพระศาสดาได้ที่ไหน พระองค์เสด็จมาด้วยหวังว่า จักเกลี้ยกล่อมภิกษุเหล่านี้ให้สามัคคีกัน แต่ไม่อาจทำให้สามัคคีกันได้ จึงเสด็จออกไปแล้ว.
               พวกชาวเมืองทั้งหมดพากันคาดโทษว่า พวกเราจะเสียเงินตั้งร้อยหรือพัน ก็ไม่สามารถจะนำพระศาสดามาได้ ถึงพวกเราจะไม่กราบทูลวิงวอน พระองค์ก็จะเสด็จมาเอง เพราะอาศัยภิกษุเหล่านี้ทำให้พวกเราไม่ได้สดับธรรมกถาเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ ภิกษุเหล่านี้บวชเจาะจงพระศาสดา แม้เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้สามัคคีกัน ก็ไม่ยอมสมัครสมานสามัคคีกันเช่นนี้ จะเชื่อฟังใครเล่า พอกันที พวกเราอย่าถวายภิกษาแก่ภิกษุเหล่านี้.
               ครั้นวันรุ่งขึ้น ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวไปบิณฑบาตทั่วทั้งพระนคร ไม่ได้ภิกษาแม้สักทัพพีเดียว กลับวิหารแล้ว. แม้พวกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นอีกว่า พวกเราจะลงทัณฑกรรมเช่นนี้แหละแก่ท่านทั้งหลาย จนกว่าพวกท่านจะให้พระศาสดาทรงอดโทษ.
               ภิกษุเหล่านั้นคิดว่า พวกเราจักให้พระศาสดาอดโทษ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ทันเสด็จถึงพระนครสาวัตถี ได้ไปรอคอยอยู่ในเมืองสาวัตถีแล้ว
               พระศาสดาทรงแสดงเภทกรวัตถุ ๑๘ ประการแก่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว ในเรื่องนี้มีข้อความตามที่กล่าวไว้ในบาลีมุตตกะเพียงเท่านี้.
               บัดนี้จะวินิจฉัยในคาถามีอาทิว่า ปุถุสทฺโท ดังต่อไปนี้.
               ชื่อว่า ปุถุสทฺโท เพราะอรรถว่า มีเสียงดัง เสียงใหญ่ทีเดียว.
               บทว่า สมชโน ได้แก่ คนที่เหมือนกัน คือคล้ายๆ คนคนเดียวกัน. ท่านอธิบายว่า คนผู้ทำการแตกร้าวกันทั้งหมดนี้มีเสียงดังด้วย มีเสียงคล้ายกันด้วยโดยการเปล่งเสียงดังลั่นไปรอบๆ.
               บทว่า น พาโล โกจิ มญฺญถ ความว่า ในคนเหล่านั้นไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นคนพาล ทุกๆ คนเข้าใจตนว่าเป็นบัณฑิตทั้งนั้น.
               บทว่า นาญฺญํ ภิยฺโย อมญฺญรุํ ได้แก่ ไม่มีใครๆ แม้คนเดียว สำคัญตนว่า เราเป็นพาล.
               อธิบายว่า เมื่อสงฆ์แตกกัน ต่างก็มิได้สำคัญเหตุอื่นแม้อย่างหนึ่งให้ยิ่งขึ้นไป คือไม่สำคัญถึงเหตุนี้ว่า สงฆ์แตกกันเพราะเราเป็นเหตุ.
               บทว่า ปริมุฏฺฐา แปลว่า มีสติหลงลืม.
               บทว่า วาจาโคจรภาณิโน นี้ ท่านอาเทส ราอักษร ให้เป็น อักษร ความก็ว่า พูดตามอารมณ์ ไม่มีสติปัฏฐานควบคุม ได้แก่พูดพล่อยๆ.
               บทว่า ยาวิจฺฉนฺติ มุขายามํ ได้แก่ พูดไปเพียงเพื่อปรารถนาจะตีฝีปาก.
               อธิบายว่า แม้ภิกษุรูปเดียว ก็ไม่ยอมสงบปาก ด้วยความเคารพในสงฆ์.
               บทว่า เยน นีตา ความว่า อันความทะเลาะใด นำไปสู่ความเป็นคนหน้าด้านนี้.
               บทว่า น ตํ วิทู ความว่า ไม่รู้ถึงเหตุนั้นว่า การทะเลาะนี้มีโทษอย่างนี้.
               บทว่า เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ ความว่า คนเหล่าใดเข้าไปผูกโกรธเขา มีอาการเป็นต้นว่าผู้นี้ได้ด่าเราดังนี้.
               บทว่า สนฺตโน แปลว่า เป็นของเก่า.
               บทว่า ปเร ความว่า ยกเว้นบัณฑิตทั้งหลายเสียแล้ว ผู้ก่อการทะเลาะเหล่าอื่นชื่อว่าคนเหล่าอื่นจากบัณฑิตนั้น คนเหล่านั้น เมื่อก่อการทะเลาะกันในท่ามกลางสงฆ์นี้ ย่อมไม่รู้ว่าพวกเราจะย่อยยับ คือจะฉิบหายใกล้ตายเข้าไปทุกขณะมิได้ขาด.
               บทว่า เย จ วิชานนฺติ ความว่า บรรดาคนเหล่านั้น คนเหล่าใดเป็นบัณฑิต รู้ตัวว่าพวกเราอยู่ใกล้มัจจุดังนี้.
               บทว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ความว่า ก็บัณฑิตเหล่านั้นรู้อยู่อย่างนี้ เกิดโยนิโสมนสิการ ย่อมปฏิบัติ เพื่อความเข้าไปสงบระงับ ความบาดหมางและความทะเลาะ.
               คาถาว่า อฏฺฐิจฺฉิทา เป็นต้นนี้มีมาในชาดก ท่านกล่าวหมายถึงพระเจ้าพรหมทัตและทีฆาวุกุมาร.
               ในพระคาถานี้ มีใจความดังต่อไปนี้
               แม้คนเหล่านั้น คือคนที่จองเวรกันถึงปานนั้น ยังคืนดีกันได้ เหตุใดพวกเธอจึงไม่คืนดีกันเล่า. เพราะพวกเธอยังไม่ถึงกับแช่งชักหักกระดูกกัน ยังไม่ถึงกับล้างผลาญชีวิตกัน ยังไม่ถึงกับลักโค ม้าและทรัพย์กัน. ตรัสพระคาถามีอาทิว่า สเจ ลเภถ ดังนี้ไว้ เพื่อจะทรงแสดงคุณและโทษแห่งสหายที่เป็นบัณฑิต และสหายที่เป็นพาล.
               บทว่า อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ ความว่า พึงชื่นชม มีสติ เที่ยวไปกับสหายผู้คุ้มกันอันตรายทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏได้นั้น.
               บทว่า ราชาว รฏฺฐํ วิชิตํ ความว่า พึงเที่ยวไปเหมือนพระมหาชนก และพระเจ้าอรินทมมหาราชที่ทรงละแว่นแคว้น ซึ่งพระองค์ทรงรบชนะแล้ว เสด็จเที่ยวไปแต่ผู้เดียว.
               บทว่า มาตงฺครญฺเญว นาโค ความว่า เหมือนช้างมาตังคะเที่ยวไปในป่าฉะนั้น. ช้างธรรมดา ท่านเรียกว่ามาตังคะ.
               บทว่า นาโค นี้ เป็นชื่อของช้างใหญ่. ท่านจึงกล่าวไว้ดังนี้ว่า เที่ยวไปแต่ผู้เดียว ไม่กระทำความชั่วทั้งหลาย เหมือนช้างมาตังคะตัวเลี้ยงแม่ เที่ยวไปในป่าแต่ตัวเดียว ไม่กระทำความชั่ว และเหมือนช้างปาริเลยยกะฉะนั้น.
               บทว่า พาลกโลณการคาโม ได้แก่ บ้านส่วยของอุบาลีคฤหบดี.
               ในบทว่า เตนุปสงฺกมิ นี้ มีคำถามว่า เสด็จเข้าไปทำไม.
               ตอบว่า ได้ยินว่า พระองค์ทรงเห็นโทษในการอยู่เป็นหมู่ของท่านพระภคุนั้น ทรงปรารถนาจะเห็นภิกษุอยู่อย่างโดดเดี่ยว ฉะนั้นจึงเสด็จเข้าไปในพาลกโลณการคาม เหมือนคนถูกความหนาวเป็นต้นเบียดเบียนแล้ว ปรารถนาความอบอุ่นเป็นต้น ฉะนั้น.
               บทว่า ธมฺมิยา กถาย ความว่า ปฏิสังยุตด้วยอานิสงส์ในความอยู่โดดเดี่ยว.
               ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จเข้าไปในปาจีนวังสทายวันนั้น.
               ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธประสงค์จะพบภิกษุทั้งหลายผู้ก่อการทะเลาะกัน แล้วกลับอยู่ด้วยความสมัครสมานสามัคคีกัน หลังแต่เห็นโทษของความทะเลาะนั้น เพราะฉะนั้นจึงเสด็จเข้าไปในปาจีนวังสทายวันนั้น ดุจคนถูกความหนาวเป็นต้นเบียดเบียนแล้ว ปรารถนาความอบอุ่นเป็นต้นฉะนั้น.
               บทว่า อายสฺมา จ อนุรุทฺโธ เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
               บทว่า อตฺถิ ปน โว ความว่า พึงถามโลกุตตรธรรมด้วยคำถามครั้งหลังสุด. ก็โลกุตตรธรรมนั้นไม่มีแก่พระเถระทั้งหลาย เพราะฉะนั้น การถามถึงโลกุตตรธรรมจึงไม่สมควรเลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงถามถึงโอภาสแห่งบริกรรม.
               บทว่า โอภาสํเยว สญฺชานาม ได้แก่ รู้สึกแสงสว่างแห่งบริกรรม.
               บทว่า ทสฺสนญฺจ รูปานํ ได้แก่ รู้ชัดการเห็นรูปด้วยทิพยจักษุ.
               บทว่า ตญฺจ นิมิตฺตํ น ปฏิวิชฌาม ความว่า ก็โอภาสและการเห็นรูปของข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมหายไปด้วยเหตุใด ข้าพระองค์ทั้งหลายยังไม่รู้ซึ้งซึ่งเหตุนั้น.
               บทว่า ตํ โข ปน โว อนุรุทฺธา นิมิตฺตํ ปฏิวิชฺฌิตพฺพํ ความว่า พวกเธอควรรู้เหตุนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเทศนานี้ ด้วยคำมีอาทิว่า อหํปิ สุทํ ดังนี้ ก็เพื่อจะทรงแสดงว่า ดูก่อนอนุรุทธะ พวกเธอหม่นหมองอยู่หรือหนอ แม้เราก็เคยหม่นหมองมาแล้ว ด้วยอุปกิเลส ๑๑ ประการเหล่านี้.
               ในบทว่า วิจิกิจฺฉา โข เม เป็นต้น ความว่า พระมหาสัตว์เจริญอาโลกกสิณแล้วเห็นรูปมีอย่างต่างๆ ด้วยทิพยจักษุ จึงเกิดวิจิกิจฉาว่า นี้อะไรหนอ นี้อะไรหนอ.
               บทว่า สมาธิ จวิ ความว่า บริกรรมสมาธิ จึงเคลื่อน.
               บทว่า โอภาโส ความว่า แม้โอภาสแห่งบริกรรมก็หายไป คือไม่เห็นรูปแม้ด้วยทิพยจักษุ.
               บทว่า อมนสิกาโร ความว่า วิจิกิจฉาย่อมเกิดแก่ผู้ที่เห็นรูป คือเกิดอมนสิการว่า บัดนี้เราจะไม่ใส่ใจอะไรๆ.
               บทว่า ถีนมิทฺธํ ความว่า เมื่อไม่ใส่ใจถึงอะไรๆ ถีนมิทธะก็เกิดขึ้น.
               บทว่า ฉมฺภิตตฺตํ ความว่า ภิกษุเจริญอาโลกกสิณ มุ่งหน้าไปทางหิมวันตประเทศ ได้เห็นสัตว์ต่างๆ เช่นยักษ์ ผีเสื้อน้ำ และงูเหลือมเป็นต้น ทีนั้นความหวาดเสียวเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ.
               บทว่า อุพฺพิลํ ความว่า เมื่อภิกษุคิดว่า สิ่งที่เราเห็นว่าน่ากลัว เวลาแลดูตามปกติย่อมไม่มี เมื่อไม่มี ทำไมจะต้องไปกลัวดังนี้ ความตื่นเต้นก็หมดไป.
               บทว่า สกึเทว ความว่า พึงพบขุมทรัพย์ ๕ ขุม ด้วยการขุดค้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น.
               บทว่า ทุฏฺฐุลฺลํ ความว่า ความเพียรอันเราประคองไว้อย่างมั่นคง ได้ถูกความตื่นเต้นที่เกิดแก่เรานั้น กระทำให้ย่อหย่อน. แต่นั้นจะมีแต่ความกระวนกระวาย.
               บทว่า กายทุฏฺฐุลฺลํ ความว่า ความกระวนกระวายคือภาวะที่ร่างกายเกียจคร้านก็เกิดขึ้น.
               บทว่า อจฺจารทฺธวิริยํ ความว่า ความเพียรที่ปรารภเกินไป เกิดแล้วแก่ภิกษุผู้เริ่มตั้งความเพียรใหม่ ด้วยคิดว่า ความตื่นเต้นทำความเพียรของเราให้ย่อหย่อน ความชั่วร้ายจึงเกิดขึ้นได้.
               บทว่า ปตเมยฺย แปลว่า พึงตาย.
               บทว่า อติลีนวิริยํ ความว่า เมื่อเราประคองความเพียร ก็เป็นอย่างนี้ เมื่อทำความเพียรย่อหย่อน ความเพียรที่หย่อนยานก็เกิดขึ้นได้อีก.
               บทว่า อภิชปฺปา ความว่า เมื่อเราเจริญอาโลกกสิณ มุ่งตรงเฉพาะเทวโลก เห็นหมู่เทวดา ตัณหาก็เกิดขึ้น.
               บทว่า นานตฺตสญฺญา ความว่า เมื่อเราเจริญอาโลกกสิณ มุ่งตรงเฉพาะเทวโลกตามกาล แล้วใส่ใจถึงรูปมีอย่างต่างๆ กัน ด้วยคิดว่า เมื่อเราใส่ใจถึงรูปที่มีกำเนิดอย่างเดียวกัน ตัณหากระซิบหูเกิดขึ้นแล้ว เราจะใส่ใจถึงรูปมีอย่างต่างๆ ดังนี้ ความสำคัญสภาวะว่า ต่างกันก็เกิดขึ้น.
               บทว่า อตินิชฺฌายิตตฺตํ ความว่า เมื่อเราใส่ใจถึงรูปมีอย่างต่างๆ กัน ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันก็เกิดขึ้น เมื่อเราตั้งใจว่า จะใส่ใจถึงรูปที่มีกำเนิดอย่างเดียวกัน จะน่าปรารถนาหรือไม่ก็ตามที แล้วใส่ใจอย่างนั้น รูปที่มีการเพ่งเล็งเกินไปเป็นลักษณะก็เกิด.
               บทว่า โอภาสนิมิตฺตํ มนสิกโรมิ ความว่า เราได้มีความรู้ดังนี้ว่า เราใส่ใจแต่แสงสว่างแห่งบริกรรมอย่างเดียว.
               บทว่า น จ รูปานิ ปสฺสามิ ความว่า เราไม่เห็นรูปด้วยทิพยจักษุ.
               บทว่า รูปนิมิตฺตํ มนสิกโรมิ ความว่า เราใส่ใจถึงรูปที่เป็นอารมณ์เท่านั้น ด้วยทิพยจักษุ.
               บทว่า ปริตฺตญฺเจว โอภาสํ ได้แก่ แสงสว่างในพระกัมมัฏฐานนิดหน่อย.
               บทว่า ปริตฺตานิ จ รูปานิ ได้แก่ รูปในพระกัมมัฏฐานนิดหน่อย. บัณฑิตพึงทราบทุติยวาร โดยปริยายตรงกันข้าม.
               บทว่า ปริตฺโต สมาธิ ได้แก่ โอภาสแห่งบริกรรมนิดหน่อย. แต่ในที่นี้ ท่านกล่าวบริกรรมสมาธิว่า นิดหน่อยดังนี้ หมายถึงแสงสว่างเล็กน้อย.
               บทว่า ปริตฺตํ ตสฺมึ สมเย ความว่า ในสมัยนั้น แม้ทิพยจักษุก็มีเล็กน้อย.
               แม้ในอัปปมาณวาร ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า อวิตกฺกํปิ วิจารมตฺตํ ได้แก่ สมาธิในทุติยฌานในปัญจกนัย.
               บทว่า อวิตกฺกํปิ อวิจารํ ได้แก่ สมาธิในหมวด ๓ แห่งฌาน ทั้งในจตุกกนัย ทั้งในปัญจกนัย.
               บทว่า สปฺปีติกํ ได้แก่ สมาธิในทุกฌาน และติกฌาน.
               บทว่า นิปฺปีติกํ ได้แก่ สมาธิในทุกทุกฌาน.
               บทว่า สาตสหคตํ ได้แก่ สมาธิในติกจตุกกฌาน.
               บทว่า อุเปกฺขาสหคตํ นี้ ในจตุกกนัยได้แก่ สมาธิในจตุตถฌาน ในปัญจกนัยได้แก่ สมาธิในปัญจมฌาน.
               ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเจริญสมาธิมีอย่าง ๓ นี้ในเวลาไหน.
               ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ควงมหาโพธิพฤกษ์ ทรงเจริญสมาธิอย่างนี้ในปัจฉิมยาม. ก็ปฐมมรรคได้เป็นองค์ประกอบแห่งปฐมฌานแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ทุติยมรรคเป็นต้นก็ได้เป็นองค์ประกอบแห่งทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌานในปัญจกนัย ปัญจมฌานไม่มีมรรค.
               คำว่า มรรคนั้นจัดเป็นโลกีย์นี้ ท่านกล่าวหมายถึงมรรคที่เจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระ.
               คำที่เหลือในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้น.

               จบอรรถกถาอุปักกิเลสสูตรที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค อุปักกิเลสสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 420อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 439อ่านอรรถกถา 14 / 467อ่านอรรถกถา 14 / 853
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=6017&Z=6311
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=10&A=3747
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=10&A=3747
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๔  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :