บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ทุพฺพณฺณํ ได้แก่ มีผิวกายไม่งาม. บทว่า โอโกฏิมกํ ได้แก่ เตี้ย. บทว่า ปริภูตรูปํ ได้แก่ ถูกดูแคลนเรื่องขนาด. ได้ยินว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ปรามาสท่านลกุณฏกภัททิยะว่า ท่านภัททิยะ ท่านภัททิยะ หยอกล้อแบบต่างๆ ฉุดมาบ้าง รั้งไปรอบๆ บ้าง ในที่นั้นๆ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริภูตรูปํ ดังนี้. ก็เพราะเหตุไร ท่านลกุณฏกภัททิยะจึงมีรูปอย่างนี้. เล่ากันมาว่า ท่านลกุณฏกภัททิยะนี้เคยเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง พระองค์ทรงรังเกียจพวกคนแก่และหญิงแก่ๆ ถ้าพระองค์เห็นคนแก่ๆ ให้เกล้ามวยผมของคนเหล่านั้น ให้ผูกรักแร้ แล้วให้เล่นตามชอบใจ แม้เห็นหญิงแก่ๆ ก็ทำพิเรนๆ ตามปรารถนาแก่หญิงเหล่านั้น ให้เล่นตามชอบใจ โทษใหญ่ย่อมเกิดขึ้นในสำนักแห่งบุตรและธิดาเป็นต้นของคนเหล่านั้น การกระทำความชั่วของท่าน ได้กระทำให้เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวตั้งแต่แผ่นดินจดถึงเทวโลก ๖ ชั้น. ลำดับนั้น ท้าวสักกะมีพระดำริว่า คนอันพาลเบียดเบียนมหาชน เราจักข่มเขา. ท้าวสักกะจึงแปลงเพศเป็นคนแก่ชาวบ้าน ยกตุ่มเต็มด้วยเปรียงตุ่มหนึ่งไว้บนยานน้อย ขับยานเข้าพระนคร. ฝ่ายพระราชาทรงช้างเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นเขา ตรัสว่า คนแก่นี้มุ่งหน้ามาหาเราด้วยยานน้อยเต็มด้วยเปรียง ห้ามเขาไว้ ห้ามเขาไว้. พวกมนุษย์วิ่งหาข้างโน้นข้างนี้ก็ไม่เห็น เพราะท้าวสักกะทรงอธิษฐานไว้อย่างนี้ว่า พระราชาเท่านั้นจงเห็นเรา คนอื่นอย่าได้เห็น. ลำดับนั้น เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกราบทูลว่า ที่ไหนพระองค์ ที่ไหนพระองค์ เท่านั้น พระราชาพร้อมทั้งช้างเสด็จเข้าไปใต้ยาน เหมือนลูกโคอยู่ใต้แม่โคฉะนั้น. ท้าวสักกะก็ทรงทุบ ขณะนั้น ท้าวสักกะให้โคและยานหายไป ประทับยืนในอากาศตรัสว่า คนอันธพาล ท่านสำคัญเราว่า ผู้นี้เป็นพ่อค้าเปรียง เราคือท้าวสักกเทวราช มาเพื่อจะห้ามการทำชั่วของท่านนั้น ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้ต่อไป ทรงคุกคามแล้วเสด็จไป. ด้วยกรรมอันนี้ ท่านจึงมีผิวพรรณทราม. ก็ในครั้งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านลกุณฏกภัททิยะนี้เป็นนกดุเหว่าชื่อจิตตปัตต์ อยู่ที่มิคทายวันอันปลอดภัย. วันหนึ่งบินไปป่าหิมวันต์ เอาจะงอยปากคาบผลมะม่วงหวานบินมา เห็นพระศาสดามีภิกษุสงฆ์แวดล้อมจึงคิดว่า วันอื่นๆ เราไม่มีอะไร เห็นพระศาสดา แต่วันนี้เรามีผลมะม่วงสุกนี้ เราจักถวายผลมะม่วงแด่พระทศพล ดังนี้ บินร่อนอยู่ในอากาศ พระศาสดาทรงทราบจิตของนกดุเหว่า ทอดพระเนตรดูอุปัฏฐาก. อุปัฏ พระศาสดาประทับนั่งเสวยมะม่วงสุกในที่ตรงนั้นเอง. นกดุเหว่ามีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงคุณพระทศพลร่ำไป ถวายบังคมพระทศพลแล้วบินไปสู่รังของตน ให้เวลาล่วงไปด้วยความสุขเกิดแต่ปีตินั่นเองตลอด ๗ วัน. ด้วยกรรมอันนี้ นกดุเหว่านั้นจึงมีเสียงไพเราะ. ในครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเริ่มสร้างเจดีย์ พวกช่างปรึกษากันว่า เราจะทำขนาดไหน ขนาด ๗ โยชน์นี้ใหญ่เกินไปขนาด ๖ โยชน์แม้นี้ก็ใหญ่เกินไป ขนาด ๕ โยชน์แม้นี้ก็ใหญ่เกินไป ขนาด ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ดังนี้. ครั้งนั้น ท่านลกุณฏกภัททิยะนี้เป็นหัวหน้าช่าง กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ในอนาคตควรจะประคับประคองความสุขไว้ด้วยอาการอย่างนี้ ถือเชือกวัดไปยืนในที่สุดคาวุตหนึ่ง กล่าวว่า มุขหนึ่งๆ คาวุตหนึ่ง จักเป็นพระเจดีย์กลมโยชน์หนึ่ง สูงโยชน์หนึ่ง. ช่างเหล่านั้นได้ทำตามคำหัวหน้าช่าง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันจึงสร้างเจดีย์สำเร็จ. ท่านได้ทำประมาณของพระพุทธเจ้าผู้หา บทว่า หตฺถิโย ปสฏมิคา ได้แก่ ช้างและเนื้อฟาน. บทว่า นตฺถิ กายสฺมึ ตุลยตา ความว่า ชื่อว่าขนาดในกายไม่มี. อธิบายว่า ขนาดกายไม่สำคัญ. จบอรรถกถาภัททิยสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ภิกขุสังยุตต์ ภัททีสูตร จบ. |