![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๔ / ๙. ประวัติพระเรวตเถระ บทว่า อารญฺญากานํ ได้แก่ ผู้มีปกติอยู่ป่าเป็นวัตร. บทว่า เรวโต ขทิรวนิโย ได้แก่ น้องชายคนเล็กของพระธรรมเสนาบดีเถระ ท่านมิได้อยู่เหมือนอย่างพระเถระเหล่าอื่น เมื่อจะอยู่ในป่าก็ต้องเลือกป่า น้ำและที่ภิกขาจารที่ถูกใจจึงอยู่ในป่า แต่ท่านไม่ยึดถือของที่ถูกใจเหล่านี้ อาศัยอยู่ในป่าตะเคียนที่ขระขระด้วยก้อนกรวดและก้อนหินบนที่ดอน ฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร. ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้. ได้ยินว่า ในอดีตกาลครั้งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า พระเรวตะนี้บังเกิดในหงสวดี อาศัยกระทำการงานทางเรือที่ท่าปยาคประดิษฐานในแม่น้ำคงคา. สมัยนั้น พระศาสดามีภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร เสด็จจาริกไปจนถึงท่าปยาค ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอต พระศาสดาทรงเห็นว่าหาอันตรายมิได้ ทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคต ท่านจักเป็นผู้ยอดในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า แล้วเสด็จกลับไป แต่มิได้กล่าวถึงกรรมในระหว่างไว้. ท่านกระทำกัลยาณกรรมจนตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ในเทวโลกและมนุษย์ในพุทธุปบาทกาลนี้ จึงมาถือปฏิสนธิในท้องแห่งนางสารีพราหมณี ในตำบลบ้านพราหมณ์ชื่อนาลกะ เขตมคธ เกิดเป็นน้องสุดท้องของพี่ชาย ๓ คน พี่สาว ๓ คน มารดาบิดาชื่อว่าเรวตะ. [ติณฺณํ ภาติกานํ ติสฺสนฺนํ ภคินีนํ สพฺพกนิฏฺโฐ หุตฺวา นิพฺพตฺติ เรวโตติสฺส นามํ อกํสุ ฯ] คราวนั้น มารดาบิดาของท่านคิดว่า เมื่อลูกของเราเจริญโตแล้ว เหล่าพระสมณศากยะบุตรก็มานำเอาไปบวชเสีย เราจักผูกเรวตะลูกคนเล็กของเราไว้ด้วยเครื่องผูกคือเรือนดังนี้ แล้วนำนางทาริกาจากสกุลที่เสมอกันมา ให้ไหว้ย่าของเรวตะแล้วกล่าวว่า แน่ะแม่ เจ้าจงเป็นคนแก่ยิ่งกว่าย่าของเจ้า. เรวตะฟังถ้อยคำของคนเหล่านั้นแล้วคิดว่า นางทาริกานี้ยังอยู่ในปฐมวัย เขาว่ารูปมีอย่างนี้ของนางทาริกานี้จักเป็นเหมือนรูปย่าของเรา เราจักถามความประสงค์ของคนเหล่านั้นก่อน แล้วจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะกระทำอย่างไร. มารดาบิดาตอบว่า เราบอกว่า พ่อเอ๋ย หญิงนี้จะถึงความชราเหมือนอย่างย่าของเจ้า. เรวตะนั้นถามว่า รูปของหญิงนี้จักเป็นเหมือนอย่างนี้หรือ. มารดาบิดาตอบว่า พ่อเอ๋ย เจ้าพูดอะไร ผู้มีบุญมากก็จะเป็นอย่างนี้. เรวตะนั้นคิดว่า ได้ยินว่า รูปนี้ก็จักมีหนังเหี่ยวโดยทำนองนี้ จักมีผมหงอก ฟันหักโดยทำนองนี้ เรายินดีในรูปเช่นนี้จะทำอะไรได้ เราจักไปตามทางที่พี่ชายของเราไปแล้วนั่นแหละ จึงทำเป็นเหมือนยืนพูดกะเด็กหนุ่มๆ รุ่นๆ กันว่า มาเถอะพวกเรา เราไปวิ่งกันแล้วออกไปเสีย. มารดาบิดากล่าวว่า พ่อในวันมงคล เจ้าอย่าไปข้างนอกเลย. เรวตะนั้นทำเป็นเหมือนเล่นกับเด็กทั้งหลายอยู่ พอถึงวาระตนวิ่งก็ไปหน่อย พระเถระกล่าวว่า สัปบุรุษ เราไม่รู้จักเธอ เธอเป็นลูกของใคร และเธอก็มาโดยทั้งที่แต่งตัวอยู่เช่นนี้ ใครจะสามารถให้เธอบวชได้เล่า. เขายกแขนทั้ง ๒ ขึ้นร้องเสียงดังว่า เขาปล้นฉัน เขาปล้นฉัน ดังนี้. พวกภิกษุก็มามุงทั้งข้างโน้นข้างนี้กล่าวว่า สัปบุรุษ ในที่นี้ ไม่มีใครที่ชื่อว่าปล้นผ้าหรือเครื่องประดับของเธอเลย เธอจะพูดว่า เขาปล้นอย่างไร. เรวตะกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผมมิได้กล่าวหมายถึงผ้าและเครื่องประดับ แต่กล่าวหมายถึงพวกท่านยังปล้นสมบัติข้างใน ไม่ต้องบวชผมก่อน โปรดบอกให้พี่ชายของข้าพเจ้าทราบก่อน. ภิกษุถามว่า ก็พี่ชายของเธอชื่อไร ร. ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ชื่ออุปติสสะ แต่ในเวลานี้คนทั้งหลายเรียกว่าสารีบุตร. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า อาวุโส เมื่อเป็นอย่างนั้น กุลบุตรผู้นี้ก็เป็นน้องชายคนเล็กของพวกเรา พระธรรมเสนาบดีพี่ชายใหญ่ของเราพูดไว้ก่อนเทียวว่า พวกญาติของเราล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ญาติของเราคนใดคนหนึ่งมาก็จงให้เขาบวชด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งเถิด ดังนั้นจึงกล่าวว่า กุลบุตรนี้เป็นน้องตัวของพระเถระ ท่านทั้งหลายจงให้เธอบวชเถิด ดังนี้แล้ว พระเถระเรียนกัมมัฏฐานแล้วเข้าไปสู่ป่าไม้ตะเคียนซึ่งมีประการดังกล่าวไว้ ในที่ไม่ไกล ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า เรวตะน้องคนเล็กของข้าพระองค์ออกบวช เธอจะยินดีหรือไม่ยินดี ข้าพระองค์จักไปเยี่ยมเธอ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระเรวตะเริ่มวิปัสสนาแล้ว จึงทรงห้ามเสีย ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ ท่านทูลวิงวอนอีก. ทรงทราบว่าบรรลุพระอรหัตแล้วจึงตรัสว่า สารีบุตร แม้เราก็จักไปด้วย เธอจงบอกภิกษุทั้งหลายเถิด. พระเถระประชุมภิกษุสงฆ์แล้วแจ้งแก่พระภิกษุทั้งปวงว่า อาวุโส พระศาสดามีพระ พระศาสดามีภิกษุหมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกไปด้วยหมายจะเยือนพระเรวตะ. พระอานนท์เถระ ถึงทาง ๒ แพร่งในที่แห่งหนึ่งครั้งนั้นจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตรงนี้ทางเป็น ๒ แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า อานนท์ ทางไหนละเป็นทางตรง. พระเถระทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทางตรงมีระยะทาง ๓๐ โยชน์ เป็นทางของอมนุษย์ (เดิน) ส่วนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์เป็นทางปลอดภัยหาภิกษาได้ง่าย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ พระสีวลีมากับเราแล้วหรือ. พระเถระมาด้วย พระเจ้าข้า. ศ. ถ้าอย่างนั้น พระสงฆ์จงไปทางตรง เราจักทดลองบุญของพระสีวลี. พระศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จทางดง เพื่อทดลองบุญของพระสีวลีเถระ ตั้งต้นแต่ที่พระศาสดาเสด็จดำเนินขึ้นทาง หมู่เทพเนรมิตนครในที่ทุกๆ โยชน์ ตกแต่งวิหารเพื่อเป็นที่อยู่ถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เหล่าเทวบุตรเป็นเหมือนพวกกรรมกรที่พระราชาส่งไป ถือข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้นไปถามว่า พระคุณเจ้าสีวลีอยู่ไหน พระคุณเจ้าสีวลีอยู่ไหน. พระเถระให้รับเครื่องสักการะสัมมานะไปยังสำนักพระศาสดา. พระศาสดาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ทรงชื่นชมเครื่องสักการะและสัมมานะ โดยทำนองนี้แหละเสด็จดำเนินไปสิ้นระยะทางวันละโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ล่วงทางกันดารถึง ๓๐ โยชน์ จนถึงที่พักอาศัยของพระขทิรวนิยเถระ. พระเถระทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงเนรมิตวิหาร สถานที่อยู่ของตนให้พอแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และพระคันธกุฎีที่พักกลางคืนที่พักกลางวันเป็นต้นถวายพระทศพลด้วยฤทธิ์ ออกไปรับเสด็จพระตถาคตแล้ว. พระศาสดาเสด็จเข้าสู่วิหารโดยทางที่ประดับแล้ว ตกแต่งแล้ว. คราวนั้น เมื่อพระตถาคต เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายก็เข้าไปสู่เสนาสนะที่ถึงแล้วโดยควรแก่พรรษา. เทวดาคิดว่า เวลานิ้มิใช่เวลาอาหาร จึงนำน้ำอัฏฐบานมาถวาย. พระศาสดาทรงดื่มน้ำอัฏฐบานพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยทำนองนี้ เมื่อพระตถาคตทรงชื่นชมสักการะสัมมานะล่วงไปกึ่งเดือน. ครั้งนั้น ภิกษุที่กระสันขึ้นบางพวกนั่งอยู่ในที่เดียวกัน สนทนากันขึ้นว่า พระศาสดาผู้ทศพลตรัสว่า น้องชายคนเล็กของพระอัครสาวกของเรา เสด็จมาเยือนภิกษุผู้นวกัมมิกะผู้ก่อสร้างเห็นปานนี้ คิดว่าเชตวันมหาวิหารหรือเวฬุวันมหาวิหารเป็นต้น จักทำอะไรในสำนักแห่งวิหารนี้ได้ ภิกษุแม้นี้เป็นผู้กระทำนวกรรมเห็นปานนี้ จักกระทำสมณธรรมชื่ออะไรได้ ดังนี้. ครั้งนั้น พระศาสดาทรงดำริว่า เมื่อเราอยู่นานไป ที่นี้ก็จักเกลื่อนกล่น ธรรมดาภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรย่อมมีความต้องการความสงัด เรวตะจักอยู่ไม่ผาสุก แต่นั้นจึงเสด็จไปยังที่พักกลางวันของพระเรวตะ. พระเถระนั่งบนแผ่นหินพิงแผ่นกระดานที่ห้อยลงไป ณ ท้ายที่จงกรมแต่ลำพังองค์เดียว เห็นพระศาสดาเสด็จมาแต่ที่ไกล จึงต้อนรับถวายบังคม. ทีนั้น พระศาสดาตรัสถามท่านว่า เรวตะ ที่นี้เป็นที่ประกอบด้วยพาลมฤค (สัตว์ร้าย) เธอได้ยินเสียงช้างและม้าเป็นต้นที่ดุร้าย ทำอย่างไรกะเสียงนั้น. พระเรวตะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ได้ยินเสียงของสัตว์เหล่านั้น ย่อมเกิดความปีติอยู่ในป่า. พระศาสดาตรัสพระดำรัสชื่ออรัญญปัสสกถาด้วยคาถา ๕๐๐ คาถาแด่พระเรวตะเถระ. วันรุ่งขึ้นเสด็จไปเพื่อบิณฑบาต ในที่ไม่ไกลแล้วเรียกพระเรวตะมา ทรงกระทำให้พวกภิกษุที่กล่าวติเตียนพระเถระให้หลงลืมไม้เท้า รองเท้า ทะนานน้ำมันและร่มไว้. ภิกษุเหล่านั้นต้องกลับมาเพื่อเอาบริขารของตน เดินไปตามทางที่ตนมาแล้วนั่นเองก็กำหนดสถานที่ที่ตนวางไว้ไม่ได้. ก็ทีแรกภิกษุเหล่านั้นเดินไปตามทางที่เขาประดับแล้วตกแต่งแล้ว แต่ในวันนั้น กลับเดินไปตามทางขรุขระ ต้องนั่งกระหย่ง ต้องเดินไปด้วยเข่าในที่นั้นๆ ภิกษุเหล่านั้นต่างเหยียบย่ำพุ่มไม้ กอไม้และหนามไปถึงที่ๆ ต้องอัธยาศัยที่ตนเคยอยู่ ก็พบร่มของตนบนตอไม้ตะเคียนนั้นๆ ได้ จำรองเท้า ไม้เท้าและทะนานน้ำมันได้. ในตอนนั้น พวกเธอจึงรู้ว่าภิกษุนี้เป็นผู้มีฤทธิ์ ครั้นถือเอาบริขารของตนๆ แล้วพูดว่า ชื่อว่าสักการะที่ตกแต่งถวายพระทศพลย่อมเป็นถึงเพียงนี้ พากันไปแล้ว. นางวิสาขามหาอุบาสิกาถามพวกภิกษุที่ไปข้างหน้าในเวลาที่ท่านนั่งในเรือนของตนว่า ท่านผู้เจริญ ที่อยู่ของพระเรวตเถระน่าพอใจหรือไม่ล่ะ. ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า น่าพอใจอุบาสิกา เสนาสนะนั้นเปรียบด้วยสวนนันทวันและสวนจิตรลดาเป็นต้น. ทีนั้นจึงถามภิกษุที่มาถึงภายหลังสุดของภิกษุเหล่านั้นว่า พระคุณเจ้าที่อยู่ของพระเรวตเถระน่าพอใจไหม. ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อย่าถามเลย อุบาสิกา ที่นั้นเป็นที่ๆ ไม่สมควรจะพูดถึง ที่ดอน มีก้อนกรวด ก้อนหินป่าไม้ตะเคียนอย่างนี้ ภิกษุนั้นยังอยู่ในที่นั้นได้. มหาอุบาสิกาวิสาขาฟังถ้อยคำของภิกษุที่มาก่อนและที่มาทีหลังแล้วคิดว่า ถ้อยคำของภิกษุพวกไหนหนอเป็นคำจริง ภายหลังภัตรถือเอาของหอมและดอกไม้ไปกระทำบำรุงพระทศพล ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง จึงทูลถามพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระคุณเจ้าบางพวกสรรเสริญที่อยู่ของพระเรวตเถระ บางพวกติ ข้อนี้เป็นอย่างไร พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนวิสาขามหาอุบาสิกา ที่ของพระอริยะจะเป็นที่น่ารื่นรมย์หรือไม่เป็นที่น่ารื่นรมย์จงยกไว้ จิตของพระอริยะย่อมยินดีทั้งนั้น ที่นั้นชื่อว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์แท้จริง ดังนี้แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
ป่า ที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้น เป็นภูมิภาคที่ น่ารื่นรมย์ทั้งนั้น ดังนี้. ต่อมาในภายหลัง พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยะในเชตวันมหาวิหาร ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปกติอยู่ในป่าเป็นวัตรแล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๕ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๒ |