บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๑๐ / ๑๒. ประวัติพระสาคตเถระ ด้วยบทว่า เตโชธาตุกุสสานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระสาคตเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ. ความจริง พระเถระนี้ใช้เดชครอบงำเดชของนาคชื่ออัมพติตถะ ได้ทำให้หายพยศ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้ ก็พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในครอบครัว ในกรุงหงสวดี ต่อมา กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ จึงทำกุศลกรรมอย่างใหญ่ ปรารถนาตำแหน่งนั้น. เขาทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์. ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครอบครัวพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี. บิดามารดาจึงตั้งชื่อท่านว่า สาคตมาณพ. ต่อมา สาคตมาณพนั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ศรัทธา จึงบวชทำสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว บรรลุความเป็นผู้ชำนาญในสมาบัตินั้น. ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจาริกไป ได้เสด็จถึงที่ใกล้กรุงโกสัมพี. สมัยนั้น คนที่มาที่ไปมากด้วยกันเป็นศัตรูของนายเรือเก่าที่ท่าน้ำ ตีนายเรือนั้นตาย. นายเรือนั้นตั้งความปรารถ แม้พระศาสดาก็เสด็จข้ามทางท่านั้น มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ได้เสด็จไป ทรงมีพระประสงค์จะประทับอยู่คืนหนึ่ง ณ ที่นั้น. ครั้งนั้น พระเถระนี้ทราบว่า เขาว่ามีนาคราชดุอยู่ที่นั้น จึงคิดว่าควรจะ นาคโกรธว่า สมณะโล้นนี้ชื่อไร จึงบังอาจเข้าไปนั่งยังที่อยู่ของเรา แล้วจึงบังหวนควันขึ้น. พระเถระก็ทำบังหวนควันยิ่งกว่า. พระยานาคทำไฟลุกโพลง. พระเถระก็ทำไฟลุกโพลงยิ่งกว่า ครอบงำเดชของนาคนั้น. นาคคิดว่าภิกษุรูปนี้ใหญ่จริงหนอ จึงหมอบกราบลงแทบเท้าพระเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพระเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะ. พระเถระบอกว่า กิจด้วยสรณะสำหรับเราไม่มีดอก ท่านจงถึงพระทศพลเป็นสรณะเถิด.๑ นาคนั้นรับคำว่า ดีละ แล้วเป็นผู้ถึงสรณะ. ____________________________ ๑-ปาฐะว่า โส สาธูติ สรณํ คโตฯ โส อคจฺฉิ ตํ สรณํ ฯเปฯ สพฺพญฺญุตํปิ สํคโต ฯ หุตฺวา อิโต ปฏฺฐาย น กิญฺจิ วิเหเฐมิ เทวํปิ สมฺมา วสฺสาเปมีติฯ พม่าเป็น โส สาธูติ สรณคโต หุตฺวา ตโต ปฏฺฐาย น กญฺจิ วิเหเฐติ, เทวมฺปิ สมฺมา วสฺสาเปติ, แปลตามพม่า. ๒-(นาคนั้นได้ถึงพระทศพล ผู้มีพระเศียรคือสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระเกล้างามคือนิพพานารมณ์อันประเสริฐ ผู้มีพระนลาตคือจตุตถญาณอันประเสริฐ ผู้มีรัศมีพระอุณณาโลมคือสมาปัตติญาณ ดั่งวชิระอันประเสริฐ ผู้มีพระโขนงทั้งคู่อันประเสริฐเกินความงามแห่งนีลกสิณ ผู้มีคู่พระจักษุคือทิพยจักษุ ปัญญาจักษุและสมันตจักษุอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระโสต คือทิพยโสตญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระนาสิกโด่งคือโคตรภูญาณอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระปราง (แก้ม) คือมรรคผลญาณและวิมุตติผลญาณอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระโอษฐ์คือโลกิยญาณและโลกุตตรญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระทนต์งามคือสัตตตึสโพธิปักขิยญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระเขี้ยว ๔ คือจตุมรรคญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระชิวหาคือจตุสัจจญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระหนุ (คาง) คืออัปปฏิหตญาณ (พระญาณที่ไม่มีอะไรขัดขวาง) อันประเสริฐ ผู้มีพระศอคือญาณเครื่องบรรลุวิโมกข์อันยอดเยี่ยมอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระพาหา (แขน) คือจตุเวสารัชชญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระองคุลี (นิ้ว) กลมงามคือทสานุสสติญาณอันประเสริฐ ผู้มีแผ่นพระอุระ (อก) เต็มคือสัตตโพชฌงค์ ผู้มีคู่พระถัน (นม) คืออาสยานุสยญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระวรกายท่อนกลางคือทศพลญาณอันประเสริฐ ผู้มีพระชงม์ (แข้ง) คือปัญจินทรีย์และปัญจพละอันประเสริฐ ผู้มีคู่พระอูรุ (ขา) คือทสกุศลกัมมปถอันประเสริฐ ผู้มีสังฆาฏิคือศีลสมาธิปัญญาอันประเสริฐ ผู้มีบังสุกุลจีวรเครื่องปกปิดพระวรกายคือหิริโอตตัปปะอันประเสริฐ ผู้มีพระอันตรวาสก (สะบง) คืออัฏฐังคิกมรรคญาณอันประเสริฐ ผู้มีประคตเอวคือจตุสติปัฏฐานอันประเสริฐ เป็นสรณะ พระพุทธเจ้าท่านให้แจ่มแจ้งแล้วดังกล่าวมานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุแม้พระสัพพัญญุตญาณแล้ว) ____________________________ ๒- ที่วงเล็บไว้ ฉบับพม่าสีหลไม่มี. ตั้งแต่นั้น นาคก็ไม่เบียดเบียนใครๆ ทำฟ้าฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สมบูรณ์ พูนผล. พวกชาวกรุงโกสัมพีฟังข่าวว่า เขาว่าพระผู้เป็นเจ้าสาคตะทรมานอัมพติตถนาคได้แล้ว ต่างคอยการเสด็จมาของพระศาสดา จัดแจงสักการะเป็นอันมากถวายพระทศพล ชาวเมืองเหล่านั้น ครั้นถวายสักการะอย่างมากแด่พระทศพลแล้ว ก็ตกแต่งน้ำใสสีขาว (ประเภทสุรา?) ไว้ในเรือนทุกหลัง ตามคำแนะนำของเหล่าภิกษุฉัพพัคคีย์ (ภิกษุ ๖ รูป). วันรุ่งขึ้น เมื่อพระสาคตเถระเที่ยวบิณฑบาต ก็พากันถวายน้ำนั้นบ้านละหน่อยๆ พระเถระถูกผู้คนทั้งหลายขะยั่นขะยอ เพราะยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ก็ดื่มทุกเรือนหลังละหน่อยๆ เดินไปไม่ไกลนักก็สิ้นสติล้มลงที่กองขยะ เพราะไม่มีอาหารรองท้อง. พระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว เสด็จออกไปเห็นท่านพระสาคตะเถระนั้น ก็โปรดให้พาตัวไปพระวิหาร ทรงตำหนิแล้วทรงบัญญัติสิกขาบท. วันรุ่งขึ้น ท่านได้สติ ฟังเขาเล่าถึงเหตุที่ตนทำแล้วก็แสดงโทษที่ล่วงเกิน ขอให้พระ เรื่องปรากฏในพระวินัยดังกล่าวมานี้. พึงทราบเรื่องพิสดารตามนัยที่มาแล้วในวินัยนั้นนั่นแล. ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่งในพระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระสาคตเถระไว้ในตำแหน่ง จบอรรถกถาพระสูตรที่ ๑๐ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๔ |