บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] หน้าต่างที่ ๔ / ๙. ๕. ประวัตินางอุตตรานันทมารดา ด้วยบทว่า ฌายีนํ ท่านแสดงว่า นางอุตตรานันทมารดาเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดีในฌาน. ดังได้สดับมา นางอุตตรานั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยาปุณณเศรษฐี๑- ผู้อาศัยสุมนเศรษฐี อยู่ในกรุงราชคฤห์. บิดามารดาตั้งชื่อนางว่า อุตตรา. ____________________________ ๑- ม.ปุณฺณสีหสฺส นาม ของบุรุษชื่อว่า ปุณณสีหะ. ในวันงานฉลองนักษัตรฤกษ์ครั้งหนึ่ง ราชคหเศรษฐีเรียกนายปุณณะมากล่าวว่า พ่อปุณณะ นักษัตรฤกษ์หรืออุโบสถจักทำอะไรให้แก่คนยากเข็ญได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจงบอกมาว่า เจ้าจักรับทรัพย์ค่าใช้จ่ายในงานนักษัตรฤกษ์แล้วเล่นนักษัตรฤกษ์ หรือจักพาโคมีกำลัง ผาลและไถไปไถนา. นายปุณณะกล่าวว่า นายท่าน ผมจักปรึกษากับภริยาผมก่อนจึงจะรู้ แล้วบอกเรื่องนั้นแก่ภริยา. ภริยาเขากล่าวว่า ธรรมดาเศรษฐีเป็นนายเป็นอิสรชน คำพูดของเขาที่กล่าวกับท่าน ย่อมงดงาม ส่วนท่านอย่าสละการทำนาของตนเลย. นายปุณณะนั้นฟังคำภริยาแล้ว ก็ไปเพื่อนำเครื่องมือนำไปไถนา. ในวันนั้น พระสารีบุตรเถระออกจากนิโรธสมาบัติ นึกว่าวันนี้ เราควรจะทำการสงเคราะห์ใคร ก็เห็นอุปนิสัยของนายปุณณะนี้ ในเวลาแสวงหาอาหาร จึงถือบาตรจีวรไปยังที่ๆ นายปุณณะไถนา แสดงตัวในที่ไม่ไกล. นายปุณณะเห็นพระเถระก็หยุดไถนาไปหาพระเถระ ไหว้ด้วยเบญจางค ครั้งนั้น ภริยาของเขาคิดว่า วันนี้เป็นวันนักษัตรฤกษ์ จึงจัด แม้พระเถระก็ทำอนุโมทนาแก่นางว่า ขออัธยาศัยของนางจงเต็มเทอญ กลับจากที่นั้นแล้วก็ไปวิหาร. แม้นางก็กลับบ้านตนอีก แล้วจัดหาอาหารสำหรับสามีนำไปยังสถานที่สามีไถนา กลัวสามีจะโกรธ จึงกล่าวว่า นายจ๋า วันนี้ขอนายจงอดกลั้นใจของนายไว้วันหนึ่งเถิด. เขาถามว่า เพราะเหตุไร. นางตอบว่า วันนี้ ดิฉันกำลังนำอาหารมาสำหรับนาย ระหว่างทางพบพระเถระ จึงวางอาหารส่วนของนายลงในบาตรพระเถระ จึงกลับไปเรือนอีก หุงต้มอาหารแล้วนำมา ณ บัดนี้. เขากล่าวว่า น้องเอ๋ย เจ้าทำถูกใจจริงๆ ถึงฉันก็ถวายไม้ชำระฟันและน้ำบ้วนปากแด่พระเถระแต่เช้าตรู่ วันนี้ช่างเป็นโชคของเราจริงๆ แม้ของทั้งหมดที่เราถวายพระเถระ ก็เกิดเป็นสมบัติของเราทั้งนั้น แม้ทั้งสองคนก็มีจิตเสมือนเป็นอันเดียวกัน. ครั้งนั้น นายปุณณะกินอาหารเสร็จแล้ว ก็เอาศีรษะหนุนตักภริยานอนครู่หนึ่ง. ขณะนั้นเขาก็หลับไป เขาหลับไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ตื่นมองดูสถานที่ไถนา สถานที่มองดูแล้วมองดูอีก ก็ได้เป็นประหนึ่งเต็มไปด้วยดอกบวบขมขนาดใหญ่. เขาจึงพูดกะภริยาว่า น้องเอ๋ย นั่นอะไรกัน วันนี้สถานที่ไถนานี้ปรากฏเป็นทองไปได้. ภริยาพูดว่า นายท่าน วันนี้ เพราะนายท่านเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ชะรอยดวงตาจะพร่าไปก็ได้. เขาพูดว่า น้องเอ๋ย เจ้าไม่เชื่อพี่ก็มองดูเองสิ. เวลานั้น ภริยามองดูแล้วก็พูดว่า นายท่านพูดจริง นั่นคงจักเป็นอย่างนั้น. นายปุณณะลุกขึ้นจับไม้อันหนึ่งตีที่หัวขี้ไถ ดินหัวขี้ไถก็เป็นเหมือนเม็ดกลมๆ ฝังอยู่ในดินหัวขี้ไถฉะนั้น. เขาเรียกภริยามากล่าวว่า น้องเอ๋ย เมื่อคนอื่นๆ หว่านเมล็ดพืช พืชก็ให้ผล ๓-๔ เดือน ส่วนผลทานที่ให้ในวันนี้ ก็ด้วยพืชคือศรัทธาที่เราจะปลูกลงในระหว่างท่านพระสารีบุตรเถระพระผู้เป็นเจ้าของเรา. ในพื้นที่ประมาณกรีสหนึ่งนี้ ทองแม้ขนาดเท่าผลมะขามป้อม ชื่อว่าไม่ใช่ทอง ไม่มีเลย. ภริยาพูดว่า นายท่าน บัดนี้เราจักทำอย่างไรเล่า. นายปุณณะพูดว่า น้องเอ๋ย เราไม่อาจนำทองเท่านี้ไปกินได้ดอก แล้วใส่ทองเต็มถาดที่ภริยานำมาวางไว้ในที่นั้น ให้ภริยานำไปกราบทูลพระราชาว่า มนุษย์ผู้หนึ่งยืนถือถาดใส่ทอง พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกเขาเข้าไปตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย เจ้าได้มาแต่ที่ไหน. เขา พระราชาตรัสว่า พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปกล่าวว่า บุญของนาย พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงแต่งตั้งปุณณะชื่อว่าธนเศรษฐีในพระนครนี้. แล้วพระราชทานของทั้งหมดนั้นแก่นายปุณณะนั้นเท่านั้น พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่เขาในวันนั้นนั่นเอง. เศรษฐีนั้น เมื่อกระทำมงคลก็ได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๗ วัน. ในวันที่ ๗ เมื่อพระทศพลทรงทำการอนุโมทนาในภัตทาน ภายหลัง ราชคหเศรษฐีทราบว่า ปุณณเศรษฐีมีธิดาสาวเจริญวัยอยู่ จึงส่งสาสน์ไปเรือนของปุณณเศรษฐีนั้นขอธิดาเพื่อบุตรของตน. ปุณณ แต่นั้น ปุณณเศรษฐีก็ตอบว่า ท่านพูดถึงแต่สภาพเศรษฐีของท่านก่อนเท่านั้น ชื่อว่าบุรุษ ท่านไม่ควรกำหนดเอาว่า ต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาล ความจริง เราสามารถรับเอาพวกบุรุษเช่นนั้นทำเป็นทาสก็ได้นะ แต่เราไม่อาจเอื้อมถึงชาติและโคตรของท่านได้ดอก. อนึ่งเล่า ธิดาของเราก็เป็นพระอริยสาวิกาผู้พระโสดาบัน กระทำการบูชาด้วยดอกไม้มีค่าหลายกหาปณะทุกๆ วัน เราจักไม่ส่งธิดาไปเรือนคนมิจฉาทิฏฐิเช่นท่าน. ราชคหเศรษฐีรู้ว่า ปุณณเศรษฐีปฏิเสธอย่างนั้น ก็ส่งสาสน์ไปอีกว่า โปรด ปุณณเศรษฐีก็ตอบรับ แล้วส่งธิดาไปเรือนของราชคหเศรษฐีนั้น. ต่อมาวันหนึ่ง นางอุตตราธิดาของปุณณเศรษฐีนั้นก็กล่าวกะสามีของตนอย่างนี้ว่า ดิฉันทำอุโบสถกรรมประจำเดือนละ ๘ วันในเรือนสกุลของตน แม้บัดนี้ เมื่อท่านรับให้ความยินยอมได้ เราก็จะพึงอธิษฐานองค์อุโบสถ. สามีนั้นกล่าวว่า ฉันยินยอมไม่ได้ แล้วก็ไม่รับคำ. นางไม่อาจทำสามีนั้นให้ยินยอมได้ ก็นิ่งเสีย คิดว่า เราจักอธิษฐานองค์อุโบสถภายในพรรษาอีก แม้ครั้งนั้นเมื่อนางขอโอกาส ก็ไม่ได้โอกาสอีกนั่นเอง. ภายในพรรษา ล่วงไป ๒ เดือนครึ่งยังเหลืออยู่ครึ่งเดือน นางจึงส่งข่าวไปบอกบิดามารดาว่า ดิฉันถูกท่านพ่อท่านแม่ส่งไปขังไว้ในที่กักขังตลอดกาลยาวนานเท่านี้แล้ว จะอธิษฐานองค์อุโบสถแม้ตลอดวันหนึ่งก็ไม่ได้ โปรดส่งกหาปณะแก่ดิฉัน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะเถิด. บิดามารดาฟังข่าวธิดาแล้วก็ไม่ถามว่า เพราะเหตุไร ส่งเงินไปให้เลย. นางอุตตรารับกหาปณะเหล่านั้นแล้ว มีหญิงโสเภณีชื่อสิริมา อยู่ในนครนั้น จึงให้เรียกนางมาแล้วกล่าวว่า แม่สิริมาจ๋า ดิฉันจักอธิษฐานองค์อุโบสถตลอดครึ่งเดือนนี้ ขอแม่นางจงรับกหาปณะ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะเหล่านี้ไว้ แล้วบำเรอบุตรเศรษฐีตลอดครึ่งเดือนนี้. นางสิริมาก็รับปากว่า ดีละแม่เจ้า. ตั้งแต่นั้นมา บุตรเศรษฐีคิดว่า เราจักสำเริงสำราญกับนางสิริมา จึงอนุญาตให้นางอุตตรารับอุโบสถกรรมตลอดครึ่งเดือน. นางอุตตรารู้ว่าสามีรับปากยินยอมแล้ว มีหมู่ทาสีแวดล้อมจัดแจงของเคี้ยวของฉันด้วยมือเองแต่เช้าตรู่ทุกๆ วัน เมื่อพระศาสดาทรงทำภัตกิจเสร็จ เสด็จไปวิหารแล้ว ก็อธิษฐานองค์อุโบสถ ขึ้นปราสาทอันประเสริฐ นั่งระลึกถึงศีลของตน. ล่วงเวลาไปครึ่งเดือนด้วยอาการอย่างนี้ ในวันสละอุโบสถ นางจึงเที่ยวจัดแจงข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้นแต่เช้าตรู่. เวลานั้น บุตรเศรษฐีอยู่บนปราสาทอันประเสริฐกับนางสิริมา เปิดหน้าต่างกรุตาข่าย ยืนดูสิ่งของไปตามลำดับ นางอุตตราแหงนดูไปทางช่องหน้าต่าง. บุตรเศรษฐีมองดูนางอุตตราคิดว่า หญิงผู้นี้คงถือกำเนิดแต่สัตว์นรกหนอ ละสมบัติอย่างนี้แล้วเป็นผู้เปรอะเปื้อนด้วยเขม่าหม้อข้าว วุ่นวายอยู่ระหว่างทาสีทั้งหลายโดยหาควรแก่เหตุไม่ แล้ว นางอุตตราทราบความที่บุตรเศรษฐีนั้นประมาท คิดว่า บุตรเศรษฐีนี้ชื่อว่าเป็นคนเขลา คงจักสำคัญว่าสมบัติของตนจะอยู่ถาวรทุกเวลา ดังนี้แล้ว แม้ตนเองก็ทำการยิ้มแย้มบ้าง. แต่นั้น นางสิริมาก็โกรธแล้วบริภาษว่า นางทาสีผู้นี้เมื่อเรายืนอยู่ก็ยังทำการยิ้มแย้มกับสามีของเราอย่างนี้ จึงรีบลงจากปราสาท. โดยอากัปกิริยาที่มาของนางสิริมานั้นนั่นแหละ นาง ขณะนั้น ทาสีทั้งหลายที่ยืนใกล้นางสิริมา เห็นเหตุนั้นแล้วก็บริภาษนางสิริมานั้นต่อหน้าว่า ไฮ้ แม่มหาจำเริญ เจ้ารับมูลค่าจากมือแม่นายของเรามาอยู่ในเรือนหลังนี้ ยังพยายามจะมาทำเทียมแม่นายของพวกข้าหรือ. ขณะนั้น นางสิริมารู้ว่าตัวเป็นอาคันตุกะมาอยู่ชั่วคราว ก็ไปจากที่นั้นแล้วหมอบลงแทบเท้านายอุตตรา กล่าวว่า แม่นาง ดิฉันไม่ทันใคร่ครวญก็ทำกรรมอย่างนี้ โปรดยกโทษให้ดิฉันเสียเถิด. นางอุตตรากล่าวว่า แม่สิริมาจ๋า ฉันยกโทษให้แม่ในฐานะนี้ไม่ได้ดอก ฉันเป็นธิดามีบิดา จะยกโทษให้ก็ต่อเมื่อพระทศพลทรงยกโทษให้แม่เท่านั้น. แม้พระศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร ก็เสด็จมาประทับเหนืออาสนะที่จัดไว้ ณ นิเวศน์ของนางอุตตรา. นางสิริมาจึงไปหมอบแทบพระยุคลบาทพระศาสดา กราบทูลว่า ข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สิริมา เรายกโทษให้เจ้า. เวลานั้น นางสิริมานั้นก็ไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้ และในวันนั้น นางสิริมาฟังอนุโมทนาภัตทานของพระทศพลว่า
พึงชำนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชำนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึงชำนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง. เมื่อจบพระคาถา ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นิมนต์พระทศพลถวายมหาทาน ในวันรุ่งขึ้น. เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างนี้. ภายหลัง พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหารเมื่อทรงสถาปนาพวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่างๆ จึงทรงสถาปนานางอุตตรานันทมารดา ไว้ในตำแหน่ง จบอรรถกถาสูตรที่ ๕ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๗ |