บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] [๑๓] [๑๔] อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ------------------------- คำนมัสการ ประพฤติสม่ำเสมอโดยปกติ มีจิตมั่นคง ใคร่ความดำรงมั่นแห่งพระ สัทธรรม หวังอยู่ว่า พระอรรถกถา อันพรรณนาอรรถแห่งพระธรรม บทอันงาม ที่พระศาสดาผู้ฉลาดในสภาพที่เป็นธรรม และมิใช่ธรรม มีบท คือพระสัทธรรมถึงพร้อมแล้ว มีพระอัธยาศัย อันกำลังแห่งพระ กรุณาให้อุตสาหะด้วยดีแล้ว ทรงอาศัยเหตุนั้นๆ แสดงแล้ว เป็นเครื่อง เจริญปีติปราโมทย์ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นคำที่สุขุม ละเอียด นำสืบๆ กันมา ตั้งอยู่แล้วในตามพปัณณิทวีป๓- โดยภาษา ของชาวเกาะ ยังไม่ทำความถึงพร้อมแห่งประโยชน์ ให้สำเร็จแก่ สัตว์ทั้งหลายที่เหลือได้. ไฉนพระอรรถกถาแห่งพระธรรมบทนั้นจะ ทำประโยชน์ให้สำเร็จแก่โลกทั้งปวงได้ ดังนี้ อาราธนาโดยเคารพ แล้ว จึงขอนมัสการพระบาทแห่งพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงสิริ ทรงแล เห็นที่สุดโลกได้ มีพระฤทธิ์รุ่งโรจน์ ทรงยังประทีป คือพระสัทธรรม ให้รุ่งโรจน์ ในเมื่อโลกอันมืด คือโมหะใหญ่ปกคลุมแล้ว, บูชาพระ สัทธรรมแห่งพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และทำอัญชลีแด่พระสงฆ์ แห่งพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว จักกล่าวอรรถกถาอันพรรณนา แห่งพระธรรมบทนั้น ด้วยภาษาอื่นโดยอรรถไม่ให้เหลือเลย ละภาษา นั้น และลำดับคำ อันถึงพิสดารเกินเสีย ยกขึ้นสู่ภาษา อันเป็นแบบที่ ไพเราะ๔- อธิบายบทพยัญชนะแห่งคาถาทั้งหลาย ที่ท่านยังมิได้ อธิบายไว้แล้วในอรรถกถานั้นให้สิ้นเชิง นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่ง ใจ อิงอาศัยอรรถและธรรมแก่นักปราชญ์ทั้งหลาย. ๒- เป็นนามพระสังฆเถระองค์หนึ่งในสมัยพระพุทธโฆษาจารย์ ไม่ใช่พระกุมารกัสสปในสมัยพุทธกาล. ๓- เกาะเป็นที่อยู่ของชาวชนที่มีฝ่ามือแดง คือ เกาะลังกา [Ceylon]. ๔- มโนรมํ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ ๑. ยมกวรรควรรณนา ๑. เรื่องพระจักขุปาลเถระ [๑] ข้อความเบื้องต้น ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจ ล้ออันหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น, ดังนี้ พระศาสดาตรัสแล้ว ณ ที่ไหน? วิสัชนาว่า พระองค์ตรัสแล้ว ณ กรุงสาวัตถี. มีปุจฉา (เป็นลำดับไป) ว่า พระองค์ทรงปรารภใคร? มีวิสัชนาว่า พระองค์ทรงปรารภพระจักขุปาลเถระ. กุฎุมพีทำพิธีขอบุตร กุฎุมพีได้บุตรสองคน ในกาลเป็นส่วนอื่น ท่านเศรษฐีได้บุตรอีกคนหนึ่ง ขนานนามว่า จุลปาละ ขนานนามบุตรคนแรกว่า มหาปาละ. ครั้น ๒ กุมารนั้นเจริญวัย๒- มารดาบิดาก็คิดผูกพันด้วยเครื่องผูกพันคือการครองเคหสถาน. ในกาลเป็นส่วนอื่น มารดาบิดาได้ทำกาลกิริยาล่วงไป. วงศ์ญาติก็เปิดสมบัติทั้งหมดทั้งหมดมอบให้แก่ ๒ เศรษฐีบุตร.๓- ____________________________ ๑- เป็นพิธีอย่างหนึ่งในศาสนาพราหมณ์ทำกัน ๒ คราว คือ ทำเมื่อภรรยาตั้งครรภ์ได้ ๕ เดือนครั้งหนึ่ง เรียกปํจามฺฤตมฺ ทำเมื่อตั้งครรภ์ได้ ๗ เดือนครั้งหนึ่ง เรียกสปฺตามฺฤตมฺ. ๒- มารดาบิดา ผูกบุตรทั้งสองนั้นผู้เจริญวัยแล้ว ด้วยเครื่องผูกคือเรือน ๓- พวกญาติก็แบ่งโภคะทั้งหมดจำเพาะแก่สองเศรษฐีบุตร พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษา แท้จริง พระตถาคตเสด็จอยู่จำพรรษาๆ เดียวเท่านั้นในนิโครธมหาวิหาร ที่พระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนนี ๘ หมื่นตระกูล, ฝ่ายพระชนก ๘ หมื่นตระกูล เข้ากันเป็นแสนหกหมื่นตระกูลสร้างถวาย, เสด็จอยู่จำพรรษา ณ เชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙ พรรษา, เสด็จจำพรรษา ณ บุพพาราม ที่นางวิสาขามหา ผู้บำรุงภิกษุสามเณร ____________________________ ๑- เภสัช ๕ คือ เนยใส ๑ เนยข้น ๑ น้ำมัน ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำอ้อย ๑. ๒- ปานะ ๘ คือ น้ำมะม่วง ๑ น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า ๑ น้ำกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำมะซาง ๑ น้ำลูกจันทน์ หรือองุ่น ๑ น้ำเหง้าอุบล ๑ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑ เศรษฐีไม่เคยทูลถามปัญหา ได้ยินว่า ท่านคิดว่า พระตถาคตเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อน เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ด้วยทรงพระดำริว่า คฤหบดีมีอุปการะแก่เรามาก ดังนี้ จะทรงลำบาก แล้วไม่ทูลถามปัญหาด้วยความรักในพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง. ฝ่ายพระศาสดา พอท่านเศรษฐีนั่งแล้ว ทรงพระพุทธดำริว่า เศรษฐีผู้นี้รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, เหตุว่า เราได้ตัดศีรษะของเราอันประดับประดาแล้ว ควักดวงตาของเราออกแล้ว ชำแหละเนื้อหัวใจของเราแล้ว สละลูกเมียผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของเราแล้ว บำเพ็ญบารมีอยู่ ๔ อสงไขยกับแสนกัลป์ ก็บำเพ็ญแล้วเพื่อแสดงธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น เศรษฐีนี่รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, (ครั้นทรงพุทธดำริ) ฉะนี้แล้ว ก็ตรัสพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งเสมอ. ชาวสาวัตถีไปฟังธรรม ____________________________ ๑- ในกรุงสาวัตถี ไม่ปรากฎว่า ใหญ่โตถึงกับจุคนได้ตั้ง ๗๐ ล้าน เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นอเนกสังขยากระมัง? มหาปาละตามไปฟังธรรม ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะทรงแสดงธรรม ทอดพระเนตรอุปนิสัยแห่งคุณ มีสรณะ ศีลและบรรพชาเป็นต้น(ก่อน) แล้วจึงทรงแสดงธรรมตามอำนาจอัธยาศัย. ____________________________ ๑- วิหาร สำนักสงฆ์ วัด อนุปุพพีกถา ๕ มหาปาละขอบวช ขณะนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า ญาติไหนๆ ของท่านที่ควรจะต้องอำลาไม่มีบ้างหรือ? เขาทูลว่า พระเจ้าข้า น้องชายของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่. พระศาสดารับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงอำลาเขาเสีย [ก่อน]. มหาปาละมอบสมบัติให้น้องชาย น้องชายถามว่า นาย ก็ท่านเล่า? พี่ชายตอบว่า ข้าจักบวชในสำนักของพระศาสดา. น. พี่พูดอะไร เมื่อมารดาของข้าพเจ้าตายแล้ว ข้าพเจ้าได้ท่านเป็นเหมือนมารดา เมื่อบิดาตายแล้ว ได้ท่านเป็นเหมือนบิดา. สมบัติเป็นอันมากมีอยู่ในเรือนของท่าน, ท่านอยู่ครองเรือนเท่านั้นอาจทำบุญได้, ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้นเลย. พ. พ่อ ข้าได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา, เพราะ (เหตุที่) พระศาสดาทรงแสดงธรรมมีคุณไพเราะ (ทั้ง) ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ยกขึ้นสู่ไตรลักษณะ๑- อันละเอียดสุขุม ธรรมนั้น อันใครๆ ไม่สามารถจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ในท่ามกลางเรือนได้; ข้าจักบวชละ พ่อ. น. พี่ เออ ก็ท่านยังหนุ่มอยู่โดยแท้, เอาไว้บวชในเมื่อท่านแก่เถิด. พ. พ่อ ก็แม้มือและเท้าของคนแก่ (แต่) ของตัว ก็ยังว่าไม่ฟัง ไม่เป็นไปในอำนาจ, ก็จักกล่าวไปทำไมถึงญาติทั้งหลาย, ข้านั้นจะไม่ทำ (ตาม) ถ้อยคำของเจ้า, ข้าจักบำเพ็ญสมณปฏิบัติให้บริบูรณ์.
____________________________ ๑- ไตรลักษณะ คือ อนิจจลักษณะ ๑ ทุกขลักษณะ ๑ อนัตตลักษณะ ๑. มหาปาละบรรพชาอุปสมบท ____________________________ ๑- ถ้าฟังตามนี้ พระมหาปาละบรรพชาอุปสมบท ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา หาใช่เอหิภิกขุอุปสัมปทาไม่. ธุระ ๒ อย่างในพระศาสนา พระมหาปาละทูลถามว่า พระเจ้าข้า ก็คันถธุระเป็นอย่างไร? วิปัสสนาธุระเป็นอย่างไร? ศ. ธุระนี้ คือ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี จบพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วทรงไว้ กล่าวบอกพุทธวจนะนั้น ชื่อว่า คันถธุระ. ส่วนการเริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมไว้ในอัตภาพ ยังวิปัสสนาให้เจริญ ด้วยอำนาจแห่งการติดต่อแล้ว ถือเอาพระอรหัตของภิกษุผู้มีความประพฤติแคล่วคล่อง ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะอันสงัด ชื่อว่า วิปัสสนาธุระ. ม. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์บวชแล้วแต่เมื่อแก่ ไม่สามารถจะบำเพ็ญคันถธุระให้บริบูรณ์ได้, แต่จักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระให้บริบูรณ์, ขอพระองค์ตรัสบอกพระกรรมฐานแก่ข้าพระองค์เถิด. พระมหาปาละเดินทางไปบ้านปลายแดน ชาวบ้านเลื่อมใสอาราธนาให้อยู่จำพรรษา มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตรู้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายแสวงหาเสนาสนะที่จำพรรษา, จึงกล่าวอาราธนาว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย พึงอยู่ ณ ที่นี่ตลอดไตรมาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะพึงตั้งอยู่ในสรณะแล้วถือศีล. แม้เธอทั้งหลายก็คิดเห็นว่า เราได้อาศัยตระกูลเหล่านี้ จักทำการออกไปจากภพได้ ดังนี้ จึงรับนิมนต์. หมู่มนุษย์รับปฏิญญาของเธอทั้งหลายแล้ว ได้ (ช่วยกัน) ปัดกวาดวิหาร จัดที่อยู่ในกลางคืน และที่อยู่ในกลางวัน แล้วมอบถวาย. เธอทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาตบ้านนั้นตำบลเดียวเป็นประจำ. ครั้งนั้น หมอผู้หนึ่งเข้าไปหาเธอทั้งหลาย ปวารณาว่า ท่านผู้เจริญ ธรรมดาในที่อยู่ของคนมาก ย่อมมีความไม่ผาสุกบ้าง. เมื่อความไม่ผาสุกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลายพึงบอกแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักทำเภสัชถวาย. พระมหาปาละถือเนสัชชิกธุดงค์ ภิกษุทั้งหลายเรียนตอบว่า จักให้น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถครบทั้ง ๔ ขอรับ. ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ข้อนั้นสมควรละหรือ? เราทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่ประมาทไม่ใช่หรือ? เพราะเราทั้งหลายเรียนพระกรรมฐานมาจากสำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่. แลธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันคนมักอวดไม่สามารถจะให้ทรงยินดีได้, ด้วยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น อันคนมีอัธยาศัยงาม (จำพวกเดียว) พึงให้ทรงยินดีได้, และขึ้นชื่อว่าอบายทั้ง ๔ เป็นเหมือนเรือนของตัวเองแห่งคนผู้ประมาทแล้ว, ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. ภ. ก็ท่านเล่า ขอรับ. ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักให้ (ไตรมาสนี้) (น้อม)ล่วงไปด้วยอิริยาบถ ๓, จักไม่เหยียดหลัง. ภ. สาธุ ขอจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ขอรับ. ____________________________ ๑- วสฺสปนายิกทิวเส จักษุของพระมหาปาละพิการ ภิกษุทั้งหลายเห็นตาทั้งสองของพระเถระนองอยู่ จึงเรียนถามว่า นั่นเป็นอะไร ขอรับ ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ลมแทงตาของข้าพเจ้า. ภ. ท่านขอรับ หมอปวารณาเราไว้ไม่ใช่หรือ? เราควรบอกแก่เขา. ถ. ดีละ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. หมอปรุงยาให้หยอด หมอเห็นเรียนถามว่า ท่านขอรับ ได้ยินว่า ลมแทงตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือ? ถ. เออ อุบาสก. ม. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันแล้วส่งไป (ถวาย) ท่านหยอดทางจมูกแล้วหรือ? ถ. เออ อุบาสก. ม. เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไร ขอรับ. ถ. ยังแทงอยู่ทีเดียว อุบาสก. พระมหาปาละนั่งหยอดยา พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้หมอซักถามอยู่ ก็ไม่พูด. หมอนึกว่า เราจักไปวิหารดูที่อยู่เอง ดังนี้แล้ว กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ไปเถิด ขอรับ ผละพระเถระแล้ว ไปสู่วิหารดูที่อยู่ของพระเถระ เห็นแต่ที่จงกรมและที่นั่ง ไม่เห็นที่นอน จึงเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด" พระเถระได้นิ่งเสีย. หมออ้อนวอนซ้ำว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้น, ธรรมดา สมณธรรม เมื่อร่างกายยังเป็นไปอยู่ ก็อาจทำได้, ขอท่านนอนหยอดเถิด. พระมหาปาละปรึกษากรัชกาย เมื่อกล่าวสอนภูตกาย ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :- จักษุที่ท่านถือว่าของตัว เสื่อมไปเสียเถิด หูก็ เสื่อมไปเสียเถิด, กายก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ ก็เสื่อมไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่. จักษุที่ท่านถือว่าของตัว ทรุดโทรมไปเสียเถิด, หูก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, กาย ก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัย กายนี้ ก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่าน จึงประมาทอยู่. จักษุที่ท่านถือว่าของตัวแตกไปเสียเถิด, หูก็แตกไปเสียเถิด, รูปก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ก็แตกไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่. ____________________________ ๑- แปลว่า กายอันเกิดแต่ธุลีมีในสรีระ หมอเลิกรักษาพระมหาปาละ ถ. เออ อุบาสก. ม. เป็นอย่างไรบ้าง ขอรับ. ถ. ยังแทงอยู่เทียว อุบาสก. ม. ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด ขอรับ. พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้อันหมอถามซ้ำ ก็ไม่พูดอะไร. ขณะนั้น หมอกล่าวกะท่านว่า ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ทำความสบาย ตั้งแต่วันนี้ ขอท่านอย่าได้กล่าวว่า หมอผู้โน้นหุงน้ำมันให้เรา แม้ข้าพเจ้าก็จักไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันถวายท่าน. ____________________________ ๑- คือเป่าน้ำมัน พระเถระเสียจักษุพร้อมกับการบรรลุพระอรหัต ปาลิตะ ท่านถูกหมอเขาบอกเลิกจากการรักษา ทิ้งเสียแล้ว เที่ยงต่อมัจจุราช ไฉนจึงยังประมาทอยู่เล่า? ดังนี้แล้ว บำเพ็ญสมณธรรม. ลำดับนั้น พอมัชฌิมยามล่วงแล้ว, ทั้งดวงตา ทั้งกิเลส ของท่านแตก (พร้อมกัน) ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากัน. ท่านเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสก๑- เข้าไปสู่ห้องนั่งแล้ว. ____________________________ ๑- คือ เป็นพระอรหันต์ ฝ่ายวิปัสสนา พวกภิกษุและชาวบ้านรับบำรุงพระเถระ ถ. กาลหรือ? ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. ภ. ขอรับ. ถ. ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายไปเถิด. ภ. ก็ท่านเล่า? ขอรับ. ถ. ตาของข้าพเจ้าเสื่อมเสียแล้ว ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. เธอทั้งหลายแลดูตาของท่านแล้ว มีตาเต็มด้วยน้ำตา ปลอบพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าคิดไปเลย, กระผมทั้งหลายจักปฏิบัติท่าน. ดังนี้แล้ว ทำวัตรปฏิบัติที่ควรจะทำเสร็จแล้วเข้าไปสู่บ้าน. หมู่มนุษย์ไม่เห็นพระเถระ ถามว่า ท่านเจ้าข้า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายไปข้างไหนเสีย ทราบข่าวนั้นแล้ว ส่งข้าวต้มไปถวายก่อนแล้ว ถือเอาบิณฑบาตไปเอง ไหว้พระเถระแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่แทบเท้า (ของท่าน) ปลอบว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายจักรับปฏิบัติ ท่านอย่าได้คิดไปเลย แล้วลากลับ. ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ส่งข้าวต้มและข้าวสวยไปถวายที่วิหารเป็นนิตย์. ฝ่ายพระเถระก็กล่าวสอนภิกษุ ๖๐ รูปนอกนี้เป็นนิรันดร์. เธอทั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน, ครั้นจวนวันปวารณา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทุกรูป. พวกภิกษุไปเฝ้าพระศาสดา พระเถระได้ฟังคำของเธอทั้งหลายแล้ว คิดว่า เราเป็นคนทุพพลภาพ และในระหว่างทาง ดงที่อมนุษย์สิงก็มีอยู่ เมื่อเราไปกับเธอทั้งหลาย จักพากันลำบากทั้งหมด จักไม่อาจเพื่ออันได้แม้ภิกษา เราจักส่งภิกษุเหล่านี้ไปเสียก่อน. ลำดับนั้น ท่านจึงกล่าวกะเธอทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไปก่อนเถิด. ภ. ก็ท่านเล่า? ขอรับ. ถ. ข้าพเจ้าเป็นคนทุพพลภาพ และในระหว่างทาง ดงที่อมนุษย์สิงก็มีอยู่ เมื่อข้าพเจ้าไปกับท่านทั้งหลาย จักพากันลำบากทั้งหมด ท่านทั้งหลายไปก่อนเถิด. ภ. อย่าทำอย่างนี้เลย ขอรับ กระผมทั้งหลายจักไปพร้อมกันกับท่านทีเดียว. ถ. ท่านทั้งหลายอย่าชอบอย่างนั้นเลย, เมื่อเป็นอย่างนั้น ความไม่ผาสุกจักมีแก่ข้าพเจ้า, น้องชายของข้าพเจ้า เห็นท่านทั้งหลายแล้ว คงจักถาม, เมื่อเช่นนั้น ท่านทั้งหลายพึงบอกความที่จักษุของข้าพเจ้าเสื่อมเสียแล้วแก่เขา เขาคงจักส่งใครๆ มาสู่สำนักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักไปกับเขา, ท่านทั้งหลายจงไหว้พระทศพลและพระอสีติมหาเถระตามคำของข้าพเจ้า ดังนี้แล้ว ก็ส่งภิกษุเหล่านั้นไป. พวกภิกษุแจ้งข่าวแก่น้องชายพระเถระ ฝ่ายเธอทั้งหลายไปถึงพระเชตวันโดยลำดับ ถวายบังคมพระศาสดาและไหว้พระมหาเถระทั้งหลาย ตามคำของพระเถระแล้ว, ครั้นรุ่งขึ้นเข้าไปสู่ถนนที่น้องชายของพระเถระอยู่ เพื่อบิณฑบาต. กุฎุมพีจำเธอทั้งหลายได้นิมนต์ให้นั่ง ทำปฏิสันถารแล้ว ถามว่า พระเถระพี่ชายของข้าพเจ้าอยู่ไหน? ลำดับนั้น เธอทั้งหลายแจ้งข่าวนั้นแก่เขาแล้ว. เขาร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่แทบบาทมูลของเธอทั้งหลาย ถามว่า ท่านเจ้าข้า บัดนี้ควรทำอะไรดี? ส่งสามเณรหลานชายไปรับพระเถระ ก. ท่านเจ้าข้า เจ้าคนนี้ หลานของข้าพเจ้าชื่อปาลิตะ ขอท่านทั้งหลายส่งเจ้านี่ไปเถิด. ภ. ส่งไปอย่างนี้ไม่ได้ (เพราะ) อันตรายในทางมีอยู่, ต้องให้บวชเสียก่อนแล้วส่งไป จึงจะควร. ก. ขอท่านทั้งหลายทำอย่างนั้นแล้วส่งไปเถิด ขอรับ. ครั้งนั้น เธอทั้งหลายให้เขาบวชแล้ว สั่งสอนให้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติมีรับจีวรเป็นต้นสักกึ่งเดือนแล้ว บอกทางให้แล้วส่งไป. สามเณรถึงบ้านนั้นโดยลำดับ เห็นชายผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ประตูบ้าน จึงถามว่า วิหารป่าไรๆ อาศัยบ้านนี้มีบ้างหรือ? ช. มี เจ้าข้า. ส. ใครอยู่ที่นั่น? ช. พระเถระชื่อปาลิตะ๑- เจ้าข้า. ส. ขอท่านบอกทางแก่ข้าพเจ้าหน่อย. ช. ท่านเป็นอะไรกัน? เจ้าข้า. ส. รูปเป็นหลานของพระเถระ. ____________________________ ๑- น่าจะชื่อปาละ เพราะปาลิตะ เป็นชื่อของสามเณรหลานชาย สามเณรชวนพระมหาปาละกลับ พระเถระกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจงจับปลายไม้เท้าของเราเข้า. สามเณรจับปลายไม้เท้า เข้าไปภายในบ้านกับพระเถระ. หมู่มนุษย์นิมนต์ให้นั่งแล้ว เรียนถามว่า ท่านผู้เจริญ ดูท่าทีท่านจะไปละกระมัง? พระเถระตอบว่า เออ อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เราจะไปถวายบังคมพระศาสดา. หมู่มนุษย์เหล่านั้นอ้อนวอนโดยประการต่างๆ เมื่อไม่ได้ (สมหวัง) ก็ไปส่งพระเถระได้กึ่งทางแล้ว พากันร้องไห้กลับมา. สามเณรถึงศีลวิบัติเพราะเสียงหญิง จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า๑- ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย. สามเณรถือนิมิตในเสียงนั้นแล้ว ปล่อยปลายไม้เท้าเสียแล้ว กล่าวว่า ท่านขอรับ ขอท่านรออยู่ก่อน, กิจของกระผมมี ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของหญิงนั้น. นางเห็นเธอแล้วได้หยุดนิ่ง. เธอถึงศีลวิบัติกับนางแล้ว. พระเถระคิดว่า เราได้ยินเสียงขับอันหนึ่งแล้วเดี๋ยวนี้เอง, ก็แล เสียงนั้นคงเป็นเสียงหญิง ถึงสามเณรก็ชักช้าอยู่, เธอจักถึงศีลวิบัติเสียแน่แล้ว. ฝ่ายสามเณรนั้นทำกิจของตนสำเร็จแล้วมาพูดว่า เราทั้งหลายไปกันเถิด ขอรับ ขณะนั้น พระเถระถามเธอว่า สามเณร เธอกลายเป็นคนชั่วเสียแล้วหรือ? เธอนิ่งเสีย แม้พระเถระถามซ้ำ ก็ไม่พูดอะไรๆ. ____________________________ ๑- องฺ. เอก. ๒๐/๓ พระเถระไม่ยอมให้สามเณรคบ เธอถึงซึ่งความสังเวชแล้ว เปลื้องผ้ากาสายะเสียแล้ว นุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์พูดว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อน กระผมเป็นสามเณร แต่เดี๋ยวนี้กระผมกลับเป็นคฤหัสถ์แล้ว, อนึ่ง กระผมเมื่อบวชก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชเพราะกลัวแต่อันตรายในหนทาง ขอท่านมาไปด้วยกันเถิด พระเถระพูดว่า ผู้มีอายุ คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณะชั่วก็ดี ก็ชั่วทั้งนั้น; เธอแม้ตั้งอยู่ในความเป็นสมณะแล้ว ไม่อาจเพื่อทำคุณเพียงแต่ศีลให้บริบูรณ์ เป็นคฤหัสถ์จักทำความดีงามชื่ออะไรได้, ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี. นายปาลิตะตอบว่า ท่านผู้เจริญ หนทางมีอมนุษย์ชุมและท่านก็เสียจักษุ จักอยู่ในที่นี้อย่างไรได้ ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเขาว่า ผู้มีอายุ เธออย่าได้คิดอย่างนั้นเลย, เราจะนอนตายอยู่ ณ ที่นี้ก็ดี จะนอนพลิกกลับไปกลับมา ณ ที่นี้ก็ดี ขึ้นชื่อว่าการไปกับเธอย่อมไม่มี (ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า เอาเถิด เราเป็นผู้มีจักษุอันเสียแล้ว มาสู่ทาง ไกลอันกันดาร นอนอยู่ (ก็ช่าง) จะไม่ไป เพราะความ เป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี. เอาเถิด เราเป็นผู้มี จักษุเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร จักตายเสีย จัก ไม่ไป เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี. นายปาลิตะได้ยินคำนั้นแล้ว เกิดความสังเวช นึกว่า เราทำกรรมหนัก เป็นไปโดยด่วน ไม่สมควรหนอ ดังนี้แล้ว กอดแขนคร่ำครวญ แล่นเข้าราวป่า ได้หลีกไป ด้วยประการนั้นแล. อาสนะท้าวสักกะร้อน ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า ใครหนอแล ใคร่จะยังเราให้เคลื่อนจากสถาน ดังนี้แล้ว ทรงเล็งลงมา ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเถระด้วยทิพยจักษุ. เหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ส่องทิพยจักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระองค์นี้ ติเตียนคนบาป ชำระ เครื่องเลี้ยงชีพให้บริสุทธิ์แล้ว, ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้า แห่งเทวดา ส่องทิพยจักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระ องค์นี้หนักในธรรม ยินดีในศาสนา นั่งอยู่แล้ว. ขณะนั้น ท้าวเธอได้ทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักไม่ไปสู่สำนักของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ติเตียนคนบาป หนักในธรรม เห็นปานนั้น, ศีรษะของเราพึงแตก ๗ เสี่ยง; เราจักไปสู่สำนักของท่าน, (ครั้นทรงพระดำริฉะนี้แล้ว ก็เสด็จไป). เหตุนั้น (พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า) ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ทรงสิริ ของเทวราช เสด็จมาโดยขณะนั้นแล้ว เข้าไปใกล้ พระจักขุปาลเถระแล้ว. ก็แลครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว ได้ทรงทำเสียงฝีพระบาทในที่ใกล้พระเถระ. ขณะนั้น พระเถระถามท้าวเธอว่า นั่นใคร? เทวราชตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าคนเดินทาง เจ้าข้า. ถ. ท่านจะไปไหน อุบาสก. ท. เมืองสาวัตถี เจ้าข้า. ถ. ไปเถิด ท่านผู้มีอายุ. ท. ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า เจ้าข้า จักไปไหน? ถ. ถึงเราก็จักไปในที่นั้นเหมือนกัน. ท. ถ้าอย่างนั้น เราทั้งหลายไปด้วยกันเถิด เจ้าข้า. ถ. เราเป็นคนทุพพลภาพ, ความเนิ่นช้าจักมีแก่ท่านผู้ไปอยู่กับเรา. ท. กิจรีบของข้าพเจ้าไม่มี ถึงข้าพเจ้าไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า จักได้บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ สักประการหนึ่ง เราทั้งหลายไปด้วยกันเถอะเจ้าข้า. พระเถระคิดว่า นั่นจักเป็นสัตบุรุษ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จับปลายไม้เท้าเข้าเถิด อุบาสก. ____________________________ ๑- แผ่นศิลาที่ประทับ มีสีดุจผ้าขนสัตว์เหลือง ท้าวสักกเทวราชพาพระเถระไปถึงพระเชตวัน พระเถระได้ฟังเสียงเครื่องประโคมมีสังข์และบัณเฑาะว์เป็นต้นแล้ว ถามว่า นั่น เสียงที่ไหน? ท. ในเมืองสาวัตถี เจ้าข้า. ถ. ในเวลาไป เราไปโดยกาลช้านานแล้ว. ท. ข้าพเจ้ารู้ทางตรง เจ้าข้า. ในขณะนั้น พระเถระกำหนดได้ว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์ จักเป็นเทวดา. (เหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า) ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ทรงสิริของ เทวราช ย่นทางนั้น พลันเสด็จมาถึงเมืองสาวัตถีแล้ว. ท้าวเธอนำพระเถระไปสู่บรรณศาลา ที่กุฎุมพีผู้น้องชายทำเพื่อประโยชน์แก่พระเถระนั้นเทียว นิมนต์ให้นั่งเหนือแผ่นกระดาน แล้วจำแลงเป็นสหายที่รักไปสู่สำนักของกุฎุมพีจุลปาละ ตรัสร้องเรียกว่า แน่ะ ปาละผู้สหาย กุฎุมพีจุลปาละร้องถามว่า อะไร? สหาย. ท. ท่านรู้ความที่พระเถระมาแล้วหรือ? จ. ข้าพเจ้ายังไม่รู้, ก็พระเถระมาแล้วหรือ? เทวราชตรัสว่า เออ สหาย ข้าพเจ้าไปวิหาร เห็นพระเถระนั่งอยู่ในบรรณศาลาที่ท่านทำ มาแล้วเดี๋ยวนี้เอง ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป. ฝ่ายกุฎุมพีไปถึงวิหาร เห็นพระเถระแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่ที่บาทมูล กล่าวว่า ท่านผู้เจริญเจ้าข้า ข้าพเจ้าเห็นเหตุนี้แล้วจึงไม่ยอมให้ท่านบวช ดังนี้เป็นต้นแล้ว ทำเด็กทาส ๒ คนให้เป็นไท ให้บวชในสำนักของพระเถระแล้ว สั่งว่า ท่านทั้งหลายจงนำเอาของฉันมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น มาจากภายในบ้าน อุปัฏฐากพระเถระ ดังนี้แล้ว มอบให้แล้ว. สามเณรทั้งหลายก็ทำวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระเถระแล้ว. ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในทิศ (ผู้อยู่ที่อื่น) มาสู่พระเชตวัน ด้วยหวังว่า จักเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดา เยี่ยมพระอสีติมหาเถระแล้ว เที่ยวจาริกอยู่ในวิหาร ถึงที่อยู่ของพระจักขุปาลเถระแล้ว มีหน้าตรงต่อที่นั้นในเวลาเย็น ด้วยหวังว่า จักดูแม้ที่นี้ ในขณะนั้น มหาเมฆตั้งขึ้นแล้ว. พวกเธอคิดว่า เดี๋ยวนี้เย็นแล้ว, และเมฆก็ตั้งขึ้นแล้ว, เราจักมาดูแต่เช้าเทียว ดังนี้แล้วกลับไป. ฝนตกในปฐมยาม หยุดในมัชฌิมยาม. พระเถระเป็นผู้ (เคย) ปรารภความเพียร เดิน แลในกาลนั้น ตัวแมลงค่อมทอง (หรือแมลงเม่า) เป็นอันมาก ตั้งขึ้นแล้ว บนพื้นที่ฝนตกใหม่. ตัวเหล่านั้น เมื่อพระเถระจงกรมอยู่ ได้วิบัติ (ตาย) โดยมาก. พวกอันเตวาสิกยังไม่ทันกวาดที่จงกรมของพระเถระแต่เช้า. ฝ่ายพวกภิกษุนอกนี้ มาด้วยหวังว่า จักดูที่อยู่ของพระเถระ เห็นสัตว์ทั้งหลายในที่จงกรมแล้ว ถามว่า ใครจงกรมในที่นี้. พวกอันเตวาสิกของพระเถระตอบว่า อุปัชฌาย์ของพวกกระผมขอรับ. เธอทั้งหลายติเตียนว่า ท่านทั้งหลายดูกรรมของสมณะเถิด ในกาลมีจักษุ ท่านนอนหลับเสีย ไม่ทำอะไร, ในกาลมีจักษุวิกลเดี๋ยวนี้ไว้ตัวว่า จงกรม ทำสัตว์มีประมาณถึงเท่านี้ให้ตายแล้ว ท่านคิดว่า จักทำประโยชน์ กลับทำการหาประโยชน์มิได้. พวกเธอไปกราบทูลพระตถาคตแล้วในขณะนั้นว่า พระเจ้าข้า พระจักขุปาลเถระไว้ตัวว่า จงกรม ทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้ว. พระศาสดาตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายเห็นเธอกำลังทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้วหรือ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้เห็น พระเจ้าข้า. ศ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นเธอ (ทำดังนั้น) ฉันใดแล ถึงเธอก็ไม่เห็นสัตว์มีชีวิตเหล่านั้น ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็นเหตุให้ตาย ของพระขีณาสพทั้งหลาย (คือบุคคลผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว) มิได้มี. ภ. พระเจ้าข้า เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหันต์มีอยู่ เหตุไฉน ท่านจึงกลายเป็นคนมีจักษุมืดแล้ว. ศ. ด้วยอำนาจกรรมอันตนทำไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย. ภ. ก็ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้แล้ว พระเจ้าข้า. บุรพกรรมของพระจักขุปาลเถระ ในอดีตกาล ครั้นพระเจ้าพาราณสีดำรงราชย์อยู่ในกรุงพาราณสี หมอผู้หนึ่งเที่ยวทำเวชกรรมอยู่ในบ้านและนิคม เห็นหญิงทุรพลด้วยจักษุคนหนึ่ง จึงถามว่า ความไม่ผาสุกของท่านเป็นอย่างไร? หญิงนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าไม่แลเห็นด้วยดวงตา. หมอกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักทำยาให้แก่ท่าน ญ. ทำเถิด นาย. ม. ท่านจักให้อะไรแก่ข้าพเจ้า? ญ. ถ้าท่านอาจจะทำดวงตาของข้าพเจ้าให้กลับเป็นปกติได้, ข้าพเจ้ากับบุตรและธิดา จักยอมเป็นทาสีของท่าน. ม. รับว่า ดีละ ดังนี้แล้ว ประกอบยาให้แล้ว. ดวงตากลับเป็นปกติ ด้วยยาขนานเดียวเท่านั้น. หญิงนั้นคิดแล้วว่า เราได้ปฏิญญาแก่หมอนั้นไว้ว่า จักพร้อมด้วยบุตรธิดา ยอมเป็นทาสีของเขา ก็แต่เขาจักไม่เรียกเราด้วยวาจาอันอ่อนหวาน เราจักลวงเขา. นางอันหมอมาแล้ว ถามว่า เป็นอย่างไร? นางผู้เจริญ ตอบว่า เมื่อก่อน ดวงตาของข้าพเจ้าปวดน้อย เดี๋ยวนี้ปวดมากเหลือเกิน. หมอคิดว่า หญิงนี้ประสงค์ลวงเราแล้วไม่ให้อะไร ความต้องการของเราด้วยค่าจ้างที่หญิงนี้ให้แก่เรา มิได้มี, เราจักทำเขาให้จักษุมืดเสียเดี๋ยวนี้ แล้วไปถึงเรือนบอกความนั้นแก่ภรรยา. นางได้นิ่งเสีย. หมอนั้นประกอบยาขนานหนึ่งแล้วไปสู่สำนักหญิงนั้น บอกให้หยอดว่า นางผู้เจริญ ขอท่านจงหยอดยาขนานนี้. ดวงตาทั้งสองข้างได้ดับวูบแล้วเหมือนเปลวไฟ. หมอนั้นได้ (มาเกิด) เป็นจักขุปาลภิกษุแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุตรของเราทำแล้วในกาลนั้น ติดตามเธอไปข้างหลังๆ. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนี้ย่อมตามผู้ทำไป เหมือนล้ออันหมุนตามรอยเท้าโคพลิพัท (คือโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า) ตัวเข็นธุระไปอยู่ ครั้นตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา ได้ตรัสพระคาถานี้สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว ด้วยพระราชลัญจกรว่า
แก้อรรถ บทว่า ปุพฺพงฺคมา คือชื่อว่า มาตามพร้อมด้วยจิตนั้น อันเป็นหัวหน้าไปก่อน. บทว่า ธมฺมา คือ ชื่อว่า ธรรมเป็น ๔ อย่าง ด้วยอำนาจคุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม และนิสสัตต ธรรมและอธรรม ๒ ประการ ให้ผลเหมือนกัน หามิได้ อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมให้ถึงสุคติ ดังนี้ ชื่อว่าคุณธรรม (แปลว่าธรรมคือคุณ). ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมงามในเบื้องต้น แก่ท่านทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า เทศนาธรรม (แปลว่าธรรมคือเทศนา). ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง กุลบุตรบางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเรียนธรรม คือสุตตะ เคยยะ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่า ปริยัติธรรม (แปลว่าธรรมคือปริยัติ). ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า ก็สมัยนั้นแล ธรรมทั้งหลายย่อมมี ขันธ์ทั้งหลายย่อมมี ดังนี้ เป็นต้น ชื่อว่า นิสสัตตธรรม (แปลว่าธรรมคือสภาพที่มิใช่สัตว์) นัยแม้ในบทว่า นิชชีวธรรม (ซึ่งแปลว่าธรรมคือสภาพมิใช่ชีวิต) ก็ดุจเดียวกัน. ในธรรม ๔ ประการนั้น นิสสัตตธรรมหรือนิชชีวธรรม พระศาสดาทรงประสงค์แล้วในที่นี้. นิสสัตตธรรมหรือนิชชีวธรรมนั้น โดยความก็อรูปขันธ์ ๓ ประการ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์. เหตุว่า อรูปขันธ์ ๓ ประการนั่น ชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้าของอรูปขันธ์ ๓ ประการนั่น. มีคำถามว่า ก็ใจ มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน เกิดในขณะเดียวกัน พร้อมกับธรรมเหล่านั้น ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากัน ชื่อว่า เป็นหัวหน้าของธรรมเหล่านั้นอย่างไร? มีคำแก้ว่า ใจได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมเหล่านั้น ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้น. เหมือนอย่างว่า เมื่อพวกโจรเป็นอันมาก ทำโจรกรรมมีปล้นบ้านเป็นต้นอยู่ด้วยกัน เมื่อมีใครถามว่า ใครเป็นหัวหน้าของพวกมัน? ผู้ใดเป็นปัจจัยของพวกมัน คืออาศัยผู้ใดจึงทำกรรมนั้นได้ ผู้นั้นชื่อทัตตะก็ตาม ชื่อมัตตะก็ตาม เขาเรียกว่าหัวหน้าของมัน ฉันใด; คำอุปไมยซึ่งเป็นเครื่องให้อรรถถึงพร้อมนี้ บัณฑิตพึงรู้แจ้ง ฉันนั้น. ใจชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้นฉะนี้ เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายนั่น จึงชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า, เพราะเมื่อใจไม่เกิดขึ้น ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้. ฝ่ายใจ ถึงเจตสิกธรรมบางเหล่าแม้ไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นได้แท้. อนึ่ง ใจชื่อว่าเป็นใหญ่ของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอำนาจเป็นอธิบดี เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายนั่นจึงชื่อว่ามีใจเป็นใหญ่. เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายมีโจรผู้เป็นหัวโจกเป็นต้น ผู้เป็นอธิบดี ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ของชนทั้งหลายมีโจรเป็นต้น ฉันใด, ใจผู้เป็นอธิบดี ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ของธรรมเหล่านั้น ฉันนั้น, เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีใจเป็นใหญ่. อนึ่ง สิ่งทั้งหลายนั้นๆ เสร็จแล้วด้วยวัตถุมีไม้เป็นต้น ก็ชื่อว่าของสำเร็จแล้วด้วยไม้เป็นต้น ฉันใด, แม้ธรรมทั้งหลายนั่น ได้ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยใจ เพราะสำเร็จมาแต่ใจ ฉันนั้น. บทว่า ปทุฏฺเฐน คือ อันโทษมีอภิชฌาเป็นต้นซึ่งจรมาประทุษร้ายแล้ว. จริงอยู่ ใจปกติชื่อว่าภวังคจิต, ภวังคจิตนั้นไม่ต้องโทษประทุษร้ายแล้ว. เหมือนอย่างว่า น้ำใสเศร้าหมองแล้ว เพราะสีทั้งหลายมีสีเขียวเป็นต้นซึ่งจรมา (กลับ) เป็นน้ำต่างโดยประเภทมีน้ำเขียวเป็นต้น จะชื่อว่าน้ำใหม่ก็มิใช่ จะชื่อว่าน้ำใสตามเดิมนั่นแลก็มิใช่ ฉันใด, ภวังคจิตแม้นั้น อันโทษมีอภิชฌาเป็นต้น ที่จรมาประทุษร้ายแล้ว จะชื่อว่าจิตใหม่ก็มิใช่ จะชื่อว่าภวังคจิตตามเดิมนั่นแลก็มิใช่ ฉันนั้น, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่มันเศร้าหมองแล้ว เหตุอุปกิเลสทั้งหลายซึ่งจรมาแล ดังนี้. ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้วอย่างนี้. บาทพระคาถาว่า ภาสติ วา กโรติ วา คือ เมื่อเขาพูด ย่อมพูดเฉพาะแต่วจีทุจริต ๔ อย่าง, เมื่อทำ ย่อมทำ เฉพาะแต่กายทุจริต ๓ อย่าง, เมื่อไม่พูด เมื่อไม่ทำ เพราะความที่ตัวเป็นผู้มีใจอันโทษมีอภิชฌาเป็นต้นประทุษร้ายแล้วนั้น ย่อมทำมโนทุจริต ๓ อย่างให้เต็ม. อกุศลกรรมบถ ๑๐ อย่างของเขา ย่อมถึงความเต็มที่ ด้วยประการอย่างนี้. บาทพระคาถาว่า ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ ความว่า ทุกข์ย่อมตามบุคคลนั้นไป เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น คือว่า ทุกข์ที่เป็นผลทั้งเป็นไปในกาย ทั้งเป็นไปในจิต โดยบรรยายนี้ว่า ทุกข์มีกายเป็นที่ตั้งบ้าง ทุกข์มีจิตนอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง ย่อมไปตามอัตภาพนั้น ผู้ไปอยู่ในอบาย ๔ ก็ดี ในหมู่มนุษย์ก็ดี เพราะอานุภาพแห่งทุจริต. มีคำถามว่า ทุกข์ย่อมติดตามบุคคลนั้นเหมือนอะไร? มีคำแก้ว่า เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าของโคพลิพัทตัวเข็นไปอยู่, อธิบายว่า เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าของโคพลิพัทอันเขาเทียมไว้ที่แอก นำแอกไปอยู่. เหมือนอย่างว่า มันลากไปวันหนึ่งก็ดี สองวันก็ดี สิบวันก็ดี กึ่งเดือนก็ดี ย่อมไม่อาจให้ล้อหมุนกลับ คือไม่อาจละล้อไปได้, โดยที่แท้ เมื่อมันก้าวไปข้างหน้า แอกก็เบียดคอ (ของมัน) เมื่อมันถอยหลังล้อก็ขูดเนื้อที่ขา, ล้อเบียดเบียนด้วยเหตุ ๒ ประการนี้ หมุนตามรอยเท้าของมันไป ฉันใด, ทุกข์ทั้งที่เป็นไปทางกาย ทั้งที่เป็นไปทางจิต อันมีทุจริตเป็นมูล ย่อมติดตามบุคคลผู้มีใจร้ายแล้ว ทำทุจริต ๓ ประการให้เต็มที่ตั้งอยู่ ในที่เขาไปแล้วนั้นๆ มีนรกเป็นต้น ฉันนั้นแล. ในกาลจบคาถา ภิกษุสามพันรูปได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์มีผลแม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล. เรื่องพระจักขุปาลเถระ จบ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑ |