![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |||||||||||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() บทว่า ยานิ กานิจิ ได้แก่ บุญกิริยาวัตถุไม่มีเหลือ. บทว่า โอปธิกานิ ปุญฺญ ขันธ์ทั้งหลาย ท่านเรียกว่าอุปธิในบทนั้น ศีลเป็นเหตุแห่งอุปธิ หรือความขวนขวายอันเป็นอุปธิของขันธ์เหล่านั้น ชื่อว่า โอปธิกะ (มีอุปธิสมบัติเป็นเหตุ) ทำให้เกิดในอัตภาพในสมบัติภพ คือให้ผลอันเป็นไปในปฏิสนธิ. บทว่า ปุญฺญกิริยาวตฺถูนิ คือ ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุ เพราะเป็นบุญกิริยาและเป็นวัตถุแห่งผลานิสงส์นั้นๆ ก็บุญกิริยาวัตถุเหล่านั้นโดยย่อมี ๓ อย่าง คือ ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ ๑ สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ๑ ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่างนั้น ข้อที่ควรกล่าวจักมีแจ้งในอรรถกถาติกนิบาตต่อไป. บทว่า เมตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา ได้แก่การเข้าฌานหมวด ๓ และหมวด ๔ ที่ได้ ก็อัปปนาฌานนั้นท่านเรียกว่า เจโตวิมุตติ เพราะจิตพ้นด้วยดีจากธรรมอันเป็นข้าศึกมีนิวรณ์เป็นต้น. บทว่า กลํ นาคฺฆนฺติ โสฬสึ ได้แก่ บุญกิริยาวัตถุมีอุปธิเป็นเหตุ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งเมตตาธรรมวิหาร. ข้อนี้ท่านอธิบายไว้ว่า กระทำผลแห่งเมตตาเจโตวิมุตติให้เป็น ๑๖ เสี้ยว คือให้เป็น ๑๖ ส่วนแล้วทำส่วนหนึ่งจาก ๑๖ ส่วนนั้นให้เป็น ๑๖ ส่วนอีก บุญกิริยาวัตถุมีอุปธิสมบัติเป็นเหตุเหล่าอื่น ยังไม่ถึงส่วนหนึ่งในส่วนที่ ๑๖ นั้น. บทว่า อธิคฺคเหตฺวา คือ ครอบงำแล้ว. บทว่า ภาสเต คือ ย่อมสว่างไสวเพราะหมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง. บทว่า ตปเต ได้แก่ เผาธรรมอันปฏิปักษ์ไม่ให้มีเหลืออีกเลย. บทว่า วิโรจเต ได้แก่ ย่อมไพโรจน์ด้วยสมบัติทั้งสอง. จริงอยู่ เมตตาเจโตวิมุตติ ย่อมสว่างไสวดุจความแจ่มใสอันปราศจากความเศร้าหมอง ได้แก่ความสว่างของดวงจันทร์ ย่อมกำจัด คือเผาธรรมเป็นข้าศึก ดุจแสงสว่างกำจัดความมืด ย่อมสว่างไสวไพโรจน์ ดุจดาวประกายพฤกษ์โชติช่วง ฉะนั้น. บทว่า เสยฺยถาปิ เป็นนิบาตลงในอรรถแสดงความเปรียบเทียบ. บทว่า ตารกรูปานํ ได้แก่ ความรุ่งเรือง. บทว่า จนฺทิยา ชื่อว่า จนฺที เพราะอรรถว่ามีรัศมี. อธิบายว่า แห่งรัศมี คือแห่งแสงสว่างของดวงจันทร์นั้น. บทว่า วสฺสานํ ได้แก่ ฤดู อันได้ชื่อเป็นพหูพจน์ว่า วสฺสานิ ดังนี้. บทว่า ปจฺฉิเม มาเส ได้แก่ ในเดือน ๑๒. บทว่า สรทสมเย ได้แก่ ในสารทกาล (ฤดูใบไม้ร่วง) เดือนอัสสยุชะ (เดือน ๑๑) และเดือนกัตติกะ (เดือน ๑๒) ท่านเรียกฤดูสารทในโลก. บทว่า วิทฺเธ ได้แก่ ลอยขึ้นไป. อธิบายว่า เคลื่อนคล้อยไปโดยปราศจากเมฆ. ดังที่ บทว่า เทเว ได้แก่ ในอากาศ. บทว่า นภํ อพฺภุสฺสกฺกมาโน ได้แก่ ลอยขึ้นสู่อากาศจากที่โผล่ขึ้น. บทว่า ตมคตํ ได้แก่ อากาศมืด. บทว่า อภิหฺจจ ได้แก่ ทำลาย คือกำจัด. บทว่า โอสธิตารกา ได้แก่ ดาวใดชื่อว่า โอสธิ (ดาวประกายพฤกษ์) เพราะเป็นเหตุทำให้มีรัศมีมากขึ้น หรือเพราะดาวประกายพฤกษ์เพิ่มให้มีพลังมากขึ้น. ในบทนี้ท่านกล่าวว่า ก็เพราะเหตุไร เมื่อยังมีอาสวะอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เมตตาวิเศษกว่าบุญมีอุปธิสมบัตินอกนี้เล่า. ท่านแก้ว่า เพราะความปฏิบัติชอบในสัตว์ทั้งหลายด้วยความประเสริฐสุดและความไม่มีโทษ ก็วิหารธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมประเสริฐที่สุด เป็นสัมมาปฏิบัติในสัตว์ทั้งปวง คือ เป็นความจริงอย่างที่ท่านกล่าวว่า เมตฺตา พฺรหฺมวิหารา เมตตา เป็นพรหมวิหารธรรม ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเมตตาว่าวิเศษกว่าบุญมีอุปธิสมบัตินอกนี้ เพราะเป็นการปฏิบัติชอบในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยความประเสริฐที่สุดและด้วยความไม่มีโทษ. ถามว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเมตตาเท่านั้นว่าวิเศษถึงอย่างนี้. ตอบว่า เพราะเมตตาเป็นที่ตั้งของพรหมวิหารธรรมนอกนี้ และเพราะกัลยาณธรรมทั้งหมดมีทานเป็นต้นครบบริบูรณ์ ก็เมตตานี้มีความประพฤติอาการอันเป็นประโยชน์เกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลายเป็นลักษณะ มีการประมวลประโยชน์เกื้อกูลเป็นรส มีการปลดเปลื้องความอาฆาตเป็นเครื่องปรากฏ ผิว่าเมตตาอันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้วโดยไม่ว่างเว้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาวนามีกรุณาเป็นต้น ย่อมสำเร็จได้โดยง่ายทีเดียว เพราะเหตุนั้น เมตตาจึงเป็นที่ตั้งแห่งพรหมวิหารธรรมนอกนี้. จริงอย่างนั้น เมื่อมีอัธยาศัยเกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลาย ความเป็นผู้นำสัตว์ให้ออกไปจากทุกข์ ความเป็นผู้ใคร่จะให้สมบัติวิเศษดำรงอยู่ได้นานย่อมสำเร็จได้โดยง่าย เพราะไม่มีการฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง และเพราะมีจิตเป็นไปสม่ำเสมอในที่ทั้งปวง. ก็ด้วยเหตุอย่างนี้ พระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้น้อมไปในการแบ่งความสุขอันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกทั้งมวล ไม่ทำการแบ่งแยกด้วยการเลือกว่าควรให้แก่ผู้นี้ ไม่ควรให้แก่ผู้นี้ดังนี้ แล้วให้ทานอันเป็นเหตุให้ความสุขแก่สรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า สมาทานศีลเพื่อ พระมหาโพธิสัตว์เหล่านั้นบำเพ็ญบารมีแล้วยังกัลยาณธรรมทั้งหมด อันเป็นประเภทแห่งพุทธธรรม ๑๘ หมวด ตลอดถึงทศพลญาณ จตุเวสารัชญาณ และอสาธารณญาณ ๖ ให้บริบูรณ์ ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเมตตานั้นให้วิเศษกว่าบุญมีอุปธิสมบัตินอกนี้ เพื่อทรงแสดงถึงความวิเศษนี้ว่า เมตตาบริบูรณ์กว่ากัลยาณธรรมทั้งหมดมีทานเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่เมตตามีอานุภาพมากกว่าบุญมีอุปธิสมบัตินอกนี้ด้วยเวลามสูตร ก็ในสูตรนั้น ท่านกล่าวไว้ว่าทานของพระโสดาบันองค์หนึ่งมีผล ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๑- ดูก่อนคหบดี ข้อที่เวลามพราหมณ์ได้ให้ทานอันเป็นมหาทานผู้พึง สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๒- กรรมใดกระทำพอประมาณ กรรม นั้นจักไม่เหลือในภพนั้น กรรมใดกระทำ พอประมาณ กรรมนั้นย่อมไม่ติดอยู่ใน ภพนั้น ดังนี้. ก็กามาวจรกรรม ชื่อว่ากระทำพอประมาณ แต่มหัคคตกรรม ชื่อว่ากระทำไม่เป็นประมาณ เพราะพ้นประมาณแล้วทำ เจริญด้วยการแผ่ไปโดยเจาะจงและไม่เจาะจง กามาวจรกรรมไม่สามารถยึดติดในระหว่างมหัคคตกรรม หรือเพื่อครอบงำกรรมนั้น แล้วถือโอกาสแห่งผลของตนดำรงไว้ได้ ทีนั้นแหละ มหัคคตกรรมนั่นแลครอบงำกรรมนิดหน่อยนั้น ดุจห้วงน้ำใหญ่ท่วมน้ำน้อยแล้วถือโอกาสของตนตั้งอยู่ ห้ามผลของกรรมนั้นแล้ว นำเข้าไปสู่ความเป็นสหายของพรหมด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น ข้อนี้จึงเป็นอธิบายของมหัคคตกรรมนั้น. ____________________________ ๑- องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๒๒๔ ๒- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๘๓ สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๖๑๙ ในคาถาทั้งหลายพึงทราบความดังต่อไปนี้ บทว่า โย ได้แก่ คฤหัสถ์หรือบรรพชิตคนใดคนหนึ่ง. บทว่า เมตฺตํ ได้แก่ เมตตาฌาน. บทว่า อปฺปมาณํ ได้แก่ ไม่มีประมาณด้วย บทว่า ตนู สํโยชนา โหนฺติ ความว่า สังโยชน์มีปฏิฆสังโยชน์เป็นต้น อันผู้พิจารณากระทำเมตตาฌานให้เป็นบาท แล้วบรรลุอริยมรรคชั้นต่ำ ละได้โดยง่ายทีเดียว ย่อมเป็นธรรมชาติเบาบาง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปสฺสโต อุปธิกฺขยํ ของผู้พิจารณาเห็นธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ. จริงอยู่ นิพพาน ท่านเรียกว่าความสิ้นไปแห่งอุปธิ พระโยคาวจรย่อมเห็นนิพพานนั้น ด้วยมรรคญาณโดยบรรลุการทำให้แจ้งธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธินั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตนู สํโยชนา โหนฺติ ความว่า จะกล่าวไปไยถึงสังโยชน์แม้ ๑๐ ประการของผู้ชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธินั้น เพราะวิปัสสนาอันมีเมตตาฌานเป็นปทัฏฐาน อันตนบรรลุพระอรหัตกล่าวคือความสิ้นไปแห่งอุปธิโดยลำดับย่อมเป็นธรรมชาติเบาบาง. อธิบายว่า ย่อมละได้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตนู สํโยชนา โหนฺติ ความว่า ปฏิฆะและสังโยชน์สัมปยุตด้วยปฏิฆะ ย่อมเป็นธรรมชาติเบาบาง. บทว่า ปสฺสโต อุปธิกฺขยํ พึงเห็นความในบทว่า อย่างนี้ว่า ของผู้พิจารณาเห็นเมตตาอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสแห่งสังโยชน์เหล่านั้นนั่นเอง ด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งการบรรลุถึงยอดแห่งเมตตาภาวนา อันละกิเลสและบรรลุถึงพระนิพพานแล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงอานิสงส์แม้อย่างอื่น จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอกํปิ เจ ดังนี้ ในบทเหล่านั้น บทว่า อทุฏฺฐจิตฺโต ได้แก่ มีจิตไม่ประทุษร้ายด้วยความพยาบาท เพราะข่มความพยาบาทได้ด้วยดี ด้วยกำลังเมตตา. บทว่า เมตฺตายติ ได้แก่ ทำเมตตาด้วยการแผ่ประโยชน์เกื้อกูลให้. บทว่า กุสโล ได้แก่ เป็นผู้มีกุศล คือมีบุญมาก เพราะความดียิ่ง หรือเป็นผู้มีความเกษม เพราะปราศจากความพินาศมีปฏิฆะเป็นต้น. บทว่า เตน ได้แก่ เพราะการเจริญเมตตานั้น จ ศัพท์ในบทว่า สพฺเพ จ ปาเณ เป็นนิบาตลงพยติเรกะ (ความแย้งกัน). บทว่า มนสานุกมฺปิ ได้แก่ มีใจอนุเคราะห์. ท่านอธิบายข้อนี้ไว้ว่า เมตตาแม้เป็นวิสัยของสัตว์อย่างหนึ่งก็ตาม แต่เป็นกองมหากุศล พระอริยบุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ มีใจอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง ด้วยการแผ่ประโยชน์เกื้อกูล ดุจบุตรอันเป็นที่รักของตน ย่อมกระทำ คือผลิตบุญอันยิ่งใหญ่มากมายไม่สิ้นสุด สามารถผูกพันวิบากของตนให้เป็นไปใน ๖๔ มหากัปได้. บทว่า สตฺตสณฺฑํ ได้แก่ เต็มไปด้วยหมู่สัตว์ คือไม่เว้นว่างจากสัตว์ทั้งหลาย. อธิบายว่า เกลื่อนกล่นด้วยหมู่มนุษย์. บทว่า วิชิตฺวา ได้แก่ ทรงชนะโดยธรรมอย่างเดียว ไม่ใช่โดยท่อนไม้และศัสตรา. บทว่า ราชีสโย ได้แก่ พระราชาผู้ทรงธรรมเช่นฤษีทั้งหลาย. บทว่า ยชมานา ได้แก่ ให้ทานเป็นต้น. บทว่า อนุปริยคา ได้แก่ เสด็จเที่ยวไป. ในบทว่า อสฺสเมธํ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ได้ยินว่า สังคหวัตถุ ๔ สัสสเมธะ ปุริสเมธะ สัมมาปาสะ วาจาเปยยะ ได้มีมาในรัชกาลก่อนๆ การเก็บส่วนที่ ๑๐ จากข้าวกล้าที่สำเร็จแล้ว ในส่วนที่พระราชาทรงสงเคราะห์ชาวโลก ชื่อว่าสัสสเมธะ คือทรงฉลาดในการบำรุงข้าวกล้า. การเพิ่มอาหารและค่าจ้างแก่ทหารทุก ๖ เดือน ชื่อปุริสเมธะ คือทรงฉลาดในการสงเคราะห์คน. การรับสัญญากู้ในมือของคนจน ยกเว้นดอกเบี้ย ๓ ปี แล้วเพิ่มทรัพย์ประมาณ ๑ พัน ๒ พัน เพื่อเป็นกำไร ชื่อสัมมาปาสะ คือคล้องมนุษย์ไว้โดยชอบ ดุจประทับผูกไว้ในหทัย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าสัมมาปาสะ. การสงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน เช่นเรียกว่า พ่อ ลุง เป็นต้น ชื่อว่าวาจาเปยยะ คือกล่าวถ้อยคำดูดดื่มน่ารัก. แว่นแคว้นที่พระราชาทรงสงเคราะห์ ด้วยสังคหวัตถุ ๔ อย่างนี้ ย่อมเป็นแว่นแคว้นที่สมบูรณ์ มั่งคั่ง มีข้าวน้ำบริบูรณ์ เกษมปลอดภัย. พวกมนุษย์ร่าเริงบันเทิง เล่นหัวฟ้อนรำกับบุตร เรือนก็ไม่ต้องปิด. นี้ท่านเรียกว่า นิรัคคฬะ เพราะไม่มีกลอนที่ประตูเรือน. นี้เป็นประเพณีเก่าแก่ แต่ในภายหลัง ครั้งรัชกาลพระเจ้าโอกกากราช พวกพราหมณ์ได้เปลี่ยนแปลงสังคหวัตถุ ๔ เหล่านี้ และสมบัติของแว่นแคว้นนี้เสีย กระทำให้มีค่าสูงขึ้น แล้วจัดเป็นยัญพิธี ๕ ประการมี อสฺสเมธํ ปุริสเมธํ เป็นต้น สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพราหมณธัมมิยสูตรว่า
๓- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๒๓ ในยัญเหล่านั้น ยัญชื่ออัสสเมธะ เพราะเป็นที่ฆ่าม้า อัสสเมธะนี้เป็นชื่อของยัญอันเป็นผลที่จะให้ได้สมบัติทั้งปวงที่เหลือ เว้นแผ่นดินและคนเป็นยัญพิธีที่น่ากลัว เพราะจะต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงอย่างละ ๕๐๐ ถึง ๗ ครั้ง หรือ ๙ ครั้งในวันสุดท้ายวันหนึ่ง ที่เสาบูชายัญ ๒๐ เสาอันจะต้องบูชาด้วยการบูชายัญ ๒ อย่าง. บทนี้เป็นชื่อของยัญอันเป็นผลให้ได้สมบัติดังได้กล่าวแล้วในอัสสเมธะ อันจะต้องบูชาด้วยการบูชายัญ ๔ อย่างกับพื้นที่. ยัญชื่อว่าสัมมาปาสะ เพราะเป็นที่คล้องคือซัดไปซึ่งสลักแอกไถ. บทนี้เป็นชื่อของการบูชายัญที่เขาสอดสลักแอกไถ คือท่อนไม้เข้าไปในช่องแอก แล้วทำแท่นรับในโอกาสที่แอกนั้นตกไป แล้วทวนกลับจำเดิมแต่โอกาสที่เสาบูชายัญเป็นต้น อันเคลื่อนที่ได้จมลงไปในแม่น้ำสวัสสวดี ทำการบูชายัญ. ยัญชื่อว่าวาชเปยยะ เพราะเป็นที่ดื่มน้ำศักดิ์สิทธ์ ยัญนี้เป็นชื่อของยัญอันเป็นทักษิณาอย่างละสิบเจ็ดๆ อันมีเสายัญทำด้วยไม้มะตูม อันควรบูชาด้วยสัตว์ ๑๗ ด้วยยัญอันหนึ่ง. ยัญชื่อว่านิรัคคฬะ เพราะไม่มีกลอนประตู ยัญนี้เป็นชื่อของกำหนดการฆ่าม้าอันเป็นชื่อโดยปริยาย เป็นทักษิณาให้สมบัติดังกล่าวแล้วในอัสสเมธะ อันควรบูชาด้วยยัญ ๙ อย่างกับด้วยพื้นที่และบุรุษ. บทว่า จนฺทปฺปภา ได้แก่ รัศมีพระจันทร์. บทว่า ตารคณาว สพฺเพ ความว่า หมู่ดาวแม้ทั้งหมด ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของรัศมีพระจันทร์ ฉันใด ยัญทั้งหลายมีอัสสเมธะเป็นต้นเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของเมตตาจิตที่กล่าวไว้ดีแล้ว โดยลักษณะที่กล่าวแล้ว ฉันนั้น. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำมีอาทิว่า โย น หนฺติ ดังนี้ เพื่อทรงแสดงถึงอานิสงส์แห่งเมตตาภาวนา อันเป็นปัจจุบันและสัมปรายภพแม้อื่นอีก. ในบทเหล่านั้น บทว่า โย ได้แก่ บุคคลผู้ขวนขวายแล้วในการเจริญเมตตาพรหมวิหาร. บทว่า น หนฺติ ได้แก่ ไม่เบียดเบียนสัตว์ไรๆ หรือไม่ทำร้ายด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น เพราะข่มพยาบาทไว้ด้วยดีด้วยอานุภาพแห่งเมตตานั้นแล. บทว่า น ฆาเตติ ได้แก่ ไม่ชักชวนผู้อื่นให้ฆ่าสัตว์. บทว่า น ชินาติ ได้แก่ ไม่ชนะใครๆ ด้วยการแข่งดี และพูดหาเรื่องทะเลาะกัน. หรือไม่ชนะใครๆ ด้วยก่อคดีเป็นต้น หมายจะทำให้เกิดความเสื่อม เพราะไม่มีการแข่งดีนั่นเอง. บทว่า น ชาปเย ได้แก่ ไม่พึงชักชวนแม้คนอื่นทำให้คนอื่นเขาเสื่อมจากทรัพย์. บทว่า เมตฺตํโส ได้แก่ มีส่วนแห่งจิตสำเร็จด้วยเมตตา. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เมตฺตํโส เพราะมีส่วนแห่งเมตตา คือมีส่วนต่างๆ เพราะไม่ละโดยถ่องแท้. บทว่า สพฺพภูเตสุ ได้แก่ ในสรรพสัตว์. บทว่า เวรนฺตสฺส น เกนจิ ได้แก่ อกุศลเวรของผู้นั้นย่อมไม่มี เพราะเหตุอะไรๆ เลย. อธิบายว่า ความพิโรธอันได้แก่เวรในบุคคล ย่อมไม่มีแก่ผู้มีวิหารธรรมคือเมตตานั้นกับด้วยบุรุษไรๆ เลย. จบอรรถกถาเมตตาภาวสูตรที่ ๗ -------------------------------------- ในเอกนิบาตนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวิวัฏฏะใน ๑๕ สูตร คือ ใน ๑๓ สูตรตามลำดับ และในสิกขาสูตร ๒. ตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะใน ๔ สูตรเหล่านี้ คือ นิวรณสูตร ๑ สังโยชนสูตร ๑ อัปปมาทสูตร ๑ อัฏฐิสัญจยสูตร ๑ แต่ในสูตรนอกนั้นตรัสถึงวัฏฏะอย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้. แห่งอรรถกถาขุททกนิกกาย ชื่อปรมัตถทีปนี จบเอกนิบาต ----------------------------------------------------- ๑. จิตตฌายีสูตร ๒. ปุญญสูตร ๓. อุโภอัตถสูตร ๔. เวปุลลปัพพตสูตร ๕. สัมปชานมุสาวาทสูตร ๖. ทานสูตร ๗. เมตตาภาวสูตร ในธรรมหมวดหนึ่งมีพระสูตรรวม ๒๗ สูตร คือ พระสูตรเหล่านี้ ๗ สูตร และพระสูตรข้างต้น ๒๐ สูตร ฉะนี้แล ฯ จบเอกนิบาต ฯ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ตติยวรรค เมตตาภาวสูตร จบ. |