ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 296อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 297อ่านอรรถกถา 25 / 302อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค
กสิภารทวาชสูตร

               อรรถกถากสิภารทวาชสูตร               
               กสิภารทวาชสูตรเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้ :-
               มีอุบัติอย่างไร?
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พราหมณคามชื่อเอกนาลา ในทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ ทรงยังปุเรภัตกิจเสร็จแล้ว
               ในบรรดาพุทธกิจ ๒ อย่างนี้ คือ ปุเรภัตกิจ ๑ ปัจฉาภัตกิจ ๑.
               ในเวลาเสร็จปัจฉาภัตกิจ ทรงตรวจดูโลกด้วยพระพุทธจักษุ ทรงเห็นพราหมณ์ชื่อกสิภารทวาชะผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ทรงทราบว่า ครั้นเราไปในพราหมณคามนั้นแล้ว กถาจักเป็นไป แต่นั้นในเวลาจบกถา พราหมณ์นั่นฟังธรรมเทศนา บวชแล้วจักบรรลุพระอรหัตดังนี้ จึงเสด็จไปในพราหมณคามนั้น ทรงยังกถาให้ตั้งขึ้นแล้ว ตรัสพระสูตรนี้.

               [ปุเรภัตกิจ]               
               ในพระสูตรนั้น พึงมีคำถามว่า
                         ปุเรภัตกิจของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นไฉน
                         ปัจฉาภัตกิจ เป็นไฉน
               ข้าพเจ้าจะเฉลยคำถาม
               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงกระทำการบริกรรมพระวรกายมีการล้างพระพักตร์เป็นต้นเพื่อทรงอนุเคราะห์ผู้อุปัฏฐาก และเพื่อให้พระวรกายมีผาสุก ทรงพักอยู่บนอาสนะอันสงัด จนถึงเวลาแห่งภิกขาจาร ในเวลาภิกขาจาร ทรงคาดประคดเอว ทรงห่มจีวร ทรงถือบาตร บางครั้งเสด็จไปพระองค์เดียว บางครั้งมีพระภิกษุสงฆ์แวดล้อมเสด็จสู่คามหรือนิคมเพื่อบิณฑบาต บางคราวเสด็จไปตามปกติ บางคราวเสด็จไปด้วยปาฏิหาริย์เป็นไปมากมาย
               คือ ลมอ่อนพัดไปข้างหน้าของพระโลกนาถผู้เสด็จไปเพื่อบิณฑบาตยังพื้นดินให้สะอาด เมฆโปรยหยดน้ำให้ละอองในหนทางสงบ ตั้งเป็นเพดานในเบื้องบน ลมอื่นๆ หอบดอกไม้ทั้งหลายโปรยลงบนทาง ภูมิประเทศที่ดอนก็จะยุบลง ที่ลุ่มก็จะฟูขึ้น ในสมัยจะประทับรอยพระบาท พื้นดินก็ราบเรียบหรือดอกปทุมทั้งหลายซึ่งมีสัมผัสสบาย ก็ปกปิดรอยพระบาท พอทรงวางพระบาทเบื้องขวาลงภายในเสาเขื่อน พระฉัพพัณณรังสีก็เปล่งออกจากพระวรกาย ทำปราสาทและเรือนยอดเป็นต้นเป็นดุจกรงทอง แผ่ซ่านไปข้างโน้นและข้างนี้. บรรดาช้างม้าและนกเป็นต้นดำรงอยู่ในที่ของตนๆ นั่นเทียว ก็ร้องเสียงระงมไพเราะดุจดุริยางค์มีกลองและพิณเป็นต้น และบรรดาเครื่องประดับกายของเหล่ามนุษย์ก็กระทำเสียงไพเราะเหมือนกัน.
               ด้วยสัญญาณนั้น มนุษย์ทั้งหลายก็รู้ว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตในบ้านนี้ เขาทั้งหลายก็จะนุ่งดีห่มดี ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ออกจากเรือนดำเนินไปตามถนน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอมดอกไม้เป็นต้นโดยเคารพ ทูลขอว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดทรงให้ภิกษุ ๑๐ รูปแก่ข้าพระองค์ ภิกษุ ๒๐ รูปแก่ข้าพระองค์ ภิกษุ ๑๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์ดังนี้แล้ว รับบาตรแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปูอาสนะต้อนรับด้วยบิณฑบาตโดยเคารพ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรวจดูสันดานของมนุษย์เหล่านั้นแล้ว ทรงแสดงพระธรรมโดยประการที่บางพวกตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางพวกตั้งอยู่ในศีล ๕ บางพวกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สกทาคามิผลและอนาคามิผลอย่างใดอย่างหนึ่ง บางพวกบวชแล้วตั้งอยู่ในอัครผล คือพระอรหัต.
               ครั้นทรงอนุเคราะห์ชนนั้นๆ อย่างนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จไปสู่วิหาร ประทับนั่งบนบวรพุทธาสน์ที่ปูแล้วในโรงมณฑลนั้นๆ รอพระภิกษุทั้งหลายฉันภัตกิจเสร็จ ต่อจากนั้นผู้อุปัฏฐากทูลการเสร็จภัตกิจของภิกษุทั้งหลายให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จเข้าพระคันธกุฎี.
               นี้เป็นปุเรภัตกิจก่อน.
               คำใดที่ไม่ได้กล่าวไว้ในสูตรนี้ คำนั้นอันบัณฑิตพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในพรหมายุสูตรนั้นแล.

               [ปัจฉาภัตกิจ]               
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงกระทำปุเรภัตกิจเสร็จอย่างนี้แล้ว ประทับนั่ง ณ ที่บำรุงของพระคันธกุฎี ทรงล้างพระบาท ประทับยืน ณ แท่นประทับ ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าได้ยาก การกลับได้มนุษย์ได้ยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาได้ยาก การบรรพชาได้ยาก การฟังธรรมได้ยากในโลก
               แต่นั้นภิกษุทั้งหลายถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามกรรมฐาน ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้กรรมฐานด้วยอำนาจแห่งจริยาแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเรียนกรรมฐาน อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปสู่สถานที่อยู่ของตนๆ บางพวกไปสู่ป่า บางพวกไปสู่รุกขมูล บางพวกไปสู่ที่ทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้นแห่งใดแห่งหนึ่ง บางพวกไปสู่ภพของจาตุมมหาราชิกาเป็นต้น ฯลฯ บางพวกไปสู่ภพชั้นวสวัตดี.
               ต่อแต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ถ้าทรงพระประสงค์ มีพระสติสัมปชัญญะสำเร็จสีหไสยชั่วครู่ โดยปรัศว์เบื้องขวา ครั้นมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าแล้ว เสด็จลุกขึ้น ทรงตรวจดูโลกในส่วนที่สอง. ในส่วนที่สาม พระองค์ประทับอยู่อาศัยคามหรือนิคมใด ชนทั้งหลายในคามนิคมนั้น ในปุเรภัตถวายทาน ในปัจฉาภัตนุ่งดีห่มดี ถือเอาดอกไม้และของหอมเป็นต้นประชุมในวิหาร. ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโดยปาฏิหาริย์อันสมควรแก่บริษัทที่ประชุม ประทับนั่งบนบวรพุทธาสนะที่ปูดีแล้วในธรรมสภา ทรงแสดงธรรมอันสมควรแก่กาล สมควรแก่ประมาณ ครั้นทรงรู้กาลแล้ว จึงทรงส่งบริษัทกลับ.
               ถัดจากนั้น ถ้ามีพระประสงค์จะชำระพระวรกาย ก็เสด็จลุกจากพุทธาสนะ เสด็จไปสู่โอกาสที่ผู้อุปัฏฐากตระเตรียมน้ำไว้ ทรงเกาะมือของผู้อุปัฏฐาก รับผ้าอาบน้ำ เสด็จเข้าสู่โรงอาบน้ำ. ฝ่ายผู้อุปัฏฐากนำพุทธาสนะมาปูที่บริเวณพระคันธกุฎี พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงชำระพระวรกายแล้ว ทรงนุ่งผ้าที่ย้อมแล้ว ทรงคาดประคดเอว ทรงห่มผ้าอุตราสงค์ แล้วเสด็จไปในบริเวณพระคันธกุฎีนั้น ประทับนั่งพระองค์เดียวเท่านั้น หลีกเร้นชั่วครู่.
               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายมาจากที่นั้นๆ มาสู่ที่บำรุงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในภิกษุเหล่านั้น บางพวกทูลถามปัญหา บางพวกทูลขอกรรมฐาน บางพวกทูลขอฟังธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังความประสงค์ของภิกษุเหล่านั้นให้สำเร็จจนถึงปฐมยาม ในมัชฌิมยามเทวดาในหมื่นโลกธาตุทั้งหลาย เมื่อได้โอกาสก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามปัญหาตามที่ประสงค์ โดยที่สุดแม้ ๔ อักษร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาของเทวดาเหล่านั้นอยู่ จนถึงมัชฌิมยาม.
               ต่อจากนั้นทรงกระทำปัจฉิมยามให้เป็น ๔ ส่วน ส่วนหนึ่งทรงอธิษฐานจงกรม ส่วนที่สองเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สำเร็จสีหไสย โดยปรัศว์เบื้องขวา ส่วนที่สามทรงยังเวลาให้ล่วงไปด้วยผลสมาบัติ ส่วนที่สี่ทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติ ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อทรงดูสัตว์ผู้มีธุลีในจักษุน้อย หรือมีธุลีในจักษุมากเป็นต้น.
               นี้ปัจฉาภัตกิจ.

               [โปรดกสิภารทวาชพราหมณ์]               
               ในที่สุดแห่งส่วนที่สี่ กล่าวคือการตรวจดูโลกแห่งปัจฉาภัตกิจนี้อย่างนี้แล้ว ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้ยังมิได้กระทำอธิการและได้กระทำอธิการในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ในทาน ศีล อุโบสถกรรมเป็นต้น ผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยและผู้ถึงพร้อมอุปนิสัยคือพระอรหัต ทรงเห็นกสิภารทวาชพราหมณ์ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยคือพระอรหัต ทรงรู้ว่า ครั้นเราไปในที่นั้นแล้วกถาจักเป็นไป ต่อแต่นั้น ในเวลาจบกถา พราหมณ์นั่นบวชแล้ว จักบรรลุพระอรหัตดังนี้แล้ว เสด็จไป ณ ที่นั้น ทรงยังกถาให้ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ได้ตรัสพระสูตรนี้.
               ในพระสูตรนั้น คำว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น อันท่านพระอานนท์ถูกท่านพระมหากัสสปเถระผู้ทำธรรมสังคีติ ในมหาสังคีติกาลครั้งแรก ถามแล้ว จึงกล่าวแก่พระอรหันต์ ๕๐๐.
               คำว่า ข้าพเจ้าแลย่อมไถและหว่านเป็นต้น อันกสิภารทวาชะกล่าว.
               คำว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่านเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส.
               คำนั้นแม้ทั้งหมดรวมเข้ากันเรียกว่า กสิภารทวาชสูตร.
               ในกสิภารทวาชสูตรนั้น เอวํ ศัพท์ในคำว่า เอวํ นี้มีอาการเป็นอรรถ มีนิทัสสนะเป็นอรรถ มีอวธารณเป็นอรรถ.
               จริงอยู่ พระอานนท์แสดงเนื้อความนี้ ด้วยเอวํศัพท์ที่มีอาการเป็นอรรถ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ละเอียดด้วยนัยต่างๆ มีอัชฌาศัยหลายอย่างเป็นสมุฏฐาน ถึงพร้อมด้วยอรรถพยัญชนะ มีปาฏิหาริย์หลายอย่าง ลึกโดยธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธ มีสภาพอันสัตว์ทั้งปวงพึงเข้ากำหนดตามสมควรแก่ภาษาของตนๆ พระดำรัสนั้นใครจะสามารถรู้แจ่มแจ้งได้ โดยประการทั้งปวงเล่า โดยที่แท้ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ คือแม้ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วโดยอาการหนึ่ง.
               พระอานนท์เมื่อจะเปลื้องตนว่า
               ข้าพเจ้าไม่ใช่พระสยัมภู พระสูตรนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้แจ่มแจ้ง จึงแสดงไขพระสูตรทั้งสิ้นอันจะพึงกล่าวในบัดนี้ ด้วยเอวํศัพท์ซึ่งมีนิทัสสนะเป็นอรรถว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ คือได้ฟังแล้วอย่างนี้
               ด้วยเอวํศัพท์มีอวธารณะเป็นอรรถ พระอานนท์ เมื่อจะแสดงกำลังทรงจำของตน อันสมควรแก่ภาวะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญแล้วอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอานนท์เป็นเอตทัคคะแห่งภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเราที่เป็นพหูสูต มีคติ มีสติ มีธิติ เป็นอุปัฏฐาก๑- ดังนี้.
____________________________
๑- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๙

               ยังความใคร่เพื่อจะฟังให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ และพระสูตรนั้นพึงเห็นว่าไม่หย่อน ไม่ยิ่งโดยอรรถ หรือโดยพยัญชนะ คือไม่พึงเห็นโดยประการอื่นอย่างนี้.
               ในบทว่า เม สุตํ นี้ เม ศัพท์มี มยา ศัพท์เป็นอรรถ สุตศัพท์มีโสตทวารวิญญาณเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า บทว่า เอมฺเม สุตํ ความว่า ข้าพเจ้าทรงจำแล้วด้วยโสตวิญญาณวิถี ซึ่งมีโสตวิญญาณเป็นเบื้องหน้า อย่างนี้.
               บทว่า เอกํ สมยํ ความว่า ในกาลครั้งหนึ่ง.
               บทว่า ภควา ได้แก่ ผู้มีภาคธรรม อธิบายว่า พระผู้มีโชคดี พระผู้ทรงจำแนก.
               บทว่า มคเธสุ วิหรติ ความว่า พระราชกุมารทั้งหลายผู้เป็นชาวชนบท ชื่อว่ามคธชนบทแม้หนึ่งเป็นที่อยู่ของพระราชกุมารเหล่านั้นเรียกว่า มคธ ตามศัพท์ที่งอกขึ้น. ในชนบทแคว้นมคธนั้น. ก็อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวอย่างยืดยาว โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า เพราะพระเจ้าเจติยราชตรัสเท็จถูกแผ่นดินสูบอันบุรุษทั้งหลายทูลว่า ขอพระองค์อย่าเสด็จเข้าสู่หลุม หรือเพราะบุรุษเมื่อค้นหาพระราชาพระองค์นั้นขุดแผ่นดินอยู่ ก็ถูกกล่าวว่าท่านทั้งหลายอย่าทำหลุม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มคธ. ชอบใจคำใด พึงถือคำนั้นเถิด.
               บทว่า วิหรติ ความว่า ทรงกำจัดความเบียดเบียนพระอิริยาบถหนึ่งด้วยพระอิริยาบถอื่น ทรงบริหารพระอัตภาพอันไม่บอบช้ำ. มีอธิบายว่า ทรงให้เป็นไปอยู่. หรือทรงนำไปซึ่งประโยชน์เกื้อกูลมีอย่างต่างๆ แก่สัตว์ทั้งหลายด้วยทิพวิหาร พรหมวิหาร หรืออริยวิหาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าประทับอยู่. บทว่า หรติ มีอธิบายว่า นำเข้าไป น้อมเข้าไป ให้เกิด ให้เกิดขึ้น.
               จริงอย่างนั้น ในกาลใด สัตว์ทั้งหลายปฏิบัติผิดในกามทั้งหลาย ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ด้วยทิพวิหาร เพื่อทรงยังกุศลมูล คืออโลภะ ให้เกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นว่า ไฉนหนอ สัตว์ทั้งหลายเห็นปฏิบัตินี้แล้ว ยังความพอใจให้เกิดขึ้นในปฏิบัตินั้นแล้ว พึงคลายกำหนัดในกามทั้งหลาย.
               ก็ในกาลใด สัตว์ทั้งหลายปฏิบัติผิดเพื่อความเป็นใหญ่ ในกาลนั้นประทับอยู่ด้วยพรหมวิหาร เพื่อทรงยังกุศลมูล คืออโทสะให้เกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นว่า ไฉนหนอ สัตว์ทั้งหลายเห็นปฏิบัตินี้ ยังความพอใจให้เกิดขึ้นในปฏิบัตินั้น พึงยังโทสะให้สงบด้วยอโทสะ.
               ส่วนในกาลใด สัตว์ทั้งหลายบวชแล้ว ทะเลาะกันเรื่องธรรม ในกาลนั้น ประทับอยู่ด้วยอริยวิหาร เพื่อยังกุศลมูล คืออโมหะให้เกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นว่า ไฉนหนอ สัตว์ทั้งหลายเห็นปฏิบัตินี้ ยังความพอใจให้เกิดขึ้นในปฏิบัตินี้ พึงยังโมหะให้สงบด้วยอโมหะ แต่ไม่ประทับอยู่ด้วยอิริยาบถวิหารในกาลไหนๆ หามิได้ เพราะเว้นอริยวิหารนั้น ก็ไม่มีการบริหารพระอัตภาพเลย.
               ความสังเขปในพระสูตรนี้มีเพียงเท่านี้ ส่วนความพิสดาร ข้าพเจ้าจักกล่าวในมงคลสุตตวัณนา.
               บทว่า ทกฺขิณาคิริสฺมึ ความว่า ภูเขานั้นใดตั้งล้อมกรุงราชคฤห์ ชนบทโดยทางใต้ของภูเขานั้น เรียกว่า ทักขิณาคิรี หรือบทว่า ทกฺขิณาคิริ. มีอธิบายว่า ในชนบทนั้น คำว่าทักขิณาคิรีนั้นแล เป็นชื่อแม้แห่งวิหารในชนบทนั้น.
               บทว่า เอกนาลายํ พฺราหฺมณคาเม เป็นชื่อของบ้านนั้นว่าเอกนาลา. ก็พราหมณ์จำนวนมากอาศัยอยู่ หรือการเลี้ยงดูพราหมณ์นั้นมีอยู่ในบ้านนี้ เพราะฉะนั้น บ้านนี้จึงเรียกว่าพราหมณคาม.
               บทว่า เตน โข ปน สมเยน ความว่า ในสมัยใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคู้อปราชิตบัลลังก์ ตรัสรู้เฉพาะซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ทรงประกาศพระบวรธรรมจักรแล้ว ทรงอาศัยพราหมณคามชื่อเอกนาลา ในแคว้นมคธ ทรงรอความแก่รอบแห่งอินทรีย์ของพราหมณ์ ประทับอยู่ ณ ทักขิณาคิริมหาวิหาร โดยสมัยนั้น. อธิบายว่า เป็นเหตุ.
               ก็นิบาต ๒ อย่างนี้ในบทว่า โข ปน นี้ พึงเห็นว่าเป็นเพียงให้บทเต็ม หรือมีการแสดงอธิการอื่นเป็นอรรถ.
               บทว่า กสิภารทฺวาชสฺส พฺราหฺมณสฺส ความว่า พราหมณ์นั้นเลี้ยงชีพด้วยการทำนา และโคตรของพราหมณ์นั้น ชื่อว่าภารทวาชะ เพราะฉะนั้น จึงเรียกอย่างนั้น.
               บทว่า ปญฺจมตฺตานิ. มีอธิบายว่า มัตตศัพท์ในบทนี้ว่า โภชเน มตฺตญฺญุตา ย่อมเป็นไปในประมาณฉันใด มัตตศัพท์ในบทแม้นี้ว่า ปญฺจมตฺตานิ ย่อมเป็นไปในประมาณฉันนั้น เพราะฉะนั้น การประกอบไถประมาณ ๕๐๐ ไม่ขาดไม่เกิน ได้แก่การประกอบไถ ๕๐๐.
               บทว่า ปยุตฺตานิ ได้แก่ ถูกประกอบแล้ว. มีอธิบายว่า ประกอบแล้วด้วยไถที่วางไว้บนคอทั้งหลายของโคพพิพัททั้งหลาย.
               บทว่า วปฺปกาเล ได้แก่ ในเวลาหว่าน. มีอธิบายว่า ในเวลาเป็นที่หว่านพืช. วัปปะในบทว่า วปฺปกาเล นั้น มี ๒ อย่าง คือ กัลลวัปปะ ๑ ปังสุวัปปะ ๑. ปังสุวัปปะ ท่านประสงค์ในพระสูตรนี้ และปังสุวัปปะนั้นแลเป็นการหว่านพืชมงคลในวันที่ ๑.
               ในวัปปมงคลนั้นมีอุปกรณ์พร้อมดังนี้ โคพลิพัท ๓,๐๐๐ ตัวถูกตระเตรียมไว้ โคพลิพัททั้งหมดสวมเขาที่ทำด้วยทอง กลีบที่ทำด้วยเงิน ทั้งหมดประดับด้วยระเบียบขาว กลิ่นหอมด้วยกลิ่นทั้งหมด และเจิม ๕ แห่ง มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบบริบูรณ์ ถึงพร้อมด้วยลักษณะทุกอย่าง บางพวกดำเหมือนดอกอัญชัน บางพวกขาวเหมือนเงินยวง บางพวกแดงเหมือนแก้วประพาฬ บางพวกลายเหมือนแก้วลาย.
               บุรุษไถนา ๕๐๐ ทั้งหมดนุ่งผ้าขาวใหม่ ประดับด้วยระเบียบวางเทริดดอกไม้บนจะงอยบ่าเบื้องขวา มีส่วนร่างกายลูบไล้ด้วยน้ำหรดาลและมโนศิลา. ไถหมวดละ ๑๐ ดำเนินการไถ ไถทั้งหลายมีหัว แอกและปฏักถักด้วยทอง ในไถที่หนึ่งเทียมโคพลิพัท ๘ ตัว ในไถที่เหลือเทียมโคพลิพัท ไถละ ๔ ตัว โคพลิพัทที่เหลือนำมาเพื่อสับเปลี่ยนโคที่เหนื่อยล้า. ในหมวดหนึ่งมีเกวียนบรรจุพืชหมวดละ ๑ เล่ม มีคนไถหมวดละ ๑ คน มีคนหว่านหมวดละ ๑ คน.
               ก็พราหมณ์ให้โกนหนวดแต่เช้าตรู่ อาบน้ำลูบไล้ด้วยของหอมทั้งหลาย นุ่งผ้าราคา ๕๐๐ กหาปณะ ทำผ้าราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะเฉวียงบ่า สวมแหวนนิ้วละ ๒ วงรวม ๒๐ วง สวมตุ้มหูสีหะที่หูทั้งสองและโพกผ้าโพกอย่างดี สวมสร้อยทอง ผู้อันพราหมณ์แวดล้อมแล้วสั่งการงาน.
               ลำดับนั้น นางพราหมณีของพราหมณ์นั้นให้หุงข้าวปายาสใส่ในภาชนะหลายร้อย ยกใส่เกวียนใหญ่ อาบด้วยน้ำหอม ตกแต่งด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง มีหมู่นางพราหมณีแวดล้อมแล้ว ไปสู่ที่การงาน. แม้เรือนของพราหมณ์ก็ไล้ทาอย่างดีด้วยของหอมทั้งหลาย ในที่ทั้งปวงมีพลีกรรมอันทำดีแล้วด้วยดอกไม้ทั้งหลายและนาก็ยกธงปฏากพร้อมในที่นั้นๆ. บุรุษเข้างานพร้อมกับบริชนและกรรมกรมี ๒,๕๐๐ คน ทั้งหมดนุ่งผ้าใหม่ และโภชนะแห่งข้าวปายาสก็เตรียมแล้วสำหรับคนงานทั้งหมด.
               ลำดับนั้น พราหมณ์สั่งให้ล้างถาดทองคำสำหรับใส่โภชนะที่ตนเองจะบริโภค บรรจุให้เต็มด้วยข้าวปายาส ปรุงแต่งด้วยเนยใสน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น ให้กระทำนังคลพลีกรรม. นางพราหมณีถือภาชนะที่สำเร็จด้วยทอง เงิน สำริดและทองแดง สำหรับคนไถนาจำนวน ๕๐๐ นั่งถือทัพพีทอง ไปเลี้ยงดูด้วยข้าวปายาส. ฝ่ายพราหมณ์ให้กระทำพลีกรรมเสร็จแล้ว ก็สวมรองเท้าทองที่ไล้แล้ว ถือไม้ทองที่ขัดแล้ว เที่ยวสั่งว่า จงให้ข้าวปายาสในที่นี้ จงให้เนยใสในที่นี้ จงให้น้ำตาลในที่นี้.
               ในครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเทียว ทรงรู้การเลี้ยงดูของพราหมณ์ ทรงดำริว่านี้เป็นกาลเพื่อฝึกพราหมณ์ดังนี้แล้ว ทรงนุ่ง คาดประคดเอว ทรงห่มผ้าสังฆาฏิ ทรงถือบาตร เสด็จออกจากพระคันธกุฎี ดุจนายสารถีผู้ฝึกบุรุษอันยอดเยี่ยมฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแลเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น นิบาตว่า อถ ส่องถึงการปรารภเพื่อจะกล่าวถึงข้อความต่อไป. นิบาตว่า โข ลงในการทำบทให้เต็ม. บทว่า ภควา มีนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล. บทว่า ปุพฺพณฺสมยํ ความว่า สมัยส่วนเบื้องต้นของวัน. อธิบายว่า ในเวลาเช้า. หรือ สมัยในเวลาเช้า ชื่อว่า ปุพพัณหสมัย. มีอธิบายว่า ขณะหนึ่งในตอนเช้า. ย่อมได้ทุติยาวิภัตติในอัจจันตสังโยคอย่างนี้.
               บทว่า นิวาเสตฺวา แปลว่า ทรงนุ่งแล้ว. บทว่า นิวาเสตฺวา นั่นพึงทราบด้วยอำนาจแห่งการประทับอยู่ในวิหารและการเปลี่ยนแปลง.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทับอยู่ ในก่อนแต่นั้น.
               บทว่า ปตฺตจีวรํ อาทาย ความว่า ทรงถือบาตรด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ทรงถือจีวรด้วยพระวรกาย. อธิบายว่า รับแล้ว ทรงแล้ว.
               เนื้อความแห่งบทว่า ปตฺตจีวรํ อาทาย นั้น พึงทราบอย่างนี้ว่า
               ได้ยินว่า บาตรอันสำเร็จด้วยศิลามีสีเหมือนแก้วอินทนิล ย่อมมาสู่ท่ามกลางพระหัตถ์ทั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประสงค์จะเสด็จเข้าไปเพื่อบิณฑบาต เหมือนแมลงภู่เข้าสู่ท่ามกลางกลีบปทุมทั้งสองที่บานแล้ว ฉะนั้น. ทรงรับโดยประการใดประการหนึ่ง เรียกว่าทรงถือแล้ว เหมือนถือแล้ว หลีกไป ฉะนั้น.
               บทว่า เยน ได้แก่ โดยทางใด. บทว่า กมฺมนฺโต ได้แก่ โอกาสแห่งการทำการงาน. บทว่า เตน ได้แก่ โดยทางนั้น. บทว่า อุปสงฺกมิ ได้แก่ เสด็จไปแล้ว. มีอธิบายว่า การงานของกสิภารทวาชพราหมณ์มีสมมติโดยทางใด เสด็จไปแล้วโดยทางนั้น.
               ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุอะไร ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าเล่า?
               ข้าพเจ้าขอตอบว่า เพราะในกาลใด พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จเข้าไปในที่บางแห่งเฉพาะพระองค์เดียว ในเวลาภิกขาจาร ทรงปิดพระทวาร เสด็จเข้าไปในภายในพระคันธกุฎี. แต่นั้นภิกษุทั้งหลายรู้ด้วยสัญญานั้นว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จเข้าบ้านแต่พระองค์เดียว ได้ทรงเห็นบุคคลที่ควรแนะนำบางอย่างแน่แท้ ภิกษุเหล่านั้นถือบาตรและจีวรของตน ทำประทักษิณพระคันธกุฎี ไหว้แล้วไปสู่ภิกขาจาร ก็ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               บทว่า เตน โข ปน สมเยน ความว่า โดยสมัยใด พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังที่การงาน. โดยสมัยนั้น การเลี้ยงดูของพราหมณ์นั้นกำลังเป็นไปอยู่.
               อธิบายว่า การแจกจ่ายภัตรกำลังเป็นไปอยู่ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในตอนต้นว่า นางพราหมณีถือภาชนะที่สำเร็จด้วยทอง เงิน สำริด และทองแดง สำหรับคนไถนาจำนวน ๕๐๐ นั่งถือทัพพีทอง ไปเลี้ยงดูด้วยข้าวปายาสดังนี้.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปถึงที่เลี้ยงดู.
               ถามว่า เพราะเหตุอะไร.
               ตอบว่า เพราะเพื่อทรงกระทำการอนุเคราะห์พราหมณ์.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังที่เลี้ยงดู เพราะพระองค์มีพระประสงค์เพื่อเสวย ดุจบุรุษกำพร้าหามิได้ เพราะพระราชาศากยะและโกลิยะ ฝ่ายละ ๘๒,๐๐๐ พระองค์ล้วนเป็นพระญาติของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระญาติเหล่านั้นอาจเพื่อถวายภัตประจำด้วยสมบัติของตนได้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ทรงผนวช เพื่อประโยชน์แก่ภัตร.
               บัณฑิตพึงทราบว่า ก็โดยที่แท้ พระองค์ทรงบริจาคมหาบริจาค ๕ ประการ ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลายตลอดอสงไขยไม่น้อย ทรงผนวชแล้ว ด้วยพระดำริว่า เราพ้นแล้วจักให้พ้น เราฝึกแล้วจักฝึก เราดับแล้วจักให้ดับ ดังนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อจะยังคนอื่นให้พ้นและให้ดับ เพราะความที่พระองค์เป็นผู้พ้นแล้วและดับแล้ว จึงเสด็จเที่ยวไปในโลก เสด็จเข้าไปถึงที่เลี้ยงดู เพื่อทรงกระทำอนุเคราะห์แก่พราหมณ์.
               บทว่า เอกมนฺตํ ในคำว่า อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิ นั้นเป็นการแสดงถึงภาวนปุงสกลิงค์. มีอธิบายว่า ณ โอกาสหนึ่ง ณ ข้างหนึ่ง. หรือว่า เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. ได้ประทับยืนในที่ใกล้พอที่พราหมณ์จะเห็นได้ คือในที่จะฟังกถาได้ ได้แก่ในที่สูงซึ่งพราหมณ์มองเห็นพระองค์ยืนได้ ก็ครั้นประทับยืนแล้ว ทรงเปล่งแสงสว่างแห่งพระวรกาย อันสว่างยิ่งกว่าแสงสว่างพระจันทร์และพระอาทิตย์ตั้งพันดวง เหมือนกรงทองโดยรอบประมาณ ๘๐ ศอก ซึ่งครอบงำแล้วทำให้ฝาโรงงาน ต้นไม้และก้อนดินเหนียวที่ไถแล้วเป็นต้น เป็นเหมือนสำเร็จแล้วด้วยทอง.
               ครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายบริโภคข้าวปายาสแล้ว เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ซึ่งมีพระวรกายประดับด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการอันมีอนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นบริวาร มีพระพาหุทั้งคู่รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างวาหนึ่งล้อมรอบ มีพระสิริเปล่งปลั่งด้วยพระเกตุมาลาน่าดูยิ่งนัก ดุจสระสะพรั่งด้วยดอกปทุม รุ่งเรืองด้วยพระสิริดุจหมู่ดาวที่ระยิบระยับด้วยข่ายรัศมี ทำให้ท้องฟ้ารุ่งเรือง ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงเหนือยอดภูเขาทองฉะนั้น ล้างมือและเท้าแล้ว ประคองแล้วประคองอีกซึ่งอัญชลี ได้ยืนแวดล้อมแล้ว กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนเพื่อบิณฑบาตอันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้วอย่างนี้แล.
               ครั้นเห็นแล้วจึงทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แลย่อมไถและหว่าน ดังนี้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุอะไร พราหมณ์นี้จึงกล่าวอย่างนี้. เพราะความไม่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้น่าเลื่อมใสรอบด้านอันพึงเลื่อมใส แม้ถึงแล้วซึ่งการฝึกและสมถะอันอุดม หรือว่าเพราะแม้เตรียมข้าวยาคูแก่ชน ๒,๕๐๐ คน แล้วตระหนี่ด้วยภิกษาทัพพีหนึ่ง.
               ตอบว่า ไม่ใช่แม้โดยประการทั้งสอง โดยที่แท้แล พราหมณ์นั้นเห็นชนผู้ไม่อิ่มด้วยการดูพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทิ้งการงาน จึงมีความไม่พอใจว่า เสด็จมาเพื่อทำการงานของเราให้เสื่อมเสีย เพราะฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนั้น.
               และพราหมณ์นั้นเห็นสมบัติแห่งลักษณะของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงมีความดำริว่า ถ้าสมณะนี้ประกอบการงานทั้งหลายไซร้ ก็จะได้เป็นเหมือนแก้วจุฬามณีในศีรษะ ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ประโยชน์ชื่ออะไรของพระสมณะนั้นจักสำเร็จด้วยประการดังนี้ พระสมณะนั้นจึงไม่ประกอบการงานทั้งหลาย เพราะความที่ตนเป็นคนเกียจคร้าน เที่ยวเพื่อบิณฑบาตในที่ทั้งหลายมีวัปปมงคลกาลเป็นต้นมาบริโภค เที่ยวไปจนร่างกายอ้วนพี.
               ด้วยเหตุนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แลย่อมไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค ดังนี้.
               อธิบายว่า การงานทั้งหลายของข้าพระองค์ย่อมไม่เสื่อมเสีย พระองค์เป็นผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยลักษณะเหมือนอย่างนั้น. อธิบายว่า ข้าแต่พระสมณะ แม้พระองค์ ฯลฯ จักบริโภคประโยชน์อะไร ไม่พึงสำเร็จแก่พระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยลักษณะอย่างนี้เล่า.
               อนึ่ง กสิภารทวาชพราหมณ์นี้ได้สดับมาว่า ได้ยินว่า พระกุมารอุบัติในศากยราชตระกูล พระองค์ทรงสละจักรพรรดิราชสมบัติ ทรงผนวช เพราะฉะนั้นจึงรู้ในบัดนี้ว่า พระกุมารนั้นคือพระสมณะนี้ เมื่อจะทำการคัดค้านว่า ได้ยินว่า พระองค์ทรงสละจักรพรรดิราชสมบัติ เสด็จออกบวช แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แล ดังนี้.
               อนึ่ง พราหมณ์นี้เป็นคนมีปัญญาเฉียบแหลม ย่อมไม่กราบทูลกระทบพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่เห็นพระรูปสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เมื่อจะกล่าวสรรเสริญพระปัญญาสมบัติ จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แล ดังนี้ แม้เพื่อให้กถาเป็นไป.
               แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความที่พระองค์ทรงเป็นชาวนาผู้เลิศในโลกพร้อมกับเทวโลกด้วยอำนาจแห่งเวไนยสัตว์ จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราแล ดังนี้.
               ลำดับนั้น พราหมณ์ได้เกิดความคิดว่า สมณะนี้ตรัสว่าเราก็ไถและหว่านดังนี้ เราไม่เห็นเครื่องมือสำหรับทำนามีแอกและไถเป็นต้น อันโอฬารของสมณะนั้น สมณะนั้นพูดเท็จหรือไม่หนอ จึงชำเลืองดูพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกสา รู้สมบัติคือลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ อย่างของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เพราะความที่ตนมีอธิการได้กระทำแล้วในอังควิชชา คิดว่า นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ที่สมณะเห็นปานนี้จะพึงพูดเท็จ ในทันใดนั้นเทียวก็เกิดมานะมาก ละการพูดว่า สมณะ ในพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระโคตร จึงกราบทูลว่า ก็ข้าพระองค์ย่อมไม่เห็นแอกของท่านพระโคดมเลย. พราหมณ์มีปัญญาเฉียบแหลม กราบทูลอย่างนี้แล้วก็รู้ว่า พระสมณะนี้ตรัสอย่างนี้ หมายถึงเนื้อความลึกซึ้ง ประสงค์จะรู้เนื้อความที่ทูลถาม ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คาถาย ได้แก่ ด้วยคำที่กำหนดแล้วด้วยอักษรบท. บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า ได้กล่าวแล้ว.
               พราหมณ์เมื่อทูลถามถึงการประกอบเครื่องมือของการทำนามีแอกและไถเป็นต้น จึงทูลว่า ไถ ดังนี้ในคาถานั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงพระพุทธานุภาพซึ่งเป็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ประกอบด้วยการเปรียบเทียบบุพธรรมอย่างไร เมื่อจะทรงบัญญัติด้วยรูปธรรมอันเปรียบเทียบด้วยบุพธรรม จึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นพืช.
               ถามว่า ก็การเปรียบเทียบด้วยบุพธรรมในคาถานี้เป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพราหมณ์ทูลถามถึงการประกอบเครื่องมือของการทำนามีแอกและไถเป็นต้นแล้วมิใช่หรือ? ก็เมื่อเป็นเช่นนั้นแล เมื่อจะให้พราหมณ์รู้ด้วยการเปรียบเทียบพืชที่ไม่ได้ทูลถาม จึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นพืช และเมื่อเช่นนั้นมีอยู่ กถานี้ก็ไม่มีอนุสนธินั่นเทียว.
               ตอบว่า กถาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายชื่อว่าไม่มีอนุสนธิ หามีไม่ ทั้งไม่ยกตรัสถึงการเปรียบเทียบด้วยบุพธรรมด้วยก็หามิได้.
               ก็บัณฑิตพึงทราบอนุสนธิในพระสูตรนี้อย่างนี้ ด้วยว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพราหมณ์นี้ทูลถามถึงไถ ด้วยอำนาจแห่งเครื่องมือของการทำนามีแอกและไถเป็นต้น พระองค์ไม่ตรัสเลี่ยงว่าสิ่งนี้ ไม่ได้ถามด้วยความอนุเคราะห์พราหมณ์ เมื่อทรงแสดงไถ จำเดิมแต่ต้น เพื่อให้พราหมณ์รู้ไถซึ่งมีมูล มีอุปการะ มีเครื่องมือ มีผล จึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นพืช.
               จริงอยู่ พืชเป็นมูลแห่งการไถ โดยจะพึงทำในเมื่อพืชนั้นมี โดยไม่พึงกระทำในเมื่อพืชนั้นไม่มี และโดยพึงกระทำตามประมาณแห่งพืชนั้น ครั้นเมื่อพืชมี ชาวนาทั้งหลายจึงทำการไถ เมื่อพืชไม่มี ก็ไม่ทำการไถ ตามประมาณแห่งพืช ชาวนาทั้งหลายผู้ฉลาดย่อมไถนาด้วยหวังว่า ขอพืชอย่าพร่อง ข้าวกล้าของพวกเราอย่าเสื่อม ว่าขอพืชอย่าเกิน ความพยายามของพวกเราอย่าสูญเปล่า ก็เพราะพืชนั่นแล เป็นมูล
               เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงไถจำเดิมแต่ต้น ทรงให้พราหมณ์รู้บุพธรรมแห่งไถของพระองค์ โดยเปรียบเทียบกับพืชอันเป็นบุพธรรมแห่งไถของพราหมณ์ จึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นพืช
               พึงทราบการเปรียบเทียบด้วยบุพธรรมในพระสูตรนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               หากมีคำถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมที่พราหมณ์ทูลถามเท่านั้น ภายหลังไม่ตรัสธรรมที่พราหมณ์ไม่ทูลถาม เพราะเหตุอะไร?
               ตอบว่า เพราะพระองค์ทรงมีอุปการะแก่พราหมณ์ และเพราะพระองค์เป็นผู้สามารถในการเชื่อมพระธรรม ก็พราหมณ์นี้มีปัญญา แต่ขาดศรัทธา เพราะตนเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ และคนที่ขาดศรัทธาแต่มีปัญญา ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เป็นวิสัยของตน ตามศรัทธาของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษ.
               ก็ศรัทธาของพราหมณ์นั้น แม้มีลักษณะเพียงความไม่เลื่อมใสในการไปปราศกิเลส และการลุกขึ้นตามกาลก็ทุรพล เป็นไปพร้อมกับปัญญาที่มีกำลังย่อมไม่ทำความสำเร็จประโยชน์ ดุจโคเทียมในแอกอันเดียวกันกับช้าง เพราะฉะนั้น ศรัทธาของพราหมณ์นั้นยังมีอุปการะ เนื้อความนี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพราหมณ์นั้นให้ตั้งอยู่ในศรัทธา อันจะพึงตรัสแม้ภายหลัง แต่ตรัสก่อน เพราะความที่พราหมณ์นั้นยังมีอุปการะอย่างนี้ เหมือนตรัสไว้แม้ในที่อื่น เพราะความที่พระองค์ทรงฉลาดในเทศนาว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมเสบียง๒- และว่า ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน๓- และว่า ศรัทธาเป็นทรัพย์ประเสริฐสุดของบุรุษในโลกนี้๔- และว่า คนย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา๕- และว่า มหานาคมีศรัทธาเป็นมือ๖- และว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกผู้มีศรัทธาแล ดังนี้.
____________________________
๒- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๒๑๖
๓- สํ. สฬ. เล่ม ๑๘/ข้อ ๑๓๐
๔- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๒๐๓
๕- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๑๑
๖- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๑๔

               ฝนมีอุปการะแก่พืชนั้น ฝนนั้นพระองค์ตรัสในลำดับแห่งศรัทธานั้นนั่นแล้ว จึงเป็นการเหมาะสม เนื้อความนี้พระองค์ควรตรัสแม้ในภายหลัง แต่ตรัสไว้ก่อน เพราะความที่พระองค์เป็นผู้สามารถเชื่อมธรรมด้วยประการฉะนี้. และธรรมอื่นมีงอนไถและเชือกเป็นต้น มีวิธีอย่างนี้.
               ในพระสูตรนั้น ศรัทธามีความเลื่อมใสพร้อมเป็นลักษณะ หรือมีการหยั่งลงเป็นลักษณะ มีการวิ่งไปเป็นรส มีการน้อมใจเชื่อเป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีการไม่ข่นมัวเป็นปัจจุปัฏฐาน มีโสตาปัตติยังคะเป็นปทัฏฐาน หรือมีธรรมควรเชื่อเป็นปทัฏฐาน เป็นความเลื่อมใสของจิต เหมือนความใสของวัตถุมีกระจกหรือพื้นน้ำเป็นต้น เป็นที่ผ่องใสของสัมปยุตตธรรมทั้งหลาย ดุจแก้วมณีอันยังน้ำให้ใส เป็นที่ผ่องใสของน้ำฉะนั้น.
               บทว่า พีชํ ได้แก่ พืช ๕ ชนิด คือ มูลพืช ขันธพืช ผลุพืช อัคคพืช พีชพืชเป็นที่ห้า.๗-
____________________________
๗- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๙

               พืชนั้นแม้ทั้งหมด ย่อมถึงการนับว่าพืชทั้งนั้น เพราะอรรถว่างอกขึ้น เหมือนอย่างท่านกล่าวไว้ว่า ก็นั่นชื่อว่าพืช เพราะอรรถว่างอกขึ้น. ในพืชเหล่านั้น พืชอันเกิดแต่รากแห่งการไถของพราหมณ์ย่อมทำกิจ ๒ อย่างคือ ขั้นต่ำดำรงอยู่ด้วยราก ขั้นสูงออกหน่อ ฉันใด ศรัทธาอันเป็นรากแห่งการไถของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขั้นต่ำดำรงอยู่ด้วยรากคือศีล ขั้นสูงออกหน่อคือสมถะและวิปัสสนา ฉันนั้น.
               อนึ่ง พืชนั่นดูดรสแห่งดิน รสแห่งน้ำด้วยราก ย่อมเจริญด้วยก้าน เพื่อรับความแก่รอบแห่งธัญชาติฉันใด ศรัทธานี้ก็ฉันนั้น รับรสคือสมถะและวิปัสสนา ด้วยรากคือศีล ย่อมเจริญด้วยก้านคืออริยมรรค เพื่อรับความแก่รอบแห่งอริยผล.
               อนึ่ง พืชนั้นตั้งอยู่ในดินดี ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ด้วยราก หน่อ ใบ ก้าน ลำต้นและใบเหลือง ยังน้ำนมให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมสำเร็จเป็นรวงข้าวสาลีอันเต็มด้วยผลข้าวสาลีมิใช่น้อยฉันใด ศรัทธานี้ก็ฉันนั้น ดำรงอยู่ในจิตสันดานแล้ว ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ด้วยศีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ยังน้ำนมคือญาณทัสสนวิสุทธิให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้สำเร็จพระอรหัตผลอันเต็มด้วยปฏิสัมภิทาธรรมมิใช่น้อย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นพืช ดังนี้.
               ในข้อนั้น พึงมีคำถามว่า ครั้นเมื่อกุศลธรรมมากกว่า ๕๐ อย่างเกิดรวมกัน เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นพืชเล่า?
               ตอบว่า เพราะศรัทธาทำหน้าที่พืช.
               จริงอยู่ ในธรรมเหล่านั้น วิญญาณเท่านั้นย่อมทำหน้าที่รู้แจ้งฉันใด ศรัทธาย่อมทำหน้าที่พืชฉันนั้น เพราะศรัทธานั้นเป็นรากเหง้าแห่งกุศลทั้งปวง
               เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า
               คนเกิดศรัทธาย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยหู เงี่ยหูแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังแล้วย่อมทรงธรรม ย่อมใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมทั้งหลายที่ทรงแล้ว เมื่อใคร่ครวญอรรถ ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่ง เมื่อมีการทนต่อการเพ่งธรรม ฉันทะย่อมเกิด ผู้เกิดฉันทะแล้วย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้วย่อมเทียบเคียง ครั้นเทียบเคียงแล้วย่อมตั้งมั่น เป็นผู้มีตนตั้งมั่นแล้วย่อมทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจจะด้วยกาย และย่อมเห็นแทงตลอดซึ่งปรมัตถสัจจะนั้นด้วยปัญญา๘- ดังนี้.
____________________________
๘- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๖๕๗

               ธรรมใดย่อมแผดเผาอกุศลธรรมทั้งหลายและกาย เพราะเหตุนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า ตบะ ความเพียร. คำว่า ตบะนั่นเป็นชื่อแห่งอินทรียสังวร วิริยธุดงค์และการบำเพ็ญทุกรกิริยา ก็อินทรียสังวร ท่านประสงค์เอาในพระสูตรนี้.
               บทว่า วุฏฺฐิ ได้แก่ ฝนหลายอย่างมีฝนในฤดูฝนและลมฝนเป็นต้น. ฝนในฤดูฝนท่านประสงค์เอาในพระสูตรนี้.
               เหมือนอย่างว่า พืชอันฝนในฤดูฝนอนุเคราะห์ดีแล้ว และข้าวกล้าซึ่งมีพืชเป็นมูลของพราหมณ์ ย่อมงอกงาม ไม่เหี่ยวแห้ง ย่อมถึงความสำเร็จฉันใด ศรัทธาอันอินทรียสังวรอนุเคราะห์ดีแล้ว และธรรมทั้งหลายมีศีลเป็นต้นซึ่งมีศรัทธาเป็นมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมงอกงาม ย่อมไม่เหี่ยวแห้ง ย่อมถึงความสำเร็จฉันนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตบะ คือความเพียรเป็นฝน ดังนี้.
               ก็ เม ศัพท์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในบทว่า ปญฺญา เม ดังนี้ แปลว่า ศรัทธาของเราเป็นพืช ความเพียรของเราเป็นฝน ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไรด้วยบทนี้
               พระองค์ทรงแสดงว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อพืชอันท่านหว่านแล้ว ถ้ามีฝนก็เป็นการดี ถ้าไม่มีฝน แม้น้ำอันท่านจะต้องให้ฉันใด เมื่องอนไถคือหิริ แอกและไถคือปัญญา เราทำรวมกันกับเชือกคือใจ เทียมโคพลิพัทคือความเพียร แทงด้วยปฏักคือสติ หว่านพืชคือศรัทธา ในนาคือจิตสันดานของตน ชื่อว่าความไม่มีฝนไม่มี.
               ก็ตบะ คือความเพียรติดต่อสม่ำเสมอของเรานี้เป็นฝน. ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าเป็นเครื่องรู้ชัดของบุคคล หรือบุคคลย่อมรู้เอง. ปัญญานั้นมีหลายอย่างต่างโดยกามาวจรเป็นต้น. ก็มรรคปัญญาพร้อมกับวิปัสสนา ทรงพระประสงค์เอาในคาถานี้.
               บทว่า ยุคนงฺคลํ ได้แก่ แอกและไถ ชื่อว่า ยุคนงฺคลํ แปลว่า แอกและไถ.
               ก็แอกและไถของพราหมณ์ฉันใด ปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีแม้ ๒ อย่างฉันนั้น. ในคาถานั้น แอกเป็นอุปนิสัยของงอนไถ ย่อมอยู่ข้างหน้าเนื่องกับงอนไถ เป็นนิสัยของเชือกทั้งหลาย ย่อมทรงไว้ซึ่งการไปร่วมกันของโคพลิพัททั้งหลายฉันใด ปัญญาก็ฉันนั้น เป็นอุปนิสัยของธรรมทั้งหลายมีหิริเป็นประมุข
               เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ธรรม (กุศล) ทั้งหมดมีปัญญาเป็นอย่างยิ่ง และว่า ก็บัณฑิตผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาประเสริฐที่สุด ดุจเดือนประเสริฐกว่าดาวทั้งหลายฉะนั้น และปัญญาอยู่หน้าของกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะอรรถว่าเป็นหัวหน้า
               เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ศีล แม้สิริและธรรมของสัตบุรุษย่อมคล้อยตามคนมีปัญญา ปัญญาชื่อว่าเนื่องกับงอนไถ เพราะไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากหิริ เป็นนิสัยของเชือกทั้งหลาย โดยเป็นนิสสยปัจจัยแห่งเชือกคือสมาธิ กล่าวคือใจ ย่อมทรงไว้ซึ่งการไปโดยร่วมกันแห่งโคพลิพัท คือความเพียร เพราะปฏิเสธการปรารภความเพียรจัดและความย่อหย่อนเกินไป.
               ก็ไถประกอบกับผาลแล้ว ย่อมทำลายก้อนดิน ในเวลาไถย่อมชำแรกวัชพืชที่มีรากฉันใด ปัญญาที่ประกอบด้วยสติก็ฉันนั้น ย่อมทําลายก้อนแห่งอารมณ์อันมีหน้าที่ประชุมความสืบต่อแห่งธรรมทั้งหลาย ในเวลาวิปัสสนา ย่อมชำแรกการสืบต่อแห่งกิเลสมูลทั้งหมด ก็ปัญญานั้นแลเป็นโลกุตระอย่างเดียว และปัญญานอกนี้พึงเป็นโลกิยะ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ ดังนี้.
               ชื่อว่า หิริ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าเป็นเครื่องละอายของบุคคล หรือบุคคลย่อมละอายเอง คือเกลียดความเป็นไปแห่งอกุศล. โอตตัปปะเป็นอันถือเอาแล้วเทียว โดยความเป็นธรรมไปร่วมกันกับหิริศัพท์นั้น.
               บทว่า อีสา ได้แก่ ท่อนไม้ที่ทรงแอกและไถไว้. เปรียบเหมือนงอนไถของพราหมณ์ย่อมทรงไว้ซึ่งแอกและไถฉันใด หิริแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น ชื่อว่าย่อมทรงไว้ซึ่งแอกและไถ กล่าวคือโลกิยปัญญาและโลกุตรปัญญา เพราะเมื่อหิริไม่มี ปัญญาก็ไม่มี.
               แอกและไถที่เนื่องด้วยงอนไถ ย่อมทําหน้าที่ไม่ให้หวั่นไหว ไม่ย่อหย่อนฉันใด ก็ปัญญาอันเนื่องด้วยหิริก็ฉันนั้น ย่อมทำหน้าที่ไม่ให้หวั่นไหว ไม่ย่อหย่อน ไม่เกลื่อนกล่นด้วยความไม่มีหิริ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า หิริเป็นงอนไถ ดังนี้.
               ชื่อว่า มโน ด้วยอรรถวิเคราะห์ว่าย่อมรู้. คำว่า มโน นั่นเป็นชื่อของจิต ก็สมาธิที่ประกอบพร้อมด้วยจิตนั้น โดยใจเป็นประธาน ทรงพระประสงค์เอาในคาถานี้.
               บทว่า โยตฺตํ ได้แก่ เครื่องผูกคือเชือก.
               เชือกนั้นมี ๓ อย่าง คือ เชือกผูกแอกกับงอนไถ ๑ เชือกผูกโคพลิพัททั้งหลายกับแอก ๑ เชือกผูกโคพลิพัททั้งหลายกับสารถี ๑.
               ในเชือก ๓ อย่างนั้น เชือกของพราหมณ์ทำงอนไถ แอก และโคพลิพัททั้งหลายให้เกี่ยวเนื่องกัน ย่อมยังกิจของตนสำเร็จฉันใด สมาธิของพระผู้มีพระภาคเจ้าผูกธรรม คือหิริปัญญาและวิริยะเหล่านั้นทั้งหมดเทียวให้เป็นอารมณ์เดียว โดยความเป็นธรรมไม่ฟุ้งซ่าน ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ใจเป็นเชือก ดังนี้.
               ชื่อว่า สติ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าเป็นเครื่องระลึกของบุคคล หรือบุคคลระลึกถึงประโยชน์ที่ทำไว้แล้วนานเป็นต้นได้ด้วยตนเอง. สตินั้นมีความไม่หลงลืมเป็นลักษณะ.
               ธรรมชาติใดย่อมให้ดินแตก เพราะเหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า ผาล. บุคคลย่อมแทงด้วยวัตถุนั้น เพราะเหตุนั้น วัตถุนั้นชื่อว่า ปาชนํ ปฏัก ปฎักนั้นเรียกว่า ปาจนํ (ปฎัก) ในคาถานี้. คำว่า ปาจนํ นั้นเป็นชื่อของวัตถุสำหรับแทง (ปฏัก). ผาลและปฏักชื่อว่า ผาลปาจนํ.
               ก็ผาลและปฏักของพราหมณ์ฉันใด สติอันประกอบด้วยวิปัสสนาและประกอบด้วยมรรคของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น. ในข้อนั้น ผาลย่อมตามรักษาไถและไปข้างหน้าของไถนั้นฉันใด สติก็ฉันนั้นเป็นคติของกุศลธรรมทั้งหลาย ระลึกพร้อมอยู่ หรือให้อารมณ์ทั้งหลายปรากฏขึ้นอยู่ ชื่อว่าย่อมรักษาไถคือปัญญา.
               จริงอย่างนั้น สติ ท่านเรียกว่า อารักขา ดุจในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุอยู่ด้วยจิตอันมีสติเป็นเครื่องอารักขา๙- ดังนี้ และย่อมนำหน้าปัญญานั้นด้วยอำนาจความไม่หลงลืม.
____________________________
๙- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๖๑ สตารกฺเขน เจตสา สมนฺนาคโต วิหรติ.

               เพราะปัญญาย่อมรู้ชัดซึ่งธรรมทั้งหลายที่มีสติสั่งสมแล้ว ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งธรรมทั้งหลายที่มีสติหลงลืมแล้ว. เหมือนอย่างว่า ปฏักแสดงอยู่ซึ่งภัย คือการแทงแก่โคพลิพัททั้งหลาย ย่อมไม่ให้หยุด และย่อมห้ามไปนอกทางฉันใด สติก็ฉันนั้น แสดงอยู่ซึ่งภัยในอบายแก่โคพลิพัทคือวิริยะ ย่อมไม่ให้จมอยู่ในความเกียจคร้าน ย่อมห้ามอโคจรทั้งหลาย กล่าวคือกามคุณ ครั้นห้ามแล้วย่อมให้ประกอบในกรรมฐาน และย่อมห้ามการไปนอกทาง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติเป็นผาลและปฏักของเรา ดังนี้.
               บทว่า กายคุตฺโต ความว่า คุ้มครองด้วยกายสุจริต ๓ อย่าง. บทว่า วจีคุตฺโต ความว่า คุ้มครองด้วยวจีสุจริต ๔ อย่าง. ปาฏิโมกขสังวรศีลตรัสแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               ในบทว่า อาหาเร อุทเร ยโต นี้ สำรวมคือสำรวมพร้อมแล้ว. อธิบายว่า มีอุปกิเลสไปปราศแล้ว ในปัจจัยแม้ ๔ อย่าง เพราะความที่ปัจจัยทั้งหมดทรงสงเคราะห์แล้ว ด้วยอาหารเป็นประธาน. อาชีวปาริสุทธิศีล ตรัสแล้วด้วยบทนี้.
               บทว่า อุทเร ยโต ความว่า สำรวม คือสำรวมพร้อมแล้วในท้อง คือบริโภคมีกำหนด. มีอธิบายว่า รู้ประมาณในอาหาร. ปัจจัยปฏิเสวนศีล ตรัสแล้วด้วยความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะเป็นประธาน ด้วยบทนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไรด้วยบทนั้น
               ทรงแสดงว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านหว่านพืชแล้ว ย่อมทำรั้วหนาม รั้วไม้หรือล้อมกำแพงเพื่อรักษาข้าวกล้า ด้วยรั้วนั้น ฝูงโคกระบือและเนื้อ เมื่อไม่ได้การเข้าไป ย่อมไม่แย่งกินข้าวกล้าของท่านฉันใด เราก็ฉันนั้น หว่านพืชคือศรัทธานั้นแล้ว ทำการล้อม ๓ อย่างอันสำเร็จแต่การคุ้มครองกายวาจาและอาหาร เพื่อรักษาข้าวกล้า คือกุศลอันมีประการต่างๆ ด้วยการล้อมนั้น ฝูงโคกระบือและเนื้อ คืออกุศลธรรมมีราคะเป็นต้น เมื่อไม่ได้การเข้าไป ย่อมไม่แย่งกินข้าวกล้า คือกุศลของเรา ดังนี้.
               ในบทว่า สจฺจํ กโรมิ มิทฺธานํ นี้ การตัด การเกี่ยว การถอนขึ้น ชื่อว่าการถอนหญ้า ด้วยสัจจะอันไม่กล่าวให้พลาดด้วยทวารทั้งสอง. ก็คำว่า สจฺจํ นั่นเป็นทุติยาวิภัตติ พึงทราบว่า ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.
               ก็เนื้อความในบทว่า สจฺจํ กโรมิ มิทฺธานํ นั้นมีดังนี้ว่า สจฺเจน กโรมิ นิทฺธานํ แปลว่า เราย่อมกระทำการถอนหญ้าด้วยสัจจะ.
               มีอธิบายอย่างไร
               มีอธิบายว่า ท่านไถนาภายนอกแล้ว ย่อมกระทำการถอนหญ้าอันประทุษร้ายข้าวกล้าด้วยมือ หรือด้วยเคียวฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น ไถนาอันมีในภายในแล้ว ย่อมกระทำการถอนหญ้า คือการกล่าวให้พลาดซึ่งประทุษร้ายข้าวกล้าคือกุศลด้วยสัจจะ. อีกอย่างหนึ่ง ญาณสัจจะที่เรียกว่ายถาภูตญาณ. พึงทราบว่า สัจจะในบทว่า สจฺจํ กโรมิ นิทฺธานํ นี้ ผู้ศึกษาพึงประกอบอย่างนี้ว่า เรากระทำการถอนหญ้าทั้งหลาย มีอัตตสัญญาเป็นต้น ด้วยสัจจะนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า นิทฺธานํ ได้แก่ การตัด การเกี่ยว. อธิบายว่าการถอน.
               เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านย่อมให้ทาสหรือกรรมกรทำการถอนว่า เจ้าจงถอนหญ้าทั้งหลาย คือให้ทำการตัด การเกี่ยว การถอนหญ้าทั้งหลายฉันใด เราย่อมกระทำสัจจะฉันนั้น. การกล่าวด้วยทุติยาวิภัตตินั่นแล ก็ควร.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ทิฏฐิสัจจะ การกล่าวด้วยทุติยาวิภัตตินั่นแล แม้อย่างนี้ว่า เราย่อมกระทำการถอนนั้น คือย่อมกระทำกิจอันจะพึงตัด พึงเกี่ยว พึงถอนขึ้นดังนี้ ก็ควร.
               ในบทว่า โสรจฺจํ เม ปโมจนํ นี้ ศีลนั้นใดอย่างนี้ว่า๑๐- ความไม่ละเมิดทางกาย ความไม่ละเมิดทางวาจานั่นแล เรียกว่า โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม ศีลนั้นไม่ประสงค์เอาในคาถานี้ ศีลนั้นได้กล่าวแล้วเทียว โดยนัยมีอาทิว่าคุ้มครองกาย แต่พระอรหัตผลอันท่านประสงค์แล้ว ด้วยว่าพระอรหัตผลแม้นั้นเรียกว่าโสรัจจะ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยินดีแล้วในนิพพานอันสุนทร.
____________________________
๑๐- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๘๗๑

               บทว่า ปโมจนํ ได้แก่ เป็นเครื่องสละโยคะ.
               มีอธิบายอย่างไร.
               มีอธิบายว่า การปลดเปลื้องของท่านยังไม่เป็นการปลดเปลื้องเลย เพราะท่านจะพึงประกอบในเวลาเย็น ในวันที่ ๒ หรือในปีต่อไปแม้อีกฉันใด การปลดเปลื้องของเราไม่เป็นฉันนั้น เพราะชื่อว่าการปลดเปลื้องในระหว่างของเราไม่มี ด้วยว่า เราได้ประกอบโคพลิพัทคือวิริยะทั้งหลายในไถคือปัญญา จำเดิมแต่กาลแห่งพระทศพลพระนามว่าทีปังกร ไถอยู่ซึ่งการไถใหญ่ตลอดสี่อสงไขยและแสนกัป ยังไม่เลิกละตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ตรัสรู้ชอบเฉพาะซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ และในกาลใด พระอรหัตผลอันมีคุณทั้งหมดเป็นบริวารได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่เราผู้ยังกาลนั้นทั้งหมดให้สิ้นไปแล้ว นั่งในอปราชิตบัลลังก์ ที่โคนต้นโพธิ์ ในกาลนั้น พระอรหัตผลนั้นเราได้ปลดเปลื้องแล้ว ด้วยการบรรลุปฏิปัสสัทธิอันยอดเยี่ยมทั้งหมด จักไม่เป็นกิจที่จะพึงประกอบอีกในบัดนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงเนื้อความนั่น จึงตรัสว่า ความสงบเสงี่ยมของเรา เป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลส ดังนี้.
               ในบทว่า วิริยํ เม ธุรโธรยฺหํ นั่น บทว่า วิริยํ ได้แก่ ปธาน คือความเพียรที่กล่าวแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า การปรารภความเพียรทางกายหรือทางใจ นำธุระไปเพื่อธุระ ชื่อว่า ธุรโธรยฺหํ. อธิบายว่า ย่อมนำธุระไป.
               เหมือนอย่าง ไถของพราหมณ์นำธุระไปเพื่อธุระลากมาทำลายก้อนดินและชำแรกวัชพืชอันมีรากทั้งหลายให้หมดไปฉันใด ไถคือปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น คร่ามาด้วยความเพียร ย่อมทำลายก้อนดินตามที่กล่าวแล้ว และชำแรกกิเลสสันดานทั้งหลายให้หมดไป เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ความเพียรของเรานำธุระไปเพื่อธุระ.
               อีกอย่างหนึ่ง ธุระทั้งหลายนำไปซึ่งธุระก่อน นำไปซึ่งมูลธุระ ชื่อว่านําธุระไป ธุระด้วย นำธุระไปด้วย ชื่อว่านำธุระไปเพื่อธุระ. ในข้อนั้น ไถของพราหมณ์นำธุระไปอันต่างด้วยโคพลิพัท ๔ ตัวประกอบในไถแต่ละไถ เมื่อนำไปย่อมยังการทำลายรากหญ้าที่เกิดแล้วและยังไม่เกิด และสมบัติ คือข้าวกล้าให้สำเร็จฉันใด ความเพียรของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น นำธุระไปเพื่อธุระอันต่างด้วยความเพียรคือสัมมัปปธาน ๔ เมื่อนำไป ย่อมยังการทำลายอกุศลมูลซึ่งเกิดขึ้นและยังไม่เกิดขึ้น และสมบัติคือกุศลให้สำเร็จ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ความเพียรของเรานำธุระไปเพื่อธุระดังนี้.
               ในบทว่า โยคกฺเขมาธิวาหนํ นี้ นิพพานเรียกว่าเกษมจากโยคะ เพราะนิพพานเป็นธรรมเกษมจากโยคะทั้งหลาย. นิพพานนั้นชื่อว่าอธิวาหนะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าอันบุคคลบรรลุแล้วย่อมนำไป หรือย่อมถูกนำไปเฉพาะหน้า การนำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ชื่อว่า โยคกฺเขมาธิวาหนํ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไรด้วยบทนั้น
               ทรงแสดงว่า ไถนําธุระไปเพื่อธุระของท่าน ย่อมนำไปเฉพาะหน้าสู่ทิศตะวันออก หรือทิศใดทิศหนึ่งในทิศทั้งหลายมีทิศตะวันตกเป็นต้นฉันใด ความเพียรของเราก็ฉันนั้น นำธุระไปเพื่อธุระ คือนำไปเฉพาะพระนิพพาน และเมื่อนำไปอย่างนี้ ชื่อว่าไม่หวนกลับมา ไถของท่านเมื่อนำไป ชื่อว่านำธุระไปเพื่อธุระ คือถึงที่สุดนาแล้วกลับมาอีกฉันใด ความเพียรของเรา ชื่อว่าไม่หวนกลับมา จำเดิมแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ฉันนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะกิเลสทั้งหลายอันมรรคนั้นๆ ละแล้วไม่พึงละอีก ดุจหญ้าทั้งหลายอันไถของท่านตัดแล้ว พึงตัดในสมัยอื่นแม้อีก แม้เพราะฉะนั้น ความเพียรนั่นเมื่อละกิเลสทั้งหลายอันเห็นแล้ว อันไถแล้วด้วยอำนาจแห่งปฐมมรรค ละซึ่งกิเลสทั้งหลายอันหยาบด้วยอำนาจมรรคที่สอง ละซึ่งกิเลสทั้งหลายอันสหรคตด้วยอำนาจมรรคที่สาม ละซึ่งกิเลสทั้งหมดด้วยอำนาจแห่งมรรคที่สี่ ชื่อว่าไม่หวนกลับมา.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า คจฺฉติ อนิวตฺตนฺตํ ความว่า เป็นอันเว้นจากการกลับ คือย่อมไป.
               บทว่า ตํ ได้แก่ ความเพียรนั้น นำธุระไปเพื่อธุระ.
               พึงทราบการตัดบทในบทนี้อย่างนี้
               ก็ความเพียรนั้น เมื่อไปอย่างนี้ย่อมไม่หวนกลับถึงสถานที่ที่ชาวนาไปแล้ว ไม่เศร้าโศก ปราศจากความโศก ปราศจากความกำหนัด ดุจไถของท่านนั้นนำธุระไปเพื่อธุระ ก็ความเพียรนั่นย่อมถึงสถานที่นั้น.
               บทว่า ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจติ ความว่า สถานที่ที่ชาวนาเช่นท่านโจทอยู่ ตักเตือนอยู่ซึ่งความเพียรนั้นอันนำธุระไปเพื่อธุระคือวิริยะ ด้วยปฏักคือสติ ไปแล้วไม่เศร้าโศก ปราศจากความเศร้าโศก ปราศจากความกำหนดแล้วไม่เศร้าโศก ความเพียรนั้นเป็นการถอนขึ้นซึ่งลูกศรคือความเศร้าโศกทั้งหมด ย่อมถึงสถานที่กล่าวคืออมตนิพพาน.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงกระทำคำนิคม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
                         การไถนานั้น เราไถแล้วอย่างนี้
                         การไถนานั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ
                         บุคคลไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ดังนี้.
               คาถานั้น มีเนื้อความโดยย่อดังนี้
               ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงดูการไถนานั้น มีศรัทธาเป็นพืชอันความเพียรเป็นฝนอนุเคราะห์แล้ว เราทำแอกและไถอันสำเร็จแล้วแต่ปัญญา และงอนไถอันสำเร็จแล้วแต่หิริให้เนื่องกันด้วยเชือกอันสำเร็จแล้วแต่ใจ ตอกซึ่งผาลคือสติ ในไถคือปัญญา จับปฏักคือสติ คุ้มครองด้วยการคุ้มครองกายวาจาและอาหาร ทำสัจจะเป็นเครื่องถอนหญ้า นําความสงบเสงี่ยมเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลส ความเพียรนําธุระไปเพื่อธุระ นำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ไม่หวนกลับมา ไถแล้วให้ถึงสามัญผล ๔ อย่างอันมีกสิกรรมเป็นที่สุด.
               บทว่า สา โหติ อมตปฺผลา ความว่า การไถนานี้นั้นมีผลเป็นอมตะ. นิพพานเรียกว่าอมตะ. อธิบายว่า การไถนามีนิพพานเป็นอานิสงส์.
               ก็การไถนานี้นั้นแล ย่อมมีผลเป็นอมตะสำหรับเราคนเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่โดยที่แท้แล คนใดคนหนึ่งจะเป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม เป็นแพศย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมไถนานั้น คนนั้นแม้ทั้งหมด ครั้นไถนานั่นแล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง คือย่อมพ้นจากวัฏทุกข์ ทุกขทุกข์ สังสารทุกข์ วิปริณามทุกข์ทั้งปวง
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทํานิพพานเป็นที่สุดด้วยยอดคือพระอรหัต ทรงยังเทศนาให้ถึงพร้อมแก่พราหมณ์ด้วยประการฉะนี้.
               ลำดับนั้น พราหมณ์ฟังเทศนาอันมีเนื้อความลึกซึ้งแล้ว และทราบว่า เราบริโภคผลแห่งการทํานาแล้ว ย่อมมีความหิวในวันอื่นทีเดียว แต่การไถนาของพระสมณะนั้นมีผลเป็นอมตะ บุคคลบริโภคผลแห่งการไถนานั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงดังนี้ เลื่อมใสแล้ว ปรารภแล้วเพื่อกระทําอาการแห่งผู้เลื่อมใส เพื่อถวายข้าวปายาส เพราะเหตุนั้น พระอานนทเถระจึงว่า ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชะ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหติยา ได้แก่ อันใหญ่. บทว่า กํสปาติยา ได้แก่ ในถาดทองคำ คือในถาดทองของตนซึ่งมีราคาแสนกหาปณะ. บทว่า วฑฺเฒตฺวา ได้แก่ ตักแล้ว. อธิบายว่า เกลี่ยลงแล้ว.
               บทว่า ภควโต อุปนาเมสิ ความว่า ทำให้วิจิตรด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้นคลุมด้วยผ้า ยกขึ้นแล้วน้อมถวายแด่พระตถาคตโดยเคารพ.
               ถามว่า อย่างไร
               ตอบว่า ขอท่านพระโคดมเสวยข้าวปายาสเถิด เพราะพระองค์ท่านเป็นชาวนา. แต่นั้น ได้กล่าวถึงเหตุอันได้สำเร็จความเป็นชาวนาว่า ย่อมไถนา อันมีผลไม่ตาย.
               มีอธิบายว่า เพราะย่อมไถนาอันมีผลไม่ตาย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คาถาภิคีตํ ได้แก่ ที่ขับกล่อมด้วยคาถาทั้งหลาย. อธิบายว่า กล่าวคาถาทั้งหลายแล้วได้มา.
               บทว่า เม ได้แก่ มยา อันเรา. บทว่า อโภชเนยฺยํ ความว่า ไม่ควรบริโภค.
               บทว่า สมฺปสฺสตํ ความว่า ผู้เห็นอยู่ซึ่งอาชีวปาริสุทธิโดยชอบ หรือผู้เห็นอยู่โดยรอบ ชื่อว่าผู้เห็นอยู่โดยชอบ. อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
               บทว่า เนส ธมฺโม ความว่า ข้อว่า เราควรบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา นี้ไม่ใช่ธรรม คือนั่นไม่ใช่จารีต. เพราะเหตุไร? เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงห้ามโภชนะที่ขับกล่อมได้มา คือย่อมทรงปฏิเสธ ย่อมไม่ทรงเสวย.
               ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับคาถาเพื่อข้าวปายาส ซึ่งเป็นเหตุให้ตรัสอย่างนี้หรือ?
               ตอบว่า พระองค์ไม่ทรงขับคาถาเพื่อประโยชน์แก่ข้าวปายาสนั้น แต่โดยที่แท้แล้ว โภชนะที่พระองค์ประทับยืนที่ใกล้นาแต่เช้าตรู่ ไม่ทรงได้แม้ภิกษาทัพพีหนึ่งแล้ว ประกาศคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้มานี้นั้น เป็นเช่นกับโภชนะที่นักขับร้องและนักฟ้อนรําทั้งหลายฟ้อนและขับร้องได้มา เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ที่ขับกล่อมได้มา.
               ก็โภชนะเช่นนั้นย่อมไม่ควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เราไม่ควรบริโภคโภชนะ.
               ก็โภชนะนั้นไม่สมควรแก่ความเป็นผู้ปรารถนาน้อย แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอนุเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง จึงตรัสว่า เราไม่ควรบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มานั่น. และพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงปฏิเสธลาภที่เกิดขึ้นด้วยคุณของตน แม้อันคนอื่นประกาศแล้ว ณ ที่ใดๆ เหมือนฆฏิการ บุตรช่างหม้อผู้มีความปรารถนาน้อย ฉะนั้น.
               ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้ปรารถนาน้อยถึงสุดยอดแล้ว จักทรงยินดีลาภที่เกิดขึ้นแล้ว ด้วยการประกาศพระคุณของพระองค์ได้อย่างไร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนั้นเหมาะสมแล้วเทียว.
               ตอบว่า ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ พระองค์เมื่อจะเปลื้องพระองค์จากคำติเตียนของชาวโลกนี้ว่า พระสมณโคดมทรงทำพราหมณ์ผู้ไม่เลื่อมใส ไม่ประสงค์จะถวายให้เป็นผู้ใคร่เพื่อถวาย ด้วยการตรัสคาถาแล้วทรงรับโภชนะ พระเทศนาของพระสมณโคดมนี้ มีอามิสเป็นเหตุ ดังนี้แล้ว ทรงแสดงเทศนาปาริสุทธิ.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงอาชีวปาริสุทธิ จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ การแสวงหานี้เป็นความประพฤติ ดังนี้.
               เนื้อความแห่งพระดำรัสนั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่ออาชีวปาริสุทธิธรรม สุจริตธรรม ๑๐ อย่าง หรือจาริตธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอยู่ คือมีพร้อม ติดตามพร้อม เป็นไปอยู่ การแสวงหาคือการแสวงหาทั่วอันขาวสะอาดโดยส่วนเดียว ดุจเหยียดฝ่ามือในอากาศ นี้เป็นความประพฤติ คือเป็นความประพฤติประจำชีวิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังนี้.
               ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เกิดโทมนัสว่า พระสมณโคดมทรงปฏิเสธข้าวปายาสของเรา ได้ยินว่า โภชนะนั่นไม่ควร เมื่อเป็นเช่นนี้ เราย่อมไม่ได้เพื่อถวายสิ่งอื่นในพระองค์เลย และคิดว่า พระสมณโคดมพึงทรงรับสิ่งอื่นกระมัง ดังนี้
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบดังนั้นแล้วทรงดำริว่า เรากำหนดเวลาเพื่อภิกขาจารแล้วจึงมา จักยังพราหมณ์นี้ให้เลื่อมใส ด้วยกาลเพียงนี้ เมื่อจะยังมโนรถที่พราหมณ์ปรารถนาให้เต็ม เพื่อให้ความเลื่อมใสเกิดแก่พราหมณ์ว่า ก็พราหมณ์ได้ทำโทมนัส บัดนี้ยังจิตให้กำเริบในเรา ด้วยโทมนัสนั้นแล้ว จักไม่อาจเพื่อแทงตลอดซึ่งธรรมอันประเสริฐคืออมตะ จึงตรัสว่า อญฺเญน จ เกวลินํ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกวลินํ ความว่า ผู้บริบูรณ์แล้วด้วยคุณทั้งปวง คือผู้ปราศจากโยคะทั้งหมดแล้วเทียว. ชื่อว่าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เพราะแสวงหาคุณทั้งหลายมีศีลขันธ์เป็นต้นอันใหญ่. ชื่อว่าพระขีณาสพ เพราะความเป็นผู้มีอาสวะทั้งปวงสิ้นหมดแล้ว. ชื่อว่าผู้มีความคะนองอันสงบแล้ว เพราะความที่พระขีณาสพมีความคะนองทั้งปวงซึ่งทำความคะนองมือและคะนองเท้าเป็นต้น อันสงบแล้ว.
               บทว่า อุปฏฺฐหสฺสุ ความว่า เชิญท่านอังคาส คือเชิญท่านนับถือ. ครั้นจิตอันพราหมณ์แม้ให้เกิดอย่างนี้แล้ว พระองค์ตรัสปริยายเท่านั้น แต่ไม่ตรัสว่า ท่านจงนำมา ดังนี้.
               บทที่เหลือในคาถานี้ มีความตื้นทั้งนั้นแล.
               ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า ข้าวปายาสนี้เรานำมาเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เราไม่ควรให้ข้าวปายาสนั้นแก่ใครๆ ตามความพอใจของตนดังนี้แล้ว กราบทูลว่า ข้าพระองค์จะถวายข้าวปายาสนี้แก่ใคร. แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ข้าวปายาสนั้นว่า ข้าวปายาสนี้มีความไม่ย่อยเป็นธรรมดาแก่คนอื่น ยกเว้นพระตถาคต และสาวกของพระตถาคต จึงตรัสว่า น ขฺวาหนฺตํ ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น ทรงถือเอาเทวดาชั้นกามาวจร ๕ ด้วยพระดำรัสว่า สเทวกะ ทรงถือเอาเทวดาชั้นกามาวจรที่ ๖ ด้วยพระดำรัสว่า สมารกะ ทรงถือเอารูปาวจรพรหม ด้วยพระดำรัสว่า สพรหมกะ ส่วนเทวดาชั้นอรูปาวจรพึงบริโภค เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแนะนำเพิ่มอีก ทรงถือเอาสมณพราหมณ์ผู้เป็นข้าศึกหรือเป็นศัตรูต่อศาสนา และทรงถือเอาสมณพราหมณ์ผู้มีบาปสงบแล้ว หรือมีบาปอันลอยแล้ว ด้วยพระดำรัสว่า สัสสมณพราหมณี ทรงถือเอาสัตวโลก ด้วยพระดำรัสว่า ปชา ทรงถือเอาสมมติเทวดาและมนุษย์ที่เหลือ ด้วยพระดำรัสว่า สเทวมนุสสะ ในพระสูตรนี้ พึงทราบว่า โอกาสโลกทรงถือด้วยพระดำรัส ๓ อย่าง สัตวโลกทรงถือด้วยพระดำรัส ๒ อย่างด้วยอํานาจแห่งปชาด้วยประการฉะนี้.
               ความสังเขปเท่านี้ ส่วนความพิสดาร ข้าพเจ้าจักพรรณนาไว้ในอาฬวกสูตร.
               ถามว่า ก็ข้าวปายาสนี้ อันใครๆ ในโลกพร้อมกับเทวโลกเป็นต้นบริโภคแล้ว จะไม่พึงให้ย่อยได้โดยชอบ เพราะเหตุไร?
               ตอบว่า เพราะใส่โอชะอันละเอียดในข้าวปายาสอันหยาบ.
               จริงอย่างนั้น เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในข้าวปายาสนี้ ที่สักว่าพราหมณ์ถืออุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว ดุจในข้าวปายาสของนางสุชาดา ในสูกรมัททวะของนายจุนทะที่กำลังปรุง ในคำข้าวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้วๆ ในเมืองเวรัญชา และในงบน้ำอ้อยที่เหลือในหม้อน้ำอ้อยของกัจจายตนะ ในเภสัชชขันธกะฉะนั้น.
               ข้าวปายาสนั้นย่อมไม่ย่อยสำหรับเทวดาทั้งหลาย เพราะใส่โอชะอันละเอียดในของที่หยาบ เพราะเทวดาทั้งหลายมีร่างกายสุขุม อาหารของมนุษย์ที่หยาบ ย่อมไม่ย่อยโดยชอบแก่เทวดาเหล่านั้น. ย่อมไม่ย่อยแม้แก่มนุษย์ทั้งหลาย เพราะมนุษย์ทั้งหลายมีร่างกายหยาบ ทิพโพชะอันละเอียดย่อมไม่ย่อยโดยชอบแก่มนุษย์เหล่านั้น แต่สำหรับพระตถาคตย่อมย่อยตามไฟธาตุปกติ ย่อมย่อยโดยชอบ.
               อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ตามอำนาจแห่งกำลังกายและกำลังญาณ และย่อมย่อยสำหรับพระขีณาสพผู้เป็นสาวกของพระตถาคต ด้วยกำลังสมาธิ และด้วยความเป็นผู้รู้จักประมาณ ย่อมไม่ย่อยสำหรับบุคคลนอกนี้แม้จะมีฤทธิ์.
               อีกอย่างหนึ่ง เหตุในเรื่องนี้เป็นอจินไตย นั่นเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า.
               บทว่า เตนหิ ตฺวํ มีอธิบายว่า เพราะเราไม่เห็นบุคคลอื่น ข้าวปายาสนั้นไม่ควรแก่เรา เมื่อไม่ควรแก่เรา ก็ไม่ควรแม้แก่สาวกของเรา เพราะฉะนั้น ท่าน พราหมณ์.
               บทว่า อปฺปหริเต ความว่า ในหญ้าเขียวเล็กน้อย หรือในหญ้าเขียวงอกเล็กน้อย เป็นเช่นกับพลานหีน. บทว่า อปฺปาณเก ความว่า ในห้วงน้ำใหญ่อันปราศจากตัวสัตว์ หรือเว้นจากตัวสัตว์อันจะพึงตาย เพราะเหตุที่เทข้าวปายาสลง. บทว่า อปฺปาณเก นั่นตรัสเพื่อประโยชน์แก่การอนุเคราะห์หญ้าและสัตว์ทั้งหลายรวมทั้งสัตว์ที่อาศัยหญ้า.
               บทว่า จิจฺจิฏายติ จิฏิจิฏายติ ความว่า ย่อมทำเสียงอย่างนั้น.
               บทว่า สนฺธูมายติ ได้แก่ ควันกลุ้มโดยรอบ.
               บทว่า สํปธุมายติ ได้แก่ ควันกลุ้มมีประมาณยิ่งอย่างนั้นเทียว.
               ถามว่า ควันกลุ้มได้มีอย่างนั้น เพราะเหตุอะไร
               ตอบว่า เพราะอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ใช่เพราะอานุภาพแห่งน้ำ ข้าวปายาส พราหมณ์ เทวดาหรือยักษ์เป็นต้นเหล่าอื่น ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานอย่างนั้น เพื่อธรรมสังเวชแก่พราหมณ์.
               บทว่า เสยฺยถาปิ นาม นั่นเป็นการแสดงข้อเปรียบเทียบ.
               บทว่า ยถา ผาโล เป็นอันตรัสแล้วเพียงเท่านี้แล.
               พราหมณ์สลดจิต มีร่างกายชูชันด้วยขน ได้ยินว่า ขนจำนวน ๙๙,๐๐๐ ขุมในร่างกายชูชันขึ้น ดุจฟันนาคแก้วมณีที่เขาตอกในฝาทองคำฉะนั้น
               บทที่เหลือปรากฏแล้วเทียว.
               ส่วนพราหมณ์หมอบลงแทบพระยุคลบาท เมื่อจะชมเชยพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระ-องค์แจ่มแจ้งนัก ดังนี้.
               ก็อภิกกันตศัพท์ในพระสูตรนี้ ใช้ในการอนุโมทนาอย่างยิ่ง
               ส่วนการพรรณนาเนื้อความแห่งอภิกกันตศัพท์นั้น จักแจ่มแจ้งโดยพิสดารในอรรถกถาแห่งมูลสูตร พึงทราบว่า ก็เพราะอภิกกันตศัพท์ใช้ในอรรถแห่งการอนุโมทนาอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น คำว่า ดีละ ดีแล้ว พระโคดมผู้เจริญ เป็นอันอธิบายแล้ว.
               ก็อภิกกันตศัพท์นี้พึงทราบว่า พราหมณ์ได้กล่าวถึง ๒ ครั้ง ด้วยอํานาจความเลื่อมใส และด้วยอํานาจความสรรเสริญในพระธรรมเทศนานี้ โดยลักษณะนี้ว่า
                         นักปราชญ์พึงทำการกล่าวย้ำ ในเพราะความกลัว
                         ในเพราะความโกรธ ในเพราะความสรรเสริญ
                         ในเพราะความรีบด่วน ในเพราะความโกลาหล
                         ในเพราะความอัศจรรย์ ในเพราะความรื่นเริง
                         ในเพราะความโศก และในเพราะความเลื่อมใส.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อภิกฺกนฺตํ ได้แก่ น่าใคร่นัก น่าปรารถนานัก น่าพอใจนัก. มีอธิบายว่าดีอย่างยิ่ง. ในการชมเชยนี้ พราหมณ์ชมเชยเทศนาด้วยอภิกกันตศัพท์หนึ่ง ชมเชยความเลื่อมใสของตนด้วยอภิกกันตศัพท์หนึ่ง. ก็อธิบายในอภิกกันตศัพท์นั่นดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ คือพระธรรมเทศนาของพระโคดมผู้เจริญแจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ คือความเลื่อมใสของข้าพระองค์ เพราะอาศัยพระธรรมเทศนาของพระโคดมผู้เจริญแจ่มแจ้งนัก หรือชมเชยพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแล หมายถึงประโยชน์อย่างละ ๒ อย่างคือ พระดำรัสของพระโคดมผู้เจริญ แจ่มแจ้งนักเพราะยังโทสะให้พินาศ แจ่มแจ้งนักเพราะบรรลุคุณ.
               อนึ่ง ผู้ศึกษาพึงประกอบด้วยบททั้งหลายอย่างนี้ว่า เพราะให้เกิดศรัทธา เพราะให้เกิดปัญญา, เพราะมีอรรถ เพราะมีพยัญชนะ, เพราะบทตื้น เพราะอรรถลึก, เพราะไพเราะหู เพราะถึงใจ, เพราะไม่ยกตน เพราะไม่ข่มผู้อื่น, เพราะเย็นด้วยศีล เพราะผ่องแผ้วด้วยปัญญา, เพราะในทางอันพึงรื่นรมย์ เพราะกำจัดความมัวเมา, เพราะนอนเป็นสุข เพราะประโยชน์เกื้อกูลที่ต้องพิจารณา เป็นต้น แม้นอกนี้จากนั้น ชมเชยเทศนาเท่านั้นด้วยอุปมา ๔ ข้อ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ ความว่า ของที่วางคว่ำปาก หรือมีปากคว่ำ. บทว่า อุกฺกุชฺเชยฺย ได้แก่ กระทำปากขึ้น. บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ ได้แก่ อันวัตถุทั้งหลายมีหญ้าเป็นต้นปกปิดแล้ว. บทว่า วิวเรยฺย ได้แก่ เปิดขึ้น. บทว่า มูฬฺหสฺส ได้แก่ ผู้หลงทิศ. บทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ความว่า จับเขาที่แขนแล้วพึงบอกว่า นั่นทาง. บทว่า อนฺธกาเร ได้แก่ ในที่มืดมีองค์ ๔ คือ แรม ๑๔ ค่ำแห่งกาฬปักษ์ ๑ ราตรีข้างแรม ๑ ป่าพงดงทึบ ๑ แผ่นเมฆ ๑.
               เนื้อความแห่งบทเท่านี้ก่อน ส่วนการประกอบอธิบาย ดังนี้ :-
               พระโคดมผู้เจริญทรงยังข้าพระองค์ผู้หันหลังให้พระสัทธรรม ผู้ตกอยู่ในอสัทธรรมให้ออกจากอสัทธรรม เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ ทรงเปิดพระศาสนาอันปกปิดแล้วด้วยรกชัฏ คือมิจฉาทิฏฐิ จำเดิมแต่พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป อันตรธานเปรียบเหมือนเปิดของที่ปิด ทรงบอกทางสวรรค์และทางพระนิพพานแก่ข้าพระองค์ผู้ปฏิบัติทางชั่วทางผิด เปรียบเหมือนบอกทางแก่ผู้หลงทาง ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เพราะทรงแสดงโดยปริยายเหล่านั้น โดยตามประทีป คือเทศนาอันกำจัดความมืดที่ปกปิดธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์ผู้จมอยู่ในความมืดคือโมหะ ไม่เห็นอยู่ซึ่งรูปรัตนะมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เปรียบเหมือนตามประทีปน้ำมันไว้ในที่มืด ฉะนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ตามมติบางอย่าง เพราะธรรมนี้เป็นเช่นกับหงายของที่คว่ำ ด้วยการเห็นทุกข์ และด้วยการละวิปลาสในสิ่งที่ไม่งามว่าเป็นสิ่งที่งาม, เป็นเช่นกับเปิดของที่ปิด ด้วยการเห็นสมุทัย และด้วยการละวิปลาสในทุกข์ว่าสุข, เป็นเช่นกับบอกทางแก่ผู้หลงทาง ด้วยการเห็นนิโรธ และด้วยการละวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง, เป็นเช่นกับตามประทีปในที่มืด ด้วยการเห็นมรรค และด้วยการละวิปลาสในอนัตตาว่าเป็นอัตตา เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันประกาศแล้วอย่างนี้ว่า เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ ฯลฯ หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น.
               ก็เพราะในสูตรนี้ ทรงประกาศศีลขันธ์ด้วยศรัทธา ความเพียรและการคุ้มครองกายเป็นต้น ทรงประกาศปัญญาขันธ์ด้วยปัญญา ทรงประกาศสมาธิขันธ์ด้วยหิริและใจเป็นต้น ทรงประกาศนิโรธด้วยธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ เพราะฉะนั้น จึงทรงประกาศขันธ์ ๓ อริยสัจ ๒ อย่าง โดยย่อว่า อริยมรรคและนิโรธด้วยประการฉะนี้ ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ในพระสูตรนั้น โดยปฏิปักษ์ว่า มรรคเป็นปฏิปักษ์ต่อสมุทัย นิโรธเป็นปฏิปักษ์ทุกข์ โดยปริยาย ๒ ดังกล่าวแล้วนี้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย.
               ในบทว่า เอสาหํ เป็นต้น เรานั้น ชื่อว่า เอสาหํ.
               บทว่า สรณํ คจฺฉามิ ความว่า พราหมณ์หมอบลงแทบพระบาท ถึงด้วยสรณคมน์ตลอดชีวิตก็ตาม บัดนี้ เมื่อยินดี จึงกราบทูลด้วยวาจา. หรือถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นสรณะตลอดชีวิต บัดนี้ ทำพระพุทธเจ้านั้นให้เป็นต้น จึงกราบทูลเพื่อถึงพระธรรมและพระสงฆ์ที่เหลือด้วย.
               บทว่า อชฺชตคฺเค ได้แก่ ทําวันนี้ให้เป็นต้น. หรือว่า อชฺชทคฺเค อักษรทำการเชื่อมบท. มีอธิบายว่า ทำวันนี้เป็นเลิศ. ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ชื่อว่า ปาณุเปตํ. มีอธิบายว่า ชีวิตของข้าพระองค์ยังเป็นไปอยู่ตราบใด ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำ คือทรงรู้ข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต คือผู้ถึงสรณะด้วยสรณคมน์ ๓ ไม่มีศาสดาอื่นเป็นสรณะตราบนั้น.
               การปฏิบัติอันสมควรแก่สุตะเป็นอันพราหมณ์นี้แสดงแล้ว ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               อีกอย่างหนึ่ง พราหมณ์นี้แสดงสมบัติของพระศาสดา ด้วยคำว่าของที่คว่ำเป็นต้น แสดงสมบัติของศิษย์ด้วยบทเป็นต้นว่า เอสาหํ นี้. หรือแสดงการได้ปัญญาด้วยบทนั้น แสดงการได้ศรัทธาด้วยบทนี้.
               บัดนี้ มีความประสงค์เพื่อทำกิจอันผู้มีปัญญาได้ศรัทธาแล้วจะพึงทำ จึงทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ลเภยฺยาหํ. พราหมณ์มีจิตเลื่อมใสยิ่งในบรรพชานั้น ด้วยอิทธิฤทธิ์เป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลขอบรรพชาด้วยศรัทธาว่า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงสละจักรพรรดิราชสมบัติแล้ว ทรงบรรพชา ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงเราเล่า เมื่อปรารถนาความเป็นผู้ทำบริบูรณ์ในบรรพชานั้น จึงทูลขออุปสมบทด้วยปัญญา.
               บทที่เหลือปรากฏชัดแล้ว.
               ก็บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในบทว่า เอโก วูปกฏฺโฐ เป็นต้น
               ท่านพระภารทวาชะอยู่ผู้เดียวด้วยกายวิเวก หลีกออกจากหมู่ด้วยจิตวิเวก ไม่ประมาทด้วยการไม่ปล่อยสติในกรรมฐาน มีความเพียรด้วยความเพียรกล่าวคือความเพียรทางกายและทางจิต มีใจเด็ดเดี่ยว ด้วยความไม่เห็นแก่กายและชีวิต อยู่ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างหนึ่ง.
               บทว่า นจิรสฺเสว กล่าวมุ่งถึงบรรพชา.
               บทว่า กุลปุตฺตา ได้แก่ กุลบุตร ๒ อย่าง คือ ชาติกุลบุตร ๑ อาจารกุลบุตร ๑.
               ก็กุลบุตรนี้ ประสงค์เอาแม้ทั้ง ๒ อย่าง.
               บทว่า อคารสฺมา ได้แก่ จากเรือน. ก็การงานในการเลี้ยงดูของกุฏุมพีมีการทํานาและเลี้ยงโคเป็นต้น เรียกว่ากิจของผู้ครองเรือนนั้น. กิจในการครองเรือนย่อมไม่มีในบรรพชานั้น เพราะเหตุนั้น บรรพชานั้น จึงชื่อว่า อนคาริยะ. คำว่า อนคาริยะ นี้เป็นชื่อของบรรพชา.
               บทว่า ปพฺพชนฺติ พรหมจรรย์นั้นจึงชื่อว่า ตทนุตตระ. บทว่า พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ได้แก่ ที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์. อธิบายว่า พระอรหัตผล.
               จริงอยู่ กุลบุตรทั้งหลายย่อมบวชเพื่อประโยชน์แก่พระอรหัตผลนั้น.
               บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ได้แก่ ในอัตภาพนั้นเที่ยว.
               บทว่า สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ความว่า รู้ประจักษ์ด้วยปัญญาด้วยตนเองเท่านั้น คือรู้โดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย.
               บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหาสิ ความว่า บรรลุแล้ว หรือให้ถึงพร้อมแล้วอยู่.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงภูมิแห่งการพิจารณาของภารทวาชภิกษุนั้นด้วยบทนี้ว่า ก็อยู่อย่างนี้แล้ว ก็ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว ฯลฯ.
               ถามว่า ก็ชาติไหนของภารทวาชภิกษุนั้น สิ้นแล้ว และได้รู้ชัดซึ่งชาตินั้นอย่างไร?
               ตอบว่า ชาติอดีตของภิกษุนั้น ไม่สิ้นก่อน เพราะได้สิ้นแล้วในอดีตเทียว ชาติอนาคตก็ไม่สิ้นแล้ว เพราะไม่มีความพยายาม ชาติปัจจุบันก็ไม่สิ้นแล้ว เพราะชาติยังมีอยู่ แต่ชาติใดอันต่างด้วยขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่และขันธ์ห้า ในเอกภพ จตุภพ และปัญจโวการภพพึงเกิดขึ้น เพราะความที่มรรคยังไม่อบรมแล้ว ชาตินั้น ชื่อว่าสิ้นแล้วโดยถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะความที่มรรคได้อบรมแล้ว. ภิกษุนั้นพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ด้วยมรรคภาวนา รู้อยู่ว่า กรรมแม้มีอยู่ในเพราะไม่มีกิเลส จึงไม่มีปฏิสนธิต่อไป ชื่อว่า ย่อมรู้ชาตินั้น.
               บทว่า วุสิตํ ความว่า อยู่จบแล้ว คือ ทำแล้ว อยู่จบรอบแล้ว
               อธิบายว่า กระทำแล้ว ประพฤติแล้ว ให้จบแล้ว.
               บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ มรรคพรหมจรรย์.
               บทว่า กตํ กรณียํ ความว่า กิจ ๑๖ อย่างด้วยอำนาจแห่งปริญญาภาวนา ปหานภาวนา และสัจฉิกิริยาภาวนาด้วยมรรค ๔ ในสัจจะ ๔ ให้จบแล้ว.
               บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า มรรคภาวนาเพื่อความเป็นอย่างนี้ คือเพื่อความเป็นกิจ ๑๖ อย่าง หรือเพื่อความสิ้นกิเลส มิได้มีอีกในบัดนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิตฺถตฺตาย ความว่า รู้ชัดว่า ขันธสันดานอื่นจากขันธสันดานอันเป็นไปอยู่ในปัจจุบันนี้ มีประการอย่างนี้ โดยความเป็นอย่างนี้ มิได้มี แต่ขันธ์ ๕ เหล่านี้ได้กำหนดรู้แล้ว ดำรงอยู่ดุจต้นไม้ที่มีรากขาดแล้วฉะนั้น.
               บทว่า อญฺญตโร ได้แก่ รูปหนึ่ง.
               บทว่า อรหตํ ความว่า ท่านพระภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์ภายในพระมหาสาวกแห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ได้ยินว่า นี้เป็นอธิบายในกสิภารทวาชสูตรนี้แล.

               จบกสิภารทวาชสุตตวัณณนา               
               แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย               
               ชื่อ ปรมัตถโชติกา               
               --------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค กสิภารทวาชสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 296อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 297อ่านอรรถกถา 25 / 302อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=7102&Z=7176
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=28&A=3224
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=28&A=3224
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :