ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 77อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 78อ่านอรรถกถา 25 / 79อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน นันทวรรคที่ ๓ ปิลินทวัจฉสูตร

               อรรถกถาปิลินทวัจฉสูตร               
               ปิลินทวัจฉสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ปิลินฺทวจฺโฉ ความว่า บทว่า ปิลินทะ เป็นชื่อของพระเถระ ชนทั้งหลายจำพระเถระได้ โดยโคตรว่า วัจฉะ.
               บทว่า วสลวาเทน สมุทาจรติ ความว่า พระเถระย่อมกล่าว ย่อมเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย โดยนัยมีอาทิว่า มาเถอะ คนถ่อย หลีกไปเถอะ คนถ่อย.
               บทว่า สมฺพหุลา ภิกฺขู แปลว่า ภิกษุเป็นอันมาก.
               ภิกษุเหล่านั้นเห็นพระเถระร้องเรียกเช่นนั้น เมื่อไม่รู้ว่า พระเถระเป็นพระอรหันต์ กล่าวอย่างนั้นเพราะยังละวาสนาไม่ได้ จึงคิดว่า พระเถระนี้เห็นจะเป็นผู้มุ่งร้าย จึงร้องเรียกอย่างนี้ มีประสงค์จะพูดอวด จึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะให้ออกจากความเป็นผู้มุ่งร้ายนั้น.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านปิลินทวัจฉะเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย.
               ส่วนเกจิอาจารย์กล่าวว่า ภิกษุทั้งหลายจำพระเถระนี้ได้ว่า เป็นพระอรหันต์ คิดว่า ก็พระเถระนี้เรียกภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ ด้วยคำหยาบอุตริมนุสธรรมในพระเถระนี้ เห็นจะไม่มีจริงกระมัง ดังนี้ ไม่รู้การเรียกอย่างนั้นของท่านด้วยอำนาจวาสนา และไม่เชื่อว่าท่านเป็นพระอริยะ จึงสำคัญในการเพ่งโทษ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะทรงประกาศว่า พระเถระไม่มีความมุ่งร้าย จึงรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งเรียกเธอมาแล้ว ตรัสแก่เธอต่อหน้าว่า ภิกษุนี้เรียกอย่างนั้น ด้วยเหตุที่เคยชินมาในกาลก่อน หาได้ประสงค์ในการกล่าวคำหยาบไม่.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
               ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมา ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ มนสิกริตฺวา ความว่า พระศาสดาตรัสถามพระเถระว่า วัจฉะ ได้ยินว่า เธอเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย จริงหรือ เมื่อพระเถระกราบทูลว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า เมื่อทรงรำพึงว่า วัจฉะนี้ไม่สละวาทะว่าคนถ่อย เพราะวาสนาอันเศร้าหมอง แม้ในอัตภาพอันเป็นอดีต เธอก็ได้เกิดในชาติพราหมณ์ หรือหนอ จึงทรงมนสิการถึงขันธสันดานที่เธอเคยอยู่ในอดีตชาติ อันเป็นที่อยู่แห่งขันธ์ในปางก่อนของเธอ ด้วยบุพเพนิวาสญาณ และสัพพัญญุตญาณ คือกระทำไว้ในพระทัยของพระองค์ โดยกระทำให้ประจักษ์ เหมือนผลมะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือ.
               บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า ตรัสเรียก เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอม. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มา โข ตุมฺเห ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า มา เป็นนิบาตใช้ในอรรถปฏิเสธ. มา ศัพท์นั้นเชื่อมกับบทท่า อุชฺฌายิตฺถ นี้. บทว่า มา อุชฺฌายิตฺถ ความว่า พวกเธออย่าคิด คือมองดูไปทางต่ำ. ก็บทว่า วจฺฉสฺส ภิกฺขุโน เป็นจตุตถีวิภัตติ เพราะการเพ่งโทษเป็นการริษยา.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุในความที่เธอไม่ควรจะเพ่งโทษ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย วัจฉะหาได้มุ่งร้ายเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อยไม่.
               พระดำรัสนั้นมีใจความดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย วัจฉะนี้หามุ่งร้าย มีจิตคิดประทุษร้าย มีจิตถูกโทสะ พยาบาทประทุษร้าย เรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อยไม่ เธอถอนพยาบาทได้ด้วยมรรคนั่นเอง. เมื่อจะทรงแสดงเหตุอันสำเร็จมาแต่ชาติก่อนแห่งการเรียกเช่นนั้นของเธอ แม้ในเมื่อเธอไม่มีความมุ่งร้ายด้วยประการอย่างนี้ จึงตรัสว่า วจฺฉสฺส ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อพฺโพกิณฺณา ได้แก่ ไม่เจือปน คือไม่มีลำดับขั้นโดยลำดับแห่งชาติ มีขัตติยชาติเป็นต้น.
               บทว่า ปญฺจ สตานิ พฺราหฺมณกุเล ปจฺจาชาตานิ ความว่า วัจฉะได้เกิดเฉพาะในสกุลพราหมณ์ตามลำดับชาติทั้งหมด ถึง ๕๐๐ ชาติ.
               บทว่า โส ตสฺส วสลวาโท ทีฆรตฺตํ สมุทาจิณฺโณ ความว่า วาทะคนถ่อยของวัจฉภิกษุนั้น ซึ่งเธอแม้เป็นพระขีณาสพก็ยังประพฤติอยู่ในบัดนี้ เป็นวาทะที่เธอสั่งสมประพฤติมาตลอดกาลนาน เพราะเธอเกิดเป็นชาติพราหมณ์เป็นเวลาประมาณ ๕๐๐ ชาติ โดยยกขึ้นเบื้องสูงนับแต่ชาตินี้ไป. จริงอยู่ พราหมณ์ทั้งหลายเป็นผู้กระด้างด้วยมานะที่สำเร็จมาแต่ชาติ จึงร้องเรียกผู้อื่นด้วยวาทะว่าคนถ่อย.
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อชฺฌาจิณฺโณ ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า เตน ความว่า ด้วยภาวะที่เธอเคยประพฤติมาเช่นนั้นตลอดกาลนาน. ด้วยคำนั้น ทรงแสดงว่า เป็นเหตุ คือเป็นวาสนาของการร้องเรียกเช่นนั้นของเธอ.
               ก็ชื่อว่าวาสนานี้ คืออะไร?
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า คืออธิมุตติ ปานประหนึ่งสักว่าความสามารถ อันกิเลสที่เธออบรมมาตลอดกาลหาเบื้องต้นมิได้ ติดอยู่ อันเป็นเหตุแห่งความประพฤติ เหมือนความประพฤติของคนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ในสันดาน แม้ของท่านผู้เว้นจากกิเลสได้แล้ว. ก็ว่าด้วยการละกิเลสเครื่องกางกั้นไญยธรรมด้วยความสมบูรณ์แห่งอภินิหาร เหตุแห่งความประพฤตินี้นั้น ไม่มีในสันดานของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีในสันดานของพระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังละกิเลสอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพระตถาคตเท่านั้นทรงเห็นอนาวรณญาณ.
               บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบอรรถนี้ กล่าวคือความไม่มีการมุ่งร้าย ในเมื่อท่านปิลินทวัจฉะ แม้จะเรียกผู้อื่นว่าคนถ่อย.
               บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้อันประกาศการบรรลุพระอรหัตผลของเธอ.
               บทว่า ยมฺหิ น วสติ น มาโน ความว่า มายามีลักษณะปกปิดโทษที่มีอยู่ และมานะมีลักษณะพองขึ้นอันเป็นไปด้วยการยกย่อง โดยนัยมีอาทิว่า เราเป็นผู้ประเสริฐ ดังนี้ ย่อมไม่อยู่ในพระอริยบุคคลใด คือไม่เป็นไป ไม่เกิดขึ้น เพราะท่านถอนได้แล้วด้วยมรรคจิต.
               บทว่า โย วีตโลโภ อมโม นิราโส ความว่า ก็บุคคลใด ชื่อว่าปราศจากโลภะ เพราะปราศจากโลภะ อันมีลักษณะยึดอารมณ์โดยประการทั้งปวง อันเป็นไปโดยปริยายแห่งกิเลสมีราคะเป็นต้น ชื่อว่าไม่ยึดว่าเป็นของเรา คือไม่หวงแหน เพราะไม่มีการยึดถือในอารมณ์ มีรูปเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าเป็นของเรานั่นแหละ ชื่อว่าหมดความหวัง เพราะไม่หวังภพเป็นต้น แม้ที่เป็นอนาคต.
               บทว่า ปนุณฺณโกโธ ความว่า ชื่อว่ากำจัดความโกรธได้แล้ว คือถอนอาฆาตได้แล้ว เพราะละความโกรธซึ่งมีลักษณะขุ่นเคือง โดยประการทั้งปวง ด้วยอนาคามิมรรค.
               บทว่า อภินิพฺพุตตฺโต ความว่า บุคคลใดมีจิตเย็นสนิท คือเยือกเย็น ด้วยการดับสนิทซึ่งกิเลสโดยประการทั้งปวง เพราะถอนมายา มานะ โลภะ และโกธะได้ และเพราะละธรรมอันเป็นฝ่ายสังกิเลสทั้งปวงได้เด็ดขาด โดยความที่สังกิเลสเหล่านั้นตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับมายาเป็นต้นนั้น.
               บทว่า โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ ความว่า บุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น เป็นพระขีณาสพ ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาปโดยประการทั้งปวง. ผู้นั้นแหละชื่อว่าสมณะ เพราะเป็นผู้สงบบาป และเป็นผู้ประพฤติสม่ำเสมอ. และผู้นั้นแหละชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ทำลายกิเลสโดยประการทั้งปวง.
               ภิกษุทั้งหลาย วัจฉะผู้เป็นอย่างนั้นนั่นแหละพึงเป็นผู้มุ่งร้ายทำกายกรรมเป็นต้นไรๆ ให้เป็นไปอย่างไร ก็เธอย่อมร้องเรียกด้วยวาทะว่าคนถ่อย เพราะยังละวาสนาไม่ได้อย่างเดียวแล.

               จบอรรถกถาปิลินทวัจฉสูตรที่ ๖               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน นันทวรรคที่ ๓ ปิลินทวัจฉสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 77อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 78อ่านอรรถกถา 25 / 79อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=2278&Z=2306
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=26&A=4554
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=26&A=4554
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :