ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2372 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2387 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2406 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา ปัณฑรกชาดก
ว่าด้วย ไม่ควรบอกความลับแก่คนอื่น

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการที่พระเทวทัตทำมุสาวาทแล้วถูกแผ่นดินสูบ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วิกิณฺณวาจํ ดังนี้.
               ความย่อว่า เมื่อพวกภิกษุพากันกล่าวโทษพระเทวทัต ในคราวนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กระทำมุสาวาท ถูกแผ่นดินสูบแล้วเหมือนกันดังนี้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี พ่อค้า ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปยังมหาสมุทร ในวันคำรบเจ็ด สำเภาอันอยู่ในที่ซึ่งแลไม่เห็นฝั่ง ได้แตกลงในหลังมหาสมุทร ผู้คนได้เป็นเหยื่อแห่งปลาและเต่าหมด มีเหลือเพียงคนเดียว.
               ก็บุรุษที่เหลือคนเดียวนั้น ด้วยกำลังลมพัดลอยไปถึงท่าชื่อกทัมพิยะ เขาขึ้นจากทะเลได้แล้ว เปลือยกายล่อนจ้อน เที่ยวขอทานตามท่านั้น. มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาเข้าก็พากันสรรเสริญว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะ มักน้อยสันโดษ แล้วทำสักการะบูชา. เขาคิดว่า เราได้ช่องทางหาเลี้ยงชีพแล้ว แม้เมื่อชนเหล่านั้นให้เครื่องนุ่งห่ม ก็มิได้ปรารถนา ชนเหล่านั้นเข้าใจว่า สมณะผู้มักน้อยยิ่งกว่าท่านผู้นี้ไม่มี ดังนี้แล้วพากันเลื่อมใสยิ่งขึ้น ช่วยกันสร้างอาศรมบทให้ชีเปลือยนั้นพำนักอยู่ที่นั้น. เขามีชื่อปรากฏว่ากทัมพิยอเจลก เมื่อเขาอยู่ ณ ที่นั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย.
               พญานาคราชตนหนึ่งกับพญาครุฑตนหนึ่ง พากันมายังที่บำรุงของชีเปลือยนั้น ในพญาสัตว์ทั้งสองนั้น พญานาคชื่อว่า ปัณฑรกนาคราช.
               อยู่มาวันหนึ่ง พญาครุฑไปยังสำนักชีเปลือยนั้น ไหว้แล้วจับอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ ญาติของกระผม เมื่อจับพวกนาคย่อมพินาศไปเสียมากมาย เพราะพวกกระผมไม่รู้วิธีที่จะจับนาค ได้ยินว่าเหตุที่ซ่อนเร้นของพวกนาคเหล่านั้นมีอยู่ ท่านจะสามารถหรือหนอ เพื่อประเล้าประโลมถามเหตุนั้นกะพวกนาค.
               ชีเปลือยรับคำแล้ว ครั้นพญาครุฑไหว้แล้วลากลับไป.
               ในเวลาที่พญานาคมาหา จึงถามพญานาคผู้ไหว้แล้วนั่งพักอยู่ว่า พญานาคเอ๋ย เขาว่า เมื่อพวกครุฑจับพวกท่าน ต้องพินาศไปมากมาย ทำไมเมื่อมันจะจับพวกท่าน จึงไม่สามารถจะจับได้?
               พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ ข้อนี้เป็นเหตุซ่อนเร้นลึกลับของพวกกระผม เมื่อกระผมบอกเหตุนี้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่านำความตายมาให้แก่หมู่ญาติ.
               ชีเปลือยจึงพูดว่า อาวุโส ก็ท่านเข้าใจว่า คนอย่างเรานี้จักบอกแก่คนอื่นอย่างนี้หรือ เราจักไม่บอกแก่คนอื่นเลย ก็เราถามเนื่องด้วยตนอยากจะรู้ ท่านเชื่อเราแล้วต้องปลอดภัย จงบอกเถิด.
               พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ กระผมบอกไม่ได้ ไหว้แล้วก็ลาหลีกไป.
               แม้ในวันรุ่งขึ้น ชีเปลือยก็ถามอีก แม้ถึงอย่างนั้น พญานาคก็ไม่ยอมบอกดุจเดิม.
               ครั้นต่อมาในวันที่ ๓ ชีเปลือยจึงถามพญานาคผู้มานั่งอยู่ว่า วันนี้เป็นวันที่ ๓ เมื่อเราถาม ทำไมท่านจึงไม่บอก?
               พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ เพราะกระผมกลัวว่าท่านจักบอกแก่คนอื่น. ชีเปลือยย้ำว่า เราจักไม่บอกใคร ท่านปลอดภัยแน่ จงบอกเถิด.
               พญานาคจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าเช่นนั้น ท่านโปรดอย่าบอกคนอื่นเลย รับปฏิญญาแล้ว จึงบอกว่า ท่านขอรับ พวกกระผมกลืนกินก้อนหินใหญ่เข้าไว้ ทำตัวให้หนักนอนอยู่ ในเวลาพวกครุฑมา ก็ยื่นหน้าออกแยกเขี้ยวคอยจะขบครุฑ พวกครุฑมาถึงก็จับศีรษะของพวกกระผมไว้ เมื่อมันพยายามจะฉุดพวกกระผม ซึ่งเป็นเหมือนภาระหนักอึ้งนอนอยู่ขึ้น น้ำก็ท่วมทับมัน พวกมันก็ตายภายในน้ำนั้นเอง ด้วยเหตุนี้ พวกครุฑจึงพินาศไปเป็นจำนวนมาก เมื่อพวกมันจะจับพวกกระผม ทำไมจะต้องจับที่ศีรษะ พวกครุฑโง่ๆ จะต้องจับที่ขนดหาง ทำให้พวกกระผมมีศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ ให้สำรอกอาหารที่กลืนไว้ออกทางปาก ทำตัวให้เบาแล้วอาจจะจับไปได้
               พญานาคบอกเหตุเร้นลับของตนแก่ชีเปลือยผู้ทุศีล ด้วยประการฉะนี้.
               ครั้นเมื่อพญานาคลากลับไปแล้ว ต่อมาพญาครุฑมาไหว้กทัมพิยอเจลกแล้วถามว่า ท่านขอรับ ท่านถามเหตุซ่อนเร้นของพญานาคแล้วหรือ?
               ชีเปลือยตอบว่า เอออาวุโส แล้วบอกความตามที่พญานาคบอกแก่ตนนั้นทุกประการ.
               พญาครุฑได้ฟังเช่นนั้นจึงคิดว่า พญานาคทำกรรมที่ไม่สมควรเสียแล้ว ธรรมดาลู่ทางที่จะให้มวลญาติฉิบหาย ไม่ควรบอกแก่คนอื่นเลย ถึงทีเราแล้ว วันนี้ควรที่เราจะต้องทำลมกำลังสุบรรณ จับปัณฑรกนาคราชนี้ก่อนทีเดียว. พญาครุฑนั้นก็กระทำลมกำลังสุบรรณ จับปัณฑรกนาคราชทางขนดหางทำให้มีศีรษะห้อยลง ทำให้สำรอกอาหารที่กลืนเข้าไป แล้วโผขึ้นบินไปในอากาศ.
               ปัณฑรกนาคราช เมื่อต้องห้อยศีรษะลงในอากาศ ก็ปริเทวนาการว่า เรานำทุกข์มาให้แก่ตัวเองแท้ๆ กล่าวคาถาความว่า
               ภัยเกิดจากตนเอง ย่อมตามถึงบุคคลผู้ไร้ปัญญา พูดพล่อยๆ ไม่ปิดบังความรู้ ขาดความระมัดระวัง ขาดความพินิจพิจารณา เหมือนครุฑตามถึงเราผู้ปัณฑรกนาคราช ฉะนั้น.
               นรชนใดยินดีบอกมนต์ลึกลับที่ตนควรจะรักษาแก่คนชั่ว เพราะความหลง ภัยย่อมตามถึงนรชนนั้นผู้มีมนต์อันแพร่งพรายแล้วโดยพลัน เหมือนครุฑตามถึงเราผู้ปัณฑรกนาคราช ฉะนั้น.
               มิตรเทียมไม่ควรจะให้รู้เหตุสำคัญอันลึกลับ ถึงมิตรแท้แต่เป็นคนโง่ หรือมีปัญญาแต่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรจะให้รู้ความลับเหมือนกัน.
               เราได้ถึงความคุ้นเคยกับชีเปลือย ด้วยเข้าใจว่า สมณะนี้โลกเขานับถือ มีตนอบรมดีแล้ว ได้บอกเปิดเผยความลับแก่มัน จึงได้ล่วงเลยประโยชน์ ร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้า ฉะนั้น.
               ดูก่อนพญาครุฑที่ประเสริฐ เมื่อก่อนเรามีวาจาปกปิด ไม่บอกความลับแก่มัน แต่ก็ไม่อาจระมัดระวังได้ แท้จริง ภัยได้มาถึงเราจากทางชีเปลือยนั้น เราจึงได้ล่วงเลยประโยชน์ ร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้า ฉะนั้น.
               นรชนใดสำคัญว่า ผู้นี้มีใจดี บอกความลับกะคนสกุลทราม นรชนนั้นเป็นคนโง่เขลา ทรุดโทรมลงโดยไม่ต้องสงสัย เพราะโทสาคติ ภยาคติ หรือเพราะฉันทาคติ.
               ผู้ใดปากบอนนับเข้าในพวกอสัตบุรุษ ชอบกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมชน นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่า ผู้มีปากชั่วร้าย คล้ายอสรพิษ ควรระมัดระวังคนเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล.
               เราได้ละทิ้ง ข้าว น้ำ ผ้าแคว้นกาสี และจุรณจันทน์ สตรีที่เจริญใจดอกไม้และเครื่องชโลมทาซึ่งเป็นส่วนกามารมณ์ทั้งปวงไปหมดแล้ว ดูก่อนพญาครุฑ เราขอถึงท่านเป็นสรณะด้วยชีวิต.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิกิณฺณวาจํ ได้แก่ ผู้มีวาจาแผ่ไปแล้ว.
               บทว่า อนิคุยฺหมนฺตํ ได้แก่ ผู้มีความรู้ไม่ปกปิด.
               บทว่า อสญฺญตํ ได้แก่ ผู้ไม่สามารถเพื่อจะรักษากายทวารเป็นต้นได้.
               บทว่า อปริจกฺขิตารํ ความว่า ผู้ไม่สามารถที่จะตรวจตราใคร่ครวญดูว่า ผู้นี้จักสามารถ หรือจักไม่สามารถที่จะรักษามนต์ที่เราบอกแล้ว.
               บทว่า ภยํ ตมนฺเวติ ความว่า ผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้.
               บทว่า อโพธํ ความว่า ภัยอันตนเองนั่นแหละกระทำย่อมตามถึงบุคคลผู้ไร้ปัญญา เหมือนพญาครุฑตามถึงเรา ผู้ชื่อปัณฑรกนาคราชฉะนั้น.
               บทว่า สํสติ หาสมาโน ความว่า ผู้ใดยินดีบอกมนต์ลึกลับที่ตนควรจะรักษาแก่คนชั่วผู้ไม่สามารถจะรักษาได้.
               บทว่า นานุมิตฺโต ความว่า พญาปัณฑรกนาคราชปริเทวนาการว่า ผู้ใดเป็นมิตรเพียงแต่คอยคล้อยตาม มิใช่เป็นมิตรด้วยหทัย ผู้นั้นไม่ควรบอกเนื้อความอันเร้นลับ.
               บทว่า อสมฺพุทฺธํ ความว่า เป็นคนโง่ คือไม่รู้. อธิบายว่า ไม่มีปัญญา.
               บทว่า สมฺพุทฺธํ ความว่า เป็นคนฉลาด คือรู้. อธิบายว่า มีปัญญา.
               มีคำอธิบายดังนี้ แม้ผู้ใดเป็นมิตรมีใจดี แม้ไม่มีปัญญาก็ตาม และผู้ใดแม้จะมีปัญญาแต่มีความประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์ คือมีความประพฤติที่โน้มเอียงไปในอนัตถะ แม้ผู้นั้นย่อมไม่ควรจะให้รู้ความลับ.
               บทว่า สมโณ อยํ ความว่า พญานาคนั้นปริเทวนาการอยู่ว่า เราสำคัญว่า ผู้นี้เป็นสมณะด้วยโลกเขายกย่องนับถือด้วย มีตนอันอบรมแล้วด้วย จึงถึงความคุ้นเคยในมัน.
               บทว่า อกฺขึ แปลว่า บอกแล้ว.
               บทว่า อตีตมตฺโถ ความว่า บัดนี้เราขาดประโยชน์แล้ว คือเป็นผู้ล่วงเลยประโยชน์แล้ว ต้องร้องไห้ดุจคนกำพร้า.
               บทว่า ตสฺส ความว่า แก่อเจลกนั้น.
               พญานาคราชเรียกพญาครุฑว่า พรหม พญาครุฑที่ประเสริฐ.
               บทว่า สํยเมตุํ ความว่า เราไม่สามารถจะรักษาวาจาอันเร้นลับ คือเหตุอันลึกลับนี้ได้.
               บทว่า ตปฺปกฺขโต หิ ความว่า พญานาคปริเทวนาการว่า บัดนี้ภัยมาถึงเราแล้วจากทางฝ่าย คือจากสำนักของชีเปลือยนั้น เราขาดประโยชน์แล้ว ต้องร้องไห้ดุจคนกำพร้าอยู่อย่างนี้.
               บทว่า สุหทํ ความว่า คนใดสำคัญว่า ผู้นี้มีใจประสงค์ดีต่อเรา.
               บทว่า ทุกฺกุลีเน ได้แก่ผู้เกิดในสกุลชั่วคือสกุลต่ำ.
               บทว่า โทสา ความว่า ผู้ใดบอกความลับเห็นปานนี้ ด้วยเหตุมีโทสาคติเป็นต้นเหล่านี้ ผู้นั้นเป็นคนโง่ ตกต่ำ หมุนไปถึงความเลวทราม ชื่อว่าเสื่อมแล้วแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย.
               บทว่า ติโรกฺขวาโจ ผู้ใดชื่อว่ามีวาจาไม่ปกปิด เพราะทำถ้อยคำที่ตนประสงค์จะพูดไว้ในภายนอก.
               บทว่า อสตํ ปวิฏฺโฐ ความว่า นับเข้าในจำนวนอสัตบุรุษ คือนับเนื่องในพวกอสัตบุรุษ.
               บทว่า สงฺคตีสุ มุทิเร ความว่า ผู้ใดมีลักษณะอย่างนี้ คือได้ยินความลับของคนอื่นแล้ว แพร่งพรายในท่ามกลางประชุมชนว่า สิ่งโน้นคนโน้นทำ คำนี้คนโน้นพูด ดังนี้ นักปราชญ์เรียกคนเช่นนั้นว่ามีปากชั่ว มีปากเหม็น คล้ายอสรพิษ ควรระมัดระวังคนเช่นนั้นแต่ไกลๆ คือควรงด ควรเว้นคนนั้นเสียแต่ไกลๆ ทีเดียว.
               บทว่า มาลุจฺฉาทนญฺจ ความว่า เราทอดทิ้งทิพยมาลา จตุคันธชาติและเครื่องชโลมทา.
               บทว่า โอหาย ความว่า วันนี้เราละ คือทอดทิ้งกามารมณ์ทั้งหมด มีข้าวทิพย์เป็นต้นเหล่านี้ไปแล้ว.
               บทว่า สุปณฺณ ปาณูปคตาว ตยมฺหา ความว่า ท่านพญาครุฑที่เจริญ เราเข้าถึงท่านด้วยชีวิต โปรดเป็นที่พึ่งแก่พวกเราเถิด.

               ปัณฑรกนาคราชมีศีรษะห้อยลงในอากาศ ปริเทวนาการด้วยคาถาทั้ง ๘ อยู่อย่างนี้.
               พญาครุฑได้ยินเสียงปริเทวนาการของพญานาคราชนั้น จึงติเตียนพญานาคราชนั้นว่า ท่านนาคราช ท่านบอกความลับของตนแก่ชีเปลือยแล้ว ทำไมบัดนี้จึงปริเทวนาการอยู่เล่า
               แล้วกล่าวคาถาความว่า
               ดูก่อนปัณฑรกนาคราช บรรดาสัตว์ทั้ง ๓ จำพวก คือสมณะ ครุฑและนาค ใครหนอควรจะได้รับคำติเตียนในโลกนี้ ที่จริงตัวท่านนั่นแหละควรจะได้รับ ท่านถูกครุฑจับเพราะเหตุไร.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนีธ ความว่า ในพวกเราทั้ง ๓ มีอยู่ ณ ที่นี้ ใครเล่า.
               บทว่า อิธ ในบทว่า อสฺมีธ นี้ เป็นเพียงนิบาต ความก็ว่าในโลกนี้.
               บทว่า ปาณภู ได้แก่ สัตว์มีชีวิต.
               บทว่า อถวา ตเวว ความว่า หรือท่านผู้เดียว.
               ในคาถานี้มีอธิบายดังนี้
               ในพวกเราทั้ง ๓ อย่าติเตียนชีเปลือยก่อน เพราะชีเปลือยนั้นถามความลับด้วยอุบาย ท่านอย่าติเตียนแม้สุบรรณ เพราะเราก็เป็นข้าศึกของท่านโดยตรง.
               บทว่า ปณฺฑรก คหิโต ความว่า สหายปัณฑรกนาคราชเอ๋ย ท่านลองคิดดูเถิดว่า เราถูกครุฑจับเพราะอะไร แล้วก็ติเตียนตนแต่เพียงผู้เดียว เพราะเมื่อท่านบอกความลับ นับว่าตนเองทำความฉิบหายแก่ตนเอง.

               ปัณฑรกนาคราชได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาความว่า
               ชีเปลือยนั้นเป็นผู้มีอัตภาพ อันเรายกย่องว่า เป็นสมณะ เป็นที่รักของเรา ทั้งเป็นผู้อันเรายกย่องด้วยใจจริง เราจึงบอกเปิดเผยความลับแก่มัน เราเป็นคนขาดประโยชน์แล้ว ต้องร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้าฉะนั้น.


               ลำดับนั้น พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๔ คาถาความว่า
               แท้จริง สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีเลยในแผ่นดิน ธรรมชาติเช่นกับปัญญาไม่ควรติเตียน คนในโลกนี้ย่อมบรรลุคุณวิเศษที่ยังไม่ได้ เพราะสัจจธรรม ปัญญาและทมะ.
               มารดาบิดาเป็นยอดเยี่ยมแห่งเผ่าพันธุ์ คนที่สามชื่อว่ามีความอนุเคราะห์แก่บุตรนั้น ไม่มีเลย เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรบอกความลับสำคัญ แม้แก่มารดาบิดานั้น.
               เมื่อบุคคลรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรแพร่งพรายความลับที่สำคัญ แม้แก่บิดามารดา พี่สาว น้องสาว พี่ชาย น้องชาย หรือแก่สหาย แก่ญาติฝ่ายเดียวกับตน.
               ถ้าภรรยาสาวพูดไพเราะ ถึงพร้อมด้วยบุตรธิดา รูปและยศ ห้อมล้อมด้วยหมู่ญาติ จะพึงกล่าวอ้อนวอนสามีให้บอกความลับ เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก ไม่ควรแพร่งพรายความลับสำคัญ แม้แก่ภรรยานั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมโร ความว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีเลย.
                อักษรในบทว่า ปญฺญาวิธา นตฺถิ ทำการเชื่อมบท อธิบายว่า ชนิดของปัญญามีอยู่ ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ดูก่อนนาคราช แม้สัตว์ผู้จะไม่ตายไม่มีในโลกเลย ชนิดแห่งปัญญามีอยู่แท้ ชนิดแห่งปัญญา กล่าวคือส่วนแห่งปัญญาของผู้อื่นนั้น ไม่ควรนินทา เพราะเหตุชีวิตของตน.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปญฺญาวิธา ความว่า ธรรมชาติอื่นที่ ชื่อว่าไม่ควรนินทา เช่นกับปัญญาไม่มี เหตุไรท่านจึงนินทาชนิดแห่งปัญญานั้น.
               ปาฐะว่า เยสํ ปน ปญฺญาวิธํปิ น นินฺทิตพฺพํ ดังนี้ก็มี ความก็ว่า อนึ่ง แม้ชนิดแห่งปัญญาของคนเหล่าใด ไม่ควรนินทาชนิดแห่งปัญญาของคนเหล่านั้นโดยตรงทีเดียว.
               ในบททั้งหลาย มีอาทิว่า สจฺเจน นี้ มีอธิบายว่า คนในโลกนี้ย่อมประมวลมา คือนำมาซึ่งคุณวิเศษ กล่าวคือสมาบัติ ๘ มรรคผลและนิพพานที่ตนยังไม่ได้ คือได้ด้วยยาก ได้แก่ยังคุณวิเศษนั้นให้สำเร็จ ด้วยวจีสัจจะ ๑ สุจริตธรรม ๑ ธิติกล่าวคือปัญญา ๑ อินทริยทมะ การทรมานอินทรีย์ ๑ เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรติเตียนชีเปลือย จงติเตียนตัวเองผู้เดียวเถิด เพราะชีเปลือยเป็นคนมีปัญญา เป็นคนฉลาดในอุบาย จึงหลอกถามความลับ คือมนต์อันลึกลับ ท่านได้.
               บทว่า ปรมา ความว่า มารดาบิดาทั้งสองนี้ ชื่อว่าเป็นพงศ์พันธุ์อันสูงสุดของเผ่าพันธุ์.
               บทว่า นาสฺส ตติโย ความว่า คนที่สามอื่นจากมารดาบิดา จะชื่อว่าเอื้อเอ็นดู ย่อมไม่มีสำหรับบุคคลนั้น.
               อธิบายว่า คนฉลาดเมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก ไม่ควรบอกความลับอันสำคัญ แม้แก่มารดาบิดาทั้งสอง ตัวท่านเองกลับบอกความลับที่ตนมิได้บอกแก่มารดาบิดาแก่ชีเปลือย.
               บทว่า สหายา วา ได้แก่ มิตรผู้มีใจดี.
               บทว่า สปกฺขา ได้แก่ ญาติข้างฝ่ายมารดาบิดา ลุง อา น้าหญิงเป็นต้น.
               ด้วยบทว่า เตสํปิ นี้ พญาครุฑแสดงความว่า คนฉลาดไม่ควรบอกความลับแก่ญาติและมิตรแม้เหล่านี้ ท่านสิกลับบอกแก่ชีเปลือย ท่านจงโกรธตนของตนเองเถิด.
               บทว่า ภริยา เจ ความว่า ภรรยาสาวเจรจาน่ารัก ถึงพร้อมด้วยบุตรธิดา ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติและยศศักดิ์เห็นปานนี้ หากพูดว่า ท่านจงบอกความลับของท่านแก่เราดังนี้ คนฉลาดก็ไม่ควรบอกแม้แก่ภรรยานั้น.

               พญาครุฑกล่าวคำเป็นคาถาต่อไปอีก ความว่า
               บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับเลย ควรรักษาความลับนั้นไว้ เหมือนรักษาขุมทรัพย์ ความลับอันบุคคลอื่นรู้เข้าทำให้แพร่งพราย ไม่ดีเลย.
               คนฉลาดไม่ควรขยายความลับแก่สตรี ศัตรู คนมุ่งอามิส และแก่คนผู้หมายล้วงดวงใจ.
               คนใดให้ผู้ไม่มีความคิดล่วงรู้ความลับ ถึงแม้เขาจะเป็นคนใช้ของตน ก็จำต้องอดกลั้นไว้ เพราะกลัวความคิดจะแตก.
               คนมีประมาณเท่าใด รู้ความลับที่ปรึกษากันของบุรุษ คนประมาณเท่านั้นย่อมขู่ให้บุรุษนั้นหวาดกลัวได้ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรขยายความลับ.
               ในกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ควรพูดเปิดเผยความลับในที่สงัด ไม่ควรเปล่งวาจาให้เกินเวลา เพราะคนที่คอยแอบฟัง ก็จะได้ยินข้อความที่ปรึกษากัน เพราะเหตุนั้น ข้อความที่ปรึกษากัน ก็จะถึงความแพร่งพรายทันที.


               คาถาทั้ง ๕ คาถาจักมีแจ้งในบัณฑิตปัญหา ๕ ข้อ ในอุมมังคชาดก.
               พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๒ คาถาถัดนั้นไป ความว่า
               ผู้มีความคิดอันลี้ลับในโลกนี้ ย่อมปรากฏแก่เรา เปรียบเหมือนนครอันล้วนแล้วด้วยเหล็กใหญ่โตไม่มีประตู เจริญด้วยเรือนโรงล้วนแต่เหล็กประกอบด้วยคูอันขุดไว้โดยรอบ ฉะนั้น.
               ดูก่อนปัณฑรกนาคราชผู้มีลิ้นชั่ว คนจำพวกใดมีความคิดลี้ลับ ต้องไม่พูดแพร่งพราย มั่นคงในประโยชน์ของตน อมิตรทั้งหลายย่อมเว้นไกลจากคนจำพวกนั้น ดุจคนผู้รักชีวิตเว้นไกลจากหมู่อสรพิษฉะนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณฺฑสาลํ ความว่า ถึงพร้อมด้วยเรือนโรง มีร้านตลาดเป็นต้น.
               บทว่า สมนฺตขาตาปริขาอุเปตํ ความว่า ประกอบด้วยคูอันขุดรายไว้โดยรอบ.
               บทว่า เอวมฺปิ เม ความว่า บุรุษเหล่านั้นคือทุกจำพวกทีเดียว ผู้มีความลับในที่นี้ย่อมปรากฏแก่เราแม้ฉันนั้น.
               ท่านอธิบายความไว้ว่า เครื่องอุปโภคของประชาชนย่อมอยู่ภายในนครเหล็ก อันไม่มีประตูเข้าออกเท่านั้น คนที่อยู่ภายในก็ไม่ออกไปข้างนอก คนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่เข้าไปข้างใน ขาดการสัญจรไปมาติดต่อกันฉันใด บุรุษทั้งหลายผู้มีความคิดลี้ลับต้องเป็นฉันนั้น คือให้ความลับของตนจางหายไปภายในใจของตนผู้เดียว ไม่ต้องบอกแก่คนอื่น.
               บทว่า ทฬฺหา สทตฺเถสุ ความว่า เป็นผู้มั่งคั่งในประโยชน์ของตน.
               พญาครุฑเรียกปัณฑรกนาคราชว่า ทุชิวฺหา ผู้มีลิ้นชั่ว.
               บทว่า พฺยวชนฺติ แปลว่า ย่อมหลีกห่างไกล.
               บทว่า วา ในบาทคาถาว่า อาสีวิสา วาริว สตฺตสงฺฆา นี้เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า ดุจชุมชนผู้มุ่งจะมีชีวิตอยู่ เว้นไกลจากหมู่สัตว์ร้ายเหล่าอสรพิษฉะนั้น.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ศัตรูย่อมหลีกห่างไกลจากคน ผู้มีความคิดลี้ลับเหล่านั้น ดุจเหล่ามนุษย์ผู้มุ่งจะมีชีวิตอยู่ ย่อมเว้นไกลจากหมู่สัตว์ร้าย เหล่าอสรพิษฉะนั้น คือไม่ได้โอกาสที่จะเข้าใกล้.

               เมื่อพญาครุฑกล่าวธรรมอย่างนี้แล้ว ปัณฑรกนาคราชจึงกล่าวคาถาความว่า
               อเจลกชีเปลือย ละเรือนออกบวช มีศีรษะโล้น เที่ยวไปเพราะเหตุแห่งอาหาร เราได้ขยายความลับแก่มันซิหนอ เราจึงเป็นผู้ปราศจากประโยชน์และธรรม.
               ดูก่อนพญาครุฑ บุคคลผู้ละสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว มาประพฤติเป็นนักบวช มีการทำอย่างไร มีศีลอย่างไร ประพฤติพรตอย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะนั้นมีการทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงแดนสวรรค์.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆาสเหตุ ความว่า ชีเปลือยนั้นไม่มีสิริ เที่ยวแสวงหาของเคี้ยว ของฉัน เพื่อให้เต็มท้อง.
               บทว่า อปคตมฺหา ความว่า เราปราศจาก คือเป็นผู้เสื่อมจากอรรถและธรรมแล้ว.
               ครั้นพญานาคราชรู้อุบายวิธีเป็นสมณะของชีเปลือยแล้ว เมื่อจะถามข้อปฏิบัติของสมณะ จึงกล่าวคำนี้ว่า กถํกโร ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสีโล ความว่า ประกอบด้วยศีลอย่างไร?
               บทว่า เกน วเตน ความว่า สมณะชื่อว่ามีพรต เพราะสมาทานพรตอย่างไร.
               บทว่า สมโณ จรํ ความว่า ผู้ที่ประพฤติบรรพชาอยู่ ต้องละตัณหาที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว อย่างไรจึงจะชื่อว่าเป็นสมณะผู้ลอยบาปแล้ว.
               บทว่า สคฺคํ ความว่า สมณะนั้นต้องทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงเทพนครอันเลิศด้วยดี.

               พญาครุฑกล่าวตอบเป็นคาถา ความว่า
               บุคคลผู้ละสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว มาประพฤติเป็นนักบวช ต้องประกอบด้วยความละอาย ความอดกลั้น ความฝึกตน ความอดทน ไม่โกรธง่าย ละวาจาส่อเสียด จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะนั้นมีการกระทำอย่างนี้ จึงจะเข้าถึงแดนสวรรค์.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิริยา ความว่า แน่ะสหายนาคราช บุคคลผู้ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะอันเป็นสมุฏฐานทั้งภายในภายนอก ด้วยอธิวาสนขันตีกล่าวคือความอดกลั้น และประกอบด้วยการฝึกฝนทรมานอินทรีย์ มีปกติไม่โกรธ ละวาจาส่อเสียดและละตัณหากามารมณ์ได้แล้ว ประพฤติบรรพชาอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะผู้กระทำอย่างนี้แหละ เมื่อกระทำกุศลมีหิริเป็นต้นเหล่านี้ ย่อมเข้าถึงสุคติสถานได้.

               ปัณฑรกนาคราชได้ฟังธรรมกถาของพญาครุฑนี้แล้ว
               เมื่อจะอ้อนวอนขอชีวิต จึงกล่าวคาถาความว่า
               ข้าแต่พญาครุฑ ขอท่านจงปรากฏแก่ข้าพเจ้า เหมือนมารดาที่กกกอดลูกอ่อนที่เกิดแต่ตน แผ่ร่างกายทุกส่วนสัดปกป้อง หรือดุจมารดาผู้เอ็นดูบุตรฉะนั้นเถิด.


               คาถานั้นมีอธิบายดังนี้
               มารดาเห็นบุตรอ่อนที่เกิดแต่ตัว เกิดแล้วในสรีระของตน แล้วให้นอนในอ้อมอกให้ดื่มน้ำนม แผ่เรือนร่างทุกส่วนเพื่อปกป้องบุตรไว้ คือมารดาไม่ไปจากบุตร บุตรก็ไม่ไปจากมารดาฉันใด ท่านจงปรากฏแก่เราเหมือนฉันนั้นเถิด.
               บทว่า ทิชินฺท ความว่า ข้าแต่ราชาแห่งทิชชาติ แม้ท่านก็จงโปรดเห็นแก่เรา โปรดให้ชีวิตแก่เรา ดุจมารดาเอื้อเอ็นดูบุตรด้วยดวงหทัยอันอ่อนโยนฉะนั้นเถิด.

               ลำดับนั้น พญาครุฑ เมื่อจะให้ชีวิตแก่พญานาค จึงกล่าวคาถานอกนี้ความว่า
               ดูก่อนพญานาคราชผู้มีลิ้นชั่ว เอาเถอะ ท่านจงพ้นจากการถูกฆ่าในวันนี้ ก็บุตรมี ๓ จำพวก คือศิษย์ ๑ บุตรบุญธรรม ๑ บุตรตัว ๑ บุตรอื่นหามีไม่ ท่านยินดีจะเป็นบุตรจำพวกไหนของเรา.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุจฺจ แปลว่า จงพ้น. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะ พระบาลีก็เป็นอย่างนี้แหละ.
               บทว่า ทุชิวฺหา ความว่า พญาครุฑเรียกพญานาคราชนั้นว่า ทุชิวฺหา ผู้มีลิ้นชั่ว. อธิบายว่า ขึ้นชื่อบุตรที่ ๔ อื่นไม่มี.
               บทว่า อนฺเตวาสี ทินฺนโก อตฺรโช จ ได้แก่ บุตรผู้เล่าเรียนศิลปะหรือฟังปัญหาอยู่ในสำนัก.
               บทว่า ทินฺนโก ได้แก่ บุตรที่คนอื่นยกให้ว่า เด็กนี้จงเป็นลูกของท่าน.
               บทว่า รชสฺสุ แปลว่า จงยินดี.
               ด้วยบทว่า อญฺญตโร นี้ พญาครุฑแสดงความว่า ในบุตร ๓ จำพวกนั้น ท่านจงเกิดเป็นอันเตวาสี บุตรอย่างหนึ่งของเรา ก็แหละครั้นพญาครุฑกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ลงจากอากาศวางพญานาคราชลงที่แผ่นดิน.

               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาความว่า
               พญาครุฑจอมทิชชาติกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็โผลงจับที่แผ่นดิน แล้วปล่อยพญานาคไปด้วยกล่าวว่า วันนี้ท่านรอดพ้นล่วงสรรพภัยแล้ว จงเป็นผู้อันเราคุ้มครองแล้ว ทั้งทางบกทางน้ำ.
               หมอผู้ฉลาดเป็นที่พึ่งของคนไข้ได้ฉันใด ห้วงน้ำอันเย็นเป็นที่พึ่งของคนหิวระหายได้ฉันใด สถานที่พักเป็นที่พึ่งของคนเดินทางได้ฉันใด เราก็จะเป็นที่พึ่งของท่าน ฉันนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเจวํ วากฺยํ ความว่า พญาครุฑ ครั้นกล่าวคำอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ปลดปล่อยนาคราชนั้น.
               บทว่า ภุมฺยํ ความว่า พญาครุฑนั้นก็ประดิษฐานบนพื้นภูมิภาค แม้ด้วยตนเองปลอบโยนพญานาคราชผู้มีลิ้นชั่ว พลางกล่าวว่า วันนี้ท่านรอดพ้นแล้ว นับแต่วันนี้ไป ท่านล่วงพ้นภัยทั้งปวง จงเป็นผู้ที่เราคุ้มครองรักษาทั้งทางบกทางน้ำเถิด.
               บทว่า อาตงฺกินํ แปลว่า ของคนไข้.
               บทว่า เอวมฺปิ เต ความว่า เราจะเป็นที่พึ่งของท่าน (ดุจหมอผู้ฉลาดเป็นที่พึ่งของคนไข้เป็นต้น) ฉะนั้น.

               พญาครุฑปล่อยนาคราชไปว่าท่านจงไปเถิด. นาคราชนั้นก็เข้าไปสู่นาคพิภพ.
               ฝ่ายพญาครุฑกลับไปสู่สุบรรณพิภพแล้วคิดว่า ปัณฑรกนาคราช เราได้ทำการสบถให้เชื่อปล่อยไปแล้ว จะมีดวงใจต่อเราเช่นไรหนอ เราจักทดลองดู แล้วไปยังนาคพิภพได้ทำลมแห่งครุฑ. พญานาคราชเห็นเช่นนั้นสำคัญว่า พญาครุฑจักมาจับเรา จึงเนรมิตอัตภาพยาวประมาณพันวา กลืนก้อนหินและทรายเข้าไว้ในตัวหนัก นอนแผ่พังพานไว้ยอดขนดจดหางลงเบื้องต่ำ ทำอาการประหนึ่งว่ามุ่งจะขบพญาครุฑ.

               พญาครุฑเห็นอาการเช่นนั้น จึงกล่าวคาถานอกนี้ความว่า
               แน่ะท่านผู้ชลามพุชชาติ ท่านแยกเขี้ยวจะขบ มองดูดังจะทำกับศัตรูผู้อัณฑชชาติ ภัยของท่านมีมาจากไหนกัน.

               พญานาคราชได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาความว่า
               บุคคลพึงรังเกียจในศัตรูทีเดียว แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้วางใจ ภัยเกิดขึ้นได้จากที่ที่ไม่มีภัย มิตรย่อมตัดโค่นรากได้แท้จริง.
               จะพึงไว้วางใจในบุคคล ที่ทำการทะเลาะกันมาแล้วอย่างไรได้เล่า ผู้ใดดำรงอยู่ได้ด้วยการเตรียมตัวเป็นนิตย์ ผู้นั้นย่อมไม่ยินดีกับศัตรูของตน.
               บุคคลพึงทำให้เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่น แต่ไม่ควรจะวางใจคนอื่นจนเกินไป ตนเองอย่าให้คนอื่นรังเกียจได้ แต่ควรรังเกียจเขา วิญญูชนพึงพากเพียรไปด้วยอาการที่ฝ่ายปรปักษ์จะรู้ไม่ได้.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภยา ความว่า ภัยบังเกิดขึ้นจากมิตรอันน่าจะเป็นที่ตั้งแห่งความปลอดภัย ย่อมตัดก่นโค่นราก กล่าวคือชีวิตได้แท้จริง.
               บทว่า ตฺยมฺหิ เท่ากับ ตสฺมึ ได้แก่ ในบุคคลนั้น.
               บทว่า เยนาสิ ได้แก่ บุคคลที่เคยกระทำการทะเลาะกันมาแล้ว.
               บทว่า นิจฺจยตฺเตน แปลว่า ด้วยการเตรียมตัวเป็นนิตย์.
               บทว่า โส ทิสพฺภิ น รชฺชติ ความว่า ผู้ใดตั้งมั่นด้วยการระมัดระวังเป็นนิตย์ ผู้นั้นย่อมไม่ยินดีด้วยอำนาจความคุ้นเคยกับศัตรูของตน แต่นั้น กิจที่ควรทำตามประสงค์ของศัตรูเหล่านั้น ก็มีไม่ได้.
               บทว่า วิสฺสาสเย ความว่า บุคคลควรให้ผู้อื่นวางใจได้ในตน แต่ตนเองไม่ควรวางใจเขา ตนอันผู้อื่นเขาไม่ระแวงแล้ว ตนต้องระแวงเขา.
               บทว่า ภาวํ ปโร ความว่า บัณฑิตจะพยายามด้วยวิธีใดๆ ก็หาทราบภาวะ(ความประสงค์) ของฝ่ายปรปักษ์ได้ด้วยวิธีนั้นๆ ไม่ เพราะฉะนั้น บัณฑิตควรทำความพยายามเรื่อยไป. ที่กล่าวมานี้เป็นอธิบายของพญานาคราช.

               ครั้นสองสัตว์ (คือพญาครุฑและพญานาคราช) เจรจากันอย่างนี้แล้ว ก็สมัครสโมสรรื่นเริง บันเทิงกัน พากันไปยังอาศรมชีเปลือย.

               พระบรมศาสดา เมื่อจะประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
               สัตว์ทั้งสองมีเพศพรรณดังเทวดา สุขุมาลชาติเช่นเดียวกัน อาจผจญได้ดี มีบุญบารมีได้ทำไว้ เคล้าคลึงกันไปราวกะว่าม้าเทียมรถ พากันเข้าไปหากรัมปิยอเจลก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมา ความว่า สัตว์ทั้งสองมีทรวดทรงสัณฐาณทัดเทียมกัน.
               บทว่า สุชยา ความว่า มีวัยเป็นสุข คือบริสุทธิ์. ปาฐะพระบาลีก็อย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ปุญฺญกฺขนฺธา ความว่า ราวกะว่ากองบุญ เพราะมีกุศลอันกระทำไว้แล้ว.
               บทว่า มิสฺสีภูตา ความว่า สัตว์ทั้งสองจับมือกันและกัน เข้าถึงความเคล้าคลึงกันด้วยกาย.
               บทว่า อสฺสวาหาว นาคา ความว่า เป็นบุรุษผู้ประเสริฐ คล้ายกับอัสดรสองตัวเทียมที่แอกนำรถไป เข้าไปยังอาศรมของชีเปลือยนั้น.

               ครั้นไปถึงแล้ว พญาครุฑคิดว่า พญานาคนี้คงจักไม่ให้ชีวิตแก่ชีเปลือย เราก็จักไม่ไหว้มันผู้ทุศีล. พญาครุฑจึงยืนอยู่ข้างนอก ปล่อยให้พญานาคเข้าไปยังสำนักชีเปลือยแต่ผู้เดียว.
               พระบรมศาสดาทรงหมายเหตุนั้น จึงตรัสพระคาถานอกนี้ความว่า
               ลำดับนั้น ปัณฑรกนาคราชเข้าไปหาชีเปลือยแต่ลำพังตนเท่านั้น แล้วได้กล่าวว่า วันนี้เรารอดพ้นความตาย ล่วงภัยทั้งปวงแล้ว คงไม่เป็นที่รักที่พอใจท่านเสียเลยเป็นแน่.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยมฺหา ความว่า ปัณฑรกนาคราชกล่าวบริภาษว่า เฮ้ย! ชีเปลือยทุศีล ชอบพูดเท็จ เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พึงใจของท่านเลยนะ.

               ลำดับนั้น ชีเปลือยจึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
               พญาครุฑเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าปัณฑรกนาคราชอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องสงสัย เรามีความรักใคร่ในพญาครุฑ ทั้งที่รู้ก็ได้กระทำกรรมอันลามก ไม่ใช่ทำเพราะความลุ่มหลงเลย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑรเกน ความว่า พญาครุฑนั้นเป็นผู้ที่เรารักกว่าท่านปัณฑรกนาคราช ข้อนี้เป็นความจริง.
               บทว่า โส ความว่า เรานั้นเป็นผู้ลำเอียงเพราะรักพญาครุฑนั้น จึงได้กระทำบาปกรรมนั้นทั้งที่รู้ ใช่จะทำเพราะโมหาคติก็หามิได้.

               พญานาคราชได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาสองคาถา ความว่า
               ความถือว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา หรือสิ่งนี้ไม่เป็นที่รักของเรา ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่บรรพชิตผู้พิจารณาเห็นโลกนี้และโลกหน้า ก็ท่านเป็นคนไม่สำรวม แต่ประพฤติลวงโลกด้วยเพศของผู้สำรวมดี.
               ท่านไม่เป็นอริยะ แต่ปลอมตัวเป็นอริยะ ไม่ใช่คนสำรวม แต่ทำคล้ายคนสำรวม ท่านเป็นคนชาติเลวทราม ไม่ใช่คนประเสริฐ ได้ประพฤติบาปทุจริตเป็นอันมาก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เม ความว่า แน่ะท่านชีเปลือยทุศีล นักพูดเท็จผู้เจริญ ความจริงสำหรับบรรพชิตผู้เล็งเห็นโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่ถือว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา สิ่งนี้ไม่เป็นที่รักของเราเลย แต่ท่านเป็นคนไม่สำรวม ประพฤติลวงโลกนี้ด้วยเพศบรรพชิตของผู้มีศีลสำรวมดี.
               บทว่า อริยาวกาโสสิ ความว่า มิใช่อริยะ ก็ปลอมตัวเป็นอริยะ.
               บทว่า อสญฺญโต ความว่า มิใช่เป็นผู้สำรวมด้วยกายเป็นต้น.
               บทว่า กณฺหาภิชาติโก ความว่า เป็นคนมีสภาพเลวทราม.
               บทว่า อนริยรูโป ความว่า ขาดหิริความละอายต่อบาป.
               บทว่า อจริ ได้แก่ ได้กระทำ (บาปทุจริตมากมาย).

               ครั้นปัณฑรกนาคราชติเตียนชีเปลือยอย่างนี้แล้ว เมื่อจะสาปแช่งจึงกล่าวคาถานี้ความว่า
               แน่ะเจ้าคนเลวทราม เจ้าประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียด ด้วยคำสัตย์นี้ ขอศีรษะของเจ้าจงแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง.


               คาถานั้นมีอธิบายว่า
               เฮ้ย! เจ้าคนเลวทราม ด้วยอันกล่าวคำสัตย์นี้ว่า เจ้าเป็นคนมักประทุษร้ายต่อมิตรผู้ไม่ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียดด้วย ขอศีรษะของเจ้าจงแตกออกเป็นเจ็ดภาค.

               เมื่อพญานาคราชสาปแช่งอยู่อย่างนี้ ศีรษะของชีเปลือย ก็แตกออกเป็นเจ็ดภาค พื้นแผ่นดินตรงที่ชีเปลือยนั่งอยู่นั่นเอง ก็ได้แยกออกเป็นช่อง ชีเปลือยนั้นเข้าสู่แผ่นดิน บังเกิดในอเวจีมหานรก
               พญานาคราชและพญาครุฑทั้งสอง ก็ได้ไปยังพิภพของตนๆ ตามเดิม.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะประกาศความที่ชีเปลือยนั้นถูกแผ่นดินสูบ จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายความว่า
               เพราะเหตุนั้นแล บุคคลไม่พึงประทุษร้ายต่อมิตร เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทรามที่สุด จะหาคนอื่นที่เลวกว่าเป็นไม่มี ชีเปลือยถูกอสรพิษกำจัดแล้วในแผ่นดิน ทั้งที่ได้ปฏิญญาว่าเรามีสังวร ก็ได้ถูกทำลายลงด้วยคำของพญานาคราช.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่ผลแห่งกรรม คือการประทุษร้ายมิตรเป็นของเผ็ดร้อน.
               บทว่า อาสิตฺตสตฺโต ความว่า ชีเปลือยถูกอสรพิษกำจัดแล้ว.
               บทว่า อินฺทสฺส ความว่า ด้วยคำของพญานาคราช.
               บทว่า สํวโร ความว่า อาชีวกผู้ปรากฏด้วยปฏิญญาว่า เราเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวร ก็ได้ถูกทำลายลง.

               พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กระทำมุสาวาทจนถูกแผ่นดินสูบ
               แล้วทรงประชุมชาดกว่า
                         ชีเปลือยได้มาเป็น พระเทวทัต
                         นาคราชได้มาเป็น พระสารีบุตร
                         ส่วนสุบรรณราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาปัณฑรกชาดกที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ปัณฑรกชาดก ว่าด้วย ไม่ควรบอกความลับแก่คนอื่น จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2372 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2387 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2406 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=9787&Z=9891
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=41&A=5817
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=41&A=5817
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :