ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 358 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 361 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 364 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก
ว่าด้วย รู้ว่าเขาดีก็ต้องเลี้ยงให้สมดี

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระสารีบุตรเถระ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ภุตฺวา ติณปริฆาสํ ดังนี้.
               ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ออกพรรษาแล้วเสด็จเที่ยวจาริกแล้ว เสด็จกลับมาอีก คนทั้งหลายคิดกันว่า จักกระทำอาคันตุกสักการะ จึงถวายมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พากันตั้งภิกษุผู้ประกาศธรรมรูปหนึ่งไว้ในพระวิหาร. ภิกษุนั้นจัดภิกษุให้แก่ทายกเท่าจำนวนที่ต้องการ.
               ครั้งนั้น มีหญิงแก่เข็ญใจคนหนึ่ง ได้จัดแจงส่วนทานวัตถุไว้เฉพาะส่วนเดียว เมื่อพระธรรมโฆษกจัดภิกษุให้แก่คนเหล่านั้นแล้ว ในเวลาสาย นางจึงไปยังสำนักของพระธรรมโฆษกแล้วกล่าวว่า ขอท่านจงจัดภิกษุให้แก่ดิฉันรูปหนึ่งเถิด. พระธรรมโฆษกกล่าวว่า อาตมาจัดภิกษุให้ไปหมดแล้ว แต่พระสารีบุตรเถระยังอยู่ในวิหาร ท่านจงถวายภิกษาหารแก่ท่านเถิด.
               หญิงชรานั้นดีใจ ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูพระเชตวัน ในเวลาพระเถระมา จึงไหว้แล้วรับบาตรจากมือนำไปเรือนนิมนต์ให้นั่งในบ้าน. พวกตระกูลที่มีศรัทธาเป็นอันมากได้ข่าวว่า หญิงชราคนหนึ่งนิมนต์พระธรรมเสนาบดีให้นั่งในเรือนของตน. ในบรรดาชนเหล่านั้นพระเจ้าปัสเสนทิโกศลได้ทรงสดับเหตุนั้น จึงทรงส่งภัตรและโภชนะพร้อมกับผ้าสาฎกและถุงทรัพย์หนึ่งพันไปให้หญิงชรา โดยตรัสสั่งว่า หญิงชรา เมื่อจะอังคาสพระผู้เป็นเจ้าของเรา จงนุ่งห่มผ้าสาฎกนี้แล้วใช้จ่ายกหาปณะเหล่านี้อังคาสพระเถระเถิด. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านจุลลอนาถบิณฑิกเศรษฐี แม้นางวิสาขามหาอุบาสิกา ก็ส่งไปเหมือนดังที่พระราชาทรงส่งไป
               ส่วนตระกูลอื่นๆ ก็ส่งกหาปณะไปตามควรแก่กำลังของตนๆ คนละร้อย สองร้อยเป็นต้น. โดยวิธีอย่างนี้ หญิงชราคนนั้นได้ทรัพย์ประมาณหนึ่งแสนเพียงวันเดียวเท่านั้น.
               ฝ่ายพระเถระดื่มยาคูเฉพาะที่หญิงชรานั้นถวาย และฉันเฉพาะของเคี้ยว และเฉพาะภัตรที่สุกแล้วที่หญิงชรานั้นกระทำ แล้วกล่าวอนุโมทนา ให้หญิงชรานั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วได้ไปยังวิหารทีเดียว.
               ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนาถึงคุณของพระเถระในโรงธรรมสภาว่า
               ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระธรรมเสนาบดีได้เป็นที่พึ่งช่วยปลดเปลื้องหญิงชราผู้เป็นแม่เรือนให้พ้นจากความเข็ญใจ ไม่รังเกียจอาหารที่นางถวาย ฉันได้.
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นที่พึ่งอาศัยของหญิงชราคนนี้ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ ทั้งมิได้รังเกียจบริโภคอาหารที่นางถวายในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้บริโภคเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพาณิช ในอุตตราปถชนบท. พ่อค้าม้า ๕๐๐ คนจากอุตตราปถชนบทนำม้ามาขายยังเมืองพาราณสี. พ่อค้าม้าอีกคนหนึ่งนำม้า ๕๐๐ ตัวเดินทางไปเมืองพาราณสี.
               ในระหว่างทางมีหมู่บ้านนิคมหนึ่ง อยู่ในที่ไม่ไกลเมืองพาราณสี เมื่อก่อนได้มีเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมากอยู่ในหมู่บ้านนั้น นิเวศน์ของเขาใหญ่โต แต่ตระกูลนั้นได้ถึงความเสื่อมสลายไปโดยลำดับ เหลือแต่หญิงชราผู้เดียวเท่านั้น หญิงชราคนนั้นอาศัยอยู่ในนิเวศน์นั้น.
               ครั้งนั้น พ่อค้าม้าคนนั้นไปถึงหมู่บ้านนั้นแล้วพูดกะหญิงชราว่า ฉันจะให้ค่าเช่าแก่ท่าน แล้วจับจองการอยู่อาศัยในนิเวศน์ของหญิงชรานั้น พักม้าทั้งหลายไว้ ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง. ในวันนั้นเองแม่ม้าอาชาไนยตัวหนึ่งของพ่อค้านั้นตกลูกออกมา. พ่อค้านั้นพักอยู่ ๒-๓ วัน พอให้ม้าทั้งหลายมีกำลัง จึงกล่าวว่า ฉันจักไปเฝ้าพระราชา จึงพาม้าทั้งหลายไป. ลำดับนั้น หญิงชราได้พูดกับพ่อค้านั้นว่า ท่านจงให้ค่าเช่าบ้าน. เมื่อพ่อค้ากล่าวว่า ดีละแม่ ฉันจะให้ นางจึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ เมื่อท่านจะให้ค่าเช่าบ้านแก่ฉัน จงให้ลูกม้าตัวนี้โดยหักกับค่าเช่าบ้าน พ่อค้านั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้นแล้วก็หลีกไป.
               หญิงชรานั้นเข้าไปตั้งความเสน่หาในลูกม้านั้นประหนึ่งบุตร เมื่อเป็นอย่างนั้น ได้ให้ภัตรที่เป็นข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดนแก่ลูกม้านั้น ปรนนิบัติอยู่. ครั้นกาลต่อมาอีก พระโพธิสัตว์พาม้า ๕๐๐ ตัวไปจับจองการอยู่อาศัยในเรือนนั้น พอได้กลิ่นจากที่ที่ลูกม้าสินธพกินรำอยู่ แม้ม้าสักตัวเดียวก็ไม่อาจเข้าไปยังลานของเรือนนั้น.
               พระโพธิสัตว์จึงถามหญิงชรานั้นว่า ดูก่อนแม่ ในเรือนนี้มีม้าบ้างไหม? หญิงชรากล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ชื่อว่าม้าตัวอื่นไม่มี แต่เราปรนนิบัติลูกม้าตัวหนึ่งเหมือนอย่างลูก ลูกม้าตัวนั้นมีอยู่ในเรือนนี้. พ่อค้ากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ลูกม้าตัวนั้นอยู่ที่ไหน. หญิงชราตอบว่า ไปเที่ยวหากินจ้ะพ่อ. พ่อค้าว่า เวลาใดจักมาล่ะแม่. หญิงชราตอบว่า ต่อเวลาจวนค่ำนั่นแหละ จึงจะมานะพ่อ. พระโพธิสัตว์ เมื่อจะคอยการมาของลูกม้าสินธพนั้น จึงพักม้าทั้งหลายไว้ภายนอกแล้วนั่งอยู่.
               ฝ่ายลูกม้าสินธพเที่ยวหากินแล้ว ต่อเวลาจวนค่ำนั่นแล จึงได้กลับมา. พระโพธิสัตว์เห็นลูกม้าสินธพมีท้องเปื้อนรำ พิจารณาลักษณะทั้งหลายแล้วคิดว่า ม้าสินธพตัวนี้มีค่ามาก เราจะให้มูลค่าแก่หญิงชราแล้ว ถือเอาลูกม้าสินธพจึงจะควร. ฝ่ายลูกม้าสินธพก็เข้าเรือนยืนอยู่ในที่อยู่ของตนเท่านั้น ขณะนั้น ม้าเหล่านั้นไม่อาจเข้าไปยังเรือน.
               พระโพธิสัตว์พักอยู่ ๒-๓ วัน ทำม้าทั้งหลายให้อิ่มหนำแล้ว เมื่อจะไปจึงกล่าวว่า แม่ท่านจงเอามูลค่าแล้วให้ลูกม้าตัวนี้แก่ฉัน. หญิงชราว่า ท่านพูดว่าอะไรพ่อ ขึ้นชื่อว่าบุตร คนที่จะขายย่อมไม่มี. พ่อค้าว่า แม่ ท่านให้ลูกม้าตัวนี้กินอะไรปรนนิบัติอยู่. หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ เราให้กินรำข้าว ข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดนและให้ดื่มข้าวยาคูต้มด้วยรำข้าวปรนนิบัติอยู่. พ่อค้าว่า ดูก่อนแม่ ฉันได้ลูกม้าตัวนี้แล้วจักให้บริโภคโภชนะมีรสอร่อยทั้งก้อน แล้วขึงเพดานผ้าตรงที่ที่เขายืน แล้วให้ยืนตั่งที่ลาดไว้. หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ เมื่อเป็นอย่างนั้น บุตรของเราจงเสวยสุขอันเกิดจากโภคะ ท่านจงพาเอาไปเถิด.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงวางถึงทรัพย์หกพัน โดยเป็นมูลค่าของเท้าทั้ง ๔ เท้า หางและศีรษะของลูกม้านั้นแห่งละพัน แล้วให้หญิงชรานุ่งห่มผ้าใหม่ ตกแต่งแล้วให้ยืนอยู่ข้างหน้าลูกม้าสินธพ. ลูกม้าสินธพนั้นลืมตาดูมารดาหลั่งน้ำตา ฝ่ายหญิงชราลูบหลังลูกม้าอาชาไนยนั้น แล้วกล่าวว่า เราได้ทำการเลี้ยงดูเหมือนดังลูก เจ้าจงไปเถิดพ่อ. ขณะนั้น ลูกม้าสินธพนั้นได้ไปแล้ว
               วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์จัดแจงโภชนะมีรสสำหรับลูกม้านั้น คิดว่า เราจักทดลองลูกม้านั้นดูก่อน ลูกม้านั้นจะรู้กำลังของตนหรือไม่ จึงให้เทข้าวยาคูที่ต้มด้วยรำลงในรางแล้วให้กิน.
               ลูกม้าสินธพนั้นคิดว่า เราจักไม่กินโภชนะนี้ จึงไม่ปรารถนาจะดื่มข้าวยาคูนั้น.
               พระโพธิสัตว์ เมื่อจะทดลองลูกม้าสินธพนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน กินข้าวตังและรำ นี้เป็นอาหารของท่าน บัดนี้ เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บริโภค.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุตฺวา ติณปริฆาสํ ความว่า เมื่อก่อน ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน คือเดนหญ้าที่เหลือจากม้าทั้งหลายนั้นๆ กิน ที่หญิงชราให้จนเติบโต.
               ในบทว่า ภุตฺวา อาจามกุณฺฑกํ นี้ ข้าวสุกสุดท้ายที่ติดก้นหม้อ เรียกว่าข้าวตัง รำนั่นแหละเรียกว่ากุณฑกะ ท่านแสดงว่า ท่านกินข้าวตังและรำนั่นจนเติบโต.
               บทว่า เอตํ เต ความว่า ข้าวตังและรำนั่นเป็นโภชนะของท่านในกาลก่อน.
               บทว่า กสฺมาทานิ น ภุญฺชสิ ความว่า เพราะเหตุไร บัดนี้ ท่านจึงไม่กินข้าวตังและรำนั้น.

               ลูกม้าสินธพได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา นอกนี้ว่า :-
               ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ ในที่ใดชนทั้งหลายไม่รู้จักสัตว์เลี้ยงโดยชาติ หรือโดยวินัย ในที่นั้น รำและข้าวตังมีอยู่เป็นอันมาก.
               ท่านก็รู้จักข้าพเจ้าดีแล้วว่า ม้าตัวนี้เป็นม้าสูงส่งเพียงไร ข้าพเจ้ารู้สึกตัว เพราะอาศัยท่านผู้รู้ จึงไม่บริโภครำของท่าน.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ แปลว่า ในที่ใด. บทว่า โปสํ แปลว่า สัตว์.
               บทว่า ชาติยา วินเยน วา ความว่า ชนทั้งหลายย่อมรู้อย่างนี้ว่า ม้าตัวนี้สมบูรณ์ด้วยชาติหรือไม่ หรือว่าประกอบด้วยมารยาทหรือไม่ ม้าสินธพ เมื่อจะเรียกจึงกล่าวการเรียกอย่างเคารพว่า ข้าแต่ท่านมหาพราหณ์.
               บทว่า ยาทิโสยํ ตัดเป็น ยาทิโส อยํ แปลว่า ม้านี้เป็นม้าเช่นใด ม้าสินธพกล่าวหมายถึงตน.
               บทว่า ชานนฺโต ชานมาคมฺม ความว่า ข้าพเจ้ารู้กำลังของตน เพราะอาศัยท่านผู้รู้อยู่นั่นแหละ จึงไม่กินรำในสำนักของท่าน ก็ท่านให้ทรัพย์ ๖ พันแล้วพาเอาข้าพเจ้ามา เพราะประสงค์จะให้กินรำ ก็หามิได้.

               พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงปลอบโยนลูกม้าสินธพนั้นว่า เราทำดังนั้นเพื่อจะทดลอง เจ้าอย่าโกรธเลย แล้วให้บริโภคโภชนะดี พาไปพระลานหลวง กันม้า ๕๐๐ ตัวไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแวดวงด้วยม่านอันวิจิตร ลาดเครื่องลาดข้างล่าง เบื้องบนดาดเพดานผ้าให้ลูกม้าสินธพยืนอยู่ในนั้น.
               พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรดูฝูงม้าตรัสถามว่า เหตุไฉน ม้าตัวนี้จึงแยกไว้ต่างหาก ได้ทรงสดับว่า ม้าตัวนี้เป็นม้าสินธพ ถ้าไม่แยกไว้ในฝูงม้าเหล่านี้ก็จักหลุดหนีไป จึงตรัสถามว่า พ่อมหาจำเริญ ม้าสินธพงดงามว่องไวหรือ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า งดงามว่องไวดี พระเจ้าข้า. เมื่อพระองค์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะดูความว่องไวของม้าสินธพตัวนี้ จึงผูกม้านั้นแล้วขึ้นขี่ พลางกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตร แล้วให้พวกมนุษย์หลีกออกไป แล้วควบขับไปในพระลานหลวง พระลานหลวงทั้งหมดได้เป็นเหมือนแถวม้าติดกันไปหมด.
               พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรกำลังเร็วของลูกม้าสินธพ พระเจ้าข้า แล้วปล่อยออกไปอีก แม้คนสักคนหนึ่งก็แลไม่เห็นลูกม้าสินธพนั้น จึงเอาแผ่นผ้าแดงผูกที่ท้องแล้วปล่อยออกไปอีก พวกมหาชนเห็นแต่แผ่นผ้าแดงที่เขาผูกไว้ที่ท้องของลูกม้าสินธพนั้นเท่านั้น.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงปล่อยม้าสินธพนั้นบนหลังน้ำในสระโบกขรณีแห่งหนึ่งภายในพระนคร เมื่อม้าสินธพนั้นวิ่งไปบนหลังพื้นน้ำในสระโบกขรณีนั้น แม้แต่ปลายกีบก็ไม่เปียก เมื่อวิ่งควบไปบนใบบัวอีกครั้งหนึ่ง แม้ใบบัวสักใบหนึ่งก็มิได้จมลงในน้ำ. พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงสมบัติแห่งความรวดเร็วของลูกม้าสินธพนั้นอย่างนี้แล้ว จึงลงปรบมือยื่นฝ่ามือเข้าไป ม้ากระโดดขึ้นไปยืนบนฝ่ามือ กระทำเท้าทั้งสี่ให้รวมอยู่ในที่เดียวกัน.
               ลำดับนั้น มหาสัตว์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อข้าพระองค์แสดงกำลังเร็วของอัศวโปดกตัวนี้โดยอาการทุกอย่าง เมื่อจะทรงเก็บไว้ในแว่นแคว้นอันมีสมุทรเป็นขอบเขต ก็ย่อมไม่เพียงพอที่จะเก็บไว้.
               พระราชาทรงดีพระทัยได้ประทานตำแหน่งอุปราชแก่พระมหาสัตว์ ได้อภิเษกลูกม้าสินธพแล้วตั้งให้เป็นม้ามิ่งมงคล. ลูกม้าสินธพนั้นได้เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระราชา แม้สักการะก็ได้มีเป็นอันมากแก่ลูกม้าสินธพนั้น. แม้ที่อยู่ของลูกม้าสินธพนั้นได้เป็นดุจห้องเรือนอบที่พระราชาทรงตกแต่งประดับประดาไว้ ได้ทำการฉาบทาพื้นด้วยความหอมมีชาติ ๔ ให้ห้อยพวงของหอมและพวงดอกไม้ เบื้องบนมีเพดานผ้าวิจิตรงดงามด้วยดาวทอง ได้แวดวงม่านอันวิจิตรไว้รอบด้าน ตามประทีปน้ำมันหอมไว้เป็นนิตย์ ให้ตั้งกระถางทองไว้ในที่ที่ลูกม้าสินธพนั้นถ่ายอุจจาระปัสสาวะ บริโภคโภชนะของเสวยสำหรับพระราชาเป็นนิตย์ทีเดียว.
               จำเดิมแต่ ลูกม้าสินธพนั้นมาอยู่ ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชาทั้งนั้น. พระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก.
               ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี.
               หญิงชราในกาลนั้น ได้เป็น หญิงชราคนนี้แหละ.
               
               ม้าสินธพในกาลนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร.
               พระราชาในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้
               ส่วนพ่อค้าม้า คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถากุณฑกกุจฉิสินธวชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก ว่าด้วย รู้ว่าเขาดีก็ต้องเลี้ยงให้สมดี จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 358 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 361 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 364 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2022&Z=2031&bgc=7
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=386
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=386
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :