ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 2อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 10อ่านอรรถกถา 31 / 30อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
สัจนิทเทส

               อรรถกถาทุกขสัจเป็นต้น               
               [๑๐] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อมีทุกข์เป็นต้นโดยประกอบเข้ากับอริยสัจ ๔.
               พระสารีบุตรกล่าวประมวลการวิสัชนา ๒๔ อย่างด้วยจตุกกะ ๖ ไว้ในบทมีอาทิว่า ทุกฺขํ อภิญฺเญยฺยํ ทุกข์ ควรรู้ยิ่ง ด้วยการวิสัชนา ๑๙๕ มีอาทิว่า จกฺขํ อภิญฺเญยฺยํ โสตํ อภิญฺเญยฺยํ จักขุ.. โสตะ ควรรู้ยิ่ง ในไปยาล (ละคำ) ว่า จกฺขํ ฯเปฯ ชรามรณํ - จักขุ ฯลฯ ชรามรณะ เป็นอันได้ ๑๙๕ จตุกกะ ด้วยอำนาจของจตุกกะเหล่านั้นจึงเป็นการวิสัชนา ๗๘๐.
               ในจตุกกะมีอาทิว่า ชรามรณํ อภิญฺเญยฺยํ - ชรามรณะควรรู้ยิ่ง ทั้งหมดจึงเป็นการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อ โดยประการฉะนี้ว่า จตฺตาริ วิสชฺชนานิ - การวิสัชนา ๔ ข้อ.
               อนึ่ง ในการวิสัชนานี้ พึงทราบว่า ปัจจัยอันเป็นประธานของธรรมนั้นๆ เป็นสมุทัย, นิพพานว่างจากสังขารทั้งปวง เป็นนิโรธ.
               ในอธิการนี้ บทมีอาทิว่า อนญฺญาตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยนิโรโธ การดับอินทรีย์ คืออัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผลของผู้ปฏิบัติ หมายถึงความไม่มีอินทรีย์อันเป็นโลกุตระ ๓ ประการมีอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นต้น ถูกต้อง.
               บทว่า นิโรธคามินีปฏิปทา ในทุกแห่งเป็นอริยมรรคทั้งนั้น. แม้เมื่อท่านกล่าวถึงผลอย่างนี้ไว้ แม้อัญญินทรีย์ (อินทรีย์คือการตรัสรู้สัจธรรมด้วยมรรค) อัญญาตาวินทรีย์ (อินทรีย์ของพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้สัจธรรมแล้ว) ย่อมถูกต้อง เพราะมีชื่อเรียกว่ามรรค.
               พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อด้วยสภาพที่ควรกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้นต่อไป. ท่านได้ชี้แจงการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อด้วยสภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้นอีก. การกำหนดรู้และการแทงตลอดด้วยสภาพที่ควรแทงตลอด ชื่อว่าปริญญาปฏิเวธะ. อรรถคือปริญญาปฏิเวธะนั้นแล ชื่อว่า ปริญฺญาปฏิเวธฏฺโฐ - สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้.
               [๑๑-๑๔] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๑,๖๑๖ ข้อมีทุกข์เป็นต้น มีชรามรณะเป็นที่สุดต่อไปด้วย ๒๐๒ อัฏฐกะ ประกอบด้วยบทอย่างละ ๗ บทมีสมุทัยเป็นต้น.
               ในอธิการนั้น ปัจจัยอันเป็นประธานคือสมุทัย, การดับสมุทัยนั้นคือสมุทยนิโรธ. ความกำหนัดคือความพอใจ คือฉันทราคะ, ความกำหนัดคือความพอใจทุกข์ ด้วยสำคัญในทุกข์ว่าเป็นสุข, ความดับฉันทราคะนั้น คือฉันทราคนิโรธ. สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยทุกข์ คือความยินดีในทุกข์. ความไม่เที่ยงแห่งทุกข์ ความแปรปรวนเป็นธรรมดาแห่งทุกข์ คือโทษแห่งทุกข์. การนำออกซึ่งฉันทราคะ การละฉันทราคะในทุกข์ คืออุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์.
               นิพพานนั่นแล คืออุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ เพราะบาลีว่า ยํ โข ปน กิญฺจิ ภูตํ สงฺขตํ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ นิโรโธ ตสฺส นิสฺสรณํ - นิโรธเป็นเครื่องสลัดออกแห่งสังขตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น.
               พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงนิพพานในฐานะ ๔ อย่างด้วยคำอันมีปริยายต่างๆ โดยตรงกันข้ามกับสังขตธรรมต่างๆ ว่าการดับทุกข์, การดับสมุทัย, การดับฉันทราคะ, อุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ ๑.
               ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะอาหารเป็นต้นเหตุ ทุกข์จึงเกิด เพราะดับอาหารทุกข์จึงดับ การดับสมุทัยด้วยอำนาจความเป็นไปกับด้วยกิจ - กิจรส. อีกอย่างหนึ่ง การดับสมุทัยด้วยการเห็นความเกิดและความดับ มรรคพร้อมด้วยวิปัสสนาเป็นการดับฉันทราคะ.
               เมื่อท่านกล่าวไว้อย่างนี้พึงถือเอานัยที่กล่าวไว้ตอนแรกว่า ยังไม่เป็นสรรพสาธารณะเพราะอินทรีย์อันเป็นโลกุตระ ยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา.
               นัยที่ท่านกล่าวว่า การดับฉันทราคะเพราะไม่มีฉันทราคะในอินทรีย์อันเป็นโลกุตระนั่นแลจึงถูกต้อง. เป็นอันกระทำฉันทราคะแม้ในผมเป็นต้นอันเป็นส่วนหนึ่งของสรีระ ด้วยความกำหนัดคือความพอใจในสรีระนั่นแล. เป็นอันกระทำฉันทราคะแม้ในชราและมรณะ ด้วยความกำหนัดคือความพอใจในการมีชราและมรณะโดยแท้.
               พึงประกอบแม้ความพอใจและโทษไว้อย่างนี้ด้วย.
               พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๑,๔๑๔ นัย มี ๒๐๒ บทมีทุกข์เป็นต้น มีชรามรณะเป็นที่สุดต่อไปด้วย ๒๐๒ สัตตกะประกอบด้วยบทอย่างละ ๖ มีสมุทัยเป็นต้น.
               [๑๕] บัดนี้ เพื่อแสดงประกอบบท ๒๐๑ บทมีรูปเป็นต้น มีชรามรณะเป็นที่สุดด้วยอนุปัสนา ๗ พระสารีบุตรจึงชี้แจงอนุปัสนา ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นก่อน.
               ทั้งหมดเหล่านั้นเป็นการวิสัชนา ๑,๔๑๔ นัย พร้อมด้วยการวิสัชนาอนุปัสนาล้วน ๗ ประการ. การพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง คืออนิจจานุปัสนา. อนิจจานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อนิจสัญญา ความสำคัญว่าเที่ยง. การพิจารณาเห็นว่าเป็นทุกข์ คือทุกขานุปัสนา. ทุกขานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อสุขสัญญา - ความสำคัญว่าเป็นสุข. การพิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตา คืออนัตตานุปัสนา. อนัตตานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่ออัตตสัญญา - ความสำคัญว่าเป็นอัตตา.
               พระโยคาวจรย่อมเบื่อหน่าย เพราะอนุปัสนา ๓ บริบูรณ์ ฉะนั้นจึงชื่อว่านิพพิทา, นิพพิทานั้นด้วย อนุปัสสนาด้วย ชื่อว่านิพพิทานุปัสสนา. นิพพิทานุปัสสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อความเพลิดเพลิน.
               พระโยคาวจรย่อมคลายกำหนัด เพราะอนุปัสสนา ๔ บริบูรณ์ จึงชื่อว่า วิราโค, วิราคะนั้นด้วย อนุปัสสนาด้วย ชื่อว่าวิราคานุปัสสนา. วิราคานุปัสสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราคะ.
               พระโยคาวจรย่อมดับราคะเสียได้ เพราะอนุปัสนา ๕ บริบูรณ์ จึงชื่อว่า นิโรโธ. นิโรธนั้นด้วย อนุปัสสนาด้วย ชื่อว่านิโรธานุปัสนา. นิโรธานุปัสสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อสมุทัย.
               พระโยคาวจรย่อมสละคืนเสียได้ เพราะอนุปัสนา๖ บริบูรณ์ จึงชื่อว่า ปฏินิสฺสคฺโค. ปฏินิสสัคคะนั้นด้วย อนุปัสสนาด้วย ชื่อว่าปฏินิสสัคคานุปัสสนา. ปฏินิสสัคคานุปัสสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการยึดมั่น.
               เมื่ออินทรีย์อันเป็นโลกุตระเข้าถึงวิปัสสนายังไม่มี พึงทราบว่า ท่านประกอบอนุปัสนา ๗ ไว้ด้วยธรรมแม้เหล่านั้น โดยพิจารณาเห็นว่า ชื่อว่ามีนิโรธ เพราะไม่มีความเพลิดเพลินและความกำหนัดในสิ่งที่สำคัญว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
               ดังบาลีว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา, สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
               สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์, ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
               และเพราะมีการสละด้วยการบริจาค การสละด้วยการแล่นไป.
               เมื่อผู้มีชรามรณะที่ตนเห็นแล้ว โดยเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นอันชื่อว่าเห็นแม้ชรามรณะ โดยเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น, เมื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในชรามรณะที่มีอยู่ เป็นอันเบื่อหน่ายและคลายกำหนัดในชรามรณะ, เมื่อมีชรามรณะที่เห็นแล้วโดยนิโรธ เป็นอันชื่อว่า เห็นแม้ชรามรณะโดยนิโรธ เมื่อสละในชรามรณะที่มีอยู่ ย่อมเป็นอันสละชรามรณะโดยแท้.
               พึงทราบว่า ท่านประกอบอนุปัสสนา ๗ ด้วยชรามรณะด้วยประการฉะนี้.
               [๑๖-๒๙] บัดนี้ พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๑๕ ข้ออันเป็นไวพจน์ของธรรมเหล่านั้น มี อุปฺปาโท - ความเกิดขึ้นเป็นต้นและด้วยอารมณ์ ๕ มี อุปฺปาโท เป็นต้นอันเป็นวัตถุแห่งอาทีนวญาณ - ความรู้ว่าเป็นโทษ, ชี้แจงการวิสัชนา ๑๕ ข้อ มี อนุปฺปาโท เป็นต้นด้วยอารมณ์อันเป็นปฏิปักษ์แห่งธรรมนั้นแห่ง สนฺติปทญาณ - ความรู้ทางแห่งสันติ, ชี้แจงการวิสัชนา ๓๐ ประกอบบทมีอุปปาทะและอนุปปาทะเป็นต้นเหล่านั้นต่อไปด้วยเป็นคู่กัน ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นการวิสัชนา ๖๐ ในนัยนี้นั่นแล.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปาโท - การเกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดในภพนี้ เพราะกรรมก่อนเป็นปัจจัย.
               บทว่า ปวตฺตํ - ความเป็นไป ได้แก่ ความเป็นไปแห่งการเกิดอย่างนั้น.
               บทว่า นิมิตฺตํ - เครื่องหมาย ได้แก่ เครื่องหมายสังขารทั้งหมด. เพราะสังขารของพระโยคาวจรย่อมปรากฏดุจมีทรวดทรง ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นิมิตฺตํ.
               บทว่า อายูหนา - ความประมวลมา ได้แก่ กรรมอันเป็นเหตุแห่งปฏิสนธิต่อไป เพราะว่า กรรมนั้นท่านเรียกว่าอายูหนา เพราะอรรถว่าปรุงแต่งปฏิสนธิ.
               บทว่า ปฏิสนฺธิ ได้แก่ เกิดต่อไป. การเกิดนั้น ท่านเรียกว่าปฏิสนธิ เพราะสืบต่อกันในระหว่างภพ.
               บทว่า คติ - การไป ได้แก่ ปฏิสนธิ ที่ท่านเรียกว่า คติ เพราะสัตว์ต้องไป.
               บทว่า นิพฺพตฺติ - ความบังเกิด ได้แก่ ความเกิดแห่งขันธ์ทั้งหลาย.
               บทว่า อุปฺปตฺติ - อุบัติ ได้แก่ ความเป็นไปแห่งวิบากที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า สมาปนฺนสฺส วา อุปปนฺนสฺส วา - ธรรมคือจิตและเจตสิกของผู้เข้าถึงแล้วหรือผู้อุบัติแล้ว.
               บทว่า ชาติ - การเกิด ได้แก่ ความปรากฏครั้งแรกแห่งขันธ์ของสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในภพนั้นๆ.
               บทว่า ชรา - ความเสื่อมโทรม.
               อธิบายว่า ชรานั้นมี ๒ อย่าง คือสังขตลักษณะอันได้แก่ลักษณะที่ตั้งอยู่และเป็นอย่างอื่น ๑ ภพเก่าแห่งขันธ์อันเนื่องในภพหนึ่งในสันตติ เป็นที่รู้กันว่ามีฟันหักเป็นต้น ๑.
               ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาชรานั้น.
               บทว่า พฺยาธิ - ความเจ็บป่วย ได้แก่ อาพาธ ๘ อย่าง อันตั้งขึ้นเพราะธาตุกำเริบเป็นปัจจัย คือ น้ำดี ๑ เสมหะ ๑ ลม ๑ ไข้สันนิบาต ๑ การเปลี่ยนฤดู ๑ การบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ๑ เพียรเกินไป ๑ วิบากของกรรม ๑. ชื่อว่า พฺยาธิ เพราะทุกข์หลายอย่าง แผดเผา กลุ้มรุม หรือเพราะทุกข์เบียดเบียนให้เดือดร้อนหวั่นไหว.
               บทว่า มรณํ คือ พยาธิเป็นเหตุให้ตาย.
               มรณะนั้นมี ๒ อย่าง คือ สังขตลักษณะอันมีความเสื่อมเป็นลักษณะ ๑ การตัดขาดการเกี่ยวเนื่องกันแห่งชีวิตินทรีย์อันนับเนื่องในภพหนึ่ง ๑.
               ในที่นี้ ท่านประสงค์เอามรณะนั้น.
               บทว่า โสโก คือ ความเหี่ยวแห้งใจ ได้แก่ ความเดือดร้อนใจของผู้ที่ถูกความเสื่อมจากญาติ สมบัติ โรค ศีลและทิฏฐิ กระทบ.
               บทว่า ปริเทโว คือ ร้องไห้คร่ำครวญ ได้แก่ การพร่ำเพ้อของผู้ที่ถูกความเสื่อมจากญาติเป็นต้น กระทบ.
               บทว่า อุปายาโส - แค้นใจมาก ได้แก่ โทสะอันเกิดจากทุกข์ใจหนักของผู้ที่ถูกความเสื่อมจากญาติเป็นต้น กระทบ.
               ในนิทเทสนี้ ท่านกล่าวอภิญไญยธรรม ๕ มี อุปฺปาโท เป็นต้นด้วยสามารถเป็นวัตถุแห่งอาทีนวญาณ,
               ที่เหลือ ท่านกล่าวด้วยสามารถเป็นไวพจน์ของอภิญไญยธรรมเหล่านั้น,
               บทว่า นิพฺพตฺติ เป็นไวพจน์ของ อุปฺปาโท.
               บทว่า ชาติ เป็นไวพจน์ของปฏิสนธิ,
               สองบทว่า คติ อุปปตฺติ เป็นไวพจน์ของ ปวตฺตํ,
               ชรา เป็นต้นเป็นไวพจน์ของ นิมิตฺตํ.
               ท่านกล่าวนิพพานเท่านั้นด้วยคำมี อนุปฺปาโท - ความไม่เกิดขึ้นเป็นต้น.
               พระสารีบุตรชี้แจงบท ๖๐ มีอุปปาทะและอนุปปาทะเป็นต้น
               การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทว่าด้วยทุกข์และสุข,
               การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทว่าด้วยภัยและความปลอดภัย,
               การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทว่าด้วยสามิส (มีเครื่องล่อ) และนิรามิส (ไม่มีเครื่องล่อ),
               การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทแห่งสังขารและนิพพาน.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขํ - เป็นทุกข์.
               อธิบายว่า ชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็นของไม่เที่ยง. ชื่อว่าสุข เพราะตรงกันข้ามกับทุกข์. สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นภัย. ชื่อว่าเขมะ - ความปลอดภัย เพราะตรงกันข้ามกับภัย. สิ่งใดเป็นภัยสิ่งนั้นชื่อว่าเป็นสามิส (มีเครื่องล่อ) เพราะไม่พ้นไปจากวัฏฏามิสและโลกามิส ชื่อว่านิรามิส (ไม่มีเครื่องล่อ) เพราะตรงกันข้ามกับสามิส. สิ่งใดเป็นสามิส สิ่งนั้นเป็นเพียงสังขารเท่านั้น.
               ชื่อว่านิพพาน เพราะสงบจากสิ่งตรงกันข้ามกับสังขาร. เพราะสังขารเป็นของร้อน นิพพานเป็นของสงบ.
               พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้อย่างนั้นหมายถึงความเป็นไปโดยอาการนั้นๆ อย่างนี้ว่า โดยอาการที่เป็นทุกข์ โดยอาการที่เป็นภัย โดยอาการที่เป็นสามิส โดยอาการที่เป็นสังขาร ด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาปฐมภาณวาร               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา สัจนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 2อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 10อ่านอรรถกถา 31 / 30อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=160&Z=304
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=2206
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=2206
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :