บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
(เดิมไม่ได้แปลไว้) ในชาลิยสูตรนั้น มีการพรรณนาตามลำดับบทดังต่อไปนี้. บทว่า โฆสิตาราเม ความว่า ในอารามที่โฆษิตเศรษฐีสร้างถวาย. ได้ยินว่า ในกาลก่อนได้มีนครแห่งหนึ่งชื่อทมิฬรัฐ. จากนครนั้น บุรุษเข็ญใจชื่อโกตูหลิก พร้อมกับบุตรและภรรยาหนีไปสู่อวันตีรัฐ เพราะฉาตกภัย เมื่อไม่อาจนำบุตรไปได้จึงทิ้งบุตรเสียแล้วเดินทางต่อไป. มารดากลับไปรับเอาบุตรนั้น. เขาจึงพากันไปยังบ้านนายโคบาลแห่งหนึ่ง. ก็ในกาลนั้น นายโคบาลได้ตระเตรียมข้าวปายาสไว้มาก. เขาได้กินข้าวปายาสนั้น. ลำดับนั้นแล บุรุษนั้นกินข้าวปายาสมาก ไม่อาจจะให้ย่อยได้ ตกกลางคืนได้ตายไป ถือปฏิสนธิในท้องแม่สุนัข เกิดเป็นลูกสุนัขน้อยในบ้านนายโคบาลนั้นเทียว. ลูกสุนัขน้อยนั้นเป็นที่รักของนายโคบาล. และนายโคบาลบำรุงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า. ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้ก้อนข้าวก้อนหนึ่งๆ แก่ลูกสุนัขน้อยในกาลเสร็จภัตกิจ. ลูกสุนัขน้อยนั้นเกิดความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงไปยังบรรณศาลา พร้อมกับนายโคบาล. ครั้นนายโคบาลไม่ใช้ไปก็ไปเอง ในเวลาภัตเฝ้าอยู่ที่ประตูบรรณศาลา เพื่อรอเวลา และเฝ้าดูสัตว์ร้ายในระหว่างทางให้สัตว์ร้ายหนีไป. สุนัขน้อยนั้นตายไปเกิดในเทวโลกด้วยจิตอ่อนน้อมในพระปัจเจกพุทธะ. ในเทวโลกนั้น เขาจึงมีชื่อว่าโฆสกเทวบุตร. โฆสกเทวบุตรนั้นจุติจากเทวโลกแล้วไปเกิดในเรือนตระกูลหนึ่งในกรุงโกสัมพี. เศรษฐีไม่มีบุตรได้ให้ทรัพย์แก่บิดามารดาของทารกนั้น ได้รับเขาเป็นบุตร. ต่อมา ครั้นบุตรของตนเกิด เศรษฐีก็พยายามให้ฆ่าเขาถึงเจ็ดครั้ง. เขาไม่ถึงความตายในที่เจ็ดแห่ง เพราะค่าที่ตนเป็นผู้มีบุญ ในที่สุดก็ได้ชีวิตรอดมา เพราะความช่วยเหลือของธิดาเศรษฐีคนหนึ่ง. ในกาลต่อมา เมื่อบิดาล่วงลับไป เขาจึงได้รับตําแหน่งเศรษฐีชื่อว่า โฆษิตเศรษฐี. ก็ในกรุงโกสัมพียังมีเศรษฐีอีกสองคน คือ กุกกุฏเศรษฐีและปาวาริกเศรษฐี รวมเป็น ๓ คนกับโฆษิตเศรษฐีนี้. ก็โดยสมัยนั้น ดาบส ๕๐๐ คนจากป่าหิมพานต์ พากันไปยังกรุงโกสัมพี เพื่อตากอากาศอบอุ่น. เศรษฐีสามคนนั้นได้สร้างบรรณกุฏิในอุทยานของตนๆ ทำการบำรุงแก่ดาบสเหล่านั้น. อยู่มาวันหนึ่ง ดาบสเหล่านั้นมาจากป่าหิมพานต์ ได้รับหนาวจัด ลำบากในทางกันดารมาก ถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง พากันนั่งรอรับการสงเคราะห์จากสำนักของเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไทรนั้น. เทวดาได้เหยียดแขนซึ่งประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้วัตถุมีน้ำดื่มน้ำใช้เป็นต้นแก่ดาบสเหล่านั้นบรรเทาความลำบาก. ดาบสเหล่านั้นยิ้มแย้มด้วยอานุภาพแห่งเทวดา จึงถามว่า ข้าแต่เทพ ท่านทำกรรมอะไรหนอแล จึงได้สมบัตินี้. เทวดากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า พุทธ ได้เกิดแล้วในโลก บัดนี้พระองค์ประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี. ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ในวันอุโบสถทั้งหลาย ท่านอนาถบิณฑิกะให้ภัตและค่าจ้างตามปกติแก่ลูกจ้างของตน แล้วให้รักษาอุโบสถศีล อยู่มาวันหนึ่งในเวลาเที่ยงวัน ข้าพเจ้ามาเพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้า ได้เห็นท่านอนาถบิณฑิกะไม่ทำการงานเกี่ยวกับลูกจ้างอะไรเลย จึงถามว่า ในวันนี้ มนุษย์ทั้งหลายไม่ทำการงาน เพราะเหตุอะไร เขาเหล่านั้นได้บอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า. ลำดับนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวคำนี้ว่า บัดนี้ได้ล่วงไปครึ่งวันแล้ว ข้าพเจ้าอาจเพื่อรักษาอุโบสถครึ่งหนึ่ง หรือหนอแล แต่นั้นท่านเศรษฐีให้ดีใจแล้วพูดว่าอาจรักษาได้ ข้าพเจ้านั้นจึงได้สมาทานอุโบสถครึ่ง ในครึ่งวัน ได้ทำกาลกิริยาในวันนั้นเทียว จึงได้รับสมบัตินี้. ลำดับนั้น ดาบสเหล่านั้นเกิดปิติปราโมทย์ว่า ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วประสงค์จะไปสู่กรุงสาวัตถี จากนั้นพากันไปสู่กรุงโกสัมพีด้วยคิดว่า เศรษฐีผู้บำรุงมีอุปการะมากแก่พวกเรา พวกเราจักบอกเนื้อความนี้แก่เศรษฐีแม้เหล่านั้น ผู้อันเศรษฐีทั้งหลายกระทำสักการะมากมาย จึงกล่าวว่า พวกเราจะไปในเวลานั้นเทียว. ผู้อันเศรษฐีทั้งหลายกล่าวว่า ท่านรีบร้อนอะไรหนอ ใน ฝ่ายเศรษฐีเหล่านั้นมีเกวียนคนละ ๕๐๐ เล่มเป็นบริวารไปสู่กรุงสาวัตถี ได้ทำกิจมีทานเป็นต้น ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อประโยชน์เสด็จมาสู่กรุงโกสัมพี กลับมาสร้างวัดสามแห่ง. ในเศรษฐีเหล่านั้น กุกกุฏเศรษฐีสร้างวัดชื่อว่ากุกกุฏาราม ปาวาริกเศรษฐีสร้างวัดชื่อปาวาริกัมพวัน ท่านโฆษิตเศรษฐีสร้างวัดชื่อโฆษิตาราม. ท่านหมายถึงโฆษิตารามนั้น จึงกล่าวว่า โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเม ดังนี้. บทว่า มณฺฑิโย นี้เป็นชื่อของบรรพชิตนั้น. บทว่า ชาลิโย แม้นี้เป็นชื่อของบรรพชิตอีกรูปหนึ่งเหมือนกัน. ก็เพราะพระอุปัชฌาย์ของชาลิยะนั้น เที่ยวบิณฑบาตด้วยบาตรทำด้วยไม้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ทารุปตฺติกนฺเตวาสี. บทว่า เอตทโวจุ ความว่า บรรพชิตทั้งสองประสงค์จะทูลบอกวาทะโดยประสงค์จะโต้ตอบ จึงทูลเนื้อความนั่น. ได้ยินว่า บรรพชิตสองรูปนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ถ้าพระสมณโคดมตรัสว่า ชีวะอันนั้น สรีระอันนั้น. ลำดับนั้น พวกเราก็จักยกวาทะนั่นของพระสมณโคดมนั้นว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ตามลัทธิของท่าน สัตว์ในโลกนี้เทียว จะดับสูญ ด้วยเหตุนั้น วาทะของพระองค์ท่าน ย่อมเป็นอุจเฉทวาทะ แต่ถ้าตรัสว่า ชีวะอันอื่น สรีระอันอื่น ลำดับนั้น พวกเราจักยกวาทะของพระสมณโคดมนั้นว่า ในวาทะของท่านรูปย่อมดับสูญ สัตว์ย่อมไม่ดับสูญ เพราะเหตุนั้น วาทะของพระองค์ท่าน สัตว์ก็จะเที่ยง ดังนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า บรรพชิตเหล่านี้ย่อมถามปัญหาเพื่อประโยชน์แก่การยกวาทะ แต่บรรพชิตเหล่านี้ไม่อ้างอิงที่สุดสองอย่างในศาสนาของเรา จึงไม่รู้ว่ามัชฌิมาปฏิปทามีอยู่ เอาละ เราจะไม่แก้ปัญหาของบรรพชิตเหล่านั้น จะแสดงธรรมเพื่อความแจ่มแจ้งแห่งปฏิปทาเห็นปานนี้แม้นั้น จึงตรัสว่า เตนหาวุโส ดังนี้เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า กลฺลํ นุโข ตสฺเสตํ วจนาย ความว่า บรรพชิตผู้บวชด้วยศรัทธาบำเพ็ญศีล ๓ อย่างบรรลุปฐมฌานนั้น สมควรกล่าวคำนั้นหรือหนอ. อธิบายว่า คำนั้นควรเพื่อกล่าวด้วยคำพูด. ปริพาชกทั้งหลายได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว สำคัญอยู่ว่า ธรรมดาปุถุชนย่อมไม่สิ้นความสงสัย เพราะฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนั้นในบางคราว จึงกล่าวว่า กลฺลํ ตสฺเสตํ วจนาย ดังนี้. บทว่า อถ จ ปนาหํ น วทามิ ความว่า เราตั้งสัญญาว่า ความข้อนั้นเรารู้อย่างนี้ จึงไม่กล่าวอย่างนั้น ถ้าและเมื่อภิกษุกระทำกสิณบริกรรมเจริญอยู่ มหัคคตจิตนั้นก็เกิดขึ้นด้วยกำลังปัญญา. บทว่า น กลฺลํ ตสฺเสตํ ความว่า ปริพาชกเหล่านั้นสำคัญความข้อนี้กล่าวว่า พระขีณาสพปราศจากความงมงาย ปราศจากความสงสัย เพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น พระขีณาสพนั้นจึงไม่ควรกล่าวความข้อนั้น. บทที่เหลือในชาลิยสูตรนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น. อรรถกถาชาลิยสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินี จบเพียงเท่านี้. จบอรรถกถาชาลิยสูตรที่ ๗ -------------------- .. อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ชาลิยสูตร จบ. |