บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
พระบรมศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่เขาว่า เธอเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน. เมื่อเธอกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลายกระทำความเพียร ในที่ๆ ควรประกอบความเพียร ก็ได้บรรลุถึงราชสมบัติได้. แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้. ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์บังเกิดในคัพโภทรพระอัครมเหสี ของพระราชาพระองค์นั้น. ในวันที่จะถวายพระนามพระโพธิสัตว์ ราชตระกูลได้เลี้ยงพราหมณ์ ๑๐๘ ให้อิ่มหนำด้วยของที่น่าปรารถนาทุกๆ ประการ แล้วสอบถามลักษณะของพระกุมาร. พวกพราหมณ์ผู้ฉลาดในการทำนายลักษณะ เห็นความสมบูรณ์ด้วยลักษณะแล้ว ก็พากันทำนายว่า ข้าแต่ ครั้นพระกุมารนั้นถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระราชาตรัสเรียกมา แล้วรับสั่งว่า ลูกรัก เจ้าจงเรียนศิลปศาสตร์เถิด. พระกุมารกราบทูลถามว่า กระหม่อมฉันจะเรียนในสำนักของใครเล่า พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ไปเถิดลูก จงไปเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ ตักกสิลานคร แคว้นคันธาระ และพึงให้ทรัพย์นี้ เป็นค่าบูชาคุณอาจารย์แก่ท่านด้วย แล้วพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันส่งไปแล้ว. พระราชกุมารเสด็จไปในสำนักทิศาปาโมกข์นั้น ทรงศึกษาศิลปะ รับอาวุธ ๕ ชนิดที่อาจารย์ให้ กราบลาอาจารย์ออกจากนครตักกสิลา เหน็บอาวุธทั้ง ๕ กับพระกาย เสด็จดำเนินไปทางเมืองพาราณสี. พระองค์เสด็จมาถึงดงตำบลหนึ่ง เป็นดงที่สิเลส พระโพธิสัตว์ระวังพระองค์ไม่ครั่นคร้ามเลย มุ่งเข้าดงถ่ายเดียว เหมือนไกรสรราชสีห์ ผู้ไม่ครั่นคร้ามฉะนั้น. พอไปถึงกลางดง ยักษ์ตนนั้นมันก็แปลงกาย สูงชั่วลำตาล ศีรษะเท่าเรือนยอด นัยน์ตาแต่ละข้างขนาดเท่าล้อเกวียน เขี้ยวทั้งสองแต่ละข้าง ขนาดเท่าหัวปลีตูม หน้าขาว ท้องด่าง มือเท้าเขียว แล้วสำแดงตนให้พระโพธิสัตว์เห็น ร้องว่า เจ้าจะไปไหน? หยุดนะ เจ้าต้องเป็นอาหารของเรา. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ตวาดมันว่า ไอ้ยักษ์ เราเตรียมตัวแล้วจึงเข้ามาในดง เจ้าอย่าเผลอตัวเข้ามาใกล้เรา เพราะเราจะยิงเจ้าด้วยลูกศรอาบยาพิษ ให้ล้มลงตรงนั้นแหละ แล้วใส่ลูกศรอาบยาพิษอย่างแรงยิงไป. ลูกศรไปติดอยู่ที่ขนของยักษ์ทั้งหมด. พระโพธิ พระโพธิสัตว์กลับตวาดมันอีก แล้วชักพระขรรค์ออกฟัน. พระขรรค์ยาว ๓๓ นิ้วก็ติดขนมันอีก. ที่นั้นจึงแทงมันด้วยหอกซัด แม้หอกซัดก็ติดอยู่ที่ขนนั่นเอง. ครั้น พระโพธิสัตว์ติดตรึงแล้วในที่ทั้ง ๕ แม้จะห้อยโตงเตงอยู่ ก็ไม่กลัว ไม่สะทกสะท้านเลย. ยักษ์จึงคิดว่า บุรุษนี้เป็นเอก เป็นดุจบุรุษสีหะ เป็นบุรุษอาชาไนย ไม่ใช่บุรุษ พระโพธิสัตว์ตอบว่า ยักษ์เอ๋ย ทำไมเราจักต้องกลัว เพราะในอัตภาพหนึ่ง ความตายนั้นเป็นของแน่นอนทีเดียว อีกประการหนึ่ง ในท้องของเรามีวชิราวุธ ถ้าเจ้ากินเรา ก็จักไม่สามารถทำให้อาวุธนั้นย่อยได้ อาวุธนั้นจักต้องบาดใส้พุงของเจ้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทำให้เจ้าถึงสิ้นชีวิตได้ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เราก็ต้องตายกันทั้งสองคน ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่กลัวตาย. นัยว่า คำว่า วชิราวุธนี้ พระโพธิสัตว์ตรัสหมายถึง อาวุธ คือญาณในภายใน ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสกะยักษ์ว่า ดูก่อนยักษ์ เราต้องไปก่อน ส่วน แล้วจึงตรัสโทษของทุศีลกรรมทั้ง ๕ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า กรรม คือการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ย่อมทำสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดเดียรัจฉาน ในเปต พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ครั้นตรัสรู้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ใจความว่า :- นรชนผู้ใด มีจิตไม่ท้อแท้ มีใจไม่หดหู่ บำเพ็ญกุศลธรรม เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนผู้นั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่าง โดยลำดับ ดังนี้. ในพระคาถานั้น ประมวลความได้ดังนี้ :- บุรุษใด มีใจไม่หดหู่ คือไม่ท้อแท้รวนเร มีใจไม่หดหู่โดยปกติ เป็นผู้มี บุรุษนั้นยกขึ้นซึ่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสังขารทั้งมวลอย่างนี้แล้ว ยังโพธิปักขิยธรรมที่เกิดขึ้น จำเดิมแต่ วิปัสสนายังอ่อนให้เจริญ พึงบรรลุพระอรหัตผลอันถึงการนั้นว่า ความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่าง เพราะบังเกิดแล้วในที่สุดแห่งมรรคทั้ง ๔ อันเป็นเหตุสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งหมด มิ พระบรมศาสดาทรงถือเอายอดพระธรรมเทศนาด้วยพระอรหัตผล ในที่สุด ทรงประกาศจตุราริยสัจ (อริยสัจ ๔). ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุนั้นได้บรรลุพระอรหัตผล. แม้พระบรมศาสดาก็ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า ยักษ์ในครั้งนั้นได้มาเป็น พระองคุลิมาล ส่วนปัญจาวุธกุมาร ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ปัญจาวุธชาดก จบ. |