บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวปัจจุบัน จักมีแจ้งใน อินฺทฺริยชาดก ส่วนในที่นี้ พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อน เธออาศัยหญิงนี้จึงได้รับการตัดศีรษะด้วยดาบ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้. ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นตัดที่ต่อเรือนในเรือนของเศรษฐีแห่งหนึ่งลักทรัพย์มาเป็นอันมาก ชาวพระนครพากันเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่ พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นนั่นแหละว่า จงตัดศีรษะมัน. เจ้าหน้าที่ผู้รัก ครั้งนั้น ในนครพาราณสี มีหญิงคณิกาชื่อว่าสามา มีค่าตัวหนึ่งพัน เป็นผู้โปรดปรานของพระราชา มีวรรณทาสี ๕๐๐ คนเป็นบริวาร ยืนเปิดหน้าต่างอยู่ที่พื้นปราสาท เห็นโจรนั้นกำลังถูกนำไปอยู่ ก็โจรนั้นเป็นผู้มีรูปงามน่าเสน่หา ถึงความงามเลิศยิ่ง มีผิวพรรณดุจเทวดา ปรากฏเด่น เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครกล่าวว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดัง เราไม่อาจปล่อยโจรนี้ได้ แต่เราได้คนอื่นแล้วอาจให้โจรนี้นั่งในยานอันมิดชิดแล้วจึงส่งไปได้. หญิงคนใช้นั้นจึงไปบอกแก่นางสามานั้น. ก็ในกาลนั้น มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันนางสามา ให้ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน. แม้วันนั้น เศรษฐีบุตรนั้นก็ได้เอาทรัพย์หนึ่งพันไปยังเรือนนั้น ในเวลาพระอาทิตย์อัศดงคต. ฝ่ายนางสามารับทรัพย์พันหนึ่งแล้ววางที่ขาอ่อน แล้วนั่งร้องไห้ เมื่อเศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า นางผู้เจริญ นี่เรื่องอะไรกัน จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย โจรนี้เป็นพี่ชายของดิฉัน เขาไม่มายังสำนักของดิฉัน ด้วยคิดว่า เราทำกรรมต่ำช้า เมื่อดิฉันส่งข่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครๆ ส่งข่าวมาว่า เราได้ทรัพย์พันหนึ่งจึงจักปล่อยตัวไป บัดนี้ ดิฉันได้ทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้ว แต่ไม่ได้โอกาสที่จะไปยังสำนักของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง เศรษฐีบุตรนั้นจึงกล่าวว่า ฉันจักไปเอง. นางสามากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอาทรัพย์ที่นำมานั่นแหละไปเถิด. เศรษฐีบุตรนั้นถือทรัพย์พันหนึ่งนั้นไปยังเรือนของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นพักเศรษฐีบุตรนั้นไว้ในที่อันมิดชิด แล้วให้โจรนั่งในยานอันปกปิดมิดชิด แล้วส่งไปให้นางสามา แล้วทำการอ้างว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดังในแว่นแคว้น ต้องรอให้มึดค่ำเสียก่อน ทีนั้นพวกเราจึงจักฆ่าโจรนั้นในเวลาปลอดคน แล้วยับยั้งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อปลอดคนแล้ว จึงนำเศรษฐีบุตรไปยังตะแลงแกงด้วยการอารักขาอย่างแข็งแรง แล้วเอาดาบตัดศีรษะเสียบร่างไว้ที่หลาวแล้ว เข้าไปยังพระนคร. ตั้งแต่นั้นมา นางสามามิได้รับอะไรๆ จากมือของคนอื่นๆ เที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรนั้น วันหนึ่ง จึงกล่าวกะนางสามานั้นว่า นางผู้เจริญ เราทั้งหลายอยู่เฉพาะในเรือนเป็นประจำ เหมือนไก่อยู่ในกรง พวกเราจักเล่นในสวนสักวันหนึ่ง. นางสามานั้นรับคำแล้วจัดแจงสิ่งของทั้งปวงมีของควรเคี้ยว และของควรบริโภคเป็นต้น ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวง นั่งในยานอันมิดชิดกับโจรนั้นแล้ว ไปยังสวนอุทยาน. โจรนั้นเล่นอยู่กับนางสามานั้นในสวนอุทยานนั้น จึงคิดว่า เราควรหนีไปเดี๋ยวนี้ จึงทำทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีกับนางสามานั้น จึงพาเข้าไประหว่างพุ่มต้นยี่โถแห่งหนึ่ง ทำทีเหมือนสวมกอดนางสามานั้น แล้วจึงกดลงทำให้สลบล้มลง แล้วปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เอาผ้าห่มของนางนั่นแหละผูกแล้ววางห่อมีภัณฑะไว้ที่คอ โดดข้ามรั้วอุทยาน ฝ่ายนางสามานั้นกลับได้สัญญาความทรงจำ จึงลุกขึ้นมายังสำนักของพวกหญิงรับใช้ แล้วถามว่า ลูกเจ้าไปไหน? พวกหญิงรับใช้กล่าวว่า พวกดิฉันไม่ทราบเลย แม่เจ้า. นางสามาคิดว่า สามีของเราสำคัญเราว่าตายแล้วจึงกลัว แล้วหลบหนีไป เสียใจ จึงจากสวนอุทยานนั้นนั่นแลไปบ้าน คิดว่า ตั้งแต่เวลาที่เรายังไม่พบเห็นสามีที่รัก เราจักไม่นอนบนที่นอนที่ประดับตกแต่ง จึงนอนอยู่ที่พื้น. ตั้งแต่นั้นมา นางไม่นุ่งผ้าสาฎกที่ชอบใจ ไม่บริโภคภัตตาหาร ๒ หน ไม่แตะต้องของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น คิดว่า เราจักแสวงหาพ่อลูกเจ้าด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง แล้วให้เรียกกลับมา จึงให้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง. เมื่อพวกนักฟ้อนรำกล่าวว่า แม่เจ้า พวกเราจะทำอะไรให้บ้าง. นางจึงกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่พวกท่านยังไม่ได้ไป ย่อมไม่มี ท่านทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปยังคามนิคมและราชธานี แสดงการเล่นพึงขับเพลงขับบทนี้ขึ้นก่อนทีเดียว ในมณฑลสำหรับแสดงการเล่น. เมื่อจะให้พวกฟ้อนรำศึกษาเอา จึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง แล้วสั่งว่า เมื่อพวกท่านขับเพลงขับบทนี้ ถ้าหากพ่อลูกเจ้าจักอยู่ในภายในบริษัทนั้น เขาจักกล่าวกับพวกท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านพึงบอกถึงความที่เราสบายดีแก่เขาแล้วพาเขามา ถ้าเขาไม่มา พวกท่านพึงให้เขาส่งข่าวมา ดังนี้แล้ว พวกนักฟ้อนเหล่านั้น เมื่อจะแสดงการเล่นในที่นั้น จึงพากันขับร้องเพลงขับบทนี้ก่อนทีเดียว ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขน ในสมัยที่อยู่ในกอชบามีสีแดง เธอได้สั่งความไม่มีโรคมายังท่าน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณเวรเรสุ คือ กณวีเรสุ แปลว่า ดอกชบา. บทว่า ภาณุสุ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยสีแสงแห่งดอกแดงๆ. บทว่า สามํ ได้แก่ ผู้มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า ปิเฬสิ ความว่า ท่านบีบรัด เหมือนคนผู้ประสงค์ร่วมภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีสวมกอดอยู่ฉะนั้น. บทว่า สา ตํ ความว่า นางสามานั้นหาโรคมิได้ แต่ท่านสำคัญว่านางตาย จึงกลัวหลบหนีไป นางนั้นได้บอกกล่าว คือแจ้งถึง โจรได้ฟังเพลงขับนั้นจึงเข้าไปหานักฟ้อนแล้วกล่าวว่า ท่านพูดว่า สามายังมีชีวิต แต่เราหาเชื่อไม่. เมื่อจะเจรจากับนักฟ้อนนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- ดูก่อนท่านผู้เจริญ ข่าวที่ว่า ลมพึงพัดภูเขาไปได้ ใครๆ คงไม่เชื่อถือ ถ้าลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แม้แผ่นดินทั้งหมดก็พัดไปได้ เพราะเหตุไร นางสามาตายแล้ว จะสั่งความไม่มีโรคถึงเราได้. คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ท่านนักฟ้อนผู้เจริญ ข่าวที่ว่า ลมพัดเอาภูเขาไปเหมือนหญ้าและใบไม้นี้ ใครๆ คงไม่เชื่อ ถ้าแม้ลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แผ่นดินแม้ทั้งหมดก็คงพัดเอาไปได้ ก็ข้อนี้ใครๆ ไม่พึงเชื่อถือ เหมือนเราไม่เชื่อข่าวนางสามานั่น. บทว่า ยตฺถ สามา กาลกตา ความว่า นางสามาทำกาละไปแล้ว จะถามความไม่มีโรคถึงเราได้เอง. ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เชื่อ? ตอบว่า เพราะธรรมดาคนที่ตายแล้ว จะส่งข่าวสาส์นแก่ใครๆ ไม่ได้. นักฟ้อนได้ฟังคำของโจรนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- นางสามานั้นยังไม่ตาย และไม่ปรารถนาชายอื่น ได้ยินว่า นางจะมีผัวคนเดียว ยังหวังเฉพาะท่านเท่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเมว อภิกงฺขติ ความว่า นางไม่ปรารถนาชายอื่น ยังหวัง คือต้องการ ปรารถนาเฉพาะท่านเท่านั้น. โจรได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า นางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม เราไม่ต้องการนาง แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :- นางสามาได้เปลี่ยนเราผู้ยังไม่เคยเชยชิดสนิทสนม กับบุรุษที่นางเคยเชยชิดสนิทสนมมานาน เปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจำ กับบุรุษผู้เป็นขาประจำ นางสามาคงจะเปลี่ยนบุรุษอื่นแม้กับเราอีก เราจักไปเสียจากที่นี้ให้ไกลแสนไกล. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺถุตํ ได้แก่ ผู้ยังไม่ได้ทำการสังสรรค์. บทว่า จิรสนฺถุเตน แปลว่า ผู้ได้ทำการสังสรรค์กันมานาน. บทว่า นิมินิ แปลว่า แลกเปลี่ยน. บทว่า อธุวํ ธุเวน ความว่า นางสามาได้ให้ทรัพย์หนึ่งพันแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร แล้วรับเอาเรามาเพื่อแลกเปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจำกับสามีประจำนั้น. บทว่า มยาปิ สามา นิมิเนยฺย อญฺญํ ความว่า นางสามาพึงแลกเปลี่ยนเอาสามีคนอื่นแม้กับเรา. ด้วยบทว่า อิโต อหํ ทูรตรํ นี้ โจรกล่าวว่า เราจักไปยังที่ไกลแสนไกลเช่นที่ที่เราไม่อาจได้ฟังข่าว หรือความเป็นไปของนางสามานั้น เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย นักฟ้อนทั้งหลายได้ไปบอกอาการกิริยาที่โจรนั้นกระทำแก่นางสามานั้น. นางเป็นผู้มีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ จึงยังกาลเวลาให้ล่วงไปโดยปกติของตนนั่นแล. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันถึงภรรยาเก่า ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุรูปนี้ นางสามาในครั้งนั้น ได้เป็น ปุราณทุติยิกาภรรยาเก่า ส่วนโจรในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กณเวรชาดก จบ. |