บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องได้ให้พิสดารแล้วในหนหลังนั่นแล. แม้ในเรื่องนี้ ภิกษุทั้งหลายก็นำภิกษุนั้นมาแสดงแด่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิ อยู่มาวันหนึ่ง ดาบสโกงนั้นได้เนื้ออร่อยที่เขาปรุงเสร็จแล้วในตระกูลอุปัฏฐากทั้งหลาย จึงถามว่านี้ชื่อเนื้ออะไร? ได้ฟังว่าเนื้อเหี้ย เป็นผู้ถูกความอยากในรสครอบงำ คิดว่า เราจักฆ่าเหี้ยที่มายังอาศรมบทของเราเป็นประจำ แล้วแทงกินตามความชอบใจ จึงถือเอาเนยใสเนยข้นและภัณฑะเครื่องเผ็ดร้อนเป็นต้นไปที่อาศรมบทนั้น เอาผ้ากาสาวะ พระโพธิสัตว์นั้นมาแล้ว เห็นดาบสนั้นมีอินทรีย์อันประทุษร้าย มีท่าทางส่อพิรุธ คิดว่า ดาบสนี้จักได้กินเนื้อสัตว์ผู้มีชาติเสมอกับเรา เราจักคอยกำหนดจับดาบสนั้น จึงยืนอยู่ในที่ใต้ลม ได้กลิ่นตัว รู้ว่าดาบสได้กินเนื้อสัตว์ผู้มีชาติเสมอกันกับตน จึงไม่เข้าไปหาดาบส ได้ถอยออกไปแล้ว. ฝ่ายดาบสนั้นรู้การที่พระโพธิสัตว์นั้นไม่มาจึงขว้างไม้ค้อนไป ไม้ค้อนไม่ตกต้องที่ตัวแต่ถูกปลายหาง. ดาบสกล่าวว่า ไปเสียเถอะเจ้า เราปาพลาดเสียแล้ว. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เบื้องต้น ท่านเป็นผู้พลาดเรา แต่จะไม่พลาดอบายทั้ง ๔ แล้วหนีเข้าไปยังจอมปลวกอันตั้งอยู่ท้ายที่จงกรม โผล่หัวออกมาทางช่องอื่น. เมื่อจะเจรจากับดาบสนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :- เราสำคัญว่าท่านเป็นสมณะ จึงได้เข้าไปหาท่านผู้ไม่สำรวม ท่านขว้างเราด้วยท่อนไม้ เหมือนไม่ใช่สมณะ. แน่ะท่านผู้โง่เขลา ประโยชน์อะไรด้วยชฎาแก่ท่าน ประโยชน์อะไรด้วยหนังเสือแก่ท่าน ภายในของท่านรกรุงรัง เกลี้ยงเกลาแต่ภายนอก. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสญฺญตํ ความว่า ข้าพเจ้าสำคัญท่านผู้ไม่สำรวมทางกายเป็นต้น คือผู้ไม่เป็นสมณะเลยว่า ชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะเป็นผู้สงบระงับโดยความเป็นผู้สงบระงับบาป ด้วยคิดว่า ผู้นี้เป็นสมณะ จึงเข้าไปหา. บทว่า ปาหาสิ แก้เป็น ปหริ แปลว่า ขว้างแล้ว. บทว่า อธินสาฏิยา ความว่า ประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยหนังเสือซึ่งห่มเฉวียงบ่า. บทว่า อพฺภนฺตรนฺเต ความว่า ภายในร่างกายของท่านรกรุงรังด้วยกิเลส เหมือนน้ำเต้าเต็มด้วยยาพิษ เหมือนหลุมเต็มด้วยคูถ และเหมือนจอมปลวกเต็มด้วยอสรพิษ. บทว่า พาหิรํ ความว่า ภายนอกร่างกายเท่านั้นเกลี้ยงเกลา คือย่อมเป็นเหมือนคูถช้างและคูถม้า เพราะภายในหยาบ ภายนอกเกลี้ยงเกลา. ดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- มาเถอะเหี้ย ท่านจงกลับมาบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีเถิด น้ำมัน เกลือ และดีปลีของเรามีมาก. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหุตํ มยฺหํ ปิปฺผลิ ความว่า มิใช่จะมีข้าวสุกแห่งข้าวสาลี น้ำมันและเกลืออย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้ แม้เครื่องเทศ เช่น กระวาน กานพลู ขิง พริก และดีปลีของเราก็มีอยู่จำนวนมาก ท่านจงมาบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีอันปรุงด้วยเครื่องเทศนั้น. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :- เราจะเข้าไปสู่จอมปลวกอันลึกร้อยชั่วบุรุษยิ่งขึ้น น้ำมันและเกลือของท่านจะเป็นประโยชน์อะไร ดีปลีก็หาเป็นประโยชน์แก่เราไม่. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเวกฺขามิ แปลว่า จักเข้าไป. บทว่า อหิตํ ความว่า ดีปลี กล่าวคือเครื่องเทศของท่านนั้นไม่เป็นประโยชน์ คือไม่เป็นสัปปายะสำหรับเรา. ก็แหละ พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงคุกคามดาบสโกงนั้นว่า เฮ้ยชฎิลโกง ถ้าเจ้าจักขืนอยู่ในที่นี้ ข้าจะให้พวกคนในถิ่นโคจรคามจับเจ้าว่า ผู้นี้เป็นโจร แล้วให้เจ้าถึงความพิการ เจ้าจงรีบหนีไปเสียโดยเร็ว. ชฎิลโกงจึงได้หนีไปจากที่นั้น. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ชฎิลโกงในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุโกหกรูปนี้ ส่วนพระยาเหี้ยในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา โคธชาดก จบ. |