บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องปัจจุบันนิทานแม้ทั้งสองเรื่อง ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังทีเดียว. ส่วนในชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสี เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นจะทดลองศีลของตน จึงถือเอากหาปณะจากแผ่นกระดานสำหรับนับเงินไป ๓ วัน ราชบุรุษทั้งหลายจึงแสดงพระโพธิสัตว์นั้นแก่พระราชาว่าเป็นโจร. พระโพธิสัตว์นั้นยืนอยู่ในสำนักของพระราชา พรรณนาศีลด้วยคาถาที่ ๑ นี้ว่า :- ได้ยินว่า ศีลแลเป็นความงาม ศีลเป็นเยี่ยมในโลก ขอพระองค์จงทอดพระเนตรงูใหญ่ มีพิษร้าย ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยมารู้สึกตัวว่า เป็นผู้มีศีล. แล้วทูลขอให้พระราชาทรงอนุญาตบรรพชาแล้วไปบรรพชา. ครั้งนั้น เหยี่ยวเฉี่ยวเอาชิ้นเนื้อในร้านขายเนื้อสัตว์แห่งหนึ่งแล้วบินไปทางอากาศ นกทั้งหลายอื่นจึงล้อมจิกตีมันด้วยเล็บเท้าและจะงอยปากเป็นต้น เหยี่ยวนั้นไม่สามารถอดทนความทุกข์ พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงคิดว่า ขึ้นชื่อว่ากามทั้งหลายนี้เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ เมื่อเป็นอย่างนั้น คนที่ยึดไว้เหล่านั้นเท่านั้นจึงเป็นทุกข์ เมื่อสละเสียได้ก็เป็นสุข แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- ชิ้นเนื้อหน่อยหนึ่งยังมีอยู่แก่เหยี่ยวนั้นเพียงใด นกตะกรุมทั้งหลายในโลกก็พากันล้อมจิก คำที่เป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ชิ้นเนื้อหน่อยหนึ่งที่เอาปากคาบอยู่ ได้มีอยู่แก่เหยี่ยวนั้นเพียง พระโพธิสัตว์นั้นออกจากพระนครแล้ว ในตอนเย็นได้นอนอยู่ในเรือนของคนผู้หนึ่ง ในบ้านนั้นในระหว่างทาง. ก็นางทาสีในเรือนนั้นชื่อปิงคลา ได้นัดแนะกับชายผู้หนึ่งว่า พึงมาในเวลา ก็ในเวลาใกล้รุ่ง นางหมดหวังว่า เขาคงไม่มาในบัดนี้แน่ จึงนอนหลับไป. พระโพธิสัตว์ได้เห็นเหตุการณ์นี้ จึงคิดว่า ทาสีนี้นั่งอยู่ได้ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ด้วยความหวังว่า ชายผู้นั้นจักมา รู้ว่าบัดนี้เขาไม่มา เป็นผู้หมดความหวัง ย่อมนอนหลับสบาย ขึ้นชื่อว่าความหวังในกิเลสทั้งหลาย เป็นทุกข์ ความไม่มีความหวังเท่านั้น เป็นสุข จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- ผู้ไม่มีความหวังย่อมหลับเป็นสุข ความหวังมีผลก็เป็นสุข นางปิงคลากระทำความหวัง จนหมดหวังจึงหลับสบาย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผลวตี ความว่า ความหวังที่ได้ผลนั้น ชื่อว่าเป็นสุข เพราะผลนั้นเป็นสุข. กระทำให้หมดหวัง คือกระทำให้ไม่มีความหวัง อธิบายว่า ตัดเสีย คือละเสีย. บทว่า ปิงฺคลา ความว่า บัดนี้ นางปิงคลทาสีนี้หลับเป็นสุข. วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์นั้นจากบ้านนั้นเข้าไปยังป่า เห็นดาบสผู้หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในป่า จึงคิดว่า ความสุขอันยิ่งกว่าความสุขในฌาน ย่อมไม่มีในโลกนี้และในโลกหน้า จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :- ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ธรรมคือความสุขอื่นจากสมาธิ ย่อมไม่มี ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมไม่เบียดเบียนทั้งคนอื่นและตนเอง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมาธิปโร ความว่า ชื่อว่าธรรมคือความสุขนอกเหนือ คืออื่นจากสมาธิ ย่อมไม่มี. พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นเข้าป่าแล้วบวชเป็นฤาษี ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ ๑๐ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. กุฏิทูสชาดก ว่าด้วย ลิงกับนกขมิ้น ๒. ทุททุภายชาดก ว่าด้วย พวกกระต่ายตื่นตูม ๓. พรหมทัตตชาดก ว่าด้วย ผู้ขอกับผู้ถูกขอ ๔. จัมมสาฎกชาดก ว่าด้วย อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน ๕. โคธชาดก ว่าด้วย เหี้ยกับฤาษีปลอม ๖. กักการุชาดก ว่าด้วย ผู้ควรประดับดอกฟักทิพย์ ๗. กากาติชาดก ว่าด้วย นางกากี ๘. อนนุโสจิยชาดก ว่าด้วย ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน ๙. กาฬพาหุชาดก ว่าด้วย ลิงหลอกเจ้า ๑๐. สีลวีมังสชาดก ว่าด้วย ธรรมที่นำความสุขมาให้ จบ กุฏิทูสกวรรคที่ ๓ .. อรรถกถา สีลวีมังสชาดก จบ. |