ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 271028อรรถกถาชาดก 271035
เล่มที่ 27 ข้อ 1035อ่านชาดก 271043อ่านชาดก 272519
อรรถกถา พกพรหมชาดก
ว่าด้วย ศีลและพรตของพกพรหม
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพกพรหมแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทฺวาสตฺตติ ดังนี้.
               ความพิสดารว่า ท่านพกพรหมเกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ว่า สิ่งนี้เที่ยง ยั่งยืน สืบเนื่องๆ กันไป ไม่มีการเคลื่อนธรรมดา สิ่งอื่นนอกจากนี้ที่ชื่อว่าพระนิพพานเป็นที่ออกไปของสัตวโลกไม่มี
               ได้ยินว่า พระพรหมองค์นี้เกิดภายหลัง เมื่อก่อนบำเพ็ญฌานมาแล้ว จึงมาเกิดในชั้นเวหัปผลา. ท่านให้อายุประมาณ ๕๐๐ กัปป์สิ้นไปในชั้นเวหัปผลานั้นแล้ว จึงเกิดในชั้นสุภกิณหาสิ้นไป ๖๔ กัปป์แล้ว จุติจากชั้นนั้นจึงไปเกิดในชั้นอาภัสรา มีอายุ ๘ กัปป์
               ในชั้นอาภัสรานั้น ท่านได้เกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ เพราะท่านระลึกถึงการจุติจากพรหมโลกชั้นสูงไม่ได้เลย ระลึกถึงการเกิดขึ้นในพรหมโลกชั้นนั้นก็ไม่ได้. เมื่อไม่เห็นทั้ง ๒ อย่าง ท่านจึงยึดถือความเห็นอย่างนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของพกพรหมนั้น ด้วยเจโตปริยญาณแล้ว จึงทรงหายพระองค์ไปจากพระเชตวันมหาวิหาร ปรากฏพระองค์บนพรหมโลก อุปมาเหมือนหนึ่งคนมีกำลังแข็งแรงเหยียดแขนออกไปแล้วคู้แขนที่เหยียดออกไปแล้วเข้ามาก็ปานกัน
               ครั้งนั้น พระพรหมเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงทูลว่า มาเถิดท่านสหาย ท่านมาดีแล้วท่านสหาย นานนักท่านสหาย ท่านจึงจะได้ทำปริยายนี้ คือการมาที่นี้ เพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่เที่ยง เป็นสถานที่ยั่งยืน เป็นสถานที่สืบเนื่องกันไป เป็นสถานที่ไม่มีการเคลื่อนเป็นธรรมดา เป็นสถานที่มั่นคง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แต่ว่าสถานที่อื่นที่ชื่อว่าเป็นที่ออกไปจากทุกข์ยิ่งกว่านี้ ไม่มี.
               เมื่อพกพรหมทูลอย่างนี้แล้ว
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้กะพกพรหมว่า
                         พกพรหมผู้เจริญตกอยู่ในอำนาจของอวิชชาแล้วหนอ
                         พกพรหมผู้เจริญตกอยู่ในอำนาจของอวิชชาแล้วหนอ
               เพราะได้พูดถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแหละว่าเป็นของเที่ยง และได้พูดถึงธรรมที่สงบอย่างอื่นว่า เป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์อันยิ่งยวดไม่มีธรรมอื่นที่เป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์ยิ่งกว่า
               พระพรหมได้ฟังคำนั้น แล้วคิดว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้า นี่จะอนุวัตรคล้อยตามเรา ด้วยประการอย่างนี้ว่า ท่านกล่าวอย่างนี้ถูกแล้ว แต่เกรงกลัวการอนุโยคย้อนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำนองเดียวกับโจรผู้ด้อยกำลังได้รับการตีเล็กน้อย ก็บอกเพื่อนฝูงทุกคนว่า ฉันคนเดียวหรือเป็นโจร? คนโน้นก็เป็นโจร คนโน้นก็เป็นโจร
               เมื่อจะบอกเพื่อนฝูงของตนแม้คนอื่นๆ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               ข้าแต่พระโคดม พวกข้าพระองค์มี ๗๒ คน ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว มีอำนาจแผ่ไปล่วงความเกิดและความแก่ไปได้ การเกิดเป็นพรหมนี้ เป็นอันติมชาติ ชาติสุดท้าย จบไตรเพทแล้ว คนจำนวนมากเอ่ยถึงพวกข้าพระองค์.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฺวาสตฺตติ ความว่า
               ข้าแต่พระโคดม ไม่ใช่เพียงแต่ข้าพระองค์คนเดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว พวกข้าพระองค์ ๗๒ คน ในพรหมโลกนี้ เป็นผู้ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว เป็นผู้แผ่อำนาจไป โดยการแผ่อำนาจของตนไปเหนือคนเหล่าอื่น และได้ล่วงเลยความเกิดและความแก่ไปแล้ว การเกิดเป็นพรหมนี้ชื่อว่าถึงพระเวทแล้ว เพราะพวกข้าพระองค์ถึงแล้วด้วยพระเวททั้งหลาย
               ข้าแต่พระโคดม การเกิดเป็นพรหมนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย คือการถึงส่วนหลังที่สุด ได้แก่การเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐที่สุด.
               บทว่า อสฺมาภิชปฺปนฺติ ชนา อเนกา ความว่า คนอื่นมากมายพากันทำอัญชลีพวกข้าพระองค์ กล่าวคำมีอาทิว่า นี้แลคือพระพรหมพระมหาพรหมผู้เจริญ นมัสการคือปรารภ ได้แก่กระหยิ่มอยู่. อธิบายว่า ปรารถนาอยู่ว่า อัศจรรย์หนอ! เราทั้งหลายควรจะเป็นแบบนี้.

               พระศาสดา ครั้นทรงสดับถ้อยคำของพกพรหมนั้นแล้ว จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า:-
               ดูก่อนพรหม ความจริงอายุของท่านนี้น้อยไม่มากเลย แต่ท่านสำคัญว่าอายุของท่านมาก จำนวนแสนนิรัพพุทะ ดูก่อนพรหม เราตถาคตรู้อายุของท่าน.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ สหสฺสาน นิรพฺพุทานํ ความว่า
               การนับกล่าวคือนิรัพพุทะ มีหลายแสน. อธิบายว่า
                         สิบสิบปีเป็นร้อย
                         สิบร้อยเป็นพัน.
                         ร้อยพันเป็นแสน.
                         ร้อยแสนชื่อว่าโกฏิ.
                         ร้อยแสนโกฏิชื่อว่าปโกฏิ.
                         ร้อยแสนปโกฏิชื่อว่าโกฏิปโกฏิ.
                         ร้อยแสนโกฏิปโกฏิชื่อว่า ๑ นหุต.
                         ร้อยแสนนหุตชื่อว่า ๑ นินนหุต.
               นักคำนวณที่ฉลาดสามารถนับได้เพียงเท่านี้ ขึ้นชื่อว่าการนับต่อจากนี้ไป เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
               บรรดาการนับเหล่านั้น
                         ร้อยแสนนินนหุต เป็น ๑ อัพพุทะ.
                         ๒๐ อัพพุทะเป็น ๑ นิรัพพุทะ.
                         ร้อยแสนนิรัพพุทะเหล่านั้น ชื่อว่า ๑ อหหะ.
               จำนวนเท่านี้ปีเป็นอายุของพกพรหมที่เหลืออยู่ในภพนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอายุนั้น จึงได้ตรัสอย่างนี้.

               พกพรหมได้สดับพระพุทธพจน์นั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
               ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า เราตถาคตเป็นผู้เห็นไม่มีที่สิ้นสุด สัพพัญญู ก้าวล่วงชาติชราและความโศกแล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกการสมาทานพรต ศีลและวัตรจรณะของข้าพระองค์ แต่ก่อนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งข้าพระองค์ควรจะทราบ.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภควา ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เมื่อตรัสว่า เราตถาคตรู้อายุของท่าน ชื่อ ตรัสว่า เราตถาคตเห็นไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสัพพัญญู ก้าวล่วงชาติชราและความโศกได้แล้ว.
               บทว่า วตสีลวตฺตํ ได้แก่การสมาทานพรต ทั้งศีลและวัตร. มีคำอธิบายไว้ว่า ถ้าหากพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูพุทธะไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรคือพรต ศีลและจรณะเก่าของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ควรรู้ตามความเป็นจริง ที่พระองค์ตรัสบอก.

               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงนำเรื่องอดีตทั้งหลายมาตรัสบอกแก่พกพรหม
               จึงได้ตรัสคาถา ๔ คาถาว่า :-
               ท่านได้ช่วยมนุษย์จำนวนมาก ผู้เดือดร้อนปางตาย ระหายน้ำจัด ให้ได้ดื่มน้ำอันใดไว้
               เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านอันนั้นได้ เหมือนนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น ระลึกถึงความฝันได้ฉะนั้น.

               ท่านได้ช่วยฝูงชนใดที่ถูกโจรจับเป็นเชลยนำมา ให้รอดพ้นได้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเอณิ
               เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น นึกถึงฝันได้ ฉะนั้น.

               ท่านได้ทุ่มกำลังช่วยคนทั้งหลายผู้ไปเรือในกระแสแม่น้ำคงคา ให้พ้นจากพญานาคตัวร้ายกาจ อันใด เราตถาคตระลึกถึงพรตศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้น นึกถึงฝันได้ ฉะนั้น.

               อนึ่ง เราตถาคตได้มีชื่อว่ากัปปะ เป็นอันเตวาสิกของท่าน ได้รู้แล้วว่า ท่านเป็นดาบสผู้มีปัญญาดี มีพรต อันใด เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้น ระลึกถึงฝันได้ ฉะนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปาเยสิ ความว่า ให้ดื่มแล้ว.
               บทว่า ฆมฺมนิ สปฺปเรเต ความว่า ผู้ปางตายเพราะความร้อน คือลำบากเพราะความร้อนแผดเผ่าเหลือเกิน.
               บทว่า สุตฺตปฺปพุทฺโธว ความว่า ระลึกถึงพรตเป็นต้นได้เหมือนนอนหลับไปในเวลาย่ำรุ่งฝันเห็น แล้วตื่นขึ้นระลึกถึงความฝันนั้น ฉะนั้น.
               ได้ยินว่า พกพรหมนั้นในกัปป์ๆ หนึ่ง เป็นดาบส อยู่ที่ทะเลทรายกันดารน้ำ ได้นำน้ำดื่มมาให้คนจำนวนมาก ที่เดินทางกันดาร.
               อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าพวกหนึ่งเดินทางไปถึงทะเลทรายที่กันดารน้ำด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม คนทั้งหลายไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ เดินทางไป ๗ วัน สิ้นฟืนสิ้นน้ำ หมดอาหาร ถูกความอยากครอบงำ คิดว่า บัดนี้ พวกเราไม่มีชีวิตแล้ว พากันพักเกวียนเป็นวงรอบแล้ว ต่างก็ปล่อยโคไปแล้วก็พากันนอนอยู่ใต้เกวียนของตน.
               ครั้งนั้น ดาบสรำลึกไปเห็นพ่อค้าเหล่านั้นแล้วคิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ ขอคนทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด จึงได้บันดาลให้กระแสน้ำคงคาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าของพวกพ่อค้าด้วยอานุภาพฤทธิ์ของตน และได้เนรมิตไพรสณฑ์แห่งหนึ่งไว้ในที่ไม่ไกล.
               พวกมนุษย์ได้ดื่มน้ำและอาบน้ำให้โคทั้งหลายอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงพากันไปเกี่ยวหญ้า เก็บฟืนจากไพรสณฑ์ กำหนดทิศได้แล้วข้ามทางกันดารไปได้โดยปลอดภัย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ยํ ตฺวํ ฯเปฯ อนุสุสรามิ นั่นทรงหมายเอาดาบสนั้น.

               บทว่า เอณิกูลสฺมึ ความว่า ใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่าเอณิ.
               บทว่า คยฺหก นียมานํ ความว่า ที่กำลังถูกจับเป็นเชลยแล้วนำมา.
               เล่ากันมาว่า ดาบสนั้น ในกาลต่อมาได้อาศัยบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง พักอยู่ที่ไพรสณฑ์แห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำ. ครั้นวันหนึ่ง พวกโจรชาวเขาลงมาปล้นบ้านนั้น จับเอาคนจำนวนมากให้ขึ้นไปบนเขา วางคนสอดแนมไว้ที่ระหว่างทาง เข้าไปสู่ซอกเขาแล้วให้นั่งหุงต้มอาหาร.
               ดาบสได้ยินเสียงร้องครวญครางของสัตว์มีโคและกระบือเป็นต้น และของคนทั้งหลายมีเด็กชายและเด็กหญิงเป็นต้นคิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ ขอเขาทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด แล้วจึงละอัตตภาพ เป็นพระราชาแวดล้อมด้วยเสนามีองค์ ๔ ได้ให้ตีกลองศึกไป ณ ที่นั้น.
               พวกคนสอดแนมเห็นดาบสนั้นแล้วได้บอกแก่พวกโจร. พวกโจรคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการทะเลาะกับพระราชาไม่สมควรแล้ว จึงพากันทิ้งเชลยไว้ ไม่กินอาหาร หนีไปแล้ว
               ดาบสนำคนเหล่านั้นให้กลับไปอยู่บ้านของตนหมดทุกคน
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ยํ เอณิกูลสฺมึ ฯเปฯ อนุสฺสรามิ นั่นไว้ทรงหมายเอาดาบสนั้น.

               บทว่า คหิตนาวํ ได้แก่ เรือที่พ่วงขนานกัน.
               บทว่า ลุทฺเธน ความว่า ผู้หยาบคาย.
               บทว่า มนุสฺสกปฺปา ความว่า เพราะต้องการให้พวกมนุษย์พินาศ.
               บทว่า พลสา ความว่า ด้วยกำลัง.
               บทว่า ปสยฺห ความว่า ข่มขู่.
               ในกาลต่อมา ดาบสพักอยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้งนั้น คนทั้งหลายพากันผูกเรือขนาน ๒-๓ ลำติดกัน แล้วสร้างมณฑปดอกไม้ไว้ที่ยอดเรือขนาน นั่งกินนั่งดื่มอยู่ในเรือขนาน แล่นไปที่ฝั่งสมุทร พวกเขาพากันเทสุราที่เหลือจากดื่ม ข้าวปลาเนื้อและหมากพลูเป็นต้น ที่เหลือจากที่กินและเหลือจากที่ขบเคี้ยวแล้วลงแม่น้ำคงคานั่นเอง.
               พญานาคชื่อว่าคังเคยยะโกรธว่า คนพวกนี้โยนของที่เหลือกินลงเบื้องบนเรา หมายใจว่า เราจักรวบคนเหล่านั้นให้จมลงในแม่น้ำคงคาหมดทุกคน แล้วเนรมิตอัตภาพใหญ่ประมาณเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง แหวกน้ำขึ้นมา แผ่พังพานลอยน้ำไปตรงหน้าคนเหล่านั้น. พวกเขาพอเห็นพญานาคเท่านั้น ก็ถูกมรณภัยคุกคามส่งเสียงร้องลั่นขึ้นพร้อมกันทีเดียว.
               ดาบสได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา ก็รู้ว่าพญานาคโกรธ คิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ ขอคนทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด แล้วได้รีบเนรมิตอัตภาพเป็นเพศครุฑบินไปด้วยอานุภาพของตน โดยติดต่อกันโดยพลัน. พญานาคเห็นครุฑนั้นแล้ว หวาดกลัวความตายจึงดำลงไปในน้ำ.
               พวกมนุษย์ถึงความสวัสดีแล้ว จึงได้ไปกัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า คงฺคาย โสตสฺมึ ฯเปฯ อนุสฺสรามิ นั่นทรงหมายเอาดาบสนั้น.

               บทว่า ปตฺถจโร ได้แก่ อันเตวาสิก.
               บทว่า สมฺพุทฺธิวนฺตํ วติ โส อมญฺญํ ความว่า เรารู้จักท่านว่า เป็นดาบสผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา ทั้งถึงพร้อมด้วยวัตร.
               ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้อย่างไร ทรงแสดงไว้ว่า ดูก่อนท้าวมหาพรหม ในอดีตกาล ในเวลาท่านเป็นเกสวดาบส เราตถาคตเป็นคนรับใช้ใกล้ชื่อว่ากัปปะ เมื่อท่านถูกอำมาตย์ชื่อนารทะ นำมาป่าหิมพานต์ จากเมืองพาราณสี ได้ให้โรคสงบไป.
               ลำดับนั้น นารทะอำมาตย์มาเยี่ยมท่านครั้งที่ ๒ เห็นหายจากโรค จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า :-
               ท่านเกสีผู้มีโชค ไยเล่าจึงละทิ้งจอมคนผู้ให้ความต้องการทุกอย่างสำเร็จได้ มายินดีในอาศรมของท่านกัปปะ.


               ท่านได้กล่าวคำนี่กะอำมาตย์นารทะ นั่นนั้นว่า :-
               ดูก่อนท่านนารทะ สิ่งที่ดีน่ารื่นรมย์ใจมีอยู่ ต้นไม้ทั้งหลายที่รื่นเริงใจก็ยังมี
               ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตของกัสสป ให้อาตมารื่นเริงใจได้.


               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงความที่โรคของท่านเกสีดาบสนี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ผู้ทรงเป็นอันเตวาสิกให้สงบได้ด้วยประการอย่างนี้แล้ว จึงได้ตรัสอย่างนี้. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อจะให้มหาพรหมทั้งหมดกำหนดรู้กรรมที่พรหมนั้น พกพรหมทำไว้ในมนุษยโลกนั่นเอง จึงตรัสคำนี้ไว้.

               พกพรหมนั้นระลึกถึงกรรมที่ตนได้ทำไว้ ตามพระดำรัสของพระศาสดาได้แล้ว
               เมื่อจะทำการสดุดีพระตถาคต จึงได้กล่าวคาถาสุดท้ายไว้ว่า :-
               พระองค์ทรงทราบอายุของข้าพระองค์นั่นได้แน่นอน แม้สิ่งอื่นพระองค์ก็ทรงทราบเพราะพระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง จริงอย่างนั้น พระรัศมีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์นี้ จึงส่องพรหมโลกให้สว่างไสวอยู่.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถา หิ พุทโธ ความว่า เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง อันธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะไม่มีสิ่งที่ไม่ทรงรู้ ด้วยว่าท่านเท่านั้นชื่อว่าพุทธะเพราะตรัสรู้ธรรมทุกอย่างนั่นเอง.
               บทว่า ตถา หิ ตายํ ความว่า ก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะทรงเป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง พระรัศมีจากพระสรีระของพระองค์ที่รุ่งโรจน์.
               บทว่า โอภาสยํ ติฏฺฐติ ความว่า พระรัศมีจากพระสรีระนี้ จึงส่องพรหมโลก แม้ทั้งหมดนี้ให้สว่างไสวอยู่.

               พระศาสดา เมื่อทรงให้พกพรหมรู้พระพุทธคุณของพระองค์ไปพลางทรงแสดงธรรมไปพลาง จึงทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรม จิตของพระพรหมประมาณหมื่นองค์พ้นจากอาสวะทั้งหลายแล้ว เพราะไม่ยึดมั่น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นที่พึ่งของพระพรหมทั้งหลายด้วยประการอย่างนี้ ได้เสด็จจากพรหมโลกมาพระเชตวันวิหาร แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยทำนองที่ได้ทรงแสดงแล้ว ในพรหมโลกนั้น แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า
               เกสวดาบสในครั้งนั้น ได้แก่ พกพรหม ในบัดนี้
               ส่วนกัปปมาณพได้แก่ เราตถาคต นั่นเอง ฉะนี้แล.
               จบ อรรถกถาพกพรหมชาดกที่ ๑๐               

               รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. กุกกุชาดก ว่าด้วย ปฏิปทาของพระราชาผู้เป็นบัณฑิต
                         ๒. มโนชชาดก ว่าด้วย คบคนชั่วไม่ได้ความสุขยั่งยืน
                         ๓. สุตนชาดก ว่าด้วย เสียเพื่อได้
                         ๔. มาตุโปสกคิชฌชาดก ว่าด้วย เมื่อถึงคราวพินาศความคิดย่อมวิบัติ
                         ๕. ทัพพปุปผชาดก ว่าด้วย โทษของการโต้เถียงกัน
                         ๖. ทสัณณกชาดก ว่าด้วย ให้แล้วไม่เดือดร้อนภายหลังทำได้ยาก
                         ๗. เสนกชาดก ว่าด้วย ผู้มีปัญญาช่วยคนอื่นได้
                         ๘. อัฏฐิเสนชาดก ว่าด้วย การขอ
                         ๙. กปิชาดก ว่าด้วย คุณธรรมของผู้บริหารคณะ
                         ๑๐. พกพรหมชาดก ว่าด้วย ศีลและพรตของพกพรหม
               จบ กุกกุวรรคที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา พกพรหมชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 271028อรรถกถาชาดก 271035
เล่มที่ 27 ข้อ 1035อ่านชาดก 271043อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4485&Z=4524
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๔  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]