![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เรื่องพิสดารมีว่า วันหนึ่ง นางวิสาขาฟังธรรมกถาในพระเชตวันวิหาร แล้ว พอล่วงราตรีนั้น มหาเมฆอันเป็นไปในทวีปทั้งสี่ยังฝนให้ตก. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพวกภิกษุมา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝนตกในเชตวันอย่างใด ตกในทวีปทั้งสี่อย่างนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาเมฆกลุ่มสุดท้ายพึงเปียกกายเราได้ ขณะที่ฝนกำลังตก ก็เสด็จหายไปจากพระเชตวันกับพวกภิกษุด้วยกำลังฤทธิ์ ปรากฏที่ซุ้มประตูของ อุบาสิกายินดีร่าเริงบันเทิงใจว่า อัศจรรย์นัก พ่อเจ้าพระคุณเอ๋ย พิศวงนัก พ่อมหาจำเริญเอ๋ย เพราะความที่พระตถาคตทรงมีฤทธิ์มาก ทรงอานุภาพมาก ในเมื่อห้วงน้ำเพียงเข่าก็มี เพียงเอวก็มีกำลังไหลไป เท้าหรือจีวรของภิกษุแม้รูปหนึ่งที่ชื่อว่าเปียกไม่มีเลยแหละ แล้วอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ได้กราบทูลข้อนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเสร็จภัตกิจแล้วว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพร ๘ ประการกะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าข้า. ตรัสว่า วิสาขา พระตถาคตทั้งหลายผ่านพ้นพรไปแล้วละ. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรใดๆ ควรแก่ข้าพระองค์ และพรใดๆ ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ทูลขอพรนั้นๆ พระเจ้าข้า. ตรัสว่า กล่าวเถิดวิสาขา. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอปรารถนาเพื่อจะถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุสงฆ์ตลอดชีพ ฯลฯ เพื่อจะถวายภัตแก่ภิกษุผู้มา ฯลฯ ภัตแก่ภิกษุผู้จะไป ฯลฯ ภัตรแก่ภิกษุไข้ ฯลฯ ภัตแก่ภิกษุผู้พยาบาลไข้ ฯลฯ ยาแก่ภิกษุผู้ไข้ ฯลฯ ข้าวยาคูประจำ เพื่อจะถวายผ้าอาบแด่ภิกษุณีสงฆ์. พระศาสดาตรัสถามว่า วิสาขา เธอเห็นอำนาจประโยชน์อะไรถึงขอพร ๘ ประ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ปุพพาราม พวกภิกษุพากันยก ผู้มีอายุทั้งหลาย มหาอุบาสิกาวิสาขาแม้ดำรงในอัต พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่วิสาขาได้รับพรในสำนักของเรา แม้ในครั้งก่อนก็เคยได้รับแล้วเหมือนกัน. ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้. ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามสุรุจิ เสวยราชสมบัติในพระนครมิถิลา ทรงได้พระราชโอรส ก็ได้ทรงขนานพระนามพระราชโอรสนั้นว่า สุรุจิกุมาร. พระกุมารทรงเจริญวัย ทรงดำริว่า เราจักเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา เสด็จไปประทับนั่งพักที่ศาลาใกล้ประตูพระนคร. ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ทรงพระนามพรหมทัตกุมาร ก็เสด็จไปในที่นั้นเหมือนกัน ประทับนั่งพักเหนือแผ่นกระดานที่พระสุรุจิกุมารประทับนั่งนั้นแล. พระกุมารทั้งสองทรงไต่ถามกันแล้ว มีความสนิทสนมกัน ไปสู่สำนักอาจารย์ร่วมกันทีเดียว ทรงให้ค่าคำนับอาจารย์ ตั้งต้นเรียนศิลปะ ไม่ช้านานนักต่างก็สำเร็จศิลปะ พากันอำลาอาจารย์ เสด็จร่วมทางกันมาหน่อยหนึ่ง ประทับยืนที่ทางสองแพร่ง ทรงสวมกอดกันไว้ ต่างทรงกระทำกติกากัน เพื่อจะทรงรักษามิตรธรรมให้ยั่งยืนไปว่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอรส ท่านมีพระธิดา หรือท่านมีพระโอรส ข้าพเจ้ามีธิดา เราจักกระทำอาวาหมงคลและวิวาหมงคล แก่โอรสและธิดาของเรานั้น. ครั้นกุมารทั้งสองเสวยราชสมบัติ พระสุรุจิมหาราชมีพระโอรส พระประยูรญาติ พระราชบิดามีพระประสงค์จะอภิเษกพระกุมารในราชสมบัติ ทรงพระดำริว่า ข่าวว่า พระเจ้าพาราณสีพระสหายของเรามีพระธิดา เราจักสถาปนานางนั้นแลให้เป็น ขณะที่พวกอำมาตย์เหล่านั้นยังมาไม่ถึง พระเจ้าพาราณสีตรัสถามพระเทวีว่า นางผู้เจริญ อะไรเป็นทุกข์อย่างยิ่งของมาตุคาม. พระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ความหึงหญิงที่ร่วมผัว เป็นความทุกข์ ตรัสว่า นางผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น เราต้องช่วยกันเปลื้องสุเมธาเทวีลูกหญิงของเราจากทุกข์นั้น เราจักให้แก่ผู้ที่จักครองเธอแต่นางเดียวเท่านั้น. เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นพากันมาถึงทูลรับพระนามของพระนางแล้ว ท้าวเธอจึงตรัสว่า ดูราพ่อทั้งหลาย อันที่จริง เมื่อก่อนข้าพเจ้ากระทำ อำมาตย์เหล่านั้นพากันส่งข่าวสู่สำนักพระราชา พระราชาตรัสว่า ราชสมบัติของเราใหญ่หลวง มิถิลานครมีอาณาเขตถึง ๗ โยชน์ กำหนดแห่งราชัยถึง ๓๐๐ โยชน์ อย่างต่ำสุด ควรจะได้สตรี ๑๖,๐๐๐ นาง แล้วมิได้ทรงบอกไป. แต่พระกุมารสุรุจิทรงสดับรูปสมบัติของพระนางสุเมธาแล้ว ก็ติดพระหทัยด้วยการ พระราชบิดามารดาไม่ทรงขัดพระหทัยของพระกุมาร ทรงส่งทรัพย์เป็นอันมาก เชิญพระนางมาด้วยบริวารขบวนใหญ่แล้วทรงอภิเษกร่วมกัน กระทำ ครั้งนั้น ชาวเมืองประชุมกันชวนกันร้องขานขึ้นในท้องพระลานหลวง. เมื่อท้าวเธอดำรัสว่า นี่อะไรกัน ก็กราบทูลว่า โทษของพระราชาไม่มีพระเจ้าข้า แต่พระโอรสผู้จะสืบวงศ์ของพระองค์ยังไม่มีเลย พระองค์ทรงมีพระเทวีพระนางเดียว ธรรมดาราชสกุลต้องมีหญิง ๑๖,๐๐๐ นางเป็นอย่างต่ำที่สุด พระองค์โปรดรับกลุ่มสตรีเถิดพระเจ้าข้า เผื่อบรรดาหญิงเหล่านั้นจักมีสักคนหนึ่งที่มีบุญ จักได้พระโอรส ถูกท้าวเธอตรัสห้ามเสียว่า พ่อคุณเอ๋ย พากันพูดอะไร เราได้ปฏิญาณไว้แล้วว่า จักไม่ครองหญิงอื่นเลย จึงได้เชิญหญิงนี้มาได้ เราไม่มุสาวาทได้ เราไม่ต้องการกลุ่มแห่งสตรี เลยพากันหลีกไป. พระนางสุเมธาทรงสดับพระดำรัสนั้น ดำริว่า พระราชามิได้ทรงนำสตรีอื่นๆ มาเลย เพราะทรงพระดำรัสตรัสจริงแน่นอน แต่เรานี่แหละจักหามาถวายแก่พระองค์ ทรงดำรงในตำแหน่งพระมเหสีเช่นพระมารดาของพระราชา จึงทรงนำมาซึ่งสตรี ๔,๐๐๐ นาง คือสาวน้อยเชื้อกษัตริย์ ๑,๐๐๐ เชื้อขุนนาง ๑,๐๐๐ เชื้อเศรษฐี ๑,๐๐๐ นางระบำผู้ แม้พวกนั้นพากันอยู่ในราชสกุลตั้ง ๑๐,๐๐๐ ปี ก็ไม่ได้พระโอรสหรือธิดาดุจกัน. พระนางคัดพวกอื่นๆ มาถวายคราวละ ๔,๐๐๐ ถึงสามคราว. แม้พวกนั้นก็ไม่ได้พระโอรสพระธิดา. รวมเป็นหญิงที่พระนางนำมาถวาย ๑๖,๐๐๐ นาง. เวลาล่วงไป ๔๐,๐๐๐ ปี รวมกับเวลาที่ทรงอยู่กับพระนางองค์เดียว ๑๐,๐๐๐ ปี เป็น ๕๐,๐๐๐ ปี. ครั้งนั้นชาวเมืองประชุมชวนกันร้องขานขึ้นอีก เมื่อท้าวเธอตรัสว่า เรื่องอะไรกันเล่า พากันกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์โปรดบังคับพระเทวีทั้งหลาย เพื่อปรารถนาพระโอรสเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับว่า ดีแล้ว ตรัส (กะ ครั้งนั้น พระราชาตรัสกะพระนางสุเมธาว่า นางผู้เจริญ เชิญเธอปรารถนาพระโอรส ด้วยเดชแห่งศีลของพระนางสุเมธา พิภพของท้าวสักกะหวั่นไหว. ท้าวสักกะทรงนึกว่า นางสุเมธาปรารถนาพระโอรส เราต้องให้โอรสแก่เธอ แต่ว่าเราไม่อาจที่จะให้ตามมีตามได้ ต้องเลือกเฟ้นโอรสที่สมควรแก่เธอ เมื่อทรงเลือกเฟ้นก็ทรงเห็นเทพ แท้จริง เทพบุตรนฬการนั้นเป็นสัตว์ถึงพร้อมด้วยบุญ เมื่ออยู่ในนครพาราณสี ในอัตภาพครั้งก่อน ถึงเวลาหว่านข้าวไปไร่ เห็นพระปัจเจก ด้วยทำนองนี้เองได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าถึง ๗ องค์ ให้อยู่ ณ บรรณ พ่อลูกทั้งคู่นั้น ครั้นทำกาลกิริยาบังเกิดในภพดาวดึงส์ เสวยอิสริยะแห่งเทวดาอันใหญ่ กลับไปกลับมาอยู่ในกามภพทั้ง ๖ ชั้น. เทพบุตรทั้งคู่นั้นปรารถนาจะจุติจากชั้นนั้นไปบังเกิดในเทว ท้าวสักกะทรงทราบความเป็นอย่างนั้น เสด็จไปถึงประตูวิมานของเทพบุตรองค์หนึ่งในสององค์นั้น ตรัสกับเทพบุตรนั้นผู้มาบังคมแล้วยืนอยู่ว่า ดูราท่านผู้นิรทุกข์ ควรที่ท่านจะไปสู่มนุษย เธอทูลว่า ข้าแต่มหาราช โลกมนุษย์น่ารังเกียจสกปรก ฝูงชนที่ตั้งอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ต่างทำบุญมีให้ทานเป็นต้น ปรารถนาเทวโลก ข้าพระองค์จักไปในโลกมนุษย์นั้นทำอะไร. ตรัสว่า ผู้นิรทุกข์ ท่านจักได้บริโภคทิพยสมบัติที่เคยบริโภคในเทวโลกในโลกมนุษย์ จักได้อยู่ในปราสาทแก้วสูง ๒๕ โยชน์ ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ เชิญท่านรับคำเถิด. เธอจึงรับ. ท้าวสักกะทรงถือปฏิญญาของเธอแล้ว เสด็จไปสู่อุทยานด้วยแปลงเพศเป็นฤาษี จงกรมในอากาศเบื้องบนสตรีเหล่านั้น ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏ ตรัสว่า อาตม สตรี ๑,๐๐๐ นางต่างยอหัตถ์วิงวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โปรดให้แก่ดิฉันๆ. ทีนั้นท้าวสักกะก็ตรัสว่า อาตมภาพจะให้โอรสแก่หมู่สตรีที่มีศีล พวกเธอมีศีลอย่างไร มีอาจาระอย่างไรเล่า. สตรีเหล่านั้นพากันลดมือที่ยกขึ้นลงหมดกล่าวว่า ถ้าพระคุณเจ้าปรารถนาจะให้แก่สตรีผู้มีศีล เชิญไปสู่สำนักของพระนางสุเมธาเถิด. ท้าวเธอก็เหาะไปทางอากาศนั้นเอง ประทับยืนตรงช่องพระแกลใกล้พระทวารปราสาทของพระ พระนางเสด็จไปด้วยท่าทางอันตระหนัก ทรงเปิดพระแกลตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ได้ยินว่า พระคุณเจ้าจะให้โอรสผู้ประเสริฐแก่สตรีผู้มีศีล เป็นความจริงหรือ พระเจ้าข้า. ท้าวเธอตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี ขอถวายพระพรเป็นความจริง. พระนางตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ขอพระ เมื่อจะทรงแถลงศีลคุณของตน ได้ทรงภาษิตพระคาถา ๑๕ คาถาว่า ดิฉันถูกเชิญมา เป็นพระอัครมเหสีคนแรกของพระเจ้าสุรุจิตลอดเวลาหมื่นปี พระเจ้าสุรุจินำดิฉันมาผู้เดียว ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันนั้นมิได้รู้สึกเลยว่า ได้ล่วงเกินพระเจ้าสุรุจิผู้เป็นจอมประชาชนชาววิเทหรัฐครองพระนครมิถิลา ด้วยกาย วาจาหรือใจ ทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับเลย ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง. ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันเป็นที่พอใจของพระภัสดา พระชนนีและพระชนกของพระภัสดาก็เป็นที่รักของดิฉัน พระองค์ท่านเหล่านั้นทรงแนะนำดิฉันตลอดเวลาที่พระองค์ท่านยังทรงพระชนมชีพอยู่ ดิฉันนั้นยินดีในความไม่เบียดเบียน มีปกติประพฤติธรรมโดยส่วนเดียว มุ่งบำเรอพระองค์ท่านเหล่านั้นโดยเคารพ ไม่เกียจ ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ความริษยาหรือความโกรธในสตรีผู้เป็นราชเทวีร่วมกัน ๑๖,๐๐๐ คน มิได้มีแก่ดิฉันในกาลไหนๆ เลย ดิฉันชื่นชมด้วยความเกื้อกูลแก่พระราชเทวีเหล่านั้น และคนไหนที่จะไม่เป็นที่รักของดิฉันไม่มีเลย ดิฉันอนุเคราะห์หญิงผู้ร่วมสามีทั่วกันทุกคน ในกาลทุกเมื่อ เหมือนอนุเคราะห์ตนฉะนั้น ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตว์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง. ดิฉันเลี้ยงดูทาสกรรมกร ซึ่งจะต้องเลี้ยงดูและชนเหล่าอื่นผู้อาศัยเลี้ยงชีวิต โดยเหมาะสมกับหน้าที่ ดิฉันมีอินทรีย์อันเบิกบานในกาลทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง. ดิฉันมีฝ่ามืออันชุ่มเลี้ยงดูสมณพราหมณ์และวณิพกเหล่าอื่น ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตว์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตกเป็น ๗ เสี่ยง. ดิฉันเข้าอยู่ประจำอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดดิถีที่ ๑๔, ๑๕ และดิถีที่ ๘ แห่งปักษ์และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ ดิฉันสำรวมแล้วในศีลทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเหสี ได้แก่ พระอัครมเหสี. บทว่า รุจิโน ได้แก่ พระราชาทรงพระนามว่า สุรุจิ. บทว่า ปฐมํ ความว่า ดิฉันได้มาเป็นอัครมเหสีคนแรกก่อนกว่าหญิงทั้งปวงบรรดา บทว่า ยํ มํ ความว่า จำเดิมแต่พระเจ้าสุรุจิทรงนำดิฉันมาเพื่อความอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ดิฉันได้เป็นหญิงผู้เดียวเท่านั้น ที่ได้อยู่ในพระตำหนักนี้ตลอด ๑๐,๐๐๐ ปี. บทว่า อติมญฺญิตฺถ ความว่า ดิฉันนั้นไม่เคยทราบไม่เคยระลึกเลยว่า ดิฉันล่วงเกินพระราชาสุรุจิแล้วทั้งต่อหน้าหรือลับหลังแม้โดยครู่เดียว. เธอเรียกฤาษีนั้นว่า อีเส. บทว่า เต มํ ความว่า พระชนกและพระชนนีของพระภัสดาทั้งสองพระองค์นั้น ทรงโปรดนำดิฉันมา. บทว่า วิเนตาโร ความว่า ดิฉันได้รับแนะนำจากพระองค์ท่านทั้ง ๒ แล้ว พระองค์ท่านทั้ง ๒ นั้นยังทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ก็คงจะทรงประทานพระโอวาทแก่ดิฉันไปตราบนั้น. บทว่า อหึสา รตินี ความว่า ดิฉันประกอบแล้วด้วยเจตนาอันเป็นเหตุงดเว้น กล่าวคือความไม่เบียด บทว่า กามสา แปลว่า มุ่งหน้าโดยส่วนเดียว. บทว่า ธมฺมจารินี ความว่า ดิฉันบำเพ็ญในกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ. บทว่า อุปฏฺฐาสึ ความว่า ดิฉันทำกิจต่างๆ มีการบริกรรมพระบาทเป็นอาทิ ปรนนิบัติพระองค์ท่านทั้งสอง. บทว่า สหภริยานิ ความว่า เป็นภรรยาแห่งสามีเดียวกันกับดิฉัน. บทว่า นาหุ ความว่า ธรรมคือความริษยา หรือธรรมคือความโกรธ เพราะอาศัยกิเลส มิได้มีแก่ดิฉันเลย. บทว่า หิเตน ความว่า กิจใดเป็นกิจเกื้อกูลแก่หญิงเหล่านั้น ดิฉันย่อมชื่นชมยินดีด้วยประโยชน์เกื้อกูลของหญิงเหล่านั้นแท้ๆ ดิฉันยินดีเห็นหญิงเหล่านั้น เป็นเหมือนบุตรธิดาในอ้อมอกฉะนั้น. บทว่า กาจิ ความว่า บรรดาหญิงเหล่านั้นแม้เพียงคนเดียวที่จะชื่อว่าดิฉันไม่รักไม่มีเลย ดิฉันรักทุกคนทีเดียว. บทว่า อนุกมฺปามิ ความว่า ดิฉันเอ็นดูหญิงทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางนั้นทุกคนด้วยจิตอ่อนโยนเหมือนเอ็นดูตนก็ปานกัน. บทว่า สห ธมฺเมน ความว่า ดิฉันเลี้ยงดูตามหน้าที่ที่จะมอบให้เขาทำได้ หมายความว่า ผู้ใดสามารถจะทำกรรมใด ดิฉันก็ใช้ผู้นั้นในกรรมนั้น. บทว่า ปทุทิตินฺทฺริยา ความว่า เมื่อใช้เล่าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นนิตย์ทีเดียว ดิฉันไม่เคยใช้ใครๆ อย่างกราดเกรี้ยวว่า อีทาสอีตัวร้าย มึงจงทำการอันนี้ซิเว้ย ดังนี้เลยในกาลไหนๆ. บทว่า ปยตปาณินี ความว่า เป็นผู้มีมืออันล้างแล้ว เหยียดมือออกแล้วทีเดียว. บทว่า ปาริหาริยปกฺขญฺจ ความว่า ๔ วัน ด้วยอำนาจวันรับและวันส่ง คือวัน ๕ ค่ำวัน ๘ ค่ำวัน ๑๔ ค่ำวัน ๑๕ ค่ำ. บทว่า สทา ความว่า เป็นผู้สำรวมในศีล ๕ ตลอดกาลเป็นนิตย์ คือเป็นผู้มีอัตภาพอันศีลเหล่านั้นปกป้องคุ้มครองไว้แล้ว. ธรรมดาว่าการประมาณของพระนางซึ่งแม้จะพรรณนา ๑๐๐ คาถา ๑,๐๐๐ คาถาก็หาเพียงพอไม่ ด้วยประการฉะนี้. ในเวลาที่พระนางพรรณนาคุณของตนได้ด้วยพระคาถา ๑๕ เท่านั้น ท้าวสักกะก็ตัดพระดำรัสของพระนางเสีย เพราะท้าวเธอมีกิจที่ต้องกระทำมาก. เมื่อจะทรงสรรเสริญพระนางว่าคุณของพระนางจริงทั้งนั้น จึงตรัส ๒ คาถาว่า ดูก่อนราชบุตรี ผู้เรืองยศงดงาม คุณอันเป็นธรรมเหล่านั้นมีทุกอย่าง พระราชโอรสผู้เป็นกษัตริย์ สมบูรณ์ด้วยพระชาติ เป็นอภิชาตบุตร เรืองพระยศเป็นธรรมราชาแห่งชนชาววิเทหะ จงอุบัติแก่พระนาง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมคุณา ได้แก่ มีคุณตามความเป็นจริง คือมีคุณเป็นจริง. บทว่า สํวิชฺชนฺติ ความว่า พระคุณเหล่าใดเล่าที่พระองค์ตรัสแล้ว พระคุณเหล่านั้นทั้งหมดทีเดียว สมบูรณ์เพียบพร้อมในพระองค์. บทว่า อภิชาโต ความว่า พระราชโอรสผู้ทรงพระกำเนิดบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย. บทว่า ยสสฺสิมา ความว่า ทรงเพียบพร้อมด้วยสมบัติคือยศ และสมบัติคือบริวาร. บทว่า อุปฺปชฺชเต ความว่า บุตรเห็นปานนี้จักบังเกิดแต่พระองค์และอย่าทรงวิตกไปเลย. พระนางทรงสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้ว ทรงโสมนัส เมื่อจะตรัสถามท้าวเธอได้ทรงภาษิต ๒ พระคาถาว่า ท่านผู้มีดวงตาน่ายินดี ทรงผ้าคลุกธุลี สถิตอยู่บนเวหาอันไม่มีสิ่งใดกั้น ได้กล่าววาจาอันเป็นที่พอใจจับใจของดิฉัน ท่านเป็นเทวดามาจากสวรรค์ เป็นฤาษีผู้มีฤทธิ์มาก หรือว่าเป็นใครมาถึงที่นี้ ขอท่านจงกล่าวความจริงให้ดิฉันทราบด้วย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุมฺหิ ความว่า พระนางตรัสเรียกอย่างนี้ ก็เพราะท้าวสักกะทรงมีพระเนตรไม่กระพริบเลย เมื่อเสด็จมาก็เสด็จมาด้วยเพศเป็นดาบสอันน่ายินดี โดยเป็นบรรพชิต (ท่านมาสถิตในเวหา). บทว่า อเฆ ได้แก่ ในที่ที่ไม่มีสิ่งใดกั้น. บทว่า ยํ มยฺหํ ความว่า ท่านกำลังกล่าวคำอันน่าพอใจของดิฉันนี้นั่นน่ะ เป็นเทวดาจากสวรรค์มา ณ ที่นี้ หรือไม่อีกทีก็เป็นฤาษีผู้มีฤทธิ์มาก หรือในบรรดาเทพเจ้ามีท้าวสักกะเป็นต้น ท่านเป็นเทพเจ้าองค์ไรเล่า มาปรากฏแล้ว ณ ที่นี้. บทว่า อตฺตานํ เม ปเวทยา พระนางตรัสว่า เชิญท่านบอกความจริงให้ดิฉันทราบเถิดเจ้าค่ะ. ท้าวสักกะ เมื่อจะตรัสบอกแก่พระนาง จึงได้ตรัส ๖ พระคาถาว่า หมู่เทวดามาประชุมกันที่สุธรรมาสภา ย่อมกราบไหว้ท้าวสักกะองค์ใด ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะ หญิงเหล่าใดในเทวโลกเป็นผู้มีปกติประพฤติสม่ำเสมอ มีปัญญา มีศีล มีพ่อผัวแม่ผัวเป็นเทวดา ยำเกรงสามี เทวดาทั้งหลายผู้มิใช่มนุษย์มาเยี่ยมหญิงเช่นนั้น ผู้มีปัญญา มีกรรมอันสะอาด เป็นหญิงมนุษย์ ดูก่อนนางผู้เจริญ ท่านเกิดในราชสกุลนี้ พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่างด้วยสุจริตธรรมที่ท่านประพฤติดีแล้วในปางก่อน ดูก่อนพระราชบุตรี ก็แหละข้อนี้เป็นชัยชนะในโลกทั้งสองของท่าน คือการอุบัติในเทวโลก และเกียรติในชีวิตนี้ ดูก่อนพระนางสุเมธา ขอให้พระนางจงมีสุข ยั่งยืนนาน จงรักษาธรรมไว้ในตนให้ยั่งยืนเถิด ข้าพเจ้านี้ขอลาไปสู่ไตรทิพย์ การพบเห็นท่านเป็นการพบเห็นที่ดูดดื่มใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสกฺโข ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีดวงตาตั้ง ๑,๐๐๐ ด้วยสามารถเล็งเห็นเรื่องที่คนตั้ง ๑,๐๐๐ คน คิดกันเพียงครู่เดียว. บทว่า อิตฺถิโย ความว่า หญิงทั้งหลายผู้มีปกติประพฤติ บทว่า ตาทิสาย แปลว่า เห็นปานนั้น. บทว่า สุเมธาย ได้แก่ ผู้มีปัญญาดี. บทว่า อุภยตฺถ กฏคฺคโห ความว่า ข้อนี้เป็นการยึดถือชัยไว้ได้ของท่านทั้งในอัตภาพนี้และในอนาคต คือบรรดาโลกนี้และโลกหน้าเหล่านั้น ในอนาคตได้แก่การเข้าถึงเทวโลก ในชีวิตที่กำลัง สุเมธา ให้นางมีสุขยืนนานเถิด จงรักษาธรรม (คือคุณที่มีจริงอย่างนั้น) ไว้ในตนให้ยั่งยืนเถิด ข้าพเจ้านี้ขอลาไปสู่สรวงสวรรค์ การพบเห็นท่านเป็นการพบเห็นที่ดูดดื่มแก่ข้าพเจ้า. ท้าวสักกะประทานโอวาทแก่พระนางว่า ก็กิจที่ต้องกระทำของข้าพเจ้ามีอยู่ในเทวโลก เหตุนั้น ข้าพเจ้าต้องไป ท่านจงไม่ประมาทเถิดนะ แล้วเสด็จหลีกไป. ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง นฬการเทพบุตรก็จุติถือปฏิสนธิในพระครรโภทรของพระนาง. พระนางทรงทราบความที่พระองค์ทรงครรภ์กราบทูลแก่พระราชา พระราชาประทานเครื่อง ชาวแคว้นทั้งสอง (อังคะและมคธ) พากันทิ้งเหรียญกระษาปณ์ลงที่ท้องพระลานหลวงคนละ ๑ กระษาปณ์ เพื่อให้พระราชาทรงทราบว่า เป็นค่าน้ำนมของพระลูกเจ้าแห่งชาวเรา เหรียญกระษาปณ์ได้เป็น พระกุมารทรงพระเจริญด้วยบริวารมากมาย ครั้นทรงถึงวัยมีพระชนม์ ๑๖ พรร พระราชารับสั่งให้หาอาจารย์ในวิชาพื้นที่มา ตรัสว่า พ่อทั้งหลายจงคุมช่างให้สร้างปราสาทเพื่อลูกของเรา ณ ที่ไม่ห่างวังของเรา เราจักอภิเษกลูกของเรานั้นในราชสมบัติ. พวกอาจารย์ในวิชาพื้นที่เหล่านั้น รับพระโองการว่า ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอรับใส่เกล้าฯ แล้วพากันตรวจภูมิ ขณะนั้นพิภพของท้าวสักกะสำแดงอาการร้อน ท้าวเธอทรงทราบเหตุนั้นตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตร วิสสุกรรมเทพบุตรแปลงเพศเป็นช่างไปสู่สำนักของพวกช่าง แล้วส่งพวกช่างนั้นไปเสียด้วยคำว่า พวกคุณกินข้าวเช้าแล้วค่อยมาเถิด แล้วประหารแผ่นดินด้วยท่อนไม้. ทันใดนั้นเอง ปราสาท ๗ ชั้นมีขนาดดังกล่าวแล้วก็ผุดขึ้น. มงคล ๓ ประการ คือ มงคลฉลองปราสาท มงคลอภิเษกสมโภชเศวตฉัตร และอาวาหมงคลของพระกุมารมหาปนาทได้มีคราวเดียวกันแล. ชาวแคว้นทั้งสองพากันประชุมในสถานมงคล ให้กาลเวลาล่วงไปถึง ๗ ปี ด้วยการมหรสพฉลองมงคล. พระราชามิได้ทรงบอกให้พวกนั้นเลิกงานเลย. สิ่งของทั้งหมดเป็นต้นว่า ผ้าเครื่องประดับของเคี้ยวของกินของชนเหล่านั้น ได้เป็นสิ่งของของราช ครั้นล่วง ๗ ปี ฝูงชนเหล่านั้นพากันร้องทุกข์ พระสุรุจิมหาราชตรัสถามว่า นี่อะไรกันเล่า ก็ ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า ตลอดกาลถึงเท่านี้ ลูกเราไม่เคยหัวเราะเลย เมื่อใดเธอหัวเราะ เมื่อนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงพากันไปเถิด. ครั้งนั้น มหาชนเที่ยวตีกลองป่าวร้อง เชิญนักฟ้อนของพระเจ้ามหาปนาทนั้นประชุม นักฟ้อน ๖,๐๐๐ พากันมาประชุมแบ่งกันเป็น ๗ ส่วน พากันรำฟ้อนก็มิอาจที่จะให้พระราชาทรงพระสรวลได้ ทั้งนี้ เพราะความที่ท้าวเธอเคยทอดพระเนตรกระบวนฟ้อนรำอันเป็นทิพย์มาช้านาน การฟ้อนของนักฟ้อนเหล่านั้น จึงมิได้เป็นที่ต้องพระหทัย. ครั้งนั้นจอมนักฟ้อน ๒ นาย คือกัณฑกรรณและปัณฑุกรรณคิดว่า พวกเราจะให้พระราชาทรงพระสรวลให้ได้ พากันเข้าไปในท้องพระลาน. บรรดาจอมนักฟ้อนทั้งสองคนนั้น กัณฑกรรณให้ปลูกต้นมะม่วงใหญ่ชื่ออตุละ ที่พระราชทวารแล้วขว้างกลุ่มด้ายขึ้นไปให้คล้องที่กิ่งของต้นมะม่วง พระเจ้ามหาปนาททอดพระเนตรเห็นเขาแล้ว ก็มิได้ทรงพระสรวลเลย. ปัณฑุกรรณได้ทำเชิงตะกอนไม้ในท้องพระลานหลวงแล้วเดินเข้าสู่กองไฟกับบริษัทของตน ครั้นไฟดับแล้ว นักฟ้อนทั้งหลายเอาน้ำรดเชิงตะกอน ปัณฑุกรรณนั้นกับบริษัทนุ่งห่มผ้ากรอง พระราชาทรงทอดพระเนตรการนั้นแล้ว คงมิได้ทรงพระสรวลอยู่นั่นเอง. เมื่อสุดฝีมือที่จะให้พระราชาพระองค์นั้นทรงพระสรวล ฝูงคนก็พากันระส่ำระสายด้วยประ พระเจ้ามหาปนาทะทอดพระเนตรเห็นการนั้นแล้ว ทรงพระสรวลหน่อยหนึ่ง. แต่มหาชนเมื่อหัวเราะก็สุดที่จะกลั้นความขบขันไว้ สุดที่จะดำรงสติไว้ได้ ปล่อยอวัยวะหมดเลย ล้มกลิ้งไปในท้องพระลานหลวง. มงคลเป็นอันเลิกได้ตอนนั้น. ข้อความที่เหลือในเรื่องนี้ พรรณนาไว้ในมหาปนาทชาดก ที่มีคำว่า ปนาโท นาเมโส ราชา ยสฺส ยูโป สุวณฺณมโย เป็นต้น. พระราชามหาปนาททรงกระทำบุญถวายทานเป็นต้น เมื่อสิ้นพระชนม์ก็เสด็จไปสู่เทวโลกนั่นเอง. พระศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า มหาปนาท ในครั้งนั้นได้มาเป็น ภัททชิ สุเมธาเทวีได้มาเป็น นางวิสาขา วิสสุกรรมได้มาเป็น พระอานนท์ ส่วนท้าวสักกะได้มาเป็น เราตถาคต แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สุรุจิชาดก จบ. |