บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
|
|
ฉบับหลวง ฉบับมหาจุฬาฯ บาลีอักษรไทย PaliRoman |
[๒๒๗] ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาด โดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณอย่างไร ฯ คำว่า ธรรมทั้งปวง คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กามาวจรธรรม รูปาวจรธรรม อรูปาวจรธรรม โลกุตตรธรรม ฯ [๒๒๘] คำว่า ในการตัดขาดโดยชอบ ความว่า พระโยคาวจรย่อม ตัดกามฉันทะขาดโดยชอบ ด้วยเนกขัมมะ ย่อมตัดพยาบาทขาดโดยชอบ ด้วยความ ไม่พยาบาท ย่อมตัดถีนมิทธะขาดโดยชอบ ด้วยอาโลกสัญญา ย่อมตัดอุทธัจจะขาด โดยชอบ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมตัดวิจิกิจฉาขาดโดยชอบ ด้วยการกำหนดธรรม ย่อมตัดอวิชชาขาดโดยชอบ ด้วยญาณ ย่อมตัดอรติขาดโดยชอบ ด้วยความปราโมทย์ ย่อมตัดนิวรณ์ขาดโดยชอบ ด้วยปฐมฌาน ฯลฯ ย่อมตัดกิเลสทั้งปวงขาดโดยชอบ ด้วยอรหัตมรรค ฯ [๒๒๙] คำว่า ในนิโรธ ความว่า พระโยคาวจรย่อมทำกามฉันทะ ให้ดับ ด้วยเนกขัมมะ ย่อมทำพยาบาทให้ดับ ด้วยความไม่พยาบาท ย่อมทำถีนมิทธะ ให้ดับ ด้วยอาโลกสัญญา ย่อมทำอุทธัจจะให้ดับ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมทำ วิจิกิจฉาให้ดับ ด้วยการกำหนดธรรม ย่อมทำอวิชชาให้ดับด้วยญาณ ย่อมทำอรติให้ ดับ ด้วยความปราโมทย์ ย่อมทำนิวรณ์ให้ดับ ด้วยปฐมฌาน ฯลฯ ย่อมทำกิเลส ทั้งปวงให้ดับ ด้วยอรหัตมรรค ฯ [๒๓๐] คำว่า ความไม่ปรากฏ ความว่า บุคคลผู้ได้เนกขัมมะ กามฉันทะย่อมไม่ปรากฏ ผู้ได้ความไม่พยาบาท ความพยาบาทย่อมไม่ปรากฏ ผู้ได้ อาโลกสัญญา ถีนมิทธะย่อมไม่ปรากฏ ผู้ได้ความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะย่อม ไม่ปรากฏ ผู้ได้การกำหนดธรรม วิจิกิจฉาย่อมไม่ปรากฏ ผู้ได้ญาณ อวิชชาย่อม ไม่ปรากฏ ผู้ได้ความปราโมทย์ อรติย่อมไม่ปรากฏ ผู้ได้ปฐมฌาน นิวรณ์ย่อม ไม่ปรากฏ ฯลฯ ผู้ได้อรหัตมรรค กิเลสทั้งปวงย่อมไม่ปรากฏ ฯ [๒๓๑] คำว่า สงบ ความว่า เนกขัมมะเป็นธรรมสงบ เพราะท่าน ละกามฉันทะเสียแล้ว ความไม่พยาบาทเป็นธรรมสงบ เพราะท่านละความพยาบาท เสียแล้ว อาโลกสัญญาเป็นธรรมสงบ เพราะท่านละถีนมิทธะเสียแล้ว ความไม่ ฟุ้งซ่านเป็นธรรมสงบ เพราะท่านละอุทธัจจะเสียแล้ว การกำหนดธรรมเป็น ธรรมสงบ เพราะท่านละวิจิกิจฉาเสียแล้ว ญาณเป็นธรรมสงบ เพราะท่าน ละอวิชชาเสียแล้ว ความปราโมทย์เป็นธรรมสงบ เพราะท่านละอรติเสียแล้ว ความปราโมทย์เป็นธรรมสงบ เพราะท่านละอรติเสียแล้ว ปฐมฌานเป็นธรรมสงบ เพราะท่านละนิวรณ์เสียแล้ว ฯลฯ อรหัตมรรคเป็นธรรมสงบ เพราะท่านละกิเลส ทั้งปวงเสียแล้ว ฯ [๒๓๒] คำว่า เป็นประธาน ความว่า ธรรมเป็นประธาน ๑๓ ประการ คือ ตัณหามีความกังวลเป็นประธาน ๑ มานะมีความผูกพันเป็นประธาน ๑ ทิฐิ มีความยึดมั่นเป็นประธาน ๑ อุทธัจจะมีความฟุ้งซ่านเป็นประธาน ๑ อวิชชามีกิเลส เป็นประธาน ๑ ศรัทธามีความน้อมใจเชื่อเป็นประธาน ๑ วิริยะมีความประคองไว้ เป็นประธาน ๑ สติมีการเข้าไปตั้งไว้เป็นประธาน ๑ สมาธิมีความไม่ฟุ้งซ่าน เป็นประธาน ๑ ปัญญามีความเห็นเป็นประธาน ๑ ชีวิตินทรีย์มีความเป็นไป เป็นประธาน ๑ วิโมกข์มีอารมณ์เป็นประธาน ๑ นิโรธมีสังขารเป็นประธาน ๑ ฯ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการ ตัดขาดโดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณ ฯเนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๒๕๒๑-๒๕๖๓ หน้าที่ ๑๐๓-๑๐๕. https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=2521&Z=2563&pagebreak=0 ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [คลิกเพื่อฟัง] อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=31&siri=40 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=227 ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [227-232] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=31&item=227&items=6 อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=7544 The Pali Tipitaka in Roman :- [227-232] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=31&item=227&items=6 The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=7544 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ https://84000.org/tipitaka/read/?index_31
บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]