ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๔ กถาวัตถุปกรณ์
ญาตกานุโยค
[๑๖๖] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. มารดามีอยู่มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า มารดามีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคล ได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. บิดามีอยู่ ฯลฯ พี่น้องชายมีอยู่ พี่น้องหญิงมีอยู่ กษัตริย์มีอยู่ พราหมณ์ มีอยู่ แพศย์มีอยู่ ศูทรมีอยู่ คฤหัสถ์มีอยู่ บรรพชิตมีอยู่ เทวดามีอยู่ มนุษย์มีอยู่ มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า มนุษย์มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคล ได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ [๑๖๗] ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า มารดามีอยู่ และด้วยเหตุนั้นจึงหยั่งเห็นบุคคล ได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นมารดาแล้วเป็นมารดามีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นบุคคลแล้วเป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นบิดา ฯลฯ ไม่เป็นพี่น้องชายไม่เป็นพี่น้อง หญิง ไม่เป็นกษัตริย์ ไม่เป็นพราหมณ์ ไม่เป็นแพศย์ ไม่เป็นศูทร ไม่เป็น คฤหัสถ์ ไม่เป็นบรรพชิต ไม่เป็นเทวดา ไม่เป็นมนุษย์แล้วเป็นมนุษย์ มีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นบุคคลแล้วเป็นบุคคลมีอยู่หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๖๘] ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า มารดามีอยู่ และด้วยเหตุนั้นจึงหยั่งเห็น บุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคนซึ่งเดิมเป็นมารดาแล้วไม่เป็นมารดามีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมเป็นบุคคลแล้วไม่เป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลบางคนซึ่งเดิมเป็นบิดา เป็นพี่น้องชาย เป็นพี่น้องหญิง เป็น กษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ แล้วไม่เป็นมนุษย์มีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมเป็นบุคคลแล้วไม่เป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๖๙] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. บุคคลเป็นโสดาบันมีอยู่ มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า บุคคลเป็นโสดาบันมีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. บุคคลเป็นสกทาคามีมีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็นอนาคามีมีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็น พระอรหัตมีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็นพระขีณาสพผู้อุภโตภาควิมุตมีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็นพระขีณาสพผู้ปัญญาวิมุตมีอยู่ บุคคลเป็นพระอริยะผู้กายสักขี มีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็นพระอริยะผู้ทิฏฐิปัตตะมีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็น พระอริยะผู้สัทธาวิมุตมีอยู่ ฯลฯ บุคคลเป็นพระอริยะผู้ธัมมานุสารีมีอยู่ บุคคลเป็นพระอริยะผู้สัทธานุสารีมีอยู่ มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า บุคคลเป็นพระอริยะผู้สัทธานุสารีมีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่าน จึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ [๑๗๐] ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลเป็นโสดาบันมีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นโสดาบัน แล้วเป็นโสดาบันมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นบุคคลแล้วเป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นสกทาคามี ... ไม่เป็นอนาคามี ... ไม่เป็นพระ อรหันต์ ... ไม่เป็นพระขีณาสพผู้อุภโตภาควิมุต ... ไม่เป็นพระขีณาสพ ผู้ปัญญาวิมุต ... ไม่เป็นพระอริยะผู้กายสักขี ... ไม่เป็นพระอริยะผู้ ทิฏฐิปัตตะ ... ไม่เป็นพระอริยะผู้สัทธาวิมุต ... ไม่เป็นพระอริยะผู้ ธัมมานุสารี ... ไม่เป็นพระอริยะผู้สัทธานุสารีแล้วเป็น พระอริยผู้ สัทธานุสารีมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมไม่เป็นบุคคลแล้วเป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๗๑] ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลผู้โสดาบันมีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึง หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมเป็นโสดาบันแล้วไม่เป็นโสดาบันมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมเป็นบุคคลแล้วไม่เป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมเป็นสกทาคามี ... เป็นอนาคามีแล้ว ไม่เป็นอนาคามี มีอยู่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลบางคน ซึ่งเดิมเป็นบุคคล แล้วไม่เป็นบุคคลมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๗๒] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. อริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวก มีอยู่มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า อริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวกมีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าว ว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ [๑๗๓] ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า อริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวก มีอยู่ และด้วย เหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. อริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวก ปรากฏขึ้นได้เพราะความปรากฏขึ้นแห่งพระ พุทธเจ้า หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลปรากฏขึ้นได้ เพราะความปรารถนาแห่งพระพุทธเจ้า หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลปรากฏขึ้นได้ เพราะความปรารถนาแห่งพระพุทธเจ้า หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บุคคลขาดสูญไป บุคคล ไม่มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๗๔] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลเป็นสังขตะ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลเป็นอสังขตะ หรือ ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลเป็นสังขตะก็ไม่ใช่ เป็นอสังขตะก็ไม่ใช่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. บุคคลเป็นสังขตะก็ไม่ใช่ เป็นอสังขตะก็ไม่ใช่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ยังมีส่วนสุดที่ ๓ อื่นนอกเหนือสังขตะและอสังขตะอีกหรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. ยังมีส่วนสุดที่ ๓ อื่นนอกเหนือสังขตะและอสังขตะอีกหรือ? ป. ถูกแล้ว ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธาตุนี้มี ๒ อย่าง ๒ อย่างเป็นไฉน ธาตุเป็นสังขตะ ๑ ธาตุเป็นอสังขตะ ๑ นี้แล ธาตุ ๒ อย่าง ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ยังมีส่วนสุดที่ ๓ อื่นนอกเหนือสังขตะและ อสังขตะอีกนะสิ ส. บุคคลเป็นสังขตะก็ไม่ใช่ เป็นอสังขตะก็ไม่ใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. สังขตะเป็นอื่น อสังขตะก็เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. ขันธ์ทั้งหลายเป็นสังขตะ นิพพานเป็นอสังขตะ บุคคลเป็นสังขตะก็ไม่ใช่ เป็นอสังขตะก็ไม่ใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ขันธ์ทั้งหลายเป็นอื่น นิพพานก็เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่นหรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. รูปเป็นสังขตะ นิพพานเป็นอสังขตะ บุคคลเป็นสังขตะก็ไม่ใช่ เป็น อสังขตะก็ไม่ใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. รูปเป็นอื่น นิพพานก็เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณเป็นสังขตะ นิพพานเป็นอสังขตะ บุคคลเป็นสังขตะก็ไม่ใช่ เป็นอสังขตะก็ไม่ใช่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. วิญญาณเป็นอื่น นิพพานก็เป็นอื่น บุคคลก็เป็นอื่น หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๑๗๕] ส. บุคคลมีความเกิดขึ้นปรากฏ มีความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ มีความ แปรปรวนปรากฏ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลเป็นสังขตะหรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมมี สังขตลักษณะ ๓ อย่างนี้ คือ สังขตธรรมทั้งหลาย มีความเกิดขึ้น ปรากฏมีความเสื่อมปรากฏเมื่อตั้งอยู่มีความแปรปรวนปรากฏ ดังนี้ ๑- บุคคลก็มีความเกิดขึ้นปรากฏ ความเสื่อมก็ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความ แปรปรวนก็ปรากฏ ถ้าอย่างนั้น บุคคลก็เป็นสังขตะน่ะสิ ส. ความเกิดขึ้นแห่งบุคคลไม่ปรากฏ ความเสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ความ แปรปรวนไม่ปรากฏ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. บุคคลเป็นอสังขตะ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตธรรมมีอสังขต ลักษณะ ๓ อย่างนี้ คือ ความเกิดขึ้นแห่งอสังขตธรรมทั้งหลาย @๑. อํ. ติกฺก. ข้อ ๔๘๖ หน้า ๑๙๒ ไม่ปรากฏ ความเสื่อมไป ไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ ความแปรปรวน ไม่ปรากฏ ดังนี้ ๑- ความเกิดขึ้นแห่งบุคคลก็ไม่ปรากฏ ความเสื่อมก็ไม่ ปรากฏเมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนก็ไม่ปรากฏ ถ้าอย่างนั้น บุคคลก็เป็น อสังขตะนะสิ [๑๗๖] ส. บุคคลผู้ปรินิพพานแล้ว คงมีอยู่ในนิพพาน หรือไม่มีอยู่ในนิพพาน ป. คงมีอยู่ในนิพพาน ส. บุคคลผู้ปรินิพพาน เป็นผู้เที่ยง หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ป. บุคคลผู้ปรินิพพานแล้ว ไม่มีอยู่ในนิพพาน ส. บุคคลผู้ปรินิพพานแล้ว เป็นผู้ขาดสูญ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ บรรทัดที่ ๑๗๖๒-๑๙๓๖ หน้าที่ ๗๖-๘๓. https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=37&A=1762&Z=1936&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=37&siri=19              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=37&i=166              ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [166-176] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=37&item=166&items=11              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=3501              The Pali Tipitaka in Roman :- [166-176] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=37&item=166&items=11              The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=3501              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ https://84000.org/tipitaka/read/?index_37              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/kv1.1/en/aung-rhysdavids#pts-cs1.1.219

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :