ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

๑๐. เสริสสกวิมาน
ว่าด้วยวิมานไม้ซึกที่เกิดขึ้นแก่เจ้าปายาสิ
(พระควัมปติกล่าวว่า) [๑๒๒๘] ท่านทั้งหลายจงฟังคำของเทวดาและพวกพ่อค้า ที่ได้มาพบกันในทะเลทรายในคราวนั้น และขอเชิญทุกท่านฟังถ้อยคำตามที่เทวดาและพวกพ่อค้าสนทนากัน [๑๒๒๙] ยังมีพระราชาพระนามว่าปายาสิได้เกิดร่วมกับหมู่ภุมเทวดา มีบริวารยศ บันเทิงอยู่ในวิมานของตน เป็นเทวดาแต่ได้มาสนทนากับพวกมนุษย์ (เสริสสกเทพบุตรถามพวกพ่อค้าด้วยคาถาว่า) [๑๒๓๐] มนุษย์ทั้งหลาย ผู้กลัวทางคดเคี้ยว มีใจหวาดหวั่นอยู่ ในที่น่าระแวงว่ามีภัย ในป่า ในถิ่นของอมนุษย์ ในทางกันดารซึ่งมีน้ำ มีอาหารไม่เพียงพอ เดินไปได้แสนยาก ท่ามกลางทะเลทราย [๑๒๓๑] ในทางทะเลทรายนี้ ไม่มีผลไม้ ไม่มีเผือกมัน ไม่มีเชื้อไฟ ในทางทะเลทรายนี้ จักหาอาหารได้แต่ที่ไหน นอกจากฝุ่นและทรายที่แดดแผดเผาทั้งร้อนทั้งทารุณ [๑๒๓๒] ที่นี้เป็นที่ดอน ร้อนดังแผ่นเหล็กเผาไฟ หาความสบายมิได้ เทียบเท่านรก สถานที่นี้เป็นที่อยู่ดั้งเดิมของพวกหยาบช้ามีปีศาจเป็นต้น เป็นภูมิประเทศเหมือนถูกสาปไว้ [๑๒๓๓] อนึ่ง พวกท่านหวังอะไร เพราะเหตุไรจึงไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน ตามกันเข้ามายังประเทศถิ่นนี้พร้อมกัน เพราะความโลภ ความกลัว หรือเพราะหลงทาง {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๕๕}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

(พวกพ่อค้าตอบว่า) [๑๒๓๔] พวกข้าพเจ้านั้น เป็นพ่อค้าเกวียนอยู่ในแคว้นมคธและแคว้นอังคะ ต้องการทรัพย์ หวังกำไร จึงบรรทุกสินค้ามามาก พากันไปยังสินธุและโสวีระประเทศ [๑๒๓๕] กลางวัน พวกข้าพเจ้าทุกคนทนความกระหายน้ำไม่ได้ ทั้งมุ่งหวังจะอนุเคราะห์สัตว์พาหนะ จึงรีบเดินทางมาในกลางคืนซึ่งเป็นเวลาวิกาล [๑๒๓๖] พวกข้าพเจ้านั้นไปผิดทาง จึงหลงทาง สับสนเหมือนคนตาบอด เดินหลงเข้าไปในป่าที่ไปได้ยากแสนยาก ท่ามกลางทะเลทราย เกิดงุนงงสงสัยไม่รู้ทิศทาง [๑๒๓๗] ท่านที่ควรบูชา พวกข้าพเจ้าได้พบวิมานอันประเสริฐ และตัวท่านซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อนนี้ จึงหวังจะรอดชีวิตยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะได้เห็นจึงพากันร่าเริง ดีใจและเบิกบานใจ (เทพบุตรถามว่า) [๑๒๓๘] เพราะโภคทรัพย์เป็นเหตุ พวกท่านจึงพากันไปยังทิศต่างๆ คือ ฝั่งสมุทร ทะเลทราย ทางที่ต้องใช้เครือหวาย ทางที่ต้องตอกทอย ทางที่มีแม่น้ำ และทางภูเขาที่ไปได้ยาก [๑๒๓๙] พ่อค้าทั้งหลาย พวกท่านได้ไปยังแคว้นของพระราชาอื่นๆ พบเห็นผู้คนชาวต่างประเทศ พวกเราขอฟังสิ่งอัศจรรย์ที่พวกท่านได้ยินหรือได้เห็นมา (พวกพ่อค้าตอบว่า) [๑๒๔๐] พ่อกุมาร สมบัติของมนุษย์ที่ผ่านมาทั้งหมด ซึ่งอัศจรรย์กว่าวิมานของท่านแม้นี้ พวกข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นมาก่อน วิมานของท่านซึ่งมีรัศมีไม่เลว พวกข้าพเจ้าแลดูแล้วไม่อิ่มเลย {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๕๖}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

[๑๒๔๑] ที่วิมานของท่านนี้ มีสระโบกขรณีลอยอยู่ในอากาศ มีสวนดอกไม้มากมาย มีบัวขาวมาก มีหมู่ไม้ผลิดอกออกผลเป็นนิตย์ โชยกลิ่นหอมตลบอบอวล [๑๒๔๒] เสาวิมานเหล่านี้เป็นเสาแก้วไพฑูรย์ สูง ๑๐๐ ศอก ประดับด้วยแก้วผลึก แก้วประพาฬ แก้วเพทาย และทับทิม มีรัศมีโชติช่วง [๑๒๔๓] วิมานของท่านนี้มีเสา ๑,๐๐๐ ต้น ภายในประกอบด้วยแก้ว ภายนอกล้อมรอบด้วยไพทีทองคำ และมุงบังอย่างดีด้วยแผ่นทองคำ มีอานุภาพหาที่เปรียบมิได้ งามอยู่บนเสาเหล่านั้น [๑๒๔๔] วิมานของท่านนี้สว่างไสวด้วยทองชมพูนุทชั้นเยี่ยม ทุกส่วนของวิมานเกลี้ยงเกลาดี ประกอบด้วยบันไดและพื้นน่าพอใจ มั่นคง งดงาม มีส่วนประกอบกลมกลืน ชวนพิศอย่างยิ่ง น่าชอบใจ [๑๒๔๕] ภายในวิมานแก้ว มีข้าวน้ำอุดมสมบูรณ์ ตัวท่านมีหมู่เทพอัปสรห้อมล้อม กึกก้องด้วยเสียงตะโพน เปิงมางและดุริยางค์ เป็นผู้ที่ทวยเทพนอบน้อมแล้วด้วยการชมเชยและกราบไหว้ [๑๒๔๖] ตัวท่านนั้นมีอานุภาพสุดที่จะคิด ประกอบด้วยคุณทุกอย่าง อันหมู่เทพนารีปลุกเร้า บันเทิงอยู่ในวิมานปราสาทที่ประเสริฐ น่ารื่นรมย์ ดังท้าวเวสวัณ บันเทิงอยู่ในนฬินีสถาน๑- [๑๒๔๗] ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นยักษ์ เป็นท้าวสักกะจอมเทพหรือเป็นมนุษย์ พวกพ่อค้าเกวียนถามท่าน โปรดบอกเถิด ท่านเป็นเทวดาชื่ออะไร @เชิงอรรถ : @ สถานที่ทรงเล่นกีฬา, สนามกีฬา (ขุ.วิ.อ. ๑๒๔๖/๔๐๐) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๕๗}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

(เทพบุตรตอบว่า) [๑๒๔๘] ข้าพเจ้าเป็นเทวดาชื่อเสรีสกะ เป็นผู้รักษาทางกันดาร คุ้มครองทางทะเลทราย ทำตามคำสั่งของท้าวเวสวัณ จึงดูแลรักษาประเทศถิ่นนี้อยู่ (พวกพ่อค้าถามว่า) [๑๒๔๙] วิมานนี้ท่านได้ตามความปรารถนาหรือเกิดโดยความเปลี่ยนแปลง ท่านทำเองหรือเทวดาทั้งหลายมอบให้ พวกพ่อค้าเกวียนถามท่านว่า วิมานที่น่าชอบใจนี้ท่านได้มาอย่างไร (เทพบุตรตอบว่า) [๑๒๕๐] วิมานนี้มิใช่ข้าพเจ้าได้ตามความปรารถนา มิใช่เกิดโดยการเปลี่ยนแปลง มิใช่ข้าพเจ้าทำเอง ทั้งมิใช่เทวดาทั้งหลายมอบให้ วิมานที่น่าชอบใจนี้ข้าพเจ้าได้มาด้วยบุญกรรมอันดีงามของตน (พวกพ่อค้าถามว่า) [๑๒๕๑] อะไรเป็นวัตรและเป็นพรหมจรรย์ของท่าน นี้เป็นวิบากแห่งบุญกรรมอะไรที่ท่านสั่งสมไว้ดีแล้ว พวกพ่อค้าเกวียนถามท่านว่า วิมานนี้ท่านได้มาอย่างไร (เทพบุตรตอบว่า) [๑๒๕๒] ข้าพเจ้าได้มีนามว่า ปายาสิ เมื่อครั้งข้าพเจ้าครองราชสมบัติในแคว้นโกศล ข้าพเจ้าเป็นนัตถิกทิฏฐิ๑- เป็นคนตระหนี่ มีธรรมเลวทราม และมีปกติกล่าวว่าขาดสูญ๒- @เชิงอรรถ : @ ลัทธิที่ถือว่า ไม่มีเหตุปัจจัยที่ทำให้สัตว์บริสุทธิ์หรือเศร้าหมอง (ที.สี.อ. ๑๖๘/๑๔๖) @ ลัทธิที่ถือว่า ตายแล้วไม่เกิดอีก (ที.สี.อ. ๘๔/๑๑๐) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๕๘}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

[๑๒๕๓] ได้มีสมณะนามว่า กุมารกัสสปะ เป็นพหูสูต ผู้เลิศทางกล่าวธรรมได้อย่างวิจิตรไพเราะ ครั้งนั้นท่านได้กล่าวธรรมกถาโปรดข้าพเจ้า ได้ช่วยบรรเทาทิฏฐิที่เป็นข้าศึกทางใจ๑- ของข้าพเจ้าได้ [๑๒๕๔] ข้าพเจ้าฟังธรรมกถาของท่านนั้นแล้ว ได้ประกาศตนเป็นอุบาสก งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ ยินดีเฉพาะภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา [๑๒๕๕] ข้อนั้นเป็นวัตร และเป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้า นี้เป็นวิบากแห่งบุญกรรมนั้นที่ข้าพเจ้าสั่งสมไว้ดีแล้ว วิมานนี้ข้าพเจ้าได้มาด้วยบุญกรรมอันดีงามนั้นนั่นเอง (พวกพ่อค้าถามว่า) [๑๒๕๖] ทราบมาว่า คนมีปัญญาทั้งหลายพูดแต่คำจริง คำพูดของบัณฑิตทั้งหลายจึงไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น คนทำบุญไว้จะไปในที่ใดย่อมมีแต่สิ่งที่น่ารักน่าใคร่ บันเทิงอยู่ในที่นั้น [๑๒๕๗] ณ ที่ใดมีความโศก ความร่ำไห้ การฆ่า การจองจำ และเหตุเกิดเรื่องเลวร้าย๒- คนทำบาปไว้ก็จะไปในที่นั้น ไม่พ้นจากคติที่ชั่วไปได้ ไม่ว่ากาลไหนๆ [๑๒๕๘] พ่อกุมาร เพราะเหตุอะไรหนอ เทพบริวารจึงเป็นเสมือนผู้ฟั่นเฟือนไปในชั่วครู่นี้ เหมือนน้ำใสถูกกวนให้ขุ่น เพราะเหตุอะไรหนอ เทพบริวารนี้และตัวท่านจึงได้มีความโทมนัส @เชิงอรรถ : @ มิจฉาทิฏฐิ @ ความหายนะ (พินาศ) (ขุ.วิ.อ. ๑๒๕๗/๔๐๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๕๙}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

(เทพบุตรตอบว่า) [๑๒๕๙] พ่อทั้งหลาย กลิ่นทิพย์เหล่านี้โชยกลิ่นหอมระรื่นจากป่าไม้ซึก หอมตลบอบอวลไปทั่ววิมานนี้ กำจัดความมืดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน [๑๒๖๐] ล่วงไป ๑๐๐ ปี ฝักไม้ซึกเหล่านี้แต่ละฝักก็จะแตกออก เป็นที่รู้กันว่า ๑๐๐ ปีของมนุษย์ล่วงไปแล้ว ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดในหมู่เทวดานี้ [๑๒๖๑] พ่อทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้เห็นแล้วว่า ข้าพเจ้าจักดำรงอยู่ในวิมานนี้เพียง ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วจึงจุติเพราะสิ้นบุญ สิ้นอายุ ข้าพเจ้าจึงซบเซาเพราะความโศกนั้นนั่นเอง (พวกพ่อค้ากล่าวว่า) [๑๒๖๒] ผู้ที่ได้วิมานซึ่งหาที่เปรียบมิได้เป็นเวลานานเช่นนั้น จะพึงเศร้าโศกไปทำไมเล่า แต่พวกผู้มีบุญน้อยเข้าอยู่วิมานชั่วเวลาสั้นๆ นั้นแหละควรเศร้าโศกแท้ (เทพบุตรกล่าวว่า) [๑๒๖๓] พ่อทั้งหลาย ข้อที่ท่านทั้งหลายกล่าววาจาที่น่ารักกับข้าพเจ้า นั่นเป็นการกล่าวตักเตือนอันสมควรแก่ข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าจะตามคุ้มครองท่านทั้งหลาย เชิญท่านทั้งหลายไปยังที่ที่ท่านทั้งหลายปรารถนาโดยความสวัสดีเถิด (พวกพ่อค้ากล่าวว่า) [๑๒๖๔] ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องการทรัพย์ หวังกำไร จึงพากันไปยังสินธุและโสวีระประเทศ แล้วจักพยายามค้าขายตามที่ตั้งใจไว้ มีการเสียสละอย่างบริบูรณ์ ทำการบูชาเสริสสกเทพบุตรอย่างโอฬาร {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๖๐}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

(เทพบุตรกล่าวว่า) [๑๒๖๕] ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำการบูชาเสริสสกเทพบุตรเลย สิ่งที่ท่านทั้งหลายพูดถึงทั้งหมดจักมีแก่พวกท่าน ท่านทั้งหลายจงงดเว้นกรรมชั่วและจงตั้งใจประพฤติธรรมเถิด [๑๒๖๖] ในหมู่พ่อค้าเกวียนนี้ มีอุบาสกผู้เป็นพหูสูต ประกอบด้วยศีลและวัตร มีศรัทธา มีจาคะ มีศีลเป็นที่รักยิ่ง มีวิจารณญาณ สันโดษ มีความรู้ [๑๒๖๗] ไม่พูดเท็จทั้งที่รู้อยู่ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกกัน พูดแต่วาจาอ่อนหวานละมุนละม่อม [๑๒๖๘] เขามีความเคารพ ยำเกรง มีวินัย ไม่เป็นคนเลว เป็นคนบริสุทธิ์ในอธิศีล มีความประพฤติประเสริฐ เลี้ยงดูมารดาบิดาโดยชอบธรรม [๑๒๖๙] เขาเห็นจะแสวงหาโภคทรัพย์ เพราะเหตุแห่งมารดาบิดา มิใช่เพราะเหตุแห่งตน เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไป เขาก็น้อมไปในเนกขัมมะ ประพฤติพรหมจรรย์ [๑๒๗๐] เขาเป็นคนซื่อตรง ไม่คดโกง ไม่โอ้อวด ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่พูดมีเลศนัย เขาทำแต่กรรมดี ตั้งอยู่ในธรรมเช่นนี้ จะพึงได้รับทุกข์อย่างไรเล่า [๑๒๗๑] เพราะอุบาสกนั้นเป็นเหตุ ข้าพเจ้าจึงได้ปรากฏตัว พ่อค้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเห็นธรรมเถิด เพราะเว้นอุบาสกนั้นเสียแล้ว ท่านทั้งหลายจะสับสน เหมือนคนตาบอดหลงเข้าไปในป่าเป็นเถ้าถ่านไป การทอดทิ้งผู้อื่นเป็นการง่ายสำหรับคนทั่วไป (แต่เป็นการยากสำหรับสัตบุรุษ) การคบหาสัตบุรุษจึงนำความสุขมาให้อย่างแท้จริง {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๖๑}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

(พวกพ่อค้าถามว่า) [๑๒๗๒] อุบาสกคนนั้นคือใคร และทำงานอะไร เขาชื่ออะไร และโคตรอะไร เทวดา แม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ต้องการจะเห็นอุบาสกนั้น ที่ท่านมาที่นี้เพื่อช่วยเหลือ อุบาสกที่ท่านชอบ เป็นคนโชคดี (เทพบุตรตอบว่า) [๑๒๗๓] ผู้ใดเป็นกัลบก๑- มีชื่อว่า สัมภวะ อาศัยการตัดผมเลี้ยงชีพ เขาเป็นคนรับใช้ของพวกท่าน ท่านทั้งหลายจงรู้ว่าผู้นั้นเป็นอุบาสก ท่านทั้งหลายอย่าได้ดูหมิ่นเขา เขาเป็นผู้มีศีลเป็นที่รักยิ่ง (พวกพ่อค้ากล่าวว่า) [๑๒๗๔] เทวดา พวกข้าพเจ้ารู้จักช่างตัดผมคนที่ท่านพูดถึงดี แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้เลย เทวดา แม้พวกเราฟังคำของท่านแล้ว ก็จักบูชาอุบาสกนั้นอย่างโอฬาร (เทพบุตรกล่าวว่า) [๑๒๗๕] พวกผู้คนในกองเกวียนนี้ ไม่ว่าคนหนุ่ม คนแก่ หรือคนปูนกลาง ทุกคนนั้นแหละเชิญขึ้นวิมาน พวกคนตระหนี่จงดูผลของบุญทั้งหลาย (พระธรรมสังคีติกาจารย์กล่าว ๖ คาถาในตอนจบเรื่องว่า) [๑๒๗๖] พ่อค้าทุกคน ณ ที่นั้นต่างคนต่างเข้าห้อมล้อมช่างตัดผมนั้น พากันขึ้นวิมานซึ่งเสมือนภพดาวดึงส์ของท้าววาสวะ พร้อมกับกล่าวว่าเราก่อนๆ @เชิงอรรถ : @ ช่างแต่งกาย (ขุ.วิ.อ. ๑๒๗๓/๔๑๐) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๖๒}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ [๒. ปุริสวิมาน]

๗. สุนิกขิตตวรรค ๑๐. เสริสสกวิมาน

[๑๒๗๗] พ่อค้าทุกคนนั้นต่างก็ประกาศความเป็นอุบาสก ณ ที่นั้นว่า เราก่อนๆ แล้วได้เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ในโลก ยินดีเฉพาะภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา [๑๒๗๘] พ่อค้าทุกคนนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบาสก ณ ที่นั้นแล้ว ได้ไปยังประเทศที่ตนปรารถนาโดยสวัสดี หมู่พ่อค้าเกวียนบันเทิงอยู่ด้วยฤทธิ์ของเทวดาเนืองๆ ได้รับอนุญาตแล้วหลีกไป [๑๒๗๙] พ่อค้าเหล่านั้นต้องการทรัพย์ หวังกำไร ไปถึงสินธุและโสวีระประเทศ พยายามค้าขายตามที่ตั้งใจไว้ มีลาภบริบูรณ์ กลับมาเมืองปาฏลีบุตรโดยปลอดภัย [๑๒๘๐] พ่อค้าเหล่านั้นไปเรือนของตน มีความสวัสดี พร้อมหน้าบุตรภรรยา มีจิตเพลิดเพลิน ดีใจ ปลาบปลื้ม ทำการบูชาเสริสสกเทพบุตรอย่างโอฬาร ได้ช่วยกันสร้างเทวาลัยชื่อเสริสสกะขึ้น [๑๒๘๑] การคบสัตบุรุษให้สำเร็จประโยชน์อย่างนี้ การคบผู้มีคุณธรรมมีประโยชน์มาก พ่อค้าทั้งหมดได้ประสบความสุข เพราะผลอันสืบเนื่องมาจากอุบาสกคนเดียว
เสริสสกวิมานที่ ๑๐ จบ
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๖๓}


                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๖ หน้าที่ ๑๕๕-๑๖๓. http://84000.org/tipitaka/english/m_siri.php?B=26&siri=84              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3].                   อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/english/v.php?B=26&A=2771&Z=2939                   ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=84              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=26&item=84&items=1              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=30&A=8196              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=26&item=84&items=1              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=30&A=8196                   สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu26



บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :