บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
|
๗. อุปเสนอาสีวิสสูตร ว่าด้วยพระอุปเสนะถูกพิษงู [๖๙] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอุปเสนะอยู่ที่เงื้อมเขาชื่อสัปป- โสณฑิกะ ป่าสีตวัน เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น งูตัวหนึ่งได้หล่นลงมาที่กายของท่าน พระอุปเสนะ ครั้งนั้น ท่านเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย ช่วยกันยกกายของกระผมนี้ขึ้นเตียงแล้วหามออกไปข้างนอก ก่อนที่กายนี้จะเรี่ย รายในที่นี้เหมือนกำแกลบ เมื่อท่านพระอุปเสนะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรก็ได้กล่าวกับท่านว่า พวกเรายังไม่เห็นกายของท่านอุปเสนะเป็นอย่างอื่นหรืออินทรีย์ของท่านแปรผันไปเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านอุปเสนะยังพูดว่า มาเถิด ท่านทั้งหลายช่วยกันยกกายของกระผม นี้ขึ้นเตียงแล้วหามออกไปข้างนอก ก่อนที่กายนี้จะเรี่ยรายในที่นี้เหมือนกำแกลบ @เชิงอรรถ : @๑ โลก ในที่นี้หมายถึงสภาพที่จะต้องแตกสลายไป (สํ.สฬา.อ. ๓/๖๘/๑๖) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๘ หน้า : ๕๘}
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [๑. สฬายตนสังยุต]
๒. ทุติยปัณณาสก์ ๒. มิคชาลวรรค ๘. อุปวาณสันทิฏฐิกสูตร
ท่านพระอุปเสนะกล่าวว่า ท่านสารีบุตร ผู้ใดพึงมีความคิดว่า เราเป็นจักขุ หรือ จักขุเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นชิวหา หรือ ชิวหาเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นมโน หรือ มโนเป็นของเรา ท่านสารีบุตร ความที่กายของผู้นั้นเป็นอย่าง อื่นหรือความที่อินทรีย์ของผู้นั้นแปรผันพึงมีอย่างแน่นอน กระผมไม่มีความนึกคิด เลยว่า เราเป็นจักขุ หรือ จักขุเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นชิวหา หรือ ชิวหา เป็นของเรา ... เราเป็นมโน หรือ มโนเป็นของเรา ท่านสารีบุตร ความที่กาย ของกระผมเป็นอย่างอื่นหรือความที่อินทรีย์ของกระผมแปรผัน จักมีได้อย่างไร จริงอย่างนั้น ท่านพระอุปเสนะได้ถอนอหังการ๑- มมังการ๒- และมานานุสัย (กิเลส ที่นอนเนื่องคือความถือตัว) ได้เด็ดขาดนานมาแล้ว ฉะนั้นท่านพระอุปเสนะจึงไม่มี ความคิดว่า เราเป็นจักขุ หรือ จักขุเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นชิวหา หรือ ชิวหาเป็นของเรา ฯลฯ เราเป็นมโน หรือ มโนเป็นของเรา ต่อมา ภิกษุเหล่านั้นได้ยกกายของท่านพระอุปเสนะขึ้นเตียงแล้วหามออกไปข้าง นอก ขณะนั้น กายของท่านพระอุปเสนะก็เรี่ยรายในที่นั้นเองเหมือนกำแกลบอุปเสนอาสีวิสสูตรที่ ๗ จบ ๘. อุปวาณสันทิฏฐิกสูตร ว่าด้วยพระอุปวาณะทูลถามธรรมที่พึงเห็นเอง [๗๐] ครั้งนั้น ท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ นั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ ตรัสว่า ธรรมเป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ธรรมเป็นธรรมที่ผู้ ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระธรรมจึงชื่อว่าเป็น ธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล๓- ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน @เชิงอรรถ : @๑ อหังการ หมายถึงทิฏฐิ (องฺ.ติก.อ. ๒/๓๒/๑๑๓) @๒ มมังการ หมายถึงตัณหา (องฺ.ติก.อ. ๒/๓๒/๑๑๓) @๓ ไม่ประกอบด้วยกาล หมายถึงให้ผลไม่จำกัดกาล คือไม่ขึ้นกับกาลเวลา ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา @ทุกโอกาส ปฏิบัติเมื่อใด ก็ได้รับผลเมื่อนั้น (องฺ.ทุก.อ. ๒/๕๔/๑๕๘) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๘ หน้า : ๕๙}
เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๑๘ หน้าที่ ๕๘-๕๙. https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=18&A=1590 https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=18&siri=49 อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับฉบับหลวง https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=885&Z=907&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=18&i=77 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ https://84000.org/tipitaka/read/?index_18 https://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu18 https://84000.org/tipitaka/english/?index_18
บันทึก ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]