พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๒๒
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปารายนวรรค
วัตถุคาถา
เรื่องพราหมณ์พาวรีส่งศิษย์ทูลถามปัญหา
[๑] พราหมณ์พาวรี เป็นผู้เรียนจบมนต์ ปรารถนาความเป็นผู้ไม่
มีกังวล ออกจากพระนครโกศลอันน่ารื่นรมย์ ไปสู่
ทักขิณาปถชนบท
[๒] พราหมณ์นั้นอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี อันเป็นพรมแดนแว่น
แคว้นอัสสกะและแว่นแคว้นมุฬกะต่อกัน เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วย
การเที่ยวภิกขาและผลไม้.
[๓] เมื่อพราหมณ์นั้นเข้าไปอาศัย (อยู่) บ้านได้เป็นหมู่ใหญ่ด้วย
ความเจริญอันเกิดแต่บ้านนั้น พราหมณ์นั้นได้บูชามหายัญ
[๔] พราหมณ์นั้นบูชามหายัญแล้วก็กลับเข้าไปสู่อาศรม เมื่อ
พราหมณ์นั้นกลับเข้าไปแล้ว พราหมณ์อื่นก็มา.
[๕] พราหมณ์อื่นมีเท้าพิการ เดินงกงัน ฟันเขลอะ มีธุลีบนศีรษะ
เข้าไปหาพาวรีพราหมณ์แล้ว ขอทรัพย์ห้าร้อย.
[๖] พาวรีพราหมณ์เห็นพราหมณ์นั้นเข้าแล้ว ก็เชิญให้นั่ง แล้ว
ก็ถามถึงความสุขสำราญและความไม่มีโรค และได้กล่าว
คำนี้ว่า
[๗] ทรัพย์ของเรามีอันจะพึงให้ เราสละหมดแล้ว. ดูกรพราหมณ์
ท่านเชื่อเราเถิด ทรัพย์ห้าร้อยของเราไม่มี.
[๘] ถ้าเมื่อเราขอ ท่านจักไม่ให้. ในวันที่เจ็ด ศีรษะของท่านจง
แตกเจ็ดเสี่ยง.
[๙] พราหมณ์นั้นเป็นคนโกหก ปรุงแต่งแสดงเหตุให้กลัว.
พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ก็เป็นทุกข์.
[๑๐] มีลูกศรคือความโศกเสียบแทงแล้ว ไม่บริโภคอาหาร ก็ซูบ
ผอม. ใช่แต่เท่านั้น ใจของพาวรีพราหมณ์ผู้มีจิตเป็นอย่างนั้น
ย่อมไม่ยินดีในการบูชา.
[๑๑] เทวดา (ที่สิงอยู่ใกล้อาศรมของพราหมณ์พาวรี) ผู้ปรารถนา
ประโยชน์ เห็นพาวรีพราหมณ์หวาดกลัวเป็นทุกข์อยู่ จึงเข้า
ไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วได้กล่าวว่า.
[๑๒] พราหมณ์ผู้มีความต้องการทรัพย์นั้น เป็นคนโกหก ย่อม
ไม่รู้จักศีรษะ. ความรู้จักศีรษะหรือธรรมอันให้ศีรษะตกไป
ย่อมไม่มีแก่พราหมณ์นั้น.
[๑๓] พาวรีพราหมณ์ดำริว่า เทวดานี้อาจรู้ได้ในบัดนี้. (กล่าวว่า)
ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะ
ตกไปแก่ข้าพเจ้าเถิด. ข้าพเจ้าจะขอฟังคำของท่าน.
[๑๔] แม้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะตกไป. ข้าพเจ้า
ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้. ความเห็นซึ่งศีรษะและธรรมอันให้
ศีรษะตกไป ย่อมมีแก่พระชินะทั้งหลายเท่านั้น.
[๑๕] พา. ก็ในบัดนี้ ใครในปฐพีมณฑลนี้ย่อมรู้จักศีรษะและธรรม
อันให้ศีรษะตกไป. ดูกรเทวดา ขอท่านจงบอกท่านผู้นั้นแก่
ข้าพเจ้าเถิด.
[๑๖] เท. พระสักยบุตร เป็นวงศ์ของพระโอกกากราชเสด็จออก
จากเมืองกบิลพัสดุ์บุรี เป็นพระพุทธเจ้าผู้นำสัตว์โลก เป็น
ผู้ทำ (แสดง) ธรรมอันสว่าง.
[๑๗] ดูกรพราหมณ์ พระสักยบุตรนั่นแหละ เป็นพระสัมพุทธเจ้า
ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง บรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง มี
จักษุในธรรมทั้งปวง ทรงถึงธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งธรรม
ทั้งปวง ทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ.
[๑๘] พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระพุทธเจ้าในโลก มี
พระจักษุ ย่อมทรงแสดงธรรม. ท่านจงไปทูลถามพระองค์เถิด.
พระองค์จักทรงพยากรณ์ปัญหานั้นแก่ท่าน.
[๑๙] พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำว่า พระสัมพุทธเจ้า แล้วมีความ
เบิกบานใจ มีความโศกเบาบาง และได้ปีติอันไพบูลย์.
[๒๐] พราหมณ์พาวรีนั้น มีใจยินดี มีความเบิกบาน โสมนัส
ถามถึง (พระผู้มีพระภาค) กะเทวดานั้น. (และประกาศว่า)
พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ประทับอยู่ ณ ที่ใด
คือ บ้านนิคมหรือชนบทที่เขาทำแล้ว เราทั้งหลายพึงไป
นมัสการพระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ณ ที่นั้น.
[๒๑] เท. พระสักยบุตรนั้น เป็นพระชินะ มีพระปัญญาสามารถ
มีพระปัญญากว้างขวางเช่นแผ่นดินอันประเสริฐ เป็น
นักปราชญ์ ไม่มีอาสวะ ทรงรู้แจ้งศีรษะและธรรมอันให้
ศีรษะตกไป ทรงองอาจกว่านรชน ประทับอยู่ ณ พระราช-
มณเฑียรแห่งพระเจ้าโกศลในพระนครสาวัตถี.
[๒๒] ลำดับนั้น พราหมณ์พาวรีได้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นศิษย์
ผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์มา (บอกว่า). ดูกรมาณพทั้งหลาย มานี่เถิด.
เราจักบอก.ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำของเรา.
[๒๓] ความปรากฏเนืองๆ แห่งพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดนั้น
ยากที่จะหาได้ในโลก วันนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก มีพระนามปรากฏว่า พระ-
สัมพุทธเจ้า. ท่านทั้งหลายจงรีบไปเมืองสาวัตถี ดู
พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์.
[๒๔] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วจะรู้จักว่า
เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะรู้จัก
พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยอุบายอย่างไร? ขอท่านจง
บอกอุบายนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้ไม่รู้เถิด.
[๒๕] พา. ก็มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ทั้งหลาย
ท่านกล่าวไว้แจ่มแจ้งบริบูรณ์แล้วโดยลำดับ.
[๒๖] ท่านผู้ใดมีมหาบุรุษลักษณะเหล่านั้นในกายตัว ท่านผู้นั้นมีคติ
เป็นสองอย่างเท่านั้น มิได้มีคติเป็นที่สาม.
[๒๗] คือ ถ้าอยู่ครองเรือน พึงครอบครองแผ่นดินนี้. ย่อมปกครอง
โดยธรรม โดยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา.
[๒๘] และถ้าท่านผู้นั้นออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกิเลสดังหลังคาอันเปิดแล้ว
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า.
[๒๙] พราหมณ์พาวรี (บอกแล้ว) ซึ่งชาติ โคตร ลักษณะ
และมนต์อย่างอื่นอีก กะพวกศิษย์ (ได้สั่งว่า). ท่าน
ทั้งหลายจงถามถึงศีรษะ และธรรมอันให้ศีรษะตกไปด้วยใจ
เท่านั้น.
[๓๐] ถ้าท่านผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าผู้เห็นธรรมไม่มีเครื่องกั้น. เมื่อ
ท่านทั้งหลายถามปัญหาด้วยใจแล้ว ก็จักแก้ด้วยวาจา.
[๓๑] พราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นศิษย์ คือ อชิตพราหมณ์ ติสสเมตเตยย-
พราหมณ์ ปุณณกพราหมณ์ เมตตคูพราหมณ์.
[๓๒] โธตกพราหมณ์ อุปสีวพราหมณ์ นันทพราหมณ์ เหมก-
พราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ กัปปพราหมณ์ ชตุกัณณี-
พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต.
[๓๓] ภัทราวุธพราหมณ์ อุทยพราหมณ์ โปสาลพราหมณ์ โมฆ-
ราชพราหมณ์ผู้เป็นนักปราชญ์ ปิงคิยพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณใหญ่
ได้ฟังวาจาของพราหมณ์พาวรีแล้ว.
[๓๔] ทั้งหมดนั้น เฉพาะคนหนึ่งๆ เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ปรากฏ
แก่โลกทั้งปวง เป็นผู้เจริญฌาน ยินดีในฌาน เป็นธีรชน
ผู้มีจิตอบรมด้วยวาสนาในกาลก่อน.
[๓๕] พราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ทุกคน ทรงชฎาและหนังเสือ อภิวาท
พราหมณ์พาวรีและกระทำประทักษิณแล้ว มุ่งหน้าเดินไปทาง
ทิศอุดร.
[๓๖] สู่สถานเป็นที่ตั้งแห่งแว่นแคว้นมฬุกะ เมืองมาหิสสติในกาล
นั้น เมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ เมืองวน-
สวหยะ.
[๓๗] เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต เมืองสาวัตถี เป็นเมืองอุดม
เมืองเสตัพยะ เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองกุสินารา.
[๓๘] เมืองปาวา โภคนคร เมืองเวสาลี เมืองมคธและปาสาณเจดีย์
อันเป็นรมณียสถาน น่ารื่นรมย์ใจ.
[๓๙] พราหมณ์เหล่านั้นรีบขึ้นสู่ภูเขา (ปาสาณเจดีย์) เหมือนคน
กระหายน้ำรีบหาน้ำเย็น เหมือนพ่อค้ารีบหาลาภใหญ่ และเหมือน
คนถูกความร้อนแผดเผาและรีบหาร่ม ฉะนั้น.
[๔๐] ก็ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมแล้วทรง
แสดงธรรมแก่พระภิกษุทั้งหลายอยู่ ประหนึ่งว่าราชสีห์บันลือ
สีหนาทอยู่ในป่า.
[๔๑] อชิตพราหมณ์ ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้เพียงดังว่าดวงอาทิตย์
มีรัศมีฉายออกไป และเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงในวันเพ็ญ.
[๔๒] ลำดับนั้น อชิตพราหมณ์ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง รื่นเริงใจ
เพราะได้เห็นอนุพยัญชนะบริบูรณ์ ในพระกายของพระผู้มี-
พระภาค ได้ทูลถามปัญหาด้วยใจ.
[๔๓] อ. ท่านเจาะจงใคร? จงบอกชาติ บอกโคตรพร้อมด้วย
ลักษณะ. บอกความสำเร็จในมนต์ทั้งหลาย. พราหมณ์สอน
มาณพ เท่าไร?
[๔๔] พ. พราหมณ์นั้นมีอายุ ๑๒๐ ปี ชื่อพาวรีโดยโคตร. ลักษณะ
๓ อย่างมีในตัวของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์นั้นเป็นผู้ถึงฝั่งแห่ง
ไตรเพท.
[๔๕] พาวรีพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในธรรมของตน สอนมาณพ
๕๐๐ ในมหาบุรุษลักษณะ และคัมภีร์อิติหาสะ พร้อมทั้งคัมภีร์
นิฆัณฑุศาสตร์ และคัมภีร์เกฏุภศาสตร์.
[๔๖] ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน ผู้ตัดเสียซึ่งตัณหา ขอพระองค์
ทรงประกาศความกว้างแห่งลักษณะทั้งหลาย ของพราหมณ์-
พาวรี. ความสงสัยอย่าได้มีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเลย.
[๔๗] พราหมณ์นั้นย่อมปกปิดหน้าได้ด้วยลิ้น. มีอุณาโลมอยู่ใน
ระหว่างคิ้ว. และมีอวัยวะที่ซ่อนอยู่ในผ้าอยู่ในฝัก. ดูกร
มาณพ ท่านจงรู้อย่างนี้.
[๔๘] ชนทั้งปวงไม่ได้ฟังใครๆ ซึ่งเป็นผู้ถาม ได้ฟังปัญหาทั้งหลาย
ที่พระผู้มีพระภาคทรงแก้แล้วเกิดความโสมนัส ประนมอัญชลี
ย่อมคิดไปต่างๆ (ว่า)
[๔๙] ใครหนอเป็นเทวดา เป็นพระพรหม หรือเป็นพระอินทร์ผู้
สุชัมบดี เมื่อเขาถามปัญหาด้วยใจ จะแก้ปัญหานั้นกะใครได้?
[๕๐] อ. พาวรีพราหมณ์ย่อมถามถึงศีรษะ และธรรมอันทำให้ศีรษะ
ตกไป. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงแสวงหา ขอพระองค์ทรง
โปรดพยากรณ์ข้อนั้น. กำจัดเสียซึ่งความสงสัยของข้าพระองค์
ทั้งหลายเถิด.
[๕๑] พ. ท่านจงรู้เถิดว่า อวิชชาเป็นศีรษะ วิชชาประกอบกับ
ศรัทธา สติ สมาธิ ฉันทะ และวิริยะ เป็นธรรมเครื่องยัง
ศีรษะให้ตกไป.
[๕๒] ลำดับนั้น อชิตมาณพผู้อันความโสมนัสเป็นอันมากอุดหนุนแล้ว
กระทำซึ่งหนังเสือเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วซบเศียรลงแทบพระ-
ยุคลบาท (ทูลว่า)
[๕๓] ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ผู้มีพระจักษุ พราหมณ์พาวรีพร้อมด้วย
พวกศิษย์ มีจิตเบิกบานโสมนัส ขอถวายบังคมพระยุคลบาท
ของพระองค์.
[๕๔] พ. พราหมณ์พาวรีพร้อมด้วยพวกศิษย์จงเป็นผู้มีสุข. ดูกรมาณพ
และแม้ท่านก็ขอให้มีความสุข มีชีวิตอยู่ยืนนานเถิด.
[๕๕] เราให้โอกาสแก่พาวรีพราหมณ์ แก่ท่าน และแก่พราหมณ์
ทั้งหมด ตลอดข้อสงสัยทั้งปวง. ท่านทั้งหลายย่อมปรารถนา
ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ ก็จงถามเถิด.
[๕๖] เมื่อพระสัมพุทธเจ้าทรงประทานโอกาสแล้ว อชิตพราหมณ์
นั่งประนมมือ แล้วทูลถามปฐมปัญหากะพระตถาคต ใน
บริษัทนั้น.
จบวัตถุคาถา.
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ บรรทัดที่ ๑-๑๖๙ หน้าที่ ๑-๗.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=30&A=1&Z=169&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=30&A=1&pagebreak=0
ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3]
อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :-
http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=30&siri=1
ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=30&i=1
พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :-
http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=30&A=1
The Pali Tipitaka in Roman :-
http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=30&A=1
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐
http://84000.org/tipitaka/read/?index_30
อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :-
https://www.ancient-buddhist-texts.net/Texts-and-Translations/Parayanavagga/Parayanavaggo-00-Introduction.htm
บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖.
บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙.
บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐.
การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง.
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]
