บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
|
|
ปุคคลวรรคที่ ๔ [๑๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิย- *สังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพ ไม่ได้ ฯ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อัน เป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจำพวกไหน ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระสกทาคามี ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ยังละ โอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละ สังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยัง ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระอนาคามีผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ ดูกร- *ภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล นี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ ภพได้ คือ พระอรหันตขีณาสพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิย- *สังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อให้ได้ภพได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ ในโลก ฯ [๑๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลผู้ฉลาดผูกไม่ฉลาดแก้ ๑ ฉลาดแก้ไม่ฉลาดผูก ๑ ฉลาดทั้งผูกฉลาดทั้งแก้ ๑ ไม่ฉลาดทั้งผูกไม่ฉลาดทั้งแก้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง ๑ วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งหัวข้อนั้น ๑ เนยยะ ผู้พอแนะนำได้ ๑ ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่น ไม่ใช่ดำรงชีพ ด้วยผลของกรรม ๑ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลของกรรม ไม่ใช่ดำรงชีพด้วย ผลของความหมั่น ๑ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่น ทั้งดำรงชีพด้วยผล ของกรรม ๑ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่นก็ไม่ใช่ ดำรงชีพด้วยผลของ กรรมก็ไม่ใช่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลผู้มีโทษ ๑ บุคคลผู้มากด้วยโทษ ๑ บุคคล ผู้มีโทษน้อย ๑ บุคคลผู้หาโทษมิได้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีโทษ อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมอันมีโทษ เป็น ผู้ประกอบด้วยวจีกรรมอันมีโทษ เป็นผู้ประกอบด้วยมโนกรรมอันมีโทษ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีโทษอย่างนี้แล ก็บุคคลเป็นผู้มากด้วยโทษอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันมีโทษเป็นส่วนมาก ที่หาโทษมิได้เป็นส่วนน้อย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล เป็นผู้มากด้วยโทษอย่างนี้แล ก็บุคคลเป็นผู้มีโทษน้อยอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันไม่มีโทษ เป็นส่วนมาก ที่มีโทษเป็นส่วนน้อย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีโทษน้อย อย่างนี้แล ก็บุคคลเป็นผู้หาโทษมิได้อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบ ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันหาโทษมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้หาโทษมิได้อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่กระทำให้ บริบูรณ์ในศีล ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในปัญญา อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล แต่ไม่กระทำให้ บริบูรณ์ในสมาธิ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในปัญญา อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ แต่ไม่กระทำให้บริบูรณ์ ในปัญญา อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำให้ บริบูรณ์ในสมาธิ กระทำให้บริบูรณ์ในปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่หนัก ในศีล ไม่มีศีลเป็นใหญ่ เป็นผู้ไม่หนักในสมาธิ ไม่มีสมาธิเป็นใหญ่ เป็นผู้ไม่ หนักในปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนัก ในศีล มีศีลเป็นใหญ่ แต่เป็นผู้ไม่หนักในสมาธิ ไม่มีสมาธิเป็นใหญ่ เป็นผู้ไม่หนักในปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักในศีล มีศีลเป็นใหญ่ เป็นผู้หนักในสมาธิ มีสมาธิเป็นใหญ่ แต่เป็นผู้ไม่หนักในปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักในศีล มีศีลเป็นใหญ่ เป็นผู้หนักในสมาธิ มีสมาธิเป็นใหญ่ เป็นผู้หนักในปัญญา มีปัญญาเป็นใหญ่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลมีกายออกไปแล้ว มีจิตยังไม่ออก ๑ มีกายยังไม่ออก มีจิตออกไปแล้ว ๑ มีกายยังไม่ออกด้วย มีจิตยังไม่ออกด้วย ๑ มีกายออกไป แล้วด้วย มีจิตออกไปแล้วด้วย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายออกไป แล้ว มีจิตยังไม่ออกไปอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและราวป่า เขาตรึกถึงกามวิตกบ้าง ตรึกถึงพยาบาทวิตกบ้าง ตรึกถึงวิหิงสา วิตกบ้าง ในเสนาสนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้ว มีจิตยังไม่ออกอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกไป มีจิตออกไปอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและราวป่า เขาตรึกถึงเนกขัมมวิตกบ้าง อัพยาบาทวิตกบ้าง อวิหิงสาวิตกบ้าง ในที่นั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกไป มีจิตออกไปแล้ว อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกด้วย มีจิตยังไม่ออก ด้วยอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและราวป่า เขาตรึกถึงกามวิตกบ้าง ตรึกถึงพยาบาทวิตกบ้าง ตรึกถึงวิหิงสาวิตกบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกด้วย มีจิตยังไม่ออกด้วยอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วด้วย มีจิตออกไปแล้ว ด้วยอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและราวป่า เขาตรึกถึงเนกขัมมวิตกบ้าง อัพยาบาทวิตกบ้าง อวิหิงสาวิตกบ้าง ในเสนาสนะ นั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วด้วย มีจิตออกไปแล้วด้วย อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ [๑๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมกถึก ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ กล่าวธรรมน้อยและไม่ประกอบด้วย ประโยชน์ ทั้งบริษัทก็เป็นผู้ไม่ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึก เห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึกสำหรับบริษัทเห็นปานนั้น อนึ่ง ธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ ย่อมกล่าวธรรมน้อยและประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งบริษัทก็เป็นผู้ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึกเห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึกสำหรับบริษัทเป็นปานนั้น อนึ่ง ธรรมกถึกบางคน ในโลกนี้ ย่อมกล่าวธรรมมาก แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งบริษัทก็เป็น ผู้ไม่ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึกเห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับ ว่า เป็นธรรมกถึกสำหรับบริษัทเห็นปานนั้น อนึ่ง ธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ ย่อมกล่าวธรรมมากและประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งบริษัทก็เป็นผู้ฉลาดต่อประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึกเห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึก สำหรับบริษัทเห็นปานนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมกถึก ๔ จำพวกนี้แล ฯ [๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักพูด ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน นักพูดย่อมจำนนโดยอรรถ แต่ไม่จำนนโดยพยัญชนะก็มี นักพูดจำนนโดย พยัญชนะแต่ไม่จำนนโดยอรรถก็มี นักพูดจำนนทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะก็มี นักพูดไม่จำนนทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะก็มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักพูด ๔ จำพวกนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทา ๔ พึงถึงความจำนนโดยอรรถหรือโดยพยัญชนะ นี้ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ฯจบปุคคลวรรคที่ ๔ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๓๗๑๒-๓๘๓๔ หน้าที่ ๑๕๙-๑๖๔. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=3712&Z=3834&pagebreak=0 ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2] อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=21&siri=130 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=131 ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [131-140] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=21&item=131&items=10 อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=8741 The Pali Tipitaka in Roman :- [131-140] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=21&item=131&items=10 The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=8741 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ https://84000.org/tipitaka/read/?index_21 อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://84000.org/tipitaka/english/metta.lk/21i131-e.php# https://84000.org/tipitaka/english/metta.lk/21i131-e2.php# https://suttacentral.net/an4.131/en/sujato https://suttacentral.net/an4.132/en/sujato https://suttacentral.net/an4.133/en/sujato https://suttacentral.net/an4.134/en/sujato https://suttacentral.net/an4.135/en/sujato https://suttacentral.net/an4.136/en/sujato https://suttacentral.net/an4.137/en/sujato https://suttacentral.net/an4.138/en/sujato https://suttacentral.net/an4.139/en/sujato https://suttacentral.net/an4.140/en/sujato
บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]