บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคาถาว่า อนฺโตชฏา ดังต่อไปนี้. บทว่า ชฏา เป็นชื่อของตัณหาเพียงดังข่าย. จริงอยู่ ตัณหานั้นชื่อว่าชฏา เพราะอรรถว่าเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งไม้ทั้งหลายมีกิ่งไม้ไผ่เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานกันไว้ เพราะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในอารมณ์ทั้งหลาย ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า ชัฏ (แปลว่ารก) ทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก เพราะเกิดขึ้นในบริขารของตนและบริขารของผู้อื่น ทั้งในอัตภาพของตนและอัตภาพของผู้อื่น ทั้งใน อธิบายว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือกิ่งของไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นฉันใด ปชาคือหมู่สัตว์แม้ทั้งหมดนี้ก็ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือตัณหา ถูกตัณหา บทว่า โคตม คือ เทวดาย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระโคตร. บทว่า โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ แปลว่า ใครพึงถางชัฏนี้. ความว่า เทพบุตรนั้นทูลถามว่า ใครพึงถาง คือใครสามารถเพื่อจะถางชัฏ (ตัณหา) อันรกรุงรังซึ่งตั้งอยู่ในโลกธาตุทั้ง ๓ นี้ได้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาเนื้อความนี้แก่เทพบุตรนั้น จึงตรัสว่า
ให้เจริญอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุนั้นพึงถางชัฏ (ตัณหา) นี้ได้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีเล ปติฏฺฐาย ได้แก่ ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล. ก็ในบทนี้พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันเทวดาทูลถามถึงชัฏคือตัณหาที่ผูกพันนระไว้ พระองค์จึงเริ่มคำว่า ศีล มิได้ทูลถามอย่างอื่น ก็มิได้ตรัสอย่างอื่น. เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงศีลในที่นี้ ก็เพื่อทรงแสดงถึงที่พึ่งของนระผู้ถางชัฏ คือตัณหาที่ผูกพันไว้. บทว่า นโร ได้แก่ สัตว์. บทว่า สปญฺโญ ได้แก่ ผู้มีปัญญาโดยปฏิสนธิมาด้วยปัญญาอันเป็นไตรเหตุอันเกิดแต่กรรม. บทว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ ได้แก่ ยังสมาธิและปัญญาให้เจริญอยู่. จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาบัติ ๘ ไว้ด้วยหัวข้อแห่งจิต ตรัสวิปัสสนาไว้โดยชื่อว่าปัญญา. บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร. จริงอยู่ ความเพียร ตรัสเรียกว่าอาตาปะ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน. ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสของนระนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นระผู้มีความเพียรนั้นจึงชื่อว่า อาตาปี แปลว่า ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน. ในบทว่า นิปโก นี้ ตรัสเรียกปัญญาว่าเนปกะ. อธิบายว่า นระผู้ประกอบด้วยปัญญา ชื่อว่าเนปกะนั้น. ทรงแสดงปาริหาริยปัญญา ด้วยบทว่า นิปโก นี้. อธิบายว่า ปัญญาอันเป็นเหตุที่บุคคลพึงบริหารให้สำเร็จกิจทั้งปวง โดยนัยว่า นี้เป็นกาลสมควรเพื่อเรียน (อุเทศ) นี้เป็นกาลสมควรเพื่อสอบถาม (ปริปุจฉา) เป็นต้น ชื่อว่าปาริหาริยปัญญา. ในปัญหาพยากรณ์นี้ ปัญญามา ๓ วาระ. ในปัญญาเหล่านั้น ปัญญาที่หนึ่ง ชื่อว่าสชาติปัญญา (ปัญญามีมาพร้อมกับการเกิด) ปัญญาที่สอง ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา. ปัญญาที่สาม ชื่อว่าปาริหาริยปัญญา อันเป็นเครื่องนำไปในกิจทั้งปวง. บทว่า ภิกฺขุ มีวิเคราะห์ว่า ผู้ใดย่อมเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้นจึงชื่อว่าภิกษุ.๑- ____________________________ ๑- คำว่า ภิกขุ ในที่นี้ท่านไม่ได้อธิบายไว้ (อรรถกถาบาลี หน้า ๖๒) บทว่า โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ ความว่า ภิกษุนั้นพึงถางชัฏนี้ได้ ได้แก่ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีสีลาทิคุณเป็นต้นเหล่านี้.๒- อธิบายว่า ภิกษุอาศัยแผ่นดินคือศีล แล้วยกศาสตราคือวิปัสสนาปัญญาอันตนลับดีแล้วด้วยศิลาคือสมาธิ ด้วยมือคือปาริหาริยปัญญาอันกำลังคือความเพียร ประคับประคองแล้ว พึงถาง พึงตัด พึงทำลายซึ่งชัฏคือตัณหาอันประจำอยู่ในสันดานแห่งตนนั้นแม้ทั้งหมด เปรียบเหมือนบุรุษผู้ยืนบนแผ่นดินยกศาสตราอันตนลับดีแล้ว พึงถางกอไผ่ใหญ่ ฉะนั้น. ____________________________ ๒- ผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๖ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างและวิริยะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเสกขภูมิด้วยคำมีประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงพระมหาขีณาสพผู้ถางชัฏ (ตัณหา) แล้วดำรงอยู่ จึงตรัสคำว่า
กำจัดได้แล้ว บุคคลเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งอัน บุคคลเหล่านั้นสางได้แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระขีณาสพผู้ถางซึ่งชัฏคือตัณหาอย่างนี้แล้วดำรงอยู่ เมื่อจะทรงแสดงโอกาสเป็นเครื่องถางชัฏอีก จึงตรัสคำว่า
ย่อมดับไม่เหลือในที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาดไปในที่นั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นามํ ได้แก่ อรูปขันธ์ ๔. ในบทว่า ปฏิฆรูปสญฺญา นี้ ท่านถือเอากามภพด้วยอำนาจแห่งปฏิฆสัญญา ถือเอารูปภพด้วยอำนาจแห่งรูปสัญญา. เมื่อภพทั้ง ๒ เหล่านั้นทรงถือเอาแล้ว อรูปภพก็เป็นอันถือเอาแล้วโดยสังเขปแห่งภพนั่นแหละ. ในบทว่า เอตฺเถสา ฉิชฺชเต ชฏา นี้ แปลว่า ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งย่อมขาดไปในที่นั้น คือว่าตัณหาอันเป็นเครื่องยุ่งเหยิงนี้ ย่อมขาดไปในที่เป็นที่สิ้นสุดลงแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือว่าอาศัยพระนิพพานแล้วย่อมขาด ย่อมดับไป ดังนี้ นี้เป็นอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้แล. จบอรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคที่ ๓ ชฏาสูตรที่ ๓ จบ. |