บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ ความว่า เมื่อรูปยังดำรงอยู่คือเป็นอยู่ ชราย่อมปรากฏ. ก็คำว่า ฐิติ เป็นชื่อของการหล่อเลี้ยง กล่าวคือชีวิตินทรีย์. คำว่า อญฺญถตฺตํ เป็นชื่อของชรา. ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
ความดับเรียกว่าวยะ ความแปรปรวน เรียกว่าชรา ความหล่อเลี้ยง เรียกว่าฐิติ ขันธ์แต่ละขันธ์มีลักษณะ ๓ อย่าง คือ อุปปาทะ ชราและภังคะด้วยประการฉะนี้ ที่พระองค์หมายถึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะแห่งสังขตะเหล่านี้มี ๓ อย่าง ดังนี้. ในคำนั้นที่ชื่อว่าสังขตะ ได้แก่สังขารชนิดใดชนิดหนึ่งที่เกิดแต่ปัจจัย. แต่สังขารไม่ชื่อว่าลักษณะ และไม่ชื่อว่าสังขาร ด้วยว่าเว้นลักษณะเสีย ใครๆ ไม่อาจจะบัญญัติสังขารได้ ทั้งเว้นลักษณะเสีย ก็ชื่อว่าสังขารไม่ได้. แต่สังขารก็ย่อมปรากฏด้วยลักษณะ. เหมือนอย่างว่า แม่โคนั่นแหละไม่จัดเป็นลักษณะ. ลักษณะนั่นแหละเป็นแม่โค. แม้ละลักษณะเสีย ก็ไม่อาจบัญญัติแม่โคได้ แม้ละแม่โคเสีย ก็ไม่อาจบัญญัติลักษณะได้ แต่แม่โคย่อมปรากฏด้วยลักษณะฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็พึงทราบฉันนั้น. บรรดาขณะทั้ง ๓ นั้น ในอุปาทขณะแห่งสังขารทั้งหลาย สังขารก็ดี อุปาทลักษณะก็ดี ขณะแห่งสังขารนั้นกล่าวคือกาละก็ดี ย่อมปรากฏ. เมื่อกล่าวว่า อุปฺปาเทติ ย่อมเกิดขึ้น สังขารก็ดี ชราลักษณะก็ดี ขณะแห่งสังขารนั้นกล่าวคือกาละก็ดี ย่อมปรากฏ. ในภังคขณะ สังขารก็ดี สังขารลักษณะก็ดี ขณะแห่งสังขารนั้นกล่าวคือกาละก็ดี ย่อมปรากฏ. แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าชราขณะแห่งอรูปธรรมทั้งหลาย ใครๆ ไม่อาจบัญญัติได้ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสว่า ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งเวทนาย่อมปรากฏ เมื่อเวทนาตั้งอยู่ ความแปรปรวนย่อมปรากฏ ทรงบัญญัติลักษณะ ๓ แม้แห่งอรูปธรรม ย่อมได้ลักษณะ ๓ เหล่านั้น เพราะอาศัยขณะปัจจุบัน ครั้นกล่าวดังนี้แล้วจึงสำเร็จความนั้นตามอาจริยคาถานี้ว่า
ความแตกดับแห่งรูปนั้นแลของสรรพสัตว์ในกาลทุกเมื่อ เรียกว่า มรณะ ดังนี้ อนึ่ง ท่านยังกล่าวว่า พึงทราบว่าปาณะปราณด้วยอำนาจสันตติ. ก็เพราะเหตุที่ในพระสูตรไม่มีความแปลกกัน ฉะนั้น ตาม จบอรรถกถาอานันทสูตรที่ ๑ --------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ นตุมหากวรรคที่ ๔ อานันทสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕ จบ. |