ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 19 / 4อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มัคคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑
๑. อวิชชาสูตร

               อรรถกถามัคคสังยุต ในมหาวารวรรค               
               อวิชชาวรรคที่ ๑               
               อรรถกถาอวิชชาสูตรที่ ๑               
               พึงทราบวินิจฉัยในอวิชชาสูตรที่ ๑ แห่งมหาวรรค.๑-
____________________________
๑- บาลีเป็น มหาวารวรรค

               บทว่า ปุพฺพงฺคมา ได้แก่ เป็นหัวหน้าด้วยอาการ ๒ อย่าง คือด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย ๑ ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย ๑.
               บทว่า สมาปตฺติยา ความว่า เพื่อการเข้าถึง เพื่อการได้สภาพ เพื่อความเกิดขึ้น.
               บทว่า อนฺวเทว อหิริกํ อโนตฺตปฺปํ ความว่า ก็อหิริกะตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความไม่ละอาย และอโนตตัปปะ ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความไม่กลัวนั่นใด อวิชชานี้นั้นย่อมเกิดขึ้นร่วมกับอหิริกะและอโนตตัปปะนั้น เว้นอหิริกะและอโนตตัปปะนั้นเสียหาเกิดขึ้นได้ไม่.
               บทว่า อวิชฺชาคตสฺส ความว่า มิจฉาทิฏฐิย่อมเกิดมีแก่ผู้เข้าถึง คือประกอบด้วยอวิชชา.
               บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิ ได้แก่ ความไม่เห็นตามเป็นจริง คือความไม่เห็นธรรมเครื่องนำสัตว์ให้พ้นทุกข์.
               บทว่า ปโหติ คือ ย่อมมี ได้แก่ย่อมเกิดขึ้น.
               แม้ในมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น พึงทราบความเป็นมิจฉาด้วยสามารถความไม่จริง และไม่นำสัตว์ให้พ้นทุกข์นั่นแล. ชื่อว่าองค์แห่งความเป็นมิจฉาเหล่านี้ ย่อมมี เพื่อความเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม ๘ ด้วยประการฉะนี้.
               ส่วนองค์แห่งมิจฉัตตะทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดย่อมไม่เกิดในขณะเดียวกัน ย่อมเกิดในขณะต่างๆ กัน.
               ถามว่า อย่างไร.
               ตอบว่า เมื่อใด จิตประกอบด้วยทิฏฐิ เมื่อยังกายวิญญัติให้ตั้งขึ้นย่อมเกิด เมื่อนั้นก็ย่อมมีองค์ ๖ คือ มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) มิจฉาสังกัปปะ (ความดำริผิด) มิจฉาวายามะ (ความพยายามผิด) มิจฉาสติ (ความระลึกผิด) มิจฉาสมาธิ (ความตั้งใจผิด) มิจฉากัมมันตะ (การงานผิด).
               เมื่อใด จิตไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ เมื่อนั้นมีองค์ ๕ เว้นมิจฉาทิฏฐิ.
               เมื่อใด สององค์เหล่านั้นแล ย่อมยังวจีวิญญัติให้ตั้งขึ้น เมื่อนั้นย่อมมีองค์ ๖ หรือองค์ ๕ ตั้งอยู่ในมิจฉาวาจา ในฐานะมิจฉากัมมันตะ ชื่อว่าอาชีวะนี้ เมื่อกำเริบย่อมกำเริบในกายทวารและวจีทวารในทวารใดทวารหนึ่งเท่านั้น หากำเริบในมโนทวารไม่.
               เพราะฉะนั้น องค์ ๖ หรือองค์ ๕ เหล่านั้นแลย่อมมีด้วยอำนาจมิจฉาชีวะว่า เมื่อใด จิตเหล่านั้นแลย่อมยังกายวิญญัติและวจีวิญญัติให้ตั้งขึ้น โดยมุ่งถึงอาชีวะ เมื่อนั้น กายกรรมจึงชื่อว่ามิจฉาอาชีวะ วจีกรรมก็อย่างนั้น.
               ก็เมื่อใด จิตเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้น เพราะไม่ยังวิญญัติให้ตั้งขึ้น เมื่อนั้นย่อมมีองค์ ๕ ด้วยสามารถแห่งมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติและมิจฉาสมาธิ หรือองค์ ๔ ด้วยสามารถแห่งมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น.
               ดังนั้น องค์ทั้งหลายเหล่านั้นย่อมไม่เกิดในขณะเดียวกันทั้งหมด ย่อมเกิดในขณะต่างๆ กันอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
               ในสุกกปักข์ บทว่า วิชฺชา ได้แก่ รู้ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน.
               แม้ในวิชชานี้ พึงทราบความที่วิชชาเป็นหัวหน้า โดยอาการ ๒ คือด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย ๑ ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย ๑.
               บทว่า หิโรตฺตปฺปํ ได้แก่ ความละอายบาปและความกลัวบาป.
               ในธรรม ๒ อย่างนั้น หิริตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความละอาย โอตตัปปะตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความกลัว.
               นี้เป็นความสังเขปในข้อนี้. ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวในวิสุทธิมรรคแล้วแล.
               บทว่า วิชฺชาคตสฺส ได้แก่ สัมมาทิฏฐิย่อมเกิดมีแก่ผู้เข้าถึงคือประกอบด้วยวิชชา.
               บทว่า วิทฺทสุโน ได้แก่ ผู้รู้แจ้งคือบัณฑิต.
               บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ ได้แก่ ความเห็นตามเป็นจริง คือความเห็นนำสัตว์ให้พ้นทุกข์.
               แม้ในสัมมากัมมันตะเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               องค์ ๘ เหล่านี้ย่อมมีเพื่อความเกิดแห่งกุศลธรรมด้วยประการฉะนี้. องค์แม้ ๘ เหล่านั้น ย่อมไม่เกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกิยมรรค แต่ย่อมเกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกุตรมรรค.
               ก็แลองค์ ๘ เหล่านั้นย่อมมีในมรรคอันประกอบด้วยปฐมฌาน ส่วนในมรรคอันประกอบด้วยทุติยฌานเป็นต้น ย่อมมีองค์ ๗ เท่านั้น เว้นสัมมาสังกัปปะ.
               ในองค์ ๗ เหล่านั้น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เพราะในมหาสฬายตนสูตร ในมัชฌิมนิกาย ท่านกล่าวว่า ความเห็นของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้นย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิของผู้นั้น ความดำริของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะของผู้นั้น ความพยายามของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้นย่อมเป็นสัมมาวายามะของผู้นั้น ความระลึกของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสติของผู้นั้น. ความตั้งใจมั่นของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสมาธิของผู้นั้น. ก็แล ในเบื้องต้นกายกรรม วจีกรรมและอาชีวะของผู้นั้น ก็ย่อมบริสุทธิ์ด้วยดี ดังนี้. ฉะนั้น โลกุตรมรรคก็ย่อมประกอบด้วยองค์ ๕ เท่านั้นดังนี้.
               ผู้นั้นพึงถูกเขาต่อว่า ในสูตรนั้นแลว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่เห็นคำนี้ว่า อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ย่อมถึงความเจริญเต็มที่แก่ภิกษุนั้นอย่างนี้๒- ดังนี้.
____________________________
๒- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๘๒๘

               ส่วนข้อที่ท่านกล่าวว่า ปุพฺเพว โข ปนสฺส นั้น ท่านกล่าวแล้วเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว ในข้อนี้ท่านแสดงความหมายไว้ดังนี้ว่า ก็จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว กายกรรมเป็นต้นอันบริสุทธิ์ ย่อมบริสุทธิ์ยิ่งนัก ในขณะแห่งโลกุตรมรรคดังนี้.
               แม้คำใด อันท่านกล่าวในอภิธรรมว่า ก็ในสมัยนั้นแล มรรคย่อมประกอบด้วยองค์ ๕ คำนั้นท่านกล่าวเพื่อแสดงในระหว่างกิจอย่างหนึ่ง. ก็ในกาลใด บุคคลละการงานผิดแล้ว ย่อมยังการงานที่ชอบให้บริบูรณ์ในกาลนั้น.
               มิจฉาวาจาหรือมิจฉาอาชีวะย่อมไม่มี สัมมากัมมันตะย่อมให้บริบูรณ์ในองค์ที่เป็นตัวการทั้งหลาย ๕ เหล่านี้คือ ทิฏฐิ ๑ สังกัปปะ ๑ วายามะ ๑ สติ ๑ สมาธิ ๑. ก็สัมมากัมมันตะ ชื่อว่าย่อมให้บริบูรณ์ได้ด้วยสามารถแห่งวิรัติ.
               แม้ในสัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะก็มีนัยนี้แล.
               คำอันท่านกล่าวแล้วอย่างนี้ เพื่อแสดงในระหว่างกิจนี้. ส่วนในขณะแห่งโลกิยมรรคย่อมมีองค์ ๕ แน่. แต่วิรัติไม่แน่ เพราะฉะนั้น ท่านไม่กล่าวว่ามีองค์ ๖ แต่กล่าวว่า มีองค์ ๕ เท่านั้นด้วยประการฉะนี้.
               ก็บัณฑิตพึงทราบว่า โลกุตรมรรคย่อมมีองค์ ๘ เพราะความสำเร็จแห่งสัมมากัมมันตะเป็นต้น เป็นองค์แห่งโลกุตรมรรค ในสูตรหลายสูตรมีมหาจัตตาฬีสกสูตรเป็นต้น อย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีจิตเป็นอริยะ หาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ การงด การเว้น การเว้นขาดจากกายทุจริต ๓ คือเจตนาเครื่องงดเว้นไม่กระทำ การไม่ทำอันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะนี้ย่อมเป็นโลกุตรมรรค เป็นอริยะหาอาสวะมิได้ ดังนี้.
               ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรคมีองค์ ๘ นี้ เจือด้วยโลกิยและโลกุตระ.

               จบอรรถกถาอวิชชาสูตรที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มัคคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑ ๑. อวิชชาสูตร จบ.
อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 19 / 4อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=1&Z=25
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=13&A=3875
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=13&A=3875
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๐  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :