ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 13 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 14 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 15 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก สีลวรรค
วาตมิคชาดก ว่าด้วยอำนาจของรส

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระจูฬปิณฑปาติกติสสเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น กิรตฺถิ รเสหิ ปาปิโย ดังนี้.
               ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
               วันหนึ่ง บุตรของตระกูลเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากชื่อว่า ติสสกุมาร ไปพระวิหารเวฬุวัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา แล้วประสงค์จะบวช จึงทูลขอบรรพชา แต่บิดามารดายังไม่อนุญาต จึงถูกปฏิเสธ ได้กระทำการอดอาหาร ๗ วัน แล้วให้บิดามารดาอนุญาต เหมือนดังพระรัฐบาลเถระได้บวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว.
               พระศาสดา ครั้นทรงให้ติสสกุมารนั้นบวชแล้ว ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน ประมาณกึ่งเดือน แล้วได้เสด็จไปพระวิหารเชตวัน.
               ในพระเชตวันนั้น กุลบุตรนี้สมาทานธุดงค์ ๑๓ เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับตรอก ในนครสาวัตถี ยังกาลเวลาให้ล่วงไป. ใครๆ เรียกว่า พระจูฬบิณฑปาติกติสสเถระ ได้เป็นผู้ปรากฏรู้กันทั่วไปในพระพุทธศาสนา เหมือนพระจันทร์เพ็ญในพื้นท้องฟ้า ฉะนั้น.
               ในกาลนั้น เมื่อกาลเล่นนักขัตฤกษ์ยังดำเนินไป ในนครราชคฤห์. บิดามารดาของพระเถระ เก็บสิ่งของอันเป็นเครื่องประดับอันมีอยู่ในครั้งพระเถระเป็นคฤหัสถ์ ไว้ในผอบเงิน เอามาวางไว้ที่อก ร้องไห้ พลางพูดว่า ในการเล่นนักขัตฤกษ์อื่นๆ บุตรของพวกเรานี้ประดับด้วยเครื่องประดับนี้ เล่นนักขัตฤกษ์. พระสมณโคดมพาเอาบุตรน้อยนั้นของพวกเรา ไปยังพระนครสาวัตถี. บัดนี้ บุตรน้อยของเราทั้งหลายนั้น นั่งที่ไหนหนอ ยืนที่ไหนหนอ.
               ลำดับนั้น นางวัณณทาสีคนหนึ่งไปยังตระกูลนั้น เห็นภรรยาของเศรษฐีกำลังร้องไห้อยู่ จึงถามว่า แม่เจ้า ท่านร้องไห้ทำไม? ภรรยาของเศรษฐีนั้นจึงบอกเนื้อความนั้น.
               นางวัณณทาสีกล่าวว่า แม่เจ้า ก็พระลูกเจ้ารักอะไร?
               ภรรยาเศรษฐีกล่าวว่า รักของสิ่งโน้นและสิ่งโน้น.
               นางวัณณทาสีกล่าวว่า ถ้าท่านจะให้ ความเป็นใหญ่ทั้งหมดในเรือนนี้แก่ดิฉันไซร้ ดิฉันจักนำบุตรของท่านมา.
               ภรรยาท่านเศรษฐีรับคำว่าได้ แล้วให้เสบียง ส่งนางวัณณทาสีนั้นไปด้วยบริวารใหญ่ โดยพูดว่า ท่านจงไปนำบุตรของเรามา ด้วยความสามารถของตน. นางวัณณทาสีนั้นนั่งในยานน้อยอันปกปิด ไปยังนครสาวัตถี ถือเอาการอยู่อาศัยใกล้ถนนที่พระเถระเที่ยวภิกขาจาร. ไม่ให้พระเถระเห็นพวกคนที่มาจากตระกูลเศรษฐี แวดล้อมด้วยบริวารของตนเท่านั้น.
               เมื่อพระเถระเข้าไปบิณฑบาต ได้ถวายยาคูหนึ่งกระบวยและภิกษามีรส ผูกพันด้วยความอยากในรสไว้แต่เบื้องต้น แล้วให้นั่งในเรือนถวายภิกษา โดยลำดับ. รู้ว่า พระเถระตกอยู่ในอำนาจของตน จึงแสดงการว่า เป็นไข้นอนอยู่ภายในห้อง.
               ฝ่ายพระเถระเที่ยวไปตามลำดับตรอก ในเวลาภิกขาจาร ได้ไปถึงประตูเรือน ชนที่เป็นบริวารรับบาตรของพระเถระ แล้วนิมนต์พระเถระให้นั่งในเรือน.
               พระเถระนั่งแล้วถามว่า อุบาสิกาไปไหน?
               ชนบริวารกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ อุบาสิกาเป็นไข้ ปรารถนาจะเห็นท่าน.
               พระเถระถูกตัณหาในรสผูกพัน ทำลายการสมาทานวัตรของตน เข้าไปยังที่ ที่นางวัณณทาสีนั้นนอนอยู่. นางวัณณทาสีรู้เหตุแห่งการมาเพื่อตน จึงประเล้าประโลมพระเถระนั้น ผูกด้วยตัณหาในรส ให้สึกแล้วให้ตั้งอยู่ในอำนาจของตน ให้นั่งในยาน ได้ไปยังนครราชคฤห์นั่นเอง ด้วยบริวารใหญ่.
               ข่าวนั้นได้ปรากฏแล้ว.
               ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรมสภา สนทนากันขึ้นว่า ได้ยินว่า นางวัณณทาสีคนหนึ่ง ผูกพระจูฬบิณฑปาติกาติสสเถระ ด้วยตัณหาในรส แล้วพาไปแล้ว.
               พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังโรงธรรมสภา ประทับบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้ แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
               ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องราวนั้น.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ติดในรสตัณหา ตกอยู่ในอำนาจของนางวัณณทาสีนั้น ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตกอยู่ในอำนาจของนางเหมือนกัน.
               แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ว่า
               ในอดีตกาล ในพระนครพาราณสี ได้มีนายอุยยานบาลของพระเจ้าพรหมทัต ชื่อว่า สัญชัย.
               ครั้งนั้น เนื้อสมันตัวหนึ่งมายังอุทยานนั้น เห็นนายอุยยานบาลคนเฝ้าอุทยาน จึงหนีไป. ฝ่ายนายสัญชัยมิได้ขู่คุกคามเนื้อสมันนั้น ให้ออกไป. เนื้อสมันนั้นจึงมาเที่ยวในอุทยานนั้นนั่นแลบ่อยๆ. นายอุยยานบาลนำเอาดอกไม้และผลไม้มีประการต่างๆ มาจากอุทยานแต่เช้าตรู่ นำไปเฉพาะพระราชา ทุกวันๆ.
               ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามนายอุยยานบาลนั้นว่า ดูก่อนสหายอุยยานบาล เธอเห็นความอัศจรรย์อะไรๆ ในอุทยานบ้างไหม? นายอุยยานบาลกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทไม่เห็นสิ่งอื่น แต่ว่า เนื้อสมันตัวหนึ่งมาเที่ยวอยู่ในอุทยาน ข้าพระบาทได้เห็นสิ่งนี้.
               พระราชาตรัสถามว่า ก็เธอจักอาจจับมันไหม?
               นายอุยยานบาลกราบทูลว่า ข้าพระบาท เมื่อได้นํ้าผึ้งหน่อยหนึ่ง จักอาจนำเนื้อสมันนี้มา แม้ยังภายในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าข้า.
               พระราชาได้ให้นํ้าผึ้งแก่นายอุยยานบาลนั้น.
               นายอุยยานบาลนั้นรับนํ้าผึ้งนั้น แล้วไปยังอุทยาน แอบเอานํ้าผึ้งทาหญ้าทั้งหลาย ในที่ที่เนื้อสมันเที่ยวไป. เนื้อสมันมากินหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้ง ติดในรสตัณหา ไม่ไปที่อื่น มาเฉพาะอุทยานเท่านั้น.
               นายอุยยานบาลรู้ว่า เนื้อสมันนั้นติดหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้ง จึงแสดงตนให้เห็นโดยลำดับ.
               เนื้อสมันนั้น ครั้นเห็นนายอุยยานบาลนั้น ๒-๓ วันแรกก็หนีไป แต่พอเห็นเข้าบ่อยๆ จึงคุ้นเคย ถึงกับกินหญ้าที่อยู่ในมือของนายอุยยานบาลได้ โดยลำดับ.
               นายอุยยานบาลรู้ว่า เนื้อสมันนั้นคุ้นเคยแล้ว จึงเอาเสื่อลำแพนล้อมถนน จนถึงพระราชนิเวศน์ แล้วเอากิ่งไม้หักปักไว้ในที่นั้นๆ สะพายนํ้าเต้าบรรจุนํ้าผึ้ง หนีบกำหญ้า แล้วโปรยหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้งลงข้างหน้าเนื้อ. ได้ไปยังภายในพระราชนิเวศน์ทีเดียว. เมื่อเนื้อเข้าไปภายในแล้ว คนทั้งหลายจึงปิดประตู เนื้อเห็นมนุษย์ทั้งหลายก็ตัวสั่น กลัวแต่มรณภัย วิ่งมาวิ่งไป ณ พระลานในภายในพระราชนิเวศน์.
               พระราชาเสด็จลงจากปราสาท ทอดพระเนตรเห็นเนื้อนั้นตัวสั่น จึงตรัสว่า ธรรมดา เนื้อย่อมไม่ไปยังที่ที่คนเห็นตลอด ๗ วัน ย่อมไม่ไปยังที่ที่ถูกคุกคามตลอดชีวิต เนื้อสมันผู้อาศัยป่าชัฏอยู่ เห็นปานนี้นั้น ถูกผูกด้วยความอยากในรส มาสู่ที่เห็นปานนี้ ในบัดนี้. ผู้เจริญทั้งหลาย ชื่อว่า สิ่งที่ลามกกว่าความอยากในรส ย่อมไม่มีในโลกหนอ แล้วทรงเริ่มตั้งธรรมเทศนา ด้วยคาถานี้ว่า
               ได้ยินว่า สิ่งอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลาย ย่อมไม่มี. รสเป็นสภาพเลวแม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม. นายสัญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏ มาสู่อำนาจของตนได้ ด้วยรสทั้งหลาย.


               ศัพท์ว่า กิระ ได้ยินว่า ในคาถานั้น เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่า ได้ยินได้ฟัง.
               บทว่า รเสหิ กว่ารสทั้งหลาย ความว่า กว่ารสหวานและรสเปรี้ยวเป็นต้น ที่พึงรู้ด้วยลิ้น.
               บทว่า ปาปิโย แปลว่า เลวกว่า.
               บทว่า อาวาเสหิ วา สนฺถเวหิ วา แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม
               ความว่า ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในถิ่นที่อยู่ กล่าวคือ สถานที่อยู่ประจำก็ดี ในความสนิทสนมด้วยอำนาจความเป็นมิตรก็ดี ลามกแท้ แต่รสในการบริโภคที่เป็นไปกับด้วยฉันทราคะ นั่นแหละ เป็นสภาพเลวกว่า แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนมด้วยความเป็นมิตร ซึ่งมีการบริโภคด้วยฉันทราคะเหล่านี้ โดยร้อยเท่าพันเท่า เพราะอรรถว่า ต้องเสพเฉพาะเป็นประจำ และเพราะเว้นอาหาร การรักษาชีวิตินทรีย์ ก็ไม่มี.
               ก็พระโพธิสัตว์ทรงกระทำเนื้อความนี้ให้เป็นเสมือนเนื้อที่ตามมาด้วยดี จึงตรัสว่า ได้ยินว่า สภาพที่เลวกว่ารสทั้งหลายย่อมไม่มี รสเป็นสภาพเลวกว่า แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม. บัดนี้ พระโพธิสัตว์ เมื่อจะแสดงว่า รสเหล่านั้นเลว จึงตรัสคำมีอาทิว่า วาตมิคํ ดังนี้
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คหนนิสฺสิตํ แปลว่า อาศัยที่เป็นป่ารกชัฏ.
               ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ท่านทั้งหลายจงดูความที่รสทั้งหลายเป็นสภาพเลว นายสญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันชื่อนี้ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏ ในราวป่า มาสู่อำนาจของตนด้วยรสนํ้าผึ้ง สิ่งอื่นที่เลวกว่า คือลามกกว่า ชื่อว่าเลวกว่ารสทั้งหลายซึ่งมีการบริโภคด้วยฉันทราคะ ย่อมไม่มี แม้โดยประการทั้งปวง.
               พระโพธิสัตว์ตรัสโทษแห่งตัณหาในรส ด้วยประการดังนี้ ก็แหละครั้นตรัสแล้ว จึงทรงให้ส่งเนื้อนั้นไปยังป่านั่นเอง.

               พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นางวัณณทาสีนั้นผูกภิกษุนั้นด้วยตัณหาในรส กระทำไว้ในอำนาจของตน ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน.
               ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               นายสัญชัยในครั้งนั้น ได้เป็น นางวัณณทาสี คนนี้
               เนื้อสมันในครั้งนั้น ได้เป็น พระจูฬบิณฑปาติกภิกษุ
               ส่วนพระเจ้าพาราณสีได้เป็น เรา แล.

               จบอรรถกถาวาตมิคชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก สีลวรรค วาตมิคชาดก ว่าด้วยอำนาจของรส จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 13 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 14 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 15 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=91&Z=97
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=4917
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=4917
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๘  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :