บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า สพฺเพ ธมฺมา เอกสงฺคหิตา - ธรรมทั้งปวง ท่านสงเคราะห์เป็นหมวดเดียวกัน ได้แก่ ธรรมที่เป็นสังขตะและอสังขตะ ทั้งหมด ท่านสงเคราะห์คือกำหนดด้วยหมวดเดียวกัน. บทว่า ตถฏฺเฐน - โดยสภาพถ่องแท้ คือโดยสภาพเป็นจริง. อธิบายว่า โดยมีอยู่ตามสภาพของตนๆ. บทว่า อนตฺตฏฺเฐน - โดยสภาพมิใช่ตัวตน คือโดยสภาพเว้นจากตัวตน บทว่า สจฺจฏฺเฐน - โดยสภาพจริง คือโดยสภาพที่ไม่ผิดจากความจริง. อธิบายว่า โดยความเป็นสภาพของตนไม่เป็นอย่างอื่น. บทว่า ปฏิเวธฏฺเฐน - โดยสภาพควรแทงตลอด คือควรแทงตลอดด้วยญาณ. ในบทนี้พึงทราบการแทงตลอด โดยความไม่ลุ่มหลงและโดยอารมณ์ด้วยญาณอันเป็นโลกุตระ. บทว่า อภิชานนฏฺเฐน - โดยสภาพที่ควรรู้ยิ่ง คือโดยสภาพที่ควรรู้ยิ่งธรรมนั้นๆ โดยอารมณ์ด้วยญาณอันเป็นโลกิยะ โดยความไม่หลง และโดยอารมณ์ด้วยญาณอันเป็นโลกุตระ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑- สพฺพํ ภิกฺขเว อภิญฺเญยฺยํ - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวง ____________________________ ๑- สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๔๙ บทว่า ปริชานนฏฺเฐน - โดยสภาพที่ควรกำหนดรู้ คือโดยสภาพที่ควรกำหนดรู้ธรรมทั้งหลายที่รู้ยิ่งแล้วโดยสภาวะด้วยญาณอันเป็นโลกิยะและโลกุตระโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้น และโดยการออกไปเป็นต้น เหมือนที่ตรัสไว้ว่า๒- สพฺพํ ภิกฺขเว ปริญฺเญยฺยํ - ดูก่อนภิกษุทั้งปวง สิ่งทั้งปวง ____________________________ ๒- สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๕๐ บทว่า ธมฺมฏฺเฐน - โดยสภาพที่เป็นธรรม คือโดยสภาพที่เป็นธรรมมีการทรงไว้ซึ่งสภาพเป็นต้น. บทว่า ธาตฏฺเฐน - โดยสภาพที่เป็นธาตุ คือโดยสภาพที่เป็นธาตุมีความไม่มีชีวะเป็นต้น. บทว่า ญาตฏฺเฐน - โดยสภาพที่อาจรู้ คือโดยสภาพที่อาจรู้ด้วยญาณอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ. พึงทราบว่ามีสภาพอาจรู้แม้ในบทนี้เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทิฏฺฐํ - รูปที่เห็น, สุตํ - เสียงที่ได้ยิน, มุตํ - อารมณ์ ๓ ที่รู้, วิญฺญาตํ - ธรรมที่รู้แล้วเป็นรูป โดยอรรถมีสภาพที่อาจเห็นได้เป็นต้น ฉะนั้น. บทว่า สจฺฉิกิริยฏฺเฐน - โดยสภาพที่ควรทำให้แจ้ง คือโดยสภาพที่ควรทำให้ประจักษ์โดยอารมณ์. บทว่า ผุสนฏฺเฐน - โดยสภาพที่ควรถูกต้อง คือโดยสภาพที่ควรถูกต้องบ่อยๆ โดยอารมณ์ของสภาพที่ทำให้ประจักษ์แล้ว. บทว่า อภิสมยฏฺเฐน - โดยสภาพที่ควรตรัสรู้ คือโดยสภาพที่ควรตรัสรู้ด้วยญาณอันเป็นโลกิยะ. ถึงแม้ท่านกล่าวญาณหนึ่งๆ ว่า ปัญญาในสภาพถ่องแท้เป็นญาณในวิวัฏฏะ คือนิพพาน จริง. ปัญญาที่ควรรู้ยิ่งเป็นญาณในสภาพที่ควรรู้. ปัญญาที่ควรทำให้แจ้งเป็นญาณในสภาพที่ควรถูกต้อง. อนึ่ง ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า
ในการพรรณนาคาถา ท่านกล่าวอรรถแห่งปฏิเวธแห่งอภิสมยศัพท์. แต่ถึงดังนั้นในที่นี้พึงทราบสภาพต่างๆ แห่งธรรมเหล่านั้นด้วยอรรถตามที่กล่าวแล้ว. เพราะในอรรถกถานั่นแหละ ท่าน บทว่า กามจฺฉนฺโท นานตฺตํ - กามฉันทะเป็นความต่างๆ. ความว่า กามฉันทะเป็นสภาพต่างๆ เพราะมีอารมณ์ต่างๆ โดยมีความฟุ้งซ่าน. พึงทราบกิเลสทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้. บทว่า เนกฺขมฺมํ เอกตฺตํ - เนกขัมมะเป็นอันเดียวกัน. ความว่า เนกขัมมะมีสภาพเป็นอันเดียวกันโดยมีจิตเป็นเอกัคตา และโดยไม่มีความฟุ้งซ่านของอารมณ์ต่างๆ. พึงทราบกุศลทั้งปวงด้วยประการฉะนี้. ในที่นี้พึงทราบความต่างแห่งอกุศลทั้งหลายมีพยาบาทเป็นต้น ที่ท่านย่อไว้โดยไปยาลด้วยอรรถตามที่กล่าวแล้ว. อนึ่ง พึงทราบความต่างของธรรมเบื้องต่ำๆ มีวิตกวิจารเป็นต้น โดยเป็นสภาพหยาบกว่าธรรมเบื้องสูงๆ. เพราะการแทงตลอดความต่างๆ และความเป็นอันเดียวกัน ท่านสงเคราะห์เป็นอันเดียวกัน ย่อมสำเร็จด้วยการแทงตลอดสัจจะในขณะแห่งมรรค. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระจึงยกบทว่า ปฏิเวโธ ขึ้นแล้วแสดงถึงการตรัสรู้สัจจะ. บทว่า ปริญฺญา ปฏิเวธํ ปฏิวิชฺฌติ - พระโยคาวจรย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ คือตรัสรู้ด้วยปริญญาภิสมยะ. ในบทที่เหลือมีนัยนี้. จริงอยู่ ในกาลตรัสรู้สัจจะ ในขณะมรรคเป็นอันเดียวกันแห่งมรรคญาณ ย่อมมีกิจ ๔ อย่าง คือปริญญา ๑ ปหานะ ๑ สัจฉิกิริยา ๑ ภาวนา ๑. เหมือนอย่างเรือทำกิจ ๔ อย่างในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง คือ ละฝั่งใน ๑ ตัดกระแสน้ำ ๑ นำสินค้าไป ๑ ถึงฝั่งนอก ๑ ฉันใด. พระโยคาวจรย่อมตรัสรู้สัจจะ ๔ ในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง คือ ตรัสรู้ทุกข์ด้วยการกำหนดรู้ ๑ ตรัสรู้สมุทัยด้วยการละ ๑ ตรัสรู้มรรคด้วยการเจริญ ๑ ตรัสรู้นิโรธด้วยการทำให้แจ้ง ๑ ฉันนั้น. ท่านอธิบายไว้อย่างไร. อธิบายไว้ว่า พระโยคาวจรกระทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ย่อมบรรลุ ย่อมเห็น ย่อมแทงตลอดสัจจะ ๔ ด้วยสามารถกิจ. เหมือนอย่างว่า เรือละฝั่งในฉันใด พระโยคาวจรกำหนดรู้ทุกข์อันเป็นมรรคญาณฉันนั้น. เรือตัดกระแสน้ำฉันใด พระโยคาวจรละสมุทัยฉันนั้น. เรือนำสินค้าไปฉันใด พระโยคาวจรเจริญมรรค เพราะเป็นปัจจัยมีเกิดร่วมกันเป็นต้นฉันนั้น. เรือถึงฝั่งนอกฉันใด พระโยคาวจรทำให้แจ้งนิโรธอันเป็นฝั่งนอกฉันนั้น. พึงทราบข้ออุปมาอุปมัย ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ทสฺสนํ วิสุชฺฌติ - ทัสนะย่อมหมดจด คือญาณทัสนะย่อมถึงความหมดจดด้วยการละกิเลสอันทำลายมรรคนั้นๆ. บทว่า ทสฺสนํ วิสุทฺธํ - ทัสสนะหมดจดแล้ว คือญาณทัสนะถึงความหมดจดแล้วโดยถึงความหมดจดแห่งกิจของมรรคญาณนั้นในขณะเกิดผลนั้นๆ. ท่านกล่าวมรรคผลญาณในที่สุด โดยสำเร็จด้วยมรรคผลญาณแห่งปัญญา แทงตลอดความต่าง และความเป็นอันเดียวกัน ซึ่งท่านสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นอันเดียวกัน. จบอรรถกถาทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส จบ. |