บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ยงฺกิญฺจิ คือ กำหนดถือเอาไม่มีเหลือ. บทว่า รูปํ ได้แก่ กำหนดโดยความประสงค์ยิ่ง. เป็นอันท่านทำความกำหนดไม่มีเหลือแห่งรูป แม้ด้วยบททั้งสองอย่างนี้. เมื่อเป็นเช่นนั้น พระโยคาวจรย่อมปรารภการจำแนกด้วยบทมีอาทิว่า อดีตแห่งรูปนั้น. รูปนั้นบางรูปเป็นอดีต บางรูปมีประเภทเป็นอนาคตเป็นต้น. แม้ในเวทนาเป็นต้นก็มีนัยนี้. รูป ในบทนั้น ชื่อว่าเป็นอดีต ๔ อย่างด้วยสามารถแห่งกาล การสืบต่อ สมัยและขณะ, รูปอนาคต ปัจจุบันก็อย่างนั้น. ในรูปเหล่านั้นพึงทราบด้วยสามารถกาลก่อน ได้แก่ รูปในอดีตก่อนจากปฏิสนธิ ในภพหนึ่งของรูปหนึ่ง, รูปอนาคต เหนือจากจุติ, รูปปัจจุบัน ในระหว่างรูปอดีตและอนาคตทั้งสอง. พึงทราบรูปด้วยสามารถสันตติ ได้แก่ รูปปัจจุบันแม้เป็นไปอยู่ได้ ด้วยการสืบต่อกันมาก่อนมีสมุฏฐานจากอุตุอย่างเดียวกัน เป็นสภาคะกัน และมี รูปปัจจุบันมีสมุฏฐานจากวิถีจิตดวงเดียวกัน ชวนจิตดวงเดียวกันและสมาบัติอย่างเดียวกันอันเกิดแต่จิต, รูปอดีตก่อนจากนั้น, รูปอนาคตมีในภายหลัง. ประเภทแห่งรูปมีรูปอดีตเป็นต้น ย่อมไม่มีด้วยสามารถสันตติ เฉพาะอย่างแห่งกรรมสมุฏฐาน. พึงทราบความที่รูปนั้นมีรูปอดีตเป็นต้น ด้วยสามารถการอุปถัมภ์แห่งสมุฏฐานจากอุตุอาหารและจิตเหล่านั้น. พึงทราบด้วยสามารถสมัย ได้แก่ รูปอันมีสมัยนั้นๆ เป็นไปด้วยสามารถการสืบต่อกันในสมัยทั้งหลายมีครู่หนึ่ง เวลาเช้า เวลาเย็น กลางคืนและกลางวันเป็นต้น ชื่อว่ารูปปัจจุบัน. ก่อนจากนั้นเป็นอดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต. พึงทราบด้วยสามารถขณะ รูปปัจจุบันเนื่องด้วย ๓ ขณะมีอุปาทะเป็นต้น, ต่อจากนั้นเป็นอนาคต, หลังจากนั้นเป็นอดีต. อีกอย่างหนึ่ง รูปอดีตมีกิจอันเป็นเหตุปัจจัยล่วงไปแล้ว, รูปปัจจุบันมีกิจอันเป็นเหตุจบแล้ว และมีกิจอันเป็นปัจจัยจบแล้ว, รูปอนาคตถึงพร้อมด้วยกิจทั้งสอง. หรือว่า รูปปัจจุบันเกิดในขณะกิจของตน, รูปอนาคตต่อจากนั้น, รูปอดีตหลังจากนั้น. อนึ่ง ในบทนี้ กถามีขณะเป็นต้นเป็นกถาตรง ที่เหลือเป็นกถาอ้อม. บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ ในขันธ์แม้ ๕ อย่าง ในที่นี้ท่านประสงค์รูปภายในของตนเอง, เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า รูปเฉพาะบุคคลเป็นไปในสันดานของตนๆ ชื่อว่า อชฺฌตฺตํ. รูปภายนอกจากนั้นอันเนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ชื่อ บทว่า โอฬาริกํ ได้แก่ รูป ๑๒ อย่าง คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ ได้แก่ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ชื่อว่า โอฬาริก เพราะควรถือเอาด้วยสามารถการสืบต่อกัน. ส่วนรูปที่เหลือ ๑๖ อย่าง คือ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หทยวัตถุ โอชา อากาสธาตุ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปัสสลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ชื่อว่าสุขุม เพราะไม่ควรถือเอาด้วยสามารถการสืบต่อ. พึงทราบความทรามและความประณีต ในบทนี้ว่า หีนํ วา ปณีตํ วา โดยอ้อมหรือโดยตรง. ในบทนั้น รูปของพรหมชั้นสุทัสสีเป็นรูปทรามกว่ารูปของพรหมชั้นอกนิษฏฐ์ รูปพรหมชั้นสุทัสสีนั้นนั่นแหละประณีตกว่ารูปของพรหมชั้นสุทัสสา พึงทราบความทรามและความประณีต โดยปริยายตลอดถึงรูปของสัตว์นรก. รูปที่เป็นอกุศลวิบากเกิดขึ้นเป็นรูปทราม, รูปที่เป็นกุศลวิบากเกิดขึ้นเป็นรูปประณีต. พึงทราบความในบทว่า ยํ ทูเร สนฺติเก วา นี้ รูปใดสุขุม รูปนั้นแลชื่อว่า ทูเร เพราะมีสภาวะที่แทงตลอดได้ยาก. รูปใดหยาบ รูปนั้นชื่อว่า สนฺติเก เพราะมีสภาวะที่แทงตลอดได้ง่าย. พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพํ รูปํ อนิจฺจโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ, ทุกฺขโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ, อนตฺตโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ - ภิกษุกำหนดรูปทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง, กำหนดโดยความเป็นทุกข์เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง, กำหนดโดยความเป็นอนัตตาเป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง. ความว่า ภิกษุนี้กำหนดรูปแม้ทั้งหมดที่ท่านชี้แจงไว้โดยมิได้กำหนดแน่นอนอย่างนี้ว่า ยงฺกิญฺจิ รูปํ - รูปอย่างใดอย่างหนึ่งโดยการปรากฏ ๑๑ อย่าง คือด้วยรูปอตีตติกะ - ติกะในอตีต และด้วยทุกะมีอัชฌัตตะเป็นต้น ๔ แล้วกำหนดรูปทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงย่อมพิจารณาว่า อนิจฺจํ ดังนี้. พิจารณาอย่างไร? พิจารณาโดยนัยดังกล่าวแล้วข้างหน้า. [๑๐๐] ดังที่พระสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า๑- รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ ขยฏฺเฐน - รูปที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป. ____________________________ ๑- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๑๐๐ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาว่ารูปที่เป็นอดีตสิ้นไปในอดีตนั่นแล, รูปนั้นยังไม่มาถึงภพนี้ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า อนิจฺ รูปที่เป็นอนาคตจักเกิดในภพเป็นลำดับไป, แม้รูปนั้นก็จักสิ้นไปในภพนั้น จักไม่ไปสู่ภพอื่นจากภพนั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า อนิจฺ รูปที่เป็นปัจจุบันย่อมสิ้นไปในปัจจุบันนั่นเอง, ย่อมไม่ไปจากนี้ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า อนิจฺ รูปที่เป็นภายในก็สิ้นไปในภายในนั่นเอง ไม่ไปสู่ภายนอก เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า อนิจฺ แม้การพิจารณาทั้งหมดนี้ก็เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งบทนี้ว่า อนิจฺจํ ขยฏฺเฐน, แต่โดยประเภท มี ๑๑ อย่าง. อนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณารูปนั้นทั้งหมดว่า ทุกฺขํ ภยฏฺเฐน ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่าน่ากลัว. สิ่งที่ไม่เที่ยงย่อมนำมาซึ่งภัย ดุจภัยของพวกเทพในสีโหปมสูตร.๒- แม้การพิจารณานี้ก็เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งรูปนี้ว่า ทุกฺขํ ภยฏฺเฐน แต่โดยประเภท มี ๑๑ อย่าง. ____________________________ ๒- สํ. ขนฺธ. เล่ม ๑๗/ข้อ ๑๕๕ อนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาว่า รูปแม้ทั้งหมดนั้นเป็น อนตฺตา เพราะอรรถว่าหาแก่นสารมิได้เหมือนทุกข์. บทว่า อสารกฏฺเฐน เพราะไม่มีสาระในตนที่กำหนดไว้อย่างนี้ว่า อัตตา - ตัวตน, นิวาสี - ผู้อาศัย, การโก - ผู้กระทำ, เวทโก - ผู้เสวย, สยํวสี - ผู้มีอำนาจด้วยตนเอง. สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่สามารถจะห้ามความไม่เที่ยง หรือ ความเกิด ความเสื่อมและความบีบคั้นของตนได้, ความเป็นผู้กระทำเป็นต้นของผู้นั้นจักมีได้แต่ไหน. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๓- รูปญฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ รูปํ อา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากรูปนี้พึงเป็นตัวตนแล้วไซร้, รูปนี้ก็จะไม่พึงเป็นไปเพื่อความเจ็บป่วย. ____________________________ ๓- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๒๐ เพราะเหตุนั้น การพิจารณานี้จึงเป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งบทนี้ว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน - รูปเป็นอนัตตา เพราะหาแก่นสารมิได้, แต่โดยประเภทมี ๑๑ อย่าง. ในเวทนาเป็นต้นก็มีนัยนั้นเหมือนกัน. ด้วยประการฉะนี้ ในขันธ์หนึ่งๆ ทำอย่างละ ๑๑ อย่าง จึงเป็นสัมมสนญาณ ๕๕ ในขันธ์ ๕ คือ โดยความไม่เที่ยง ๕๕ โดยความเป็นทุกข์ ๕๕ โดยความเป็นอนัตตา ๕๕ เพราะเหตุนั้น ทั้งหมดจึงรวมเป็นสัมมสนญาณ ๑๖๕ อย่าง. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพิ่มแม้บทว่า สพฺพํ รูปํ สพฺพํ เวทนํ สพฺพํ สญฺญํ สพฺเพ สงฺขาเร สพฺพํ วิญฺญาณํ ลงไปในขันธ์หนึ่งๆ ทำอย่างละ ๑๒ รวมเป็น ๖๐ ในขันธ์ ๕, โดยอนุปัสสนาเป็นสัมมสนญาณ ๑๘๐ อย่าง. อนึ่ง ในการจำแนกอดีตเป็นต้น พึงทราบความที่เวทนาเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ด้วยสามารถแห่งสันตติและด้วยสามารถแห่งขณะเป็นต้น. ในบทนั้นพึงทราบเวทนาด้วยสามารถสันตติดังต่อไปนี้ เวทนาที่นับเนื่องในวิถีจิต ๑ ชวนจิต ๑ สมาบัติ ๑ และเป็นไปด้วยการประกอบเสมอๆ ในอารมณ์อย่างหนึ่ง เป็นปัจจุบัน, ก่อนจากนั้นเป็นอดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต. เวทนาด้วยสามารถขณะ คือเวทนากระทำกิจของตนอันนับเนื่องในขณะ ๓ คือ ที่ถึงที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลายและท่ามกลาง เป็นปัจจุบัน, ก่อนจากนั้นเป็นอดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต. พึงทราบความต่างแห่งเวทนาภายในและภายนอก ด้วยสามารถเวทนาภายในของตนนั่นเอง. พึงทราบความหยาบและความละเอียดของเวทนา ด้วยสามารถแห่งชาติ สภาวะ บุคคล โลกิยะและโลกุตระ ที่ท่านกล่าวไว้ในวิภังค์๔- โดยนัยมีอาทิว่า เวทนาเป็นอกุศลหยาบ, เวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤตละเอียด. ____________________________ ๔- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๑ พึงทราบเวทนาด้วยสามารถแห่งชาติดังต่อไปนี้. เวทนาเป็นอกุศล เป็นไปเพื่อความไม่สงบ เพราะเป็นกิริยเหตุอันมีโทษ และเพราะกิเลสทำให้เดือดร้อน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่เป็นกุศล, เป็นเวทนาหยาบกว่า ก็เวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต ละเอียดกว่าเวทนาเป็นอกุศล โดยปริยายดังกล่าวแล้ว. กุศลเวทนาและอกุศลเวทนาแม้ ๒ อย่างก็เป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่เป็นอัพยากฤตแม้ ๒ อย่างตามควร โดยมีความขวนขวาย มีอุตสาหะและมีวิบาก. แม้เวทนาเป็นอัพยากฤต ๒ อย่างก็ละเอียดกว่าเวทนาเหล่านั้นโดยปริยายดังกล่าวแล้ว. พึงทราบเวทนาหยาบและละเอียดด้วยสามารถแห่งชาติด้วยประการฉะนี้. พึงทราบเวทนาด้วยสามารถสภาวะดังต่อไปนี้ ทุกขเวทนาหยาบกว่าเวทนา ๒ อย่างนอกนี้ เพราะไม่มีความพอใจ โดยมีความซ่านไป โดยทำความกำเริบ โดยควรแก่ความเดือดร้อน และโดยครอบงำ, แต่เวทนา ๒ นอกนี้เป็นเวทนาละเอียดกว่าทุกขเวทนาตามควร เพราะความสำราญ ความสงบ ความประณีต ความชอบใจและโดยความเป็นกลาง. สุขทุกข์ ๒ อย่างเป็นเวทนาหยาบกว่าอทุกขมสุข โดยความซ่านไป โดยความควรแก่ความเดือดร้อน โดยทำความกำเริบและโดยปรากฏ. เวทนานั้นละเอียดกว่าทั้ง ๒ อย่างนั้น โดยปริยายดังกล่าวแล้ว. พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียด โดยสภาวะด้วยประการฉะนี้. พึงทราบเวทนาด้วยสามารถบุคคลดังต่อไปนี้ เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ เป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาของผู้เข้าสมาบัติ เพราะความที่จิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ, เวทนานอกนี้เป็นเวทนาละเอียดโดยปริยายต่างๆ. พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียดด้วยสามารถบุคคลด้วยประการฉะนี้. พึงทราบเวทนาด้วยสามารถโลกิยะและโลกุตระดังต่อไปนี้ เวทนามีอาสวะเป็นโลกิยะ, โลกิยเวทนานั้นเป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่ไม่มีอาสวะ เพราะเป็นเหตุเกิดอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งโอฆะ เป็นที่ตั้งแห่งโยคะ โดยเป็นที่ตั้งแห่งคันถะ-กิเลสร้อยรัด, เป็นที่ตั้งแห่งนิวรณ์ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน มีความเศร้าหมองและเป็นของทั่วไปแก่ปุถุชน. อนึ่ง เวทนาไม่มีอาสวะเป็นเวทนาละเอียดกว่าเวทนามีอาสวะโดยปริยายต่างๆ. พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียดด้วยโลกิยะและโลกุตระ ด้วยประการฉะนี้. ในบทเหล่านั้น ควรปรับความแตกต่างกันด้วยชาติเป็นต้น. เพราะว่า เวทนาสัมปยุตด้วยกายวิญญาณ อกุศลวิบาก แม้ละเอียด เพราะเป็นอัพยากฤต ด้วยสามารถแห่งชาติ ก็เป็นเวทนาหยาบด้วยภาวะของตนเป็นต้น. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๔- อพฺยากตา เวทนา สุขุมา, ทุกฺขา เวทนา โอฬาริกา. สมาปนฺนสฺส เวทนา สุขุมา, อสมาปนฺนสฺส เวทนา โอฬาริกา. อสาสวา เวทนา สุขุมา, สาสวา เวทนา โอฬาริกา. เวทนาเป็นอัพยากฤต ละเอียด, ทุกขเวทนาหยาบ. เวทนาของผู้เข้าสมาบัติ ละเอียด เวทนาของผู้ไม่ เข้าสมาบัติ หยาบ. เวทนาไม่มีอาสวะ ละเอียด, เวทนามีอาสวะ หยาบ. ____________________________ ๔- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๑ แม้สุขเวทนาเป็นต้นก็เหมือนทุกขเวทนา. เพราะว่า แม้เวทนาเหล่านั้นหยาบก็ด้วยชาติ, ละเอียดก็ด้วยภาวะของตนเป็นต้น. เพราะฉะนั้น พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียดเหมือนไม่มีความแตกต่างกันด้วยชาติเป็นต้น. เช่นกับอะไร? เช่น เวทนาเป็นอัพยากฤตละเอียดกว่าเวทนาเป็นกุศล อกุศล โดยชาติ. ในเวทนาเหล่านั้น อัพยากฤตเวทนาเป็นไฉน? อะไรเป็นทุกขเวทนา? อะไรเป็นสุขเวทนา? อะไรเป็นเวทนาของผู้เข้าสมาบัติ? อะไรเป็นเวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ? อะไรเป็น ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. อีกอย่างหนึ่ง เพราะบาลีว่า พึงเห็นเวทนาหยาบละเอียด เพราะอาศัยเวทนานั้นๆ อยู่บ่อยๆ๔-. เวทนาสหรคตด้วยโทสะหยาบกว่าเวทนาที่สหรคตด้วยโลภะในอกุศลเป็นต้น เพราะเผานิสัย ดุจไฟ, เวทนาสหรคตด้วยโลภะละเอียด. เวทนาแม้สหรคตด้วยโทสะ เป็นนิยตะ - แน่นอนหยาบ, ไม่แน่นอนละเอียด. เวทนาตั้งอยู่กัปหนึ่ง แม้แน่นอนก็หยาบ, นอกนั้นละเอียด. แม้ในการตั้งอยู่กัปหนึ่ง เวทนาหยาบ, นอกนั้นละเอียด. เวทนาแม้นั้นแน่นอนตั้งอยู่กัปหนึ่ง เป็นเป็นอสังขาริกะ อสังขาริกะหยาบ นอกนั้นละเอียด. อนึ่ง โดยไม่แปลกกันเวทนาเป็นอกุศล มีวิบากมากหยาบ, มีวิบากน้อยละเอียด. ส่วนเวทนาเป็นกุศล มีวิบากน้อยหยาบ, มีวิบากมากละเอียด. ____________________________ ๔- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๑ อีกอย่างหนึ่ง เวทนาเป็นกามาวจรกุศลหยาบ, เป็นรูปาวจรกุศลละเอียด. แต่นั้นก็อรูปาวจรกุศล, แต่นั้นก็โลกุตรกุศล. อนึ่ง เวทนาเป็นกามาวจรกุศลสำเร็จด้วยทานหยาบ สำเร็จด้วยศีลละเอียด. แม้สำเร็จด้วยศีลก็หยาบ สำเร็จด้วยภาวนาละเอียด. แม้สำเร็จด้วยภาวนาเป็นทุเหตุกะก็หยาบ เป็นติเหตุกะละเอียด. แม้เป็นติเหตุกะ เป็นสสังขาริกะก็หยาบ เป็นอสังขาริกะละเอียด. อนึ่ง รูปาวจรเป็นไปในปฐมฌานหยาบ ฯลฯ ที่เป็นปัญจมฌานละเอียด อรูปาวจรที่สัมปยุตด้วยอากาสานัญจายตนะหยาบ ฯลฯ ที่สัมปยุตด้วยเนวสัญญานาสัญญาละเอียด. โลกุตรเวทนาสัมปยุตด้วยโสดาปัตติมรรคหยาบ ฯลฯ ที่สัมปยุตด้วยอรหัตมรรคละเอียดแท้. ในเวทนาอันเป็นวิบากกิริยาของภูมินั้นๆ และในเวทนาที่ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งทุกขเวทนาเป็นต้น เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นต้น. สาสวเวทนาเป็นต้นก็มีนัยนี้. หรือแม้ว่า ด้วยสามารถโอกาส ทุกขเวทนาในนรกก็หยาบ, ทุกขเวทนาในกำเนิด อนึ่ง พึงประกอบแม้สุขในบททั้งปวงตามสมควร เหมือนทุกข์, เวทนาไรๆ มีวัตถุเลว ด้วยสามารถวัตถุเป็นเวทนาหยาบ, มีวัตถุประณีตเป็นเวทนาละเอียด, เวทนาใดที่หยาบในประเภทแห่งวัตถุที่เลวและประณีต เวทนานั้นเป็นเวทนาเลว, เวทนาที่ละเอียด เป็นเวทนาประณีต พึงเห็นด้วยประการฉะนี้. ส่วนบทว่า ทูรสนฺติเก ไกลและใกล้ ท่านจำแนกไว้ในวิภังค์โดยนัยมีอาทิว่า๕- อกุสลา เวทนา กุสลาพฺยากตาหิ เวทนาหิ ทูเร, อกุสลา เวทนา อกุสลาย เวทนาย สนฺติเก. อกุศลเวทนามีในที่ไกลจากเวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต, อกุศลเวทนามีในที่ใกล้เวทนาเป็นอกุศล. เพราะฉะนั้น อกุศลเวทนามีในที่ไกลจากกุศลและอัพยากฤต โดยเป็นสภาคกัน โดยไม่เกี่ยวข้องกัน และโดยไม่คล้ายคลึงกัน. เวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต ก็มีในที่ไกลจากอกุศลเหมือนกัน. ____________________________ ๕- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๓ ในวาระทั้งปวงก็มีนัยนี้. บทนี้ว่า เวทนาเป็นอกุศล มีในที่ใกล้แห่งอกุศล โดยเป็นสภาคกัน โดยเกี่ยวข้องกันและโดยคล้ายคลึง แต่บทนี้ พึงทราบแม้แห่งสัญญาเป็นต้นอันสัมปยุตด้วยเวทนานั้นๆ อย่างนี้เหมือนกัน. อนึ่ง ในเวทนาเป็นต้นนี้ โลกุตรธรรมใดมาแล้วในธรรมทั้งหลายที่ย่อโดย อนึ่ง แม้ธรรมเหล่าใดเข้าถึงสัมมสนญาณ, ในธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่าใดปรากฏแก่ญาณใด ย่อมถึงการกำหนดถือเอาได้โดยง่าย, ในธรรมเหล่านั้นพึงปรารภ พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงสัมมสนญาณ แม้ไม่แตะต้องความต่างมีอัชฌัตตะเป็นต้น เพราะท่านกล่าวสัมมสนญาณไว้ด้วยสามารถแห่งติกะอันเป็นอดีตโดยนัยมีอาทิว่า อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจโต ววตฺเถติ - พระโยคา [๑๐๑-๑๐๒] ก็เพราะรู้สิ่งที่ไม่เที่ยงมีประเภทเป็นสังขตะเป็นต้น โดยความแน่นอน. ฉะนั้น เพื่อแสดงปริยายแห่งรูปนั้น หรือเพื่อแสดงความเป็นไปแห่งมนสิการด้วยอาการต่างๆ พระสารีบุตรจึงกล่าวบทมีอาทิว่า รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตํ - รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง. จริงอยู่ รูปนั้นเป็น อนิจฺจํ เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี, ชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะมีที่สุดคือความไม่เที่ยง หรือเพราะมีเบื้องต้นและที่สุด, ชื่อว่าสังขตะ เพราะอันปัจจัยปรุงแต่ง. ชื่อว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ เพราะอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นร่วมกัน. พระสารีบุตรแสดงถึงความไม่ขวนขวายปัจจัย แม้เมื่อรูปอันปัจจัยปรุงแต่ง. บทว่า ขยธมฺมํ มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ได้แก่ สิ้นไปเป็นธรรมดา สิ้นไปเป็นปรกติ. บทว่า วยธมฺมํ มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ได้แก่ มีความพินาศไปเป็นธรรมดา. รูปนี้ไม่สิ้นไปด้วยสามารถความสิ้นไปแห่งความเป็นผู้มีความเฉื่อยชา ปราศจากปรกติอย่างเดียว. แม้ความเพียงพอจะทำให้เฉื่อยชา ท่านก็ บทว่า วิราคธมฺมํ - มีความคลายไปเป็นธรรมดา. บทนี้มิใช่เสื่อมไปด้วย ด้วยการไปในที่ไหน ก้าวล่วงสภาวะเป็นปรกติอย่างเดียว. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความเกลียดชังก็ดี ความก้าวล่วงก็ดี ชื่อว่าวิราคะ. บทว่า นิโรธธมฺมํ - มีความดับไปเป็นธรรมดา. บทนี้มิใช่ไม่เวียนมาอีก ด้วยก้าวล่วงสภาวะ, พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงบทหลังๆ ด้วยสามารถขยายบทก่อนๆ ว่า มีการดับไป ด้วยการดับความไม่เวียนมาอีกเป็นธรรมดาอย่างเดียว. อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบว่า รูปมีความสิ้นไปเป็นธรรมดาด้วยการทำลายไปแห่งรูปอันเนื่องอยู่ในภพหนึ่ง, มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาด้วยความเสื่อม ในบทมีอาทิว่า ชรามรณํ อนิจฺจํ - ชราและมรณะไม่เที่ยง. ความว่า ชราและมรณะมิใช่ไม่เที่ยง, แต่ชรามรณะชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะขันธ์ทั้งหลายมีความไม่เที่ยงเป็นสภาวะ จึงมีชรามรณะ. แม้ในสังขตะเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในระหว่างไปยาล เพราะแม้ชาติก็ไม่เที่ยงเป็นต้น จึงมีนัยนี้เหมือนกัน. บทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ - เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะนี้ ท่านมิได้กล่าวด้วยสามารถวิปัสสนา ท่าน บทว่า อสติ ชาติยา - เมื่อชาติไม่มี นี้ท่านทำเป็นลิงควิปลาส, ท่านจึงกล่าวว่า อสนฺติยา ชาติยา. บทว่า อสติ สงฺขาเรสุ - เมื่อสังขารไม่มี ท่านทำเป็นวจนวิปลาส, ท่านกล่าวว่า อสนฺเตสุ สงฺขาเรสุ. บทมีอาทิว่า ภวปจฺจยา ชาติ, อสติ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ, เมื่อภพไม่มี พึงประกอบโดยนัยมีอาทิว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ, เมื่อภพไม่มี ชาติก็ไม่มี. จบอรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา สัมมสนญาณนิทเทส จบ. |