บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๓ / ๑๒. นทีกัสสปเถราปทานที่ ๒ (๕๕๒) ว่าด้วยบุพจริยาของพระนทีกัสสปเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. [๑๔๒] ข้าพเจ้าปฏิเสธความเป็นผู้มียศ สูงแล้ว บวชเป็นดาบส ถือเอาผลมะม่วงสุกอัน มีรสเลิศ ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนาม ว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในโลก ผู้คงที่ ผู้เป็นพระศาสดา ซึ่งกำลังเสด็จจาริกไป เพื่อ บิณฑบาต. ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าได้อุปบัติเป็น จอมเทวดา เป็นนราสพ ผู้เป็นใหญ่ในโลก ได้ ดำรงตำแหน่งอันมั่นคง ครั้นละโลกนั้นแล้ว ก็ เป็นผู้มีชัยในเบื้องหน้า. ในแสนกัปแต่กัปนี้ ข้าพเจ้าได้ถวาย ผลไม้ใดไว้ ในครั้งนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการ ถวายผลไม้อันมีรสเลิศ. ข้าพเจ้า ได้เผากิเลสทั้งหลายชิ้นแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. ข้าพเจ้าได้เป็นผู้มาดีแล้วแล คำสอน ของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธ เจ้า ข้าพเจ้าได้ทำเสร็จแล้ว. ทราบว่า ท่านพระนทีกัสสปเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ไว้ ด้วยประการฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- ๕๕๒. อรรถกถานทีกัสสปเถราปทาน อปทานของท่านพระนทีกัสสปเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตรสฺส ภวคโต ดังนี้. แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือน ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นน้องชายของท่านอุรุเวลกัสสปะ ในตระกูลพราหมณ์ ในแคว้นมคธะ ไม่ปรารถนาอยู่เป็นฆราวาส เพราะมีอัธยาศัยเพื่อออกจากทุกข์ จึงบวชเป็นพระดาบสได้พร้อมกับพวกพระดาบสจำนวน ๓๐๐ คน ช่วยกันสร้างอาศรมอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. ได้มีสมัญญาว่านทีกัสสปะ เพราะอาศัยอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ และเพราะมีโคตรว่ากัสสปะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานอุปสมบท ด้วยความเป็น ในเรื่องนั้นมีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้ :- พระศาสดาทรงประทานอนุญาตให้ยสกุลบุตรได้บวชแล้ว ได้เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเพื่อทรมานชฎิล ๓ พี่น้อง ณ อุรุเวลาประเทศ. ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิล ๓ พี่น้องคือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะและคยากัสสปะ ย่อมอยู่อาศัยในอุรุเวลประเทศ. บรรดาชฎิลทั้ง ๓ นั้น อุรุเวลกัสสปชฎิลเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นผู้เลิศ เป็นประมุข เป็นปาโมกข์ ของพวกชฎิล ๕๐๐ คน. นทีกัสสปชฎิลเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นผู้เลิศ เป็นประมุข เป็นปาโมกข์ของพวกชฎิล ๓๐๐ คน, คยากัสสปชฎิลก็เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นผู้เลิศ เป็นประมุข เป็นปาโมกข์ของพวกชฎิล ๒๐๐ คน. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังอาศรมของอุรุเวลกัสสปชฎิล ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้ตรัสกะ อุรุเวลกัสสปะกล่าวว่า มหาสมณะ เราไม่มีความหนักใจอะไรเลย แต่ว่า นาค แม้ถึงวาระที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฏิลนั้นอีก ฯลฯ แม้ถึงวาระที่ ๓ ฯลฯ เขาอย่าเบียดเบียนท่านเลย. พระศาสดาตรัสว่า ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เบียดเบียนเราดอก กัสสปะ ขอท่านจงอนุญาตโรงไฟให้เราเถิด. อุรุเวลกัสสปะกล่าวว่า มหาสมณะ ตามใจท่าน ท่านจงอยู่ตามสบายเถิด. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จเข้าไปยังโรงไฟ ทรงปูลาดสันถัตหญ้า ประทับนั่ง คู้บัลลังก์ ทรงตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้าอย่างมั่นคง. นาคราชนั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปแล้ว เดือดดาลใจ จึงบังหวนควัน. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่า ถ้าอย่างไร เราพึงครอบงำเดชด้วยเดชให้จรดผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อใน กระดูกของนาคราชนี้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรุงแต่งอิทธาภิสังขารเช่นนั้น ทรงบังหวนควันแล้ว. ลำดับนั้นแล นาคราชเจ้าไม่สามารถจะอดทนความลบหลู่ได้โพลงไฟขึ้นแล้ว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงเข้าเตโชกสิณโพลงไฟขึ้นแล้ว. โรงไฟมีกองไฟ ๒ กอง ลุกโพลงดุจแสงพระอาทิตย์ ลุกโชติช่วงโพลงไปทั่ว. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นพากันแวดล้อมโรงไฟแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเราเอ๋ย! พระมหาสมณะผู้มีพระรูปพระโฉมอันแสนจะงดงาม กำลังถูกนาคราชเบียดเบียนอยู่. ลำดับนั้นแล เมื่อราตรีนั้นผ่านไป พระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระ พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ใกล้แม่น้ำ เนรัญชราได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลว่า กัสสปะ ถ้าว่าความไม่หนักใจ มีอยู่แก่ท่านไซร้ วันนี้ เราจะขอพักอาศัยอยู่ ณ ที่โรงไฟ. อุรุเวลกัสสปะกล่าวว่า มหาสมณะ ข้าพ- เจ้าไม่มีความหนักใจแต่อย่างไรเลย ข้าพเจ้าผู้ ประสงค์ความผาสุก จึงห้ามท่านว่า นาคราชดุร้าย มีฤทธิ์ มีพิษ มีพิษร้าย มีอยู่ในที่นั้น นาคราชนั้น อย่าเบียดเบียนท่านเลย. พระศาสดาตรัสว่า ถึงอย่างไร นาคราช ก็ไม่พึงเบียดเบียนเราแน่ กัสสปะ ขอท่านจง อนุญาตโรงไฟให้เราเถิด พระศาสดาทรงทราบว่า อุรุเวลกัสสปะ นั้น อนุญาตให้แล้ว ไม่ทรงหวาดกลัว ก้าวล่วง เสียได้ซึ่งภัย เสด็จเข้าไปแล้ว. นาคราช พอได้เห็นพระฤๅษีเจ้า (พระ- พุทธเจ้า) เข้าไปจึงเดือดดาลใจ บังหวนควันแล้ว พระศาสดา ทรงมีพระหฤทัยอันสม่ำเสมอ มีน้ำ พระทัยเยี่ยมยอด แม้ (จะถูก) นาคราชในร่าง มนุษย์ บังหวนควันในที่นั้นก็ตาม. ส่วนนาคราชไม่สามารถจะอดกลั้นต่อ ความลบหลู่ได้ ได้บังหวนควันโพลงไฟทั่วแล้ว. พระศาสดาทรงเป็นผู้ฉลาดอย่างยอดเยี่ยมในเตโช- ธาตุกสิณ ได้ทรงบังหวนควันจนโพลงไฟทั่วแล้ว โรงไฟมีเปลวไฟโพลงของทั้งสองฝ่าย ลุกโพลง โชติช่วง ดุจแสงพระอาทิตย์. พวกชฎิลพากัน พูดว่า ชาวเราเอ่ย! พระมหาสมณะ ผู้มีรูปงาม ยิ่ง กำลังถูกนาคราชเบียดเบียนอยู่. พอราตรีนั้นผ่านไป เปลวไฟของนาคราช นั้นก็ถูกเบียดเบียน. ส่วนพระศาสดาก็คงทรงมี พระฤทธิ์อยู่ เปลวไฟจึงมีวรรณะมากมาย สีเขียว สีแดง สีหงสบาท สีเหลือง และสีแก้วผลึก มีเป็นสีเปลวไฟหลายสีมากมายที่พระกายของ พระอังคีรส. พระศาสดา ทรงให้นาคราชขดลง ในบาตรแล้ว แสดงแก่พราหมณ์ว่า กัสสปเอ่ย นี่อย่างไร นาคราชของท่านถูกเราใช้เดชทำลาย เดชของนาคราชนั้นแล้วแล. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลเลื่อมใสยิ่งแล้วในอิทธิปาฏิหาริย์นี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กราบ ----------------------------------------------------- ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในราว ลำดับนั้นแล ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อปฐมยามแห่งราตรีล่วงไปแล้ว มีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคม ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล พอราตรีนั้นล่วงพ้นไป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วจึงได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตรสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระ พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ท่านเหล่านั้นคือท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหา ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่ง ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ----------------------------------------------------- ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ เมื่อปฐมยามแห่งราตรีล่วงพ้นผ่านไป มีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสวเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับยืน ณ ที่สมควรด้านหนึ่งเปรียบเหมือนกองไฟใหญ่ มีรัศมีมากกว่าและประณีตกว่ารัศมีสีแสงที่มีมาก่อน. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล เมื่อราตรีนั้นล่วงผ่านไป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตร พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ผู้นั้นคือท้าวสักกะเทวานมินทะเข้ามาหาเรา ก็เพื่อฟังธรรม. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งแม้ท้าวสักกะทวานมินทะก็ยังเข้ามาเฝ้าเพื่อฟังธรรม ถึงอย่างไรก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับ ----------------------------------------------------- ลำดับนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อปฐมยามแห่งราตรีผ่านพ้นไป ทรงมีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่งเปรียบเหมือนกองไฟอันใหญ่ยิ่ง มีรัศมีมากกว่าและประณีตกว่าแสงสีที่มีมาก่อน. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลเมื่อราตรีนั้นผ่านพ้นไป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตรสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ ใครหนอแล เมื่อปฐมยามแห่งราตรีผ่านไปแล้ว ทรงมีพระรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระองค์ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระองค์แล้วได้ยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เปรียบเหมือนกองไฟอันใหญ่ยิ่ง มีรัศมีมากกว่าและประณีตกว่าแสงสีที่มีมาก่อน. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ผู้นั้นคือท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเรา เพื่อฟังธรรม. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งแม้ท้าวสหัมบดีพรหมยังเข้าไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมเลย ถึงอย่างไรก็ตงไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนเราแน่นอน. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับอยู่ที่ราวป่านั้นนั่นแล. ----------------------------------------------------- ก็โดยสมัยนั้นแล มหายัญได้ตั้งขึ้นเฉพาะแล้วเพื่ออุรุเวลกัสสปชฎิลและชาวแคว้นอังคะและมคธะทั้งสิ้น ตั้งใจถือเอา ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า บัดนี้ มหายัญตั้งขึ้นแล้วเพื่อเรา ชาว ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบถึงความ ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล ครั้นราตรีนั้นล่วงผ่านไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้า พระศาสดาตรัสว่า กัสสป เธอได้มีความคิดอย่างนี้มิใช่หรือว่า บัดนี้แล มหา ดูก่อนกัสสป เรานั้นแลได้ทราบความปริวิตกทางใจของท่านด้วยใจ จึงไปยังอุตตรกุรุ นำเอาบิณฑบาตมาจากที่นั้นแล้วฉันใกล้สระอโนดาต ได้ทำการพักผ่อนกลางวันในที่นั้นนั่นเอง. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก จึงจักทราบชัดถึงจิตใจได้ด้วยใจ ชื่อเห็นปานนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับอยู่ ณ ป่านั้นนั่นแล. ----------------------------------------------------- ก็โดยสมัยนั้นแล ผ้าบังสุกุลเกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่าเราจะพึงซักผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะได้ทรงทราบถึงความปริวิตก ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า เราพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะได้ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงทรงยกแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่แผ่นศิลานี้เถิด. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า เราจะพึงห้อยตากผ้าบังสุกลในที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล เทพยดาผู้สิงสถิตอยู่ ณ ที่ต้นไม้รกฟ้า ได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงน้อมเอากิ่งไม้ลงมาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงตากผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งไม้นี้. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า เราพึงเปลี่ยนผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะได้ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงได้ยกเอาแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนผ้าบังสุกุล ณ ที่นี้เถิด. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล พอเมื่อราตรีนั้นผ่านพ้นไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วจึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงกาลเวลาแล้ว ภัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ เพราะเหตุไรในกาลก่อนสระโบกขรณีนี้ไม่มีในที่นี้ เย็นนี้จึงมีสระโบกขรณีในที่นี้ได้ ก้อนศิลานี้ในกาลก่อนไม่มีวางไว้ ใครยกเอาก้อนศิลานี้มาวางไว้ กิ่งแห่งต้นรกฟ้านี้ในกาลก่อนมิได้น้อมลง เย็นนี้มีกิ่งไม้น้อมลงแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป ผ้าบังสุกุลได้เกิดขึ้นแก่เราในที่นี้ ดูก่อนกัสสป เราได้มีความดำรินี้ว่า เราจะพึงซักผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล กัสสป. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจ จึงใช้ฝ่ามือขุดสระโบกขรณีแล้ว ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงซักผ้าบังสุกุลในที่นี้เถิด. ดูก่อนกัสสป เย็นนี้ เทวดาซึ่งมิใช่มนุษย์ใช้ฝ่ามือขุดเป็นสระโบกขรณี. ดูก่อนกัสสป เราได้มีความดำริว่า เราจะพึงขยำผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล ดูก่อนกัสสป ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ ได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจ จึงได้เอาแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่แผ่นศิลานี้เถิด ดูก่อนกัสสป เย็นวานนี้ เทวดามิใช่มนุษย์จึงได้วางแผ่นศิลาไว้แล้ว. ดูก่อนกัสสป เราได้มีความดำริว่า เราจะพึงตากผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล ดูก่อนกัสสป ลำดับนั้นแล เทพยดาผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นรกฟ้าได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจแล้วจึงน้อมเอากิ่งไม้ลงมาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงห้อยตาก ณ ที่กิ่งไม้นี้เถิด ก็ต้นรกฟ้านั้นสูงแค่เอื้อมถึง. ดูก่อนกัสสป เราได้มีความดำริว่าเราจะพึงเปลี่ยนผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอแล. ดูก่อนกัสสป ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจ ยกเอาแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนผ้าบังสุกุล ณ ที่นี้เถิด ดูก่อนกัสสป แผ่นศิลานี้เทวดามิใช่มนุษย์ยกมาวางไว้. ลำดับนั้นแล ท่านอรุเวลกัสสปได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งแม้ท้าวสักกะเทวานมินทะก็ยังมาทำการช่วยเหลือถึงที่ ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสวยภัตรของอุรุเวล ลำดับนั้นแล อุระเวลกัสสปชฎิล พอเมื่อราตรีนั้นผ่านพ้นไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นพอเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะเจ้า บัดนี้ถึงภัตกาลแล้ว ภัตรเสร็จเรียบ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เธอไปก่อนเถอะแล้ว เราจะตามไป ดังนี้แล้ว เสด็จส่งท่านอุรุเวลกัสสปชฎิล. ชมพูทวีปย่อมปรากฏมีต้นหว้า จึงทรงถือเอาผลจากต้นหว้านั้นแล้ว รีบเสด็จมาประทับนั่ง ณ ที่โรงไฟก่อนกว่า. อุรุเวลกัสสปชฎิลพอได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ที่โรงไฟจึงกราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ พระองค์เสด็จมาโดยหนทางไหน พระเจ้าข้า ข้าพระองค์หลีกไปก่อนกว่าพระองค์ แต่ทำไม พระองค์จึงมาถึงก่อนกว่าข้าพระองค์ แล้วยังประทับนั่ง ณ ที่โรงไฟ (อย่างสำราญเสียอีก). พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เราส่งเธอ ณ ที่นั้นแล้ว ชมพูทวีปเกิดมีต้นหว้าใหญ่ เราจึงเก็บผลหว้าจากต้นหว้านั้นแล้ว มานั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่า ดูก่อนกัสสป ผลหว้านี้แลสมบูรณ์ด้วยสีสมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรสชาติ ถ้าเธอประสงค์ก็จงบริโภคเถิด. อุรุเวลกัสสปกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พอแล้ว พระองค์เท่านั้นสมควรแก่ผลไม้นั้น พระองค์เท่านั้นจงบริโภคผลไม้นั้นเถิด. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแล ทรงส่งเราให้ไปก่อนกว่าแล้ว ชมพูทวีปก็ปรากฏมีต้นหว้าขึ้น เก็บผลไม้จากต้นหว้านั้น มาถึงประทับนั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่าเรา ถึงอย่างไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับ ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล เมื่อพอว่าราตรีนั้นล่วงไปแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วจึงได้กราบทูลภัตกาลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงภัตกาลแล้ว ภัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เธอจงไปก่อน เราจะตามไปแล้วทรงส่งอุรุเวลกัสสปชฎิลไป ชมพูทวีปปรากฏมีต้นหว้าขึ้น ต้นมะม่วงมีไม่ไกลต้นหว้านั้นนัก ฯลฯ ต้นมะขามป้อมมีไม่ไกลกว่าต้นหว้านั้นนัก ฯลฯ ต้นสมอไทยมีไม่ไกลต้นกว้านั้นนัก ฯลฯ จึงไปยังดาวดึงส์ ถือเอาดอกปาริฉัตตกะมาประทับนั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่า. อุรุเวลกัสสปชฎิลได้เห็นแล้วแลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับนั่ง ณ โรงไฟ ครั้นได้เห็นแล้วจึงได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พระ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เราส่งเธอในที่นั้นแล้ว ก็ไปยัง อุรุเวลกัสสปกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พอแล้ว พระองค์เท่านั้นสมควรแก่ดอกไม้นั้น พระองค์ ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากกมายนักแล ทรงส่งเราไปล่วงหน้าก่อนแล้ว พระ ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นมีความประสงค์เพื่อจะทำการบูชาไฟ แต่ไม่อาจเพื่อจะผ่าฟืนได้. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นจึงได้มีความคิดว่า ต้องเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะเป็นแน่ อย่างมิต้องสงสัย พวกเราจึงไม่อาจจะผ่าฟืนได้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า ดู พวกชฎิลได้ผ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนครั้งเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีอานุภาพมากนักแล ทรงบันดาลให้พวกเราผ่าฟืนทั้งหลายได้ ถึงอย่างไรก็คงจะไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นมีความประสงค์จะบูชาไฟแต่ไม่อาจเพื่อจะก่อไฟได้. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นได้มีความคิดว่า คงจะเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะแน่นอน อย่างมิต้องสงสัย พวกเราจึงไม่อาจเพื่อจะก่อไฟได้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า ดู |