ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 37 / 1อ่านอรรถกถา 37 / 1321อรรถกถา เล่มที่ 37 ข้อ 1327อ่านอรรถกถา 37 / 1338อ่านอรรถกถา 37 / 1898
อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์
วรรคที่ ๙ อนุสยา อนารัมมณาติกถา

               อรรถกถาอนุสยา อนารัมมณาติกถา               
               ว่าด้วยอนุสัยเป็นธรรมไม่มีอารมณ์               
               บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องอนุสัยเป็นธรรมไม่มีอารมณ์.
               ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายอันธกะ นิกายเอกัจจะและนิกายอุตราปถกะทั้งหลายว่า ชื่อว่าอนุสัยทั้งหลาย คือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ไม่ประกอบกับจิตเป็นอเหตุกะ เป็นอัพยากตะ ด้วยเหตุนั้นแหละ คือด้วยเหตุที่ไม่ประกอบกับจิตเป็นต้น จึงเป็นอนารัมมณะ ดังนี้ คำถามของสกวาทีว่า อนุสัย เป็นต้น โดยหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
               ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวกะปรวาทีนั้นว่า อนุสัยเป็นรูป เป็นต้น เพื่อท้วงว่า ธรรมดาอนุสัยไม่มีอารมณ์ อนุสัยนั้นก็จะพึงเป็นอย่างนี้ คือพึงเป็นอย่างรูปเป็นต้น.
               คำว่า กามราคะเป็นต้น ท่านแสดงโดยความเป็นกามราคานุสัยมิใช่เป็นอย่างอื่น.
               ในปัญหาว่า สังขารขันธ์เป็นธรรมไม่มีอารมณ์หรือ ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะหมายเอาสังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต ย่อมตอบรับรองหมายเอาอนุสัย ชีวิตินทรีย์และรูปมีกายกรรมเป็นต้น ว่าเป็นธรรมนับเนื่องด้วยสังขารขันธ์.
               บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในวาระทั้งปวงโดยอุบายนี้แล.
               อนึ่ง ในปัญหาว่า เป็นผู้มีอนุสัยหรือ อธิบายว่า ปุถุชนชื่อว่ายังเป็นผู้มีอนุสัย เพราะความที่เขายังมิได้ละ แต่สภาพความเป็นไปของอนุสัยทั้งหลาย คือความเกิดดับ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้.
               จริงอยู่ อนุสัยใดอันบุคคลใดยังละไม่ได้ อนุสัยนั้นไม่นับว่าเป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน ก็แต่ว่าอนุสัยนั้นชื่อว่าเป็นกิเลสที่พึงละด้วยมรรค เพราะความเป็นผู้ยังละไม่ได้นั่นแหละ ท่านจึงกล่าวว่าเป็นของมีอยู่ ดังนี้.
               อนึ่ง ใครๆ ไม่พึงกล่าวว่า ธรรมชื่อนี้เป็นอารมณ์ของอนุสัยเห็นปานนี้ คือท่านหมายเอาเฉพาะขณะจิตที่เป็นกุศลหรืออัพยากตะซึ่งอนุสัยมิได้เกิดสัมปยุตด้วย เพราะฉะนั้น อารมณ์ของอนุสัยนั้นท่านจึงปฏิเสธแล้ว. อันที่จริง อารมณ์นั้นๆ ย่อมไม่มีแก่อนุสัยอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ อารมณ์นั้นๆ ย่อมไม่มีแก่กิเลสทั้งหลายแม้มีราคะเป็นต้นก็เช่นเดียวกัน ตรงนี้ท่านหมายเอาขณะที่กิเลสเหล่านั้นยังไม่เกิดสัมปยุตกับจิต เพราะฉะนั้น ข้อนี้จึงไม่สำเร็จซึ่งความที่อนุสัยทั้งหลายเป็นสภาพมีอารมณ์ดังนี้แล.

               อรรถกถาอนุสยาอนารัมมณาติกถา จบ.               
               -----------------------------------------------------               
หมายเหตุ :-
               การวินิจฉัยอนุสัยกถาในคัมภีร์กถาวัตถุนี้ ท่านหมายเอากิเลส ๗ อย่าง มีกามราคานุสัยเป็นต้นที่ยังมิได้ละด้วยอริยมรรค อนุสัยกิเลสนี้แหละขณะที่จิตเป็นกุศลก็ดี เป็นอัพยากตะก็ดี ท่านเรียกว่าเป็นจิตตวิปปยุต เพราะไม่ประกอบจิตในขณะนั้น เรียกว่าอเหตุกะเพราะไม่มีเหตุประกอบ ในขณะนั้น เรียกว่าเป็นอัพยากตะเพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาปในขณะนั้น ด้วยเหตุทั้ง ๓ นี้แหละ ท่านจึงว่าเป็นอนารัมมณะ คือเป็นธรรมไม่มีอารมณ์ ดังนี้.
               ส่วนนัยแห่งอรรถกถาอนุสัยยมก หน้า ๕๐๑ ท่านแสดง ดังนี้ :-
               อนุสยาติ เกนฏฺเฐน อนุสยา ฯ อนุสยนฏฺเฐน ฯลฯ
               ถามว่า อนุสัยทั้งหลายชื่อว่า อนุสัย เพราะอรรถว่ากระไร?
               ตอบว่า เพราะอรรถว่านอนเนื่อง.
               ถามว่า ชื่อว่า อรรถว่าการนอนเนื่องนี้เป็นอย่างไร?
               ตอบว่า ชื่อว่า อรรถว่าการนอนเนื่องนี้มีการละไม่ได้เป็นอรรถ.
               อธิบายว่า อนุสัยเหล่านั้น ชื่อว่าย่อมนอนเนื่องในสันดานแห่งสัตว์ เพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า อนุสัย.
               คำว่า ย่อมนอนเนื่อง อธิบายว่า อนุสัยเหล่านั้นได้เหตุอันสมควรแล้วจึงเกิดขึ้น.
               อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ถ้าว่า อาการคือการละยังไม่ได้ พึงชื่อว่าเป็นอรรถแห่งการนอนเนื่องไซร้ ก็ไม่ควรกล่าวว่า อาการคือการละไม่ได้ย่อมเกิดขึ้น เพราะอนุสัยทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ดังนี้.
               ในที่นี้ท่านรับรองว่า อนุสัย คืออาการที่ละไม่ได้.
               อนึ่ง คำว่า อนุสัย ท่านเรียกกิเลสที่มีกำลังเพราะอรรถว่าละไม่ได้. อธิบายว่า อนุสัยนั้นเป็นจิตตสัมปยุต เป็นสารัมมณะ เป็นสเหตุกะเพราะอรรถว่ามีปัจจัยเป็นอกุศลอย่างเดียว ทั้งเป็นอดีตบ้าง เป็นอนาคตบ้าง เป็นปัจจุบันบ้าง เพราะฉะนั้น การกล่าวว่าอนุสัยย่อมเกิดขึ้น ดังนี้ ย่อมควร. ในที่นี้ ท่านถือเอาคำที่กล่าวมานี้เป็นประมาณ.
               ในคัมภีร์ยมกนี้มีการท้าวความถึงคัมภีร์กถาวัตถุและคัมภีร์อื่นๆ ด้วย เช่นกล่าวว่า :-
               ในอภิธรรมกถาวัตถุก่อน ท่านปฏิเสธวาทะทั้งปวงว่า อนุสัยทั้งหลายเป็นอัพยากตะ เป็นอเหตุกะและเป็นจิตตวิปปยุต หมายถึง ขณะนั้นจิตกำลังเป็นกุศลหรืออัพยากตะ.
               ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านทำคำถามว่า บุคคลย่อมละกิเลสทั้งหลายแม้อันเป็นปัจจุบันหรือ ดังนี้ แล้วตอบว่า บุคคลชื่อว่าย่อมละอนุสัยอันมีกำลังเพราะความที่อนุสัยทั้งหลายเป็นสภาพมีอยู่แก่ความเป็นปัจจุบัน.
               ในธรรมสังคหะ ในการจำแนกบทโมหะ ท่านกล่าวความเกิดขึ้นแห่งอวิชชานุสัยกับอกุสลจิตว่า อวิชชานุสัย ได้แก่อนุสัยคืออวิชชา อวิชชาปริยุฏฐาน ได้แก่ปริยุฏฐานคืออวิชชา อวิชชาลังคิ ได้แก่ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะนี้มี ณ สมัยใด สมัยนั้น โมหะย่อมมี ดังนี้.
               ในอนุสัยยมกนี้นั่นแหละ ในอุปปัชชวาระ คือวาระว่าด้วยการเกิดขึ้นวาระใดวาระหนึ่งแห่งมหาวาระ ๗ ท่านกล่าวคำเป็นต้นไว้ว่า กามราคานุสัยย่อมเกิดแก่บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นใช่ไหม ดังนี้ เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านกล่าวแล้วว่า ย่อมนอนเนื่อง คำนั้น อธิบายว่า อนุสัยทั้งหลายเหล่านั้นได้เหตุอันสมควรแล้วย่อมเกิดขึ้น ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า คำนั้นท่านกล่าวดีแล้วโดยแบบแผนนี้เป็นประมาณ.
               คำแม้ใดที่ท่านกล่าวไว้เป็นต้นว่า อนุสัยเป็นจิตตสัมปยุต เป็นสารัมมณะ ดังนี้ แม้คำนั้นก็ชื่อว่าท่านกล่าวดีแล้วนั่นแหละ. คำว่า ก็ชื่อว่า อนุสัยเป็นของสำเร็จแล้ว เป็นจิตตสัมปยุต เป็นอกุสลธรรม ดังนี้ พึงถึงความสิ้นสุดกันในที่นี้แล.
               อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในคำทั้งหลาย มีกามราคานุสัย เป็นต้นว่า
               กามราคะนั้นแหละชื่อว่าอนุสัยเพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ากามราคานุสัย. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้นั่นแหละ. ต่อไป ท่านยังได้บ่งชัดลงไปอีกว่า อนุสัยเกิดที่ไหนบ้าง ดังคำว่า.
               บัดนี้ เพื่อประกาศซึ่งที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งอนุสัยทั้งหลายนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ตตฺถ กามราคานุสโย อนุเสติ เป็นต้น แปลว่า กามราคานุสัยย่อมนอนเนื่องในกามธาตุนั้น ขอท่านผู้รู้ค้นคว้าในอนุสัยยมกนั้นเถิด.
               สรุปความว่า คำว่า อนุสัยที่กล่าวไว้ในคัมภีร์กถาวัตถุนั้นมีความมุ่งหมายเอาอย่างหนึ่ง ที่กล่าวในคัมภีร์อนุสัยยมกนั้นมุ่งหมายเอาอย่างหนึ่ง นัยทั้ง ๒ นี้เมื่อพิจารณาแล้วก็ถูกต้องด้วยกัน.

.. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๙ อนุสยา อนารัมมณาติกถา จบ.
อ่านอรรถกถา 37 / 1อ่านอรรถกถา 37 / 1321อรรถกถา เล่มที่ 37 ข้อ 1327อ่านอรรถกถา 37 / 1338อ่านอรรถกถา 37 / 1898
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=37&A=13222&Z=13323
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=5497
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=5497
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๗  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :