บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องพิสดารมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรม พรรณนา ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิ ในพระราชกุมารทั้งสองพระองค์ พระโพธิสัตว์ เมื่อมีพระชนม์ได้สิบหกพรรษา เสด็จไปเมืองตักกสิลา ทรงศึกษาไตรเพทและศิลปะทุกชนิด อันเป็นพื้นฐานของวิชาสิบแปดประการ หาผู้เปรียบมิได้ในศิลปะยิงธนู แล้วเสด็จกลับกรุงพาราณสี. พระราชา เมื่อจะเสด็จสวรรคต ได้มีพระราชโองการว่า ให้มอบราชสมบัติแก่อสทิส พรหมทัตราชาก็ทรงเชื่อคำของพวกเขา จึงมีพระทัยแตกแยก ทรงส่ง พระราชารับสั่งถามว่า เขาต้องการค่าจ้างเท่าไร. กราบทูลว่า ต้องการปีละหนึ่งแสนพระเจ้าข้า. รับสั่งว่า ดีแล้ว เข้ามาเถิด. พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ซึ่งมายืนอยู่ ณ ที่ใกล้ว่า เจ้าเป็นนักยิงธนูหรือ. กราบทูลว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า. รับสั่งว่า ดีแล้ว จงรับราชการกับเรา. ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์อยู่รับราชการกับพระราชา. พวกนักยิงธนูรุ่นเก่าเห็นค่าใช้จ่ายที่พระ อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน รับสั่งให้กั้นฉากม่านใกล้แผ่นศิลามงคล บรรทมเหนือราชอาสน์ใหญ่ ใกล้ต้นมะม่วง ทอดพระเนตรดูเบื้องบน ทรงเห็นมะม่วงพวงหนึ่งบนยอดไม้ ทรงดำริว่า ไม่มีใครสามารถขึ้นไปเอามะม่วงนี้ได้ รับสั่งให้หาพวกนายขมังธนูมา มีพระดำรัสว่า พวกเจ้าสามารถใช้ลูกศรยิงมะม่วงพวงนี้ให้ตกได้หรือ. พวกนายขมังธนูกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้อนี้ไม่เป็นการยากสำหรับพวกข้า พระราชารับสั่งให้หาพระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า เจ้าสามารถยิงมะม่วงพวงนั้นให้ตกลงมาได้หรือ. กราบทูลว่า เมื่อได้ที่ว่างสักแห่งหนึ่งจักสามารถ พระเจ้าข้า. รับสั่งถามว่า ที่ว่างตรงไหน. กราบทูลว่า ที่ว่างภายในที่บรรทมของพระองค์ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้ย้ายที่พระบรรทมแล้วพระราชทานที่ว่างให้. พระโพธิสัตว์ไม่มีธนูในพระหัตถ์ พระองค์ทรงเหน็บธนูไว้ในระหว่างพระภูษาเสด็จเที่ยวไป เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ควรจะได้ผ้าม่านสักผืน. พระราชารับสั่งให้นำผ้าม่านมากั้น. พระโพธิสัตว์เข้าไปภายในม่าน เปลื้องผ้าทรงชั้นนอกออก ทรงนุ่งผ้าแดงผืนหนึ่งผูกผ้าเคียนพุง คาดผ้าแดงผืนหนึ่งที่พระอุทร ทรงหยิบพระขรรค์พร้อมทั้งฝักออก ต่อมา พระโพธิสัตว์จึงกราบทูลพระราชาอีกว่า ข้าแต่มหาราช ลูกศรนี้ เมื่อขึ้นจักแหวกขึ้นไประหว่างกลางขั้วพวงมะม่วง การขึ้นไปจักไม่ส่ายไปข้างโน้นมาข้างนี้แม้เพียงปลายเกศา จักตกลงมาตามแนวถูกพวงมะม่วงแล้วจึงหล่น ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าข้า. พระโพธิสัตว์จึงออกกำลังผาดแผลงไป. ลูกศรนั้นทะลุผ่านหว่างกลางขั้วมะม่วงขึ้นไป. พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่า บัดนี้ ลูกศรนั้นเห็นจักถึงพิภพชั้นจาตุมหาราชแล้ว จึงทรงเร่งกำลังให้มากกว่าศรที่ยิงไปครั้งแรก แล้วทรงยิงไปอีกลูกหนึ่ง ลูกศรนั้นจึงขึ้นไปกระทบท้ายลูกศรเดิม ปัดให้กลับลง แล้วศรลูกที่สองก็เลยขึ้นไปถึงภพดาวดึงส์. เทวดาทั้งหลายในภพนั้นได้จับลูกศรนั้นไว้ เสียงแหวกอากาศของลูกศรที่กลับ คล้ายกับเสียงสาย มหาชนได้เห็นความอัศจรรย์นั้น จึงพากันกล่าวว่า อย่างนี้พวกเราไม่เคยเห็น พากันสรรเสริญส่งเสียงปรบมือ ดีดนิ้ว โบกผ้าเป็นจำนวนพัน. ทรัพย์ที่ราชบริษัทยินดี เมื่อพระราชาพระองค์นั้นสักการะเคารพพระโพธิสัตว์ ซึ่งพำนัก ณ ที่นั้นอย่างนี้. พระราชาเจ็ดพระนคร ครั้นทรงทราบว่า ข่าวว่า อสทิสราชกุมารมิได้อยู่ในกรุงพาราณสี จึงพากันยกพลมาล้อมกรุงพาราณสี แล้วส่งสาส์นถวายพระราชาว่า จะมอบราชสมบัติให้ หรือจะรบ. พระราชาทรงกลัวมรณภัย ตรัสถามว่า พระเจ้าพี่ของเราประทับอยู่ที่ไหน ครั้นทรงสดับว่า พระเจ้าพี่รับราชการอยู่กับกษัตริย์สามนตราชพระองค์หนึ่ง จึงทรงส่งทูตไปรับพร้อมกับมีพระดำรัสว่า เมื่อพระเจ้าพี่ของเราไม่เสด็จกลับมา เราก็จะไม่มีชีวิตอยู่ได้ พวก พวกทูตพากันไปกราบทูลเรื่องราวถวายพระโพธิสัตว์ให้ทรงทราบ พระโพธิ พระราชาเหล่านั้น ครั้นทอดพระเนตรเห็นอักขระที่ลูกศรแล้ว ก็ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสทิสราชกุมารทรงขับพระราชาเจ็ดพระนครให้หนีไป ทรงได้ชัยชนะสงคราม แล้วทรงผนวชเป็นฤๅษีอย่างนี้ เมื่อทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า :- เจ้าชายพระนามว่าอสทิสราชกุมาร เป็นนักธนู มีกำลังมาก ยิงธนูให้ไปตกในที่ไกลๆ ได้ ยิงไม่พลาด สามารถทำลายของกองใหญ่ๆ ได้. พระองค์ทรงทำการรบให้ข้าศึกทั้งปวงหนีไป แต่มิได้เบียดเบียนใครๆ เลย ทรงทำพระกนิษฐภาดาให้มีความปลอดภัย แล้วก็เข้าถึงความสำรวม. บทว่า อสทิโส ความว่า มิใช่ไม่เสมอเหมือนโดยพระนามเท่านั้น แม้พระกำลัง พระ บทว่า มหพฺพโล คือ ทรงกำลังกายมาก. บทว่า ทูเร ปาเหติ ความว่า ชื่อว่ายิงได้ไกล เพราะสามารถส่งลูกศรไปจากภพจาตุมหาราชจนถึงภพดาวดึงส์ได้. บทว่า อกฺขณเวธี คือ ยิงไม่ผิด. อีกอย่างหนึ่งสายฟ้าเรียกว่าอักขณะ. อธิบายว่า ชั่วฟ้าแลบคราวหนึ่ง ยิงได้เจ็ดแปดครั้งด้วยแสงนั้น เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่ายิงได้เร็ว. บทว่า มหากายปฺปพาลิโน ได้แก่ ทำลายของกองใหญ่ๆ ได้ กองใหญ่มีเจ็ดอย่าง คือ กองหนัง กองไม้ กองโลหะ กองเหล็ก กองทราย กองน้ำ กองแผ่นกระดาน ในกองเหล่านั้น คนอื่นเมื่อจะทำลายกองหนัง แม้หนังกระบือก็ยิงทะลุ แต่พระโพธิสัตว์นั้นยิงหนังกระบือซ้อนกันตั้งร้อยแผ่นให้ทะลุได้. คนอื่นยิงกระดานไม้มะเดื่อหนาแปดนิ้ว ยิงกระดานไม้ประดู่หนาสี่นิ้วทะลุได้ แต่พระโพธิสัตว์ยิงกระดานเหล่านั้นมัดรวมกันหนาตั้งร้อยนิ้วทะลุได้ แผ่นทองหนาสองนิ้ว แผ่นเหล็กหนาหนึ่งนิ้ว ก็เช่นเดียวกัน เกวียนบรรทุกทราย บรรทุกกระดาน พระโพธิสัตว์ยิงเข้าส่วนหลังให้ทะลุออกได้ทางส่วนหน้า. ตามปกติในน้ำ พระโพธิสัตว์ยิงศรแหวกได้ไกลสี่อุสุภะ บนบกไกลแปดอุสุภะ พระโพธิสัตว์ทำลายของกองใหญ่ๆ เหล่านี้ได้ จึงชื่อว่าผู้ทำลายของกองใหญ่ได้ด้วยประการ บทว่า สพฺพามิตฺเต ได้แก่ ข้าศึกทั้งหมด. บทว่า รณํ กตฺวา ได้แก่ ทำการรบให้ข้าศึกหนีไป. บทว่า น จ กิญฺจิ วิเหฐยิ คือ ไม่เบียดเบียนใครๆ เลย แต่ทรงต่อสู้กับข้าศึกเหล่านั้นด้วยใช้ศรนั้นเอง ไม่ให้ลำบาก. บทว่า สญฺญมํ อชฺฌุปาคมิ ได้แก่ เข้าถึงความสำรวมด้วยศีล คือบรรพชา. พระศาสดา ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ อย่างนี้แล้ว ทรงประชุมชาดก พระกนิษฐภาดาในครั้งนั้น ได้เป็น อานนท์ ในครั้งนี้ ส่วนอสทิสกุมาร คือ เราตถาคต นี้แล. จบ อรรถกถาอสทิสชาดกที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อสทิสชาดก จบ. |